Tuesday, 22 April 2025
ฆาตกรรม

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง!! 3 จำเลยคดีฆ่า 'พลเอกร่มเกล้า'

เมื่อวานนี้้ (21 ก.พ.66) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับลูกน้อง หมายเลขดำ อ.857/2562 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โดยโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2552 - 20 พ.ค. 2553 กลุ่ม นปช. ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง จนวันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ M.67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ.(ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.พ.64 ด้วยเหตุคำเบิกความพยานโจทก์มีข้อพิรุธ ประจักษ์พยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้และศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลยเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้าย ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3

ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้จำเลยที่ 1-2 เดินทางมาศาลพร้อมนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ส่วนจำเลยที่ 3 ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ (คดีอื่น)

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายวิญญัติ ทนายความเปิดเผยว่าวันนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยทั้ง 3 คน โดยศาลวินิจฉัยประเด็นเเรกส่า ฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1-3 คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีนปช.ก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งศาล เห็นว่า บทบัญญัติเรื่อง ฟ้องซ้อนในคดีอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยเรื่องฟ้องซ้อน มาตรา 173มาบังคับใช้โดยอนุโลม ที่ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น โดยคดีนั้นโจทก์ได้ บรรยายฟ้องคดีทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อน ของศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เเละ3

‘นางแบบฮ่องกง’ ถูกฆ่าหั่นศพยัดตู้เย็น-เนื้อต้มในหม้อซุป ‘ตร.’ คาด ปมขัดแย้งมรดกกับครอบครัวของอดีตสามี

‘แอบบี้ ชอย’ นางแบบดังฮ่องกงถูกฆ่าหั่นศพ พบขายัดในตู้เย็น เนื้ออยู่ในหม้อต้มซุป ส่วนหัวยังหาไม่เจอ ตำรวจรวบตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว คาดอดีตสามีรวมหัวกับพ่อแม่ช่วยกันลงมือ

(25 ก.พ. 66) เกิดเหตุฆาตกรรมสยองในฮ่องกง เมื่อนางแบบดัง ‘แอบบี้ ชอย’ (Abby Choi) วัย 28 ปี หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่วันที่ 21กุมภาพันธ์ จนกระทั่งวานนี้ (24 กุมภาพันธ์) ตำรวจพบว่า เธอถูกฆ่าหั่นศพ โดยอวัยวะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ขาของเธอถูกแช่อยู่ในตู้เย็นของบ้านครอบครัวอดีตสามี นอกจากนี้ยังเจอชิ้นเนื้อในหม้อต้มซุปอีกด้วย แต่ร่างกายส่วนศีรษะ ลำตัว แขน มือของแอบบี้ยังหาไม่เจอ โดยตอนนี้ ตำรวจได้จับตัวผู้ต้องสงสัยได้ คือ พ่อและแม่ และพี่ชายของ อเล็กซ์ กวัง (Alex Kwong) อดีตสามีของเธอที่ยังไม่พบตัว

ตำรวจเผยว่า การฆาตกรรมครั้งนี้ถูกตระเตรียมอย่างดี เนื่องจากในห้องเช่าที่พบชิ้นส่วนของแอบบี้ มีเครื่องมือที่ใช้แยกชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ ทั้งเลื่อยไฟฟ้า เครื่องบดเนื้อ เสื้อกันฝนแบบยาว ถุงมือ และหน้ากากเฟซชิลด์

สำหรับปมเหตุฆาตกรรมเชื่อว่า น่าจะเกิดการขัดแย้งเรื่องมรดกและทรัพย์สินกับครอบครัวอดีตสามี เพราะ แอบบี้ ชอย มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เธอแต่งงานกับ อเล็กซ์ กวัง และมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ก่อนจะจดทะเบียนหย่ากัน แต่แอบบี้ยังคงให้การช่วยเหลือครอบครัวอดีตสามีมาตลอด และซื้ออพาร์ตเมนต์ ให้พวกเขาอาศัยอยู่ โดยโอนชื่อให้พ่อของอดีตสามีเป็นเจ้าของ

ต่อมาแอบบี้ แต่งงานอีกครั้งกับหนุ่มนักธุรกิจและมีลูกด้วยกันอีก 2 คน ซึ่งปลายปีที่แล้ว แอบบี้ตั้งใจจะขายทรัพย์สิน ทำให้เกิดข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์อพาร์ตเมนต์ รวมถึงเรื่องเงินอีกหลายสิบล้านดอลลาร์ ทำให้เชื่อได้ว่า อาจเป็นชนวนเหตุความแค้นของครอบครัวอดีตสามี จึงรวมหัวก่อเหตุฆาตกรรมในครั้งนี้


ที่มา : https://www.facebook.com/104219177610338/posts/pfbid02kQqSbq3uG5JXDSkDiDGbQV7MbAh7DfXj8QSwsn3cw4rzwbGQn5vvgxrAMHqrXREcl/?mibextid=Nif5oz

‘ไอซ์ ปรีชญา’ แจง ปมสั่งซื้อไซยาไนด์แหล่งเดียวกับ ‘แอม’ ยัน!! นำมาใช้ไล่สัตว์มีพิษในบ้านเท่านั้น พร้อมรับผิดตามกฎหมาย

(5 พ.ค. 66) ที่อาคารมาลีนนท์ (ช่อง3) น.ส.ปรีชญา พงษ์ธนานิกร หรือ ‘ไอซ์’ ดาราสาวพร้อมคุณแม่ นางบังอร พงษ์ธนานิกร เปิดใจกับสื่อมวลชน หลังจากที่ตำราจตรวจสอบพบรายชื่อว่าสั่งซื้อไซยาไนด์ จากแหล่งเดียวกับ ‘แอม’ ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม

นางสาวปรีชญา พงษ์ธนานิกร หรือ ‘ไอซ์’ กล่าวว่า ยอมรับว่า ตนสั่งซื้อไซยาไนด์มาจริง โดยซื้อมาเมื่อวันที่ 25 เม.ย. และได้รับของวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 1 ขวด ส่วนสาเหตุที่ซื้อมานั้น เนื่องจากที่บ้านมีปัญหาของสัตว์เลื้อยคลาน ทั้งงู ตัวเงินตัวทอง เข้ามาในบ้าน มากัดหมา มากัดกันเองในบ้าน ก็ไม่สามารถป้องกันสัตว์มีพิษเหล่านี้ไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ ไปเสิร์ชเจอว่า ไซยาไนด์สามารถช่วยไล่สัตว์มีพิษเหล่านี้ได้ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะสั่งจากไหน เพราะเป็นยาอันตราย แต่สุดท้ายก็สามารถสั่งออนไลน์ได้

สุดเศร้า ‘เจ้าของร้านอาหารไทย’ ในเบอร์ลิน ถูกฆาตกรรม คนไทยในเยอรมนี ร่วมอาลัย ตร.เร่งสืบสวนหาความจริง

(19 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจ ‘พ่อบ้านเยอรมัน’ ได้เปิดเผยว่า พบศพคาดว่าเป็นหญิงