Saturday, 7 June 2025
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 วันสถาปนา ‘คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย’ คณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของไทย ที่ถือกำเนิดจาก ‘ในหลวง ร.8’

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานระดับคณะวิชาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2490 โดยสังกัดอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จนกระทั่งถูกโอนมาสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2510 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศไทย ถือกำเนิดจากพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8

การดำเนินการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้เริ่มขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเพียงแปดเดือนเท่านั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทย ประสบความยากลำบากทางการเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งจำเป็นต้องมีการบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายจากการทิ้งระเบิด คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวงการสาธารณสุขของประเทศ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานแพทยศาสตรศึกษา

ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก 3 สาขา ได้แก่ ศูนย์ความร่วมมือด้านแพทยศาสตรศึกษา ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและฝึกอบรมด้านไวรัสและโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

แต่งตั้ง 'สุรเกียรติ์ เสถียรไทย' นั่งนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.67) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า...

ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายภิรมย์ กมลรัตนกุล ให้ดำรงตำแหน่ง นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อไปอีกวาระหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 (1) แห่งพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2551 ที่ประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครั้งที่ 882 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง 'นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย' ดำรงตำแหน่ง นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไปแล้ว

บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งบุคคลดังกล่าว ให้ดำรงตำแหน่งนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2567

ประกาศ ณ วันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

อนุทิน ชาญวีรกูล
รองนายกรัฐมนตรี

10 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 วันสถาปนา ‘คณะครุศาสตร์’ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งส่งเสริมมาตรฐานการสอน-เปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์เป็นครู

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 คณะครุศาสตร์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นคณะที่ 7 ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาม ‘พระราชกฤษฎีกาแยกแผนกวิชาครุศาสตร์จากคณะอักษรศาสตร์’ ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 74 ตอนที่ 63 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2500 หน้า 1164 - 1166 ประกอบด้วย 4 มาตรา มาตราที่ 3 ระบุว่า ‘ให้จัดตั้งคณะครุศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขึ้นใหม่อีกคณะหนึ่ง’

โดยเหตุผลในการประกาศพระราชกฤษฎีกา ระบุท้ายประกาศว่า เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์จะเป็นครู อาจารย์ และเจ้าหน้าที่บริหารการศึกษา ได้เข้าศึกษาทางวิชาการและการวิจัยในวิชาครุศาสตร์ และวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และเพื่อส่งเสริมมาตรฐานการสอน และการประกอบอาชีพเกี่ยวกับวิชาดังกล่าวให้กว้างขวางขึ้นจนถึงขั้นปริญญาโท และปริญญาเอกในโอกาสต่อไป โดยมีศาสตราจารย์พูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา หัวหน้าแผนกวิชาครุศาสตร์ในขณะนั้น (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นคณบดีคนแรก

ประกอบกับคณะครุศาสตร์มีโครงการจัดตั้งโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อใช้ทดลองฝึกปฏิบัติงานครูและวิจัยงานวิชาการของคณะครุศาสตร์ จึงได้รับการจัดสรรเนื้อที่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบริเวณด้านทิศตะวันตกของถนนพญาไท จำนวน 4 หมอน หรือประมาณ 40 ไร่ (1 หมอน เท่ากับสิบไร่) นับเป็น ‘คณะแรกที่ได้บุกเบิกออกนอกรั้วมหาวิทยาลัย’ และเมื่อเป็น ‘คณะครุศาสตร์’ ได้แบ่งการสอนออกเป็น 4 แผนกวิชา คือ 1. แผนกวิชาสารัตถศึกษา 2. แผนกวิชาประถมศึกษา 3. แผนกวิชามัธยมศึกษา และ 4. แผนกวิชาวิจัยการศึกษา

‘จุฬาฯ’ เปิดพิกัดเยี่ยมชม ‘สถาปัตยกรรม-พิพิธภัณฑ์-ดนตรี’ ในรั้วมหาลัย หวังเชิญชวน ‘นักท่องเที่ยวไทย-ต่างประเทศ’ มาสัมผัสเรียนรู้

