Monday, 9 June 2025
จีน

จีนเปิดตัว ‘Jiu Tan’ เครื่องบินไร้คนขับรุ่นใหม่ ปล่อยโดรนกามิกาเซ่พร้อมกันได้สูงสุด 100 ลำ

(21 พ.ค. 68) จีนเตรียมเปิดตัวเครื่องบินไร้คนขับชื่อ “Jiu Tan” ซึ่งมีความสามารถในการปล่อยโดรนกามิกาเซ่ได้พร้อมกันนับ 100 ลำ ถือเป็นหมัดเด็ดใหม่ของจีนในการเพิ่มศักยภาพทางทหารและรับมือระบบป้องกันทางอากาศแบบเดิม

ตามรายงานจากสื่อรัฐของจีน เครื่องบินลำนี้พัฒนาโดยบริษัท Shaanxi Unmanned Equipment Technology โดยต้นแบบรุ่นที่ 4 อยู่ระหว่างการทดสอบ และเตรียมบินครั้งแรกในเดือนหน้า หลังเปิดตัวครั้งแรกในงานแสดงการบินจูไห่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567

สำหรับ Jiu Tan มีระยะปีกกว้าง 25 เมตร บินได้นานถึง 12 ชั่วโมง และระยะทางไกลกว่า 7,000 กิโลเมตร รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 6 ตัน ทั้งอุปกรณ์สอดแนม อาวุธ และขีปนาวุธ จุดเด่นคือการโจมตีแบบฝูง “barrage attack” ซึ่งทำให้ยากต่อการสกัดจากระบบป้องกันของศัตรู

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การพัฒนา Jiu Tan สะท้อนเป้าหมายของจีนที่ต้องการท้าทายอำนาจทางอากาศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ RQ-4 Global Hawk และ MQ-9 Reaper ของอเมริกา ซึ่งยังไม่มีความสามารถในการโจมตีฝูงขนาดใหญ่แบบเดียวกัน

‘ไต้หวัน’ ประกาศพร้อมคุย ‘จีน’ บนฐานเท่าเทียม แต่ยังเดินหน้าสร้างแสนยานุภาพทางทหาร

(22 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ของไต้หวัน กล่าวเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีในตำแหน่งว่า รัฐบาลไทเปพร้อมเปิดการเจรจากับจีน บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและศักดิ์ศรี เพื่อคลี่คลายความตึงเครียดด้านอธิปไตย แต่ย้ำว่าการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านกลาโหมยังคงเป็นสิ่งจำเป็นต่อไป

ไล่ ชิงเต๋อระบุว่า สันติภาพเป็นสิ่งประเมินค่าไม่ได้ ไต้หวันไม่สามารถนิ่งนอนใจในสถานการณ์ปัจจุบันได้ พร้อมยืนยันจะร่วมมือกับพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อยับยั้งภัยคุกคาม พร้อมผลักดันการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติเพื่อเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ 

ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ด้านการค้า รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองภายใน โดยฝ่ายค้านพรรคก๊กมินตั๋งกล่าวหาไล่ว่าทำให้ประเทศเสี่ยงต่อสงครามกับจีน ส่วนพรรคของไล่ตอบโต้ว่า ฝ่ายค้านกำลังบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ความตึงเครียดในรัฐสภาทวีความรุนแรงถึงขั้นปะทะกันทางกายภาพ ขณะที่คะแนนนิยมของประธานาธิบดีไล่ลดลงต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ชี้ว่าจุดยืนล่าสุดของเขาแสดงถึงความพยายามลดโทนการเผชิญหน้าและมุ่งรักษาสมดุลท่ามกลางแรงกดดันทั้งในและต่างประเทศ

จีนควักเพิ่ม 500 ล้านเหรียญหนุน WHO แทนที่สหรัฐฯ หลังทรัมป์ประกาศถอนตัว

(22 พ.ค. 68) รองนายกรัฐมนตรีจีน หลิว กั๋วจง ประกาศมอบเงินสนับสนุนเพิ่มเติม 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่องค์การอนามัยโลก (WHO) ภายในระยะเวลา 5 ปี ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลกเมื่อวันที่ 20 พ.ค. เพื่อชดเชยช่องว่างงบประมาณ หลังสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนหลัก

หลิว กั๋วจงกล่าวว่า โลกกำลังเผชิญความท้าทายด้านความมั่นคงสุขภาพจากแนวคิดฝ่ายเดียวและการเมืองอำนาจ พร้อมย้ำว่า “พหุภาคีนิยมคือทางออกที่มั่นคง” ขณะที่ WHO ปรับลดงบประมาณปี 2026–2027 ลง 21% เหลือ 4.2 พันล้านดอลลาร์

การปรับงบใหม่ของ WHO ที่จะมีมติในที่ประชุม ยังรวมถึงการเพิ่มค่าธรรมเนียมสมาชิกรายประเทศขึ้น 20% ภายใน 2 ปี ซึ่งจะทำให้จีนกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่สุดรายใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าเงิน 500 ล้านดอลลาร์ดังกล่าวรวมค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

เอกอัครราชทูตจีนเยี่ยมสวนทุเรียนระยอง หนุนความร่วมมือการค้าผลไม้ไทย-จีน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นายหาน จื้อเฉียง เดินทางเยี่ยมชมสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง พร้อมสำรวจการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการส่งออกทุเรียน โดยได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเกษตรกรและเจ้าของสวนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

เอกอัครราชทูตหานกล่าวว่า ทุเรียนไทยได้รับความนิยมอย่างมากในจีน โดยปีที่ผ่านมา ร้อยละ 85 ของทุเรียนไทยส่งออกไปยังจีน ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น ปัจจุบัน จีนได้เปิดด่านศุลกากรตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าทุเรียนไทยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมยืนยันความตั้งใจในการขยายความร่วมมือทางการค้ากับไทยต่อไป

ด้านเกษตรกรระบุว่า ปีนี้ผลผลิตทุเรียนออกมามากและราคารับซื้อสูงถึง 120 บาทต่อกิโลกรัม โดยทุเรียนที่เก็บเกี่ยวถูกส่งออกไปยังจีนทันที ผ่านระบบขนส่งทั้งรถไฟ ถนน และทางน้ำ ซึ่งสามารถถึงปลายทางได้ในเวลาเพียง 3 วัน พร้อมขอบคุณรัฐบาลจีนสำหรับมาตรการช่วยเหลือที่ทำให้การส่งออกเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว

ความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน และเวียดนาม ซึ่งปกครองด้วย พรรคคอมมิวนิวต์ พรรคเดียว

(24 พ.ค. 68) ศ.เจมส์ โรบินสัน ผู้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail ให้กับบีบีซีไทย 
ได้ให้ความเห็น เกี่ยวกับความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน และเวียดนาม 
ซึ่งปกครองด้วย พรรคคอมมิวนิวต์ พรรคเดียว โดยได้ระบุว่า ...

ถ้าคุณกำลังพิจารณาว่าประเทศจะไปในทิศทางใดในอีก 10 ปีข้างหน้า หรืออนาคตจะเป็นอย่างไร ผมจะมองไปว่าประเทศเหล่านี้ได้สร้างสถาบันทางการเมืองแบบครอบคลุมไว้มากน้อยแค่ไหน 

ประเทศเวียดนามน่าจะยังห่างไกล จากการมีระบบการเมืองที่ชอบทำและมีความครอบคลุมเมื่อเทียบกับประเทศไทย ประเทศเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วยังคงถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาเรียนรู้จากช่วงทศวรรษ 1980 ที่พวกเขาทำแบบเดียวกัน 

พวกเขาเรียนรู้จากจีนและเติ้งเสี่ยวผิง สิ่งที่เติ้งเสี่ยวผิงทำ และพวกเขาก็ตระหนักว่าถ้าเราทำสิ่งนี้ในเวียดนามมันจะดี แล้วมันก็ดีจริงๆในทางเศรษฐกิจไม่มีข้อสงสัยเลย แต่ยังคงมีคำถามข้อนี้เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่าน จะเกิดอะไรขึ้นในประเทศเวียดนาม ตอนที่พักคอมมิวนิสต์สูญเสียอำนาจ ซึ่งผมคิดว่ามันเรื่องไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

ผมคิดว่าสิ่งที่หลักฐานโชว์ก็คือ ประชาธิปไตยช่วยส่งเสริมการจัดสรรสินค้าสาธารณะ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งดี สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกที่ทั่วโลก 

แต่สิ่งที่คุณเห็นได้จากกรณีของเอเชียตะวันออกก็คือ กรณีที่ประสบความสำเร็จด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจแม้ปราศจากประชาธิปไตย 

จริงๆแล้วมันมีตัวอย่างเช่นนี้มากมายในประวัติศาสตร์โลก แต่สำหรับทุกๆ 1 ประเทศที่รัฐบาลเผด็จการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจได้สำเร็จ สามารถยกตัวอย่างอื่นๆได้อีก 5 ประเทศที่รัฐบาลเผด็จการทำให้ประเทศยากจนลง

และก็มีอีกหลายกรณีเช่น เรื่องการเติบโตของ AI ในจีนรวมถึงเทคโนโลยี 

ซึ่งนี่คล้ายกับสหภาพโซเวียตมาก สหภาพโซเวียตเคยทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาล และจัดสรรบุคลากรที่เก่งๆไปยังการพัฒนาอาวุธ อาวุธทางทหาร รถถัง จรวด ขีปนาวุธอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองขึ้นมา และรัฐบาลจีนก็กำลังทำในสิ่งเดียวกันกับ AI จีนทุ่มเททรัพยากรจำนวนมหาศาลลงไปใน AI เพราะพวกเขาเชื่อว่า นี่คือเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการรักษาการควบคุมสังคมของตัวเอง พวกเขาสามารถใช้มันได้ มันจะช่วยเพิ่ม ผลิตผลทางการผลิต 

แต่มันก็อนุญาตให้พวกเขาจับตาและควบคุมประชาชน คล้ายกับรูปแบบของเผด็จการเบ็ดเสร็จ มันจะได้ผลไหม ก็ไม่รู้ มีงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากในตอนนี้ ยังไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนี้จะดีหรือไม่ มันอาจจะแตกต่างอย่างมากจากกรณีของสหภาพโซเวียตก็ได้ 

จีนอาจสามารถผสมผสานรวมโลกสมัยใหม่ กับเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน พร้อมกับการควบคุมประชาชน และบางทีมันก็อาจจะจริง และเทคโนโลยีอาจทำให้ทฤษฎีในหนังสือของเราไม่สอดคล้องกับโลกยุคนี้ อีกต่อไปก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าจีนจะสามารถทำแบบนั้นได้หรือไม่

‘สี จิ้นผิง’ ยกหูคุย ‘มาครง’ ถกด่วนภาษี–สงคราม–การค้าโลก ย้ำจีนพร้อมร่วมมือกับอียู รับมือความปั่นป่วนจากสหรัฐ

(25 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีน ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการร่วมมือด้านการค้าโลก พร้อมเคลียร์ข้อพิพาทภาษีนำเข้าบรั่นดีฝรั่งเศสในจีน ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนเรียกร้องให้ฝรั่งเศสร่วมกันปกป้องกฎเกณฑ์การค้าโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากภัยคุกคามของภาษีสหรัฐฯ

สี จิ้นผิง ระบุว่า จีนและฝรั่งเศสในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ควรเป็นกำลังสำคัญในการธำรงระเบียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และยึดมั่นในพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง โดยย้ำว่าจีนมองยุโรปเป็นขั้วอำนาจอิสระที่ควรมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก พร้อมจับมือรับมือกับความท้าทายระดับโลก

การพูดคุยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนเริ่มสอบสวนการทุ่มตลาดบรั่นดีจากอียู ขณะที่ฝรั่งเศส ซึ่งส่งออกคอนญัก (บรั่นดีที่ผลิตจากไวน์องุ่นในเขตคอนญัคของฝรั่งเศส) ไปจีนกว่า 1.4 พันล้านยูโรต่อปี ได้รับผลกระทบรุนแรง คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 50 ล้านยูโรต่อเดือน โดยมาครงระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจะเร่งคลี่คลายประเด็นนี้โดยเร็ว เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตฝรั่งเศส

นอกจากนี้ ทั้งสองผู้นำยังหารือเรื่องสงครามยูเครน โดยมาครงระบุว่าทั้งคู่เห็นพ้องในเป้าหมาย “สันติภาพที่ยั่งยืนและมั่นคง” ซึ่งต้องเริ่มจากการหยุดยิงทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข รวมถึงยังจะร่วมมือกันเตรียมการประชุมว่าด้วยทางออกแบบสองรัฐในตะวันออกกลางที่กำหนดจัดขึ้นที่นิวยอร์กในเดือนมิถุนายนนี้ โดยฝรั่งเศสร่วมเป็นเจ้าภาพกับซาอุดีอาระเบีย

‘หลี่ เฉียง-ปราโบโว’ จับมือแน่นในเวทีโลก พร้อมดันเศรษฐกิจ-รถไฟความเร็วสูง ‘จาการ์ตา-บันดุง’

(26 พ.ค. 68) หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน พบหารือกับประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 25 พ.ค. โดยระบุว่าจีนพร้อมร่วมมือกับอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มความไว้วางใจทางการเมืองและการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์สู่ระดับที่สูงขึ้น พร้อมถ่ายทอดความปรารถนาดีจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

นายกรัฐมนตรีของจีนกล่าวว่า ทั้งสองประเทศมีมิตรภาพแน่นแฟ้นตลอด 75 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูต และได้ยกระดับสู่ความเป็น “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคและระดับโลก โดยจีนพร้อมร่วมเดินหน้าโครงการสำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงจาการ์ตา-บันดุง และแผน “สองประเทศ สองนิคมอุตสาหกรรม”

ทั้งนี้ จีนเสนอขยายความร่วมมือในหลากหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานใหม่ ปัญญาประดิษฐ์ การเงินและอวกาศ ตลอดจนเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน เช่น ด้านสุขภาพ การเกษตร และการบรรเทาความยากจน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ

หลี่ เฉียง ยังย้ำจุดยืนต่อต้านกีดกันการค้าและการดำเนินการฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้จีน อินโดนีเซีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ร่วมกันปกป้องระบบพหุภาคี ส่งเสริมการค้าเสรี และผลักดันโลกาภิวัตน์ที่เท่าเทียม มีระบบระเบียบ และเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

ศาลเมืองหนานหนิงตัดสินประหารชีวิต ‘หาน หย่ง’ อดีตผู้ทรงอิทธิพล คดีรับสินบนกว่า 261 ล้านหยวน แต่รอลงอาญา

(27 พ.ค. 68) ศาลประชาชนระดับกลางในเมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ได้พิพากษาประหารชีวิตนายหาน หย่ง วัย 68 ปี อดีตประธานคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ประจำมณฑลส่านซี โดยให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี ฐานรับสินบนมูลค่ากว่า 261 ล้านหยวน (ราว 1,184 ล้านบาท) ระหว่างปี 1993 ถึง 2023 

นายหานถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในตำแหน่งต่าง ๆ ในมณฑลจี๋หลิน ซินเจียง และส่านซี เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลและองค์กรต่าง ๆ ในด้านการดำเนินธุรกิจ การประมูลงานโครงการ และการแต่งตั้งบุคลากร โดยได้รับสินบนเป็นการตอบแทน

นอกจากโทษประหารชีวิต ศาลยังสั่งริบสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของนายหาน โดยทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดจะถูกส่งมอบให้กับกระทรวงการคลังของรัฐ

การตัดสินโทษดังกล่าวสะท้อนถึงความเข้มงวดของรัฐบาลจีนในการปราบปรามการทุจริต โดยก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกัน ศาลจีนได้พิพากษาประหารชีวิตนายจ้าว เว่ยกั๋ว อดีตประธานบริษัท Tsinghua Unigroup ในข้อหาคอร์รัปชันและยักยอกทรัพย์ 

‘ม.เจ้อเจียง’ พัฒนาวัสดุล่องหนชนิดใหม่ หลบเรดาร์ได้หมด ท้าทาย ‘Golden Dome’ ของทรัมป์..ที่อาจเป็นแค่ภาพฝัน

(28 พ.ค. 68) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน พัฒนา 'วัสดุพรางตัวขั้นสูง' ชนิดใหม่ ที่สามารถหลบหลีกการตรวจจับด้วยอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟในระยะไกล อีกทั้งยังทนความร้อนได้สูงถึง 700 องศาเซลเซียส ทำให้มีศักยภาพใช้ในภารกิจทั้งด้านทหารและอวกาศ สร้างความสั่นคลอนให้กับ 'Golden Dome' โครงการโล่ป้องกันขีปนาวุธที่ประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันอย่างหนัก

ระบบ Golden Dome อาศัยเรดาร์และระบบตรวจจับจากภาคพื้นดินและอวกาศเป็นหัวใจหลัก หากถูกตัดหูตาด้วยเทคโนโลยีล่องหนใหม่ของจีน เช่น โดรนก่อกวนสัญญาณไซเบอร์ หรือหัวรบหลอก ระบบดังกล่าวจะกลายเป็นการสร้างที่เสียเปล่าในสถานการณ์จริง นั่นทำให้จึงถูกมองว่าเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่คู่แข่งอาจใช้โจมตีได้

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากโครงการ Golden Dome เดินหน้าต่อ จะกระตุ้นให้จีน รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ เร่งพัฒนาอาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก หรือระบบโจมตีดาวเทียมเพื่อตอบโต้ สถานการณ์อาจบานปลายเป็นการแข่งขันทางอาวุธครั้งใหม่ คล้ายช่วงสงครามเย็นในยุคอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน

สำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ ประเมินว่า Golden Dome อาจใช้เงินภาษีถึง 831,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 30.3 ล้านล้านบาท) แต่กลับมีแนวโน้ม 'ใช้ไม่ได้ผลจริง' ขณะที่จีนพัฒนาแนวทางหลบเลี่ยงการตรวจจับอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายมองว่า ทางออกเดียวของสหรัฐฯ อาจเป็นการ 'ไม่เล่นเกมนี้ตั้งแต่ต้น'

สหรัฐฯ เตรียมยกเลิกวีซ่านักเรียนจีนจำนวนมาก มุ่งเป้า!!..ผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์

(29 พ.ค. 68) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะเริ่ม 'ยกเลิกวีซ่าอย่างเข้มงวด' สำหรับนักเรียนจีนที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศ โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือกำลังศึกษาในสาขาที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งจะเพิ่มมาตรการคัดกรองในการอนุมัติวีซ่าของนักเรียนจากจีนและฮ่องกงในอนาคต

การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง และกล่าวหาจีนว่าเอาเปรียบทางการค้าต่อสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่สงครามภาษีที่ทวีความรุนแรงขึ้น

นอกจากจีนจะเป็นประเทศต้นทางอันดับสองของนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ แล้ว นักเรียนจีนยังมีจำนวนมากกว่า 270,000 คนในปีการศึกษา 2023-2024 คิดเป็นประมาณหนึ่งในสี่ของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด การยกเลิกวีซ่าครั้งนี้จึงสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากในแวดวงการศึกษา

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังสั่งระงับการดำเนินการออกวีซ่านักเรียนชั่วคราว และเตรียมขยายมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้ยื่นขอวีซ่า รวมถึงมีความพยายามยกเลิกวีซ่าของนักเรียนที่มีบทบาททางการเมืองหรือแสดงออกสนับสนุนปาเลสไตน์ ซึ่งรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นการยุยงความเกลียดชัง แม้นักเคลื่อนไหวและนักกฎหมายจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ก็ตาม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top