(8 ส.ค.67) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำการเรียนการสอนเท่านั้น นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกและอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของสถาปัตยกรรมบนพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยที่ให้ประสบการณ์ที่น่าตราตรึงใจ หรือจะเป็นพื้นที่การแสดงดนตรีที่หลากหลาย ทั้งดนตรีไทย ดนตรีตะวันตก รวมถึงนิทรรศการแสดงงานศิลปะมากมายโดยนิสิตและศิลปินจากนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอนิทรรศการที่หลากหลายสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

ด้าน คุณกรรชิต จิตระทาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ กล่าวถึงสีสันของจุฬาฯ และพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบ ที่อยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศมาสัมผัส อีกทั้งยังแนะนำประเภทกิจกรรมสำหรับผู้มาเยี่ยมชม ดังนี้

>> อัญมณีแห่งสถาปัตยกรรม - ตัวอย่างสถานที่ที่น่าสนใจก็จะมี กลุ่มอาคารเทวาลัย แลนด์มาร์กสำคัญที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของจุฬาฯ ที่ทั้งนิสิตและผู้มาเยือนไม่ควรพลาดที่จะมาถ่ายภาพด้วย นอกจากนี้ยังมีหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรือนภะรตราชา ที่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์อีกด้วย

>> หลากหลายพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ทั่วพื้นที่ - ไฮไลต์ที่ขอแนะนำก็คือ พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 11 พิพิธภัณฑ์ของโลก และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จัดแสดงร่างกายและชิ้นส่วนมนุษย์แบบ 3 มิติ ด้วยเทคนิคพลาสติเนชัน (Plastination) อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในห้องนิทรรศการนี้มีสัตว์ที่โดดเด่นที่สุดคือ ปูเจ้าพ่อหลวง (Potamonbhumibol Naiyanetr) ปูน้ำจืดตัวใหญ่ที่สุดในประเทศไทย       

>> ดนตรีแสนไพเราะจากไทยและนานาชาติ - ที่จุฬาฯ มีการแสดงดนตรีสดให้รับชมรับฟังเป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรีไทย ดนตรีคลาสสิก ดนตรีไทยร่วมสมัย การร้องประสานเสียง ไปจนถึงการแสดงพิเศษของคณะดนตรีจากต่างประเทศ ที่หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ด้วยระบบแสง สี เสียงระดับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังมีรายการแสดงดนตรีในวาระพิเศษซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ได้แก่ คอนเสิร์ตใหญ่ของ CU Symphony Orchestra จัดขึ้นปีละสองครั้ง ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการแสดงของวงดนตรีไทยปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งจัดในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มีนาคม ของทุกปี 

หลังจากมาเยี่ยมชมบริเวณพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว เดินต่อเนื่องไปพื้นที่โดยรอบก็สามารถเพลิดเพลินกับอาหารสตรีทฟู้ดแบบไทยได้บริเวณถนนบรรทัดทองตลอดเส้น ที่มีทั้งแกลเลอรี คาเฟ่ ศูนย์การค้าทันสมัย วัดไทยตามแบบมหายานและเถรวาท โบสถ์ และศาลเจ้าจีน เรียกได้ว่า มาย่านเดียวได้สัมผัสครบทุกวัฒนธรรม ทั้งนี้ สามารถอ่านจุฬาฯ น่าเที่ยวฉบับเต็มได้ที่ https://www.chula.ac.th/highlight/170475/ 

‘อ.ไชยันต์’ โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ‘แพทองธาร-พรรณิการ์’ ระบุ!! สองสตรีผู้โดดเด่นทางการเมืองจาก ‘รัฐศาสตร์ จุฬาฯ’

(18 ส.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์รูปภาพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ พร้อมข้อความระบุว่า 

สองสตรี ผู้โดดเด่นทางการเมือง จากกำเนิดเดียวกัน ‘รัฐศาสตร์ จุฬาฯ’

‘น้องวี’ หนุ่มรปภ.วัย 18 ปี ทำงานส่งตัวเองเรียน สอบติด ‘สัตวแพทย์ จุฬาฯ’ เผย!! พ่อแม่แยกทาง ฐานะยากจน ต้องช่วยแม่ทำงาน ก่อนสานฝันเป็น ‘คุณหมอ’

(7 ก.ย.67) ‘น้องวี’ หรือ นายวีระพงศ์ แซ่หาญ หนุ่มวัย 18 ปี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ทำงานส่งเสียตัวเองเรียน และสามารถสอบติดคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามความฝันได้สำเร็จ กลายเป็นที่ชื่นชม และแชร์กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย

‘น้องวี’ ได้เปิดใจว่า ตนเองอาศัยอยู่กับแม่ที่แยกทางกับพ่อมาตั้งแต่ตนยังเด็ก และครอบครัวมีฐานะยากจน แม่ทำอาชีพรับจ้างรายได้ประมาณ 6,000-7,000 บาทต่อเดือน น้องวีเป็นลูกคนเดียว จึงพยายามช่วยแบ่งเบาภาระแม่ โดยตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดเพื่อหาทุนการศึกษามาช่วยเหลือครอบครัว จนได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิจุฬาภรณ์และจบมัธยมปลายด้วยเกรดเฉลี่ย 3.92 

ในช่วงปิดเทอม น้องวีได้สมัครทำงานเป็น รปภ. ที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ เพื่อหารายได้และส่งเงินให้แม่ น้องวีไม่เคยอายที่จะทำงานนี้ เพราะถือว่าเป็นงานสุจริตและมีเกียรติไม่น้อยไปกว่าอาชีพอื่น ๆ ด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร น้องวีสามารถสอบติดทั้งคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในที่สุดเขาได้เลือกคณะสัตวแพทยศาสตร์ ตามความฝันที่อยากเป็นหมอตั้งแต่เด็ก

เรื่องราวของ’น้องวี’ นั้นเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมถึงความกตัญญู ขยันหมั่นเพียร และการใช้ความฝันเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิต

'เด็กจุฬาฯ' 3 นิ้ว ติดป้ายป่วนมหาลัยฯ กล้องพร้อมจับภาพนิ่ง-เคลื่อนไหว หลังหนังสือโจมตี 'กองทัพ' ถูกสั่งห้ามจัดงานเปิดตัวในรั้วมหาลัยฯ

(25 ก.ย. 67) จากกรณี กอ.รมน.ออกมาท้วงติง หนังสือที่มีชื่อว่า 'ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย' ที่เขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เพราะมีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด พิจารณาเรื่องการละเมิดข้อบังคับจริยธรรม ของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

งานนี้สะเทือนถึงต้นสังกัด อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องออกมาเคลื่อนไหวทันที โดยล่าสุด รศ.ดร.พวงทอง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ดิฉันได้รับทราบจากท่านคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ จัดงานเปิดตัวหนังสือ 'ในนามความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมไทยของกองทัพ' โดยไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 66

ส่วนคณะรัฐศาสตร์ ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในการจัดงานครั้งนี้ และภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังยินดีเป็นเจ้าภาพจัดงานต่อไป จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม คณะรัฐศาสตร์ไม่สามารถให้ใช้สถานที่ได้ เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถือว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมดในรั้วจุฬาฯ สอนเรื่องกระจายอำนาจการปกครองไปทำไม

รศ.ดร.พวงทอง ระบุอีกว่า ขอขอบพระคุณอย่างสูง ต่อผู้บริหารของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ยินดีให้พื้นที่เสรีภาพแก่งานวิชาการ ที่ตกเป็นเป้าของอำนาจรัฐ ทั้ง ๆ ที่รับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่ ที่แสดงความยินดีให้เราใช้สถานที่ได้ แต่เราติดต่อกับทางบ้านจิมเรียบร้อยก่อนแล้ว และการเดินทางมาบ้านจิม ก็ค่อนข้างสะดวก จึงขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มา ณ ที่นี้ด้วย ย้ายแค่สถานที่ แต่เวลาเดิม ศุกร์ที่ 27 กันยายน 15.30-17.30 น. แล้วพบกันค่ะ รศ.ดร.พวงทอง ทิ้งท้ายด้วยว่า ประเทศที่เสรีภาพทางวิชาการ เป็นเรื่องตลก
.
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไท ได้เปิดเผยว่า ช่วง 11.20 น. ที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 1 คน ได้ทำกิจกรรมแปะป้ายเรียกร้องเสรีภาพวิชาการ ในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่คณะรัฐศาสตร์ หน้าอาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยไม่ให้ใช้สถานที่จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มดังกล่าว

โดยมีการนำป้ายกระดาษที่ระบุข้อความว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ = Fake News ผลิตโดยจุฬาฯ’ / ‘เสรีภาพทางวิชาการกี่โมง’ / ‘ผู้บริหารจุ เป็นอะไรกับทหาร’ ติดที่ป้ายคณะรัฐศาสตร์ แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อพนักงานมหาวิทยาลัย ได้รีบเข้ามาดึงป้ายกระดาษดังกล่าวออกไปทันที พร้อมนำโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของนิสิตดังกล่าวที่มาทำกิจกรรมป่วน และสอบถามว่าอยู่คณะอะไร แต่เจ้าตัวไม่ฟัง และยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยได้ไปติดป้ายกระดาษที่อาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งระหว่างการติดป้ายข้อความดังกล่าว จะเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถ่ายภาพตลอดเวลา ส่วนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอ

นิสิตคนดังกล่าว อ้างว่า ที่ทำกิจกรรมนี้ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่เพราะว่ามหาวิทยาลัย ควรจะเป็นสถานที่จะจัดงานวิชาการแบบนี้ได้ จุฬาฯ ไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเสรีภาพการแสดงออก แล้วเธอก็ยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ก่อนหน้านี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ออกมาแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมจะต้องให้มีอิทธิพลเหนือผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่คณะรัฐศาสตร์ก็ยังอนุญาตให้จัดได้ แต่ทำไมทางมหาวิทยาลัย กลับเข้ามาแทรกแซงการทำงานของคณะ

ทั้งนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่า รศ.ดร.พวงทอง ได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์คลิปข่าวดังกล่าวของประชาไท พร้อมระบุแคปชันว่า “ขอบคุณนิสิตมากๆ ค่ะ ด้วยความนับถือ”

อย่างไรก็ตาม เพจ 'นักเรียนดี' ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ด้วยว่า "ล่าสุด!! จุฬาฯ ไฟเขียวให้ใช้พื้นที่จัดงานเสวนาหนังสือ ฟ้าเดียวกัน 'ในนามของความมั่นคงภายใน' ได้ อธิการบดีจุฬาฯ ยันมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพ"

จุฬาฯ เติมหลักสูตร Non-Degree จบได้ใน 6 เดือนรับตลาดแรงงานอนาคตโลก

(9 ม.ค. 68) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับ World Economic Forum เผยรายงาน Future of Jobs 2025 ชี้ให้เห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานอย่างมหาศาล โดยอาชีพเก่าอาจหายไปถึง 92 ล้านตำแหน่ง ขณะเดียวกัน อาชีพใหม่ที่อาศัยทักษะด้าน AI และ Big Data จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด มหาวิทยาลัยต้องเร่งปรับตัว โดยการออกแบบหลักสูตรระยะสั้น เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะเหนือกว่า AI  

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รายงานนี้อ้างอิงจากการสำรวจบริษัทกว่า 1,000 แห่ง ครอบคลุมพนักงาน 14 ล้านคนใน 22 อุตสาหกรรม และ 55 ประเทศทั่วโลก โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้  ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่ง จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม,  92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไป เนื่องจากระบบอัตโนมัติและการปรับตัวของเศรษฐกิจ, การเติบโตสุทธิของการจ้างงานทั่วโลก จะอยู่ที่ 7% หรือประมาณ 78 ล้านตำแหน่ง  

อย่างไรก็ตาม งานบางส่วนที่ถูกดิสรัปไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง แต่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นดิจิทัล โดยต้องการแรงงานที่มีทักษะรอบด้านและสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ  

ปัจจัยสำคัญเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานในปี 2573  รายงานยังชี้ถึง 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ได้แก่:  
1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมด้านพลังงาน  
2. สิ่งแวดล้อม การรับมือกับสภาพภูมิอากาศสร้างความต้องการแรงงานด้านพลังงานหมุนเวียน  
3. ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ  
4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร เช่น ประชากรสูงอายุในประเทศพัฒนาแล้ว  
5. ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก การค้าระหว่างประเทศและข้อจำกัดทางการค้า  

ขณะที่ 10 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกภายในปี  2573 ประกอบด้วย

ทักษะด้าน AI และ Big Data
Analytical thinking ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
Creative thinking ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
Networks and cybersecurity ทักษะด้านเครือข่าย และความปลอดภัยทางข้อมูล
Leadership and social influence มีความเป็นผู้นำ และสร้างอิทธิพลต่อสังคมได้
Resilience, flexibility and agility ปรับตัวไว ทำงานอย่างยืดหยุ่น และคล่องตัว
Empathy and active listening มีความเห็นอกเห็นใจ และมีทักษะในการรับฟัง
Motivation and self-awareness มีความเข้าใจตนเอง และมีแรงจูงใจในการทำงาน
Talent management ทักษะด้านการบริหารจัดการคนเก่งในองค์กร
Curiosity and lifelong learning มีความช่างสงสัย ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต

ในปี 2573 ทักษะในอนาคตของประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลก โดยในไทย ทักษะที่โดดเด่น คือ ทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ในขณะที่ระดับโลกเน้นทักษะด้าน AI และ Big Data ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี และทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

กลยุทธ์สำคัญ 4 ประการสำหรับประเทศไทย

1. สร้างการเปลี่ยนแปลง แบบ Holistic Skill Change:ยกเครื่องการ upskill ของบุคลากรในมิติไม่ใช่ทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น
2. สร้างองค์กร ให้เป็น Future-Ready Organization: มีระบบการพัฒนาทักษะอนาคตของบุคลากร
3. Human Replacement: งานที่ซ้ำชากควรเลิกใช้คนและทดแทนด้วยระบบ Automation 
4. Enhancing Dynamic Work Role: มีการส่งเสริมให้ไม่ยึดติดกับบทบาทการทำงานในแบบเดิมๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งสู่การเป็น The University of AI โดยมีเป้าหมายในการสร้าง คนพันธุ์ใหม่ หรือ ‘Future Human’ ที่ไม่เพียงแค่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) แต่ยังต้องมีทักษะพิเศษอย่าง II (Instinctual Intelligence) หรือ ‘ปัญญาสัญชาตญาณ’ ที่สามารถสร้างสรรค์ความรู้ที่ไม่สามารถประดิษฐ์ขึ้นได้ การเป็น ‘คนพันธุ์ใหม่’ ไม่ใช่แค่การมีสมองที่เฉลียวฉลาด แต่ยังต้องมีหัวใจที่ดีงาม เพื่อใช้พลังของเทคโนโลยีในการสร้างคุณค่าทั้งต่อตนเองและสังคม”

ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการเรียนรู้และพัฒนา AI โดยให้ความสำคัญกับการ Reskill และ Upskill เพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับ "งานแห่งอนาคต" ซึ่งบุคลากรต้องมีทักษะที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้ได้จริง

“สิ่งที่สามารถเอาชนะปัญญาประดิษฐ์ได้คือปัญญาสัญชาตญาณ ความเข้าใจโลก และการฝึกฝนจนชำนาญ” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าว

ดร.วิเลิศเน้นย้ำว่า มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนบทบาทจากการสอนปริญญา 2-4 ปี มาเป็นหลักสูตรระยะสั้นที่ใช้เวลาเพียง 6 เดือน และมุ่งเน้นสร้าง “skill incubator” เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต โดยเน้นการสอนที่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีและตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน

“มหาวิทยาลัยต้องสร้างบุคลากรที่ไม่เพียงแค่มีความรู้ แต่ต้องมีความฉลาดที่ไม่ล้าสมัย” ดร.วิเลิศ กล่าวเพิ่มเติม

ดร.วิเลิศระบุว่า ปัจจุบันหลักสูตรการศึกษาที่เน้นปริญญาและใช้เวลา 2-4 ปีไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตอีกต่อไป มหาวิทยาลัยต้องจัดให้มีหลักสูตร Non-degree ที่เน้นการศึกษาระยะสั้น 6 เดือน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการถ่ายทอดความรู้ผ่านเทคโนโลยี AI และเข้าใจศักยภาพของผู้เรียน การเปลี่ยนสถาบันให้เป็น “skill incubator” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องมุ่งบ่มเพาะพรสวรรค์และพัฒนาทักษะแห่งอนาคตให้แก่บุคลากร เพื่อให้พวกเขาเข้าใจศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยต้องเป็นสถาบันที่ไม่เพียงแต่สอนความรู้ แต่ต้องเน้นการพัฒนาความฉลาดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างยั่งยืน

“วันนี้หากประเทศไทยต้องการคนที่มีทักษะใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากปริญญาตรี แต่อาจนำคนที่จบปริญญาตรีแล้วมาพัฒนาทักษะเพิ่มในเวลา 6 เดือน การศึกษาของมหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่ต้องนำความรู้เหล่านั้นไปสู่สังคม ทั้งในหลักสูตร Degree และ Non-degree”

จุฬาเปิดตัว 'ChulaGENIE' คู่แข่งแชทจีพีที ตั้งเป้าปีนี้เปิดให้คนทั่วไปใช้งาน

(9 ม.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มหาวิทยาลัยได้เตรียมความพร้อมโดยร่วมมือกับ World Economic Forum (WEF) นำเสนอรายงาน The Future of Jobs 2025 เพื่อเสนอแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงด้านทักษะและอาชีพในช่วงปี 2568–2573  

นอกจากนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้วยการร่วมมือกับ Google Cloud สร้างแพลตฟอร์มเจนเนอเรทีฟเอไอ (Generative AI) ภายใต้ชื่อ ChulaGENIE ที่มีความสามารถคล้ายกับ ChatGPT โดยมุ่งสนับสนุนการทำงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มเปิดทดลองใช้งานเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา  

ดร.วิเลิศ อธิบายว่า ChulaGENIE มีความพิเศษแตกต่างจากแพลตฟอร์ม AI อื่น ๆ ตรงที่ไม่ได้ตอบคำถามเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้ด้วย ปัจจุบันการใช้งานยังจำกัดเฉพาะบุคลากรและนักศึกษาภายในจุฬาฯ แต่ในอีก 2–3 เดือนข้างหน้า มีแผนจะขยายกลุ่มผู้ใช้งานให้กว้างขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนผู้ใช้เป็นหลัก  

ในระยะยาว มหาวิทยาลัยมีแผนขยายการใช้งาน ChulaGENIE สู่ประชาชนทั่วไป พร้อมวางเป้าหมายเปิดให้บริการในรูปแบบสาธารณะภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการต่อยอดแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน  

“ประเทศไทยไม่ควรหยุดอยู่เพียงการใช้งาน AI แต่ควรก้าวสู่การเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนรอบด้านและรองรับเทรนด์โลกในอนาคต” ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวทิ้งท้าย

คณะบัญชี จุฬาฯ จัดสัมมนาหนุนเอกชนไทย จับเทรนด์อนาคต สร้างผู้ประกอบโตแกร่งยั่งยืนในเวทีโลก

(11 ก.พ.68) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาวิชาการ 'CBS: Boost Your Business Wisdom' มุ่งเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านธุรกิจที่ครอบคลุมทุกมิติ พร้อมเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาและผู้ประกอบการรับมือกับเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดความยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวบรรยายในหัวข้อ 'Regenerative Marketing: New Generation of Marketing' โดยเน้นย้ำว่าธุรกิจยุคใหม่ควรให้ความสำคัญกับการตลาดเชิงฟื้นฟู (Regenerative Marketing) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ได้มุ่งแค่สร้างแบรนด์ แต่ยังคำนึงถึงการฟื้นฟูทรัพยากร ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย (Stakeholders) ทั้งภาคธุรกิจและสังคมในระยะยาว

โดยแนวทางดังกล่าวถูกเปรียบเสมือน 'วิตามิน' ที่ช่วยฟื้นฟูและเสริมแกร่งให้องค์กรใน 5 ด้าน ได้แก่

Vitamin A (Awareness & Activism) - สร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมผ่านกลยุทธ์ทางการตลาด

Vitamin B (Beyond Sustainability) - ก้าวข้ามแนวคิดความยั่งยืนไปสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกที่แท้จริง

Vitamin C (Consumer Empowerment) - ส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น

Vitamin D (Design for Circularity) - ออกแบบธุรกิจให้มีระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

Vitamin E (Ecosystem Restoration) - ฟื้นฟูระบบนิเวศและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ เน้นว่าการตลาดแนวใหม่นี้จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้าสู่ยุคแห่งเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า ไม่ใช่เพียงผลกำไร โดยองค์กรควรมองว่า "ความยั่งยืน" เป็นการลงทุน ไม่ใช่ต้นทุน เพื่อสร้างความผูกพัน (Heart Share) กับผู้บริโภค และนำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว

ในการสัมมนาหัวข้อ 'Thailand Ahead: The Outlook in Business Strategy, Technology, and Sustainability' นักวิชาการจากภาควิชาพาณิชยศาสตร์ได้กล่าวถึงแนวโน้มสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมพร้อม ได้แก่ ESG (Environmental, Social, and Governance), Regionalization และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย โดยเฉพาะการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) และการรับมือนโยบายการค้าระหว่างประเทศจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ 'Beyond Financial Metrics: ESG and SDG Reporting' ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่นักบัญชีต้องปรับตัวเพื่อนำเสนอข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ควบคู่ไปกับตัวชี้วัดทางการเงินแบบดั้งเดิม การรายงานดังกล่าวจะช่วยให้นักลงทุนและผู้บริโภคสามารถประเมินศักยภาพขององค์กรได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของธุรกิจ

ในหัวข้อ 'ESG and Digital Society' คณะวิทยากรจากภาควิชาการธนาคารและการเงินได้กล่าวถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัล โดยชี้ว่าการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และ Blockchain อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในภาคธุรกิจ แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านพลังงาน ความเป็นธรรมทางสังคม และการกำกับดูแล เช่น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

สำหรับหัวข้อ 'Sustainability in Digital World' ได้มีการพูดถึงปัญหาสำคัญที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ปริมาณพลังงานที่เพิ่มขึ้นและการสะสมของขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวม เช่น นโยบาย Thailand 4.0 และเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รองศาสตราจารย์ ดร.ธารทัศน์ โมกขมรรคกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวสรุปว่า การสัมมนาครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริมองค์ความรู้ด้านธุรกิจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้แนวคิดและกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในองค์กรของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามเนื้อหาฉบับเต็มของการสัมมนา 'CBS: Boost Your Business Wisdom' ได้ที่เว็บไซต์ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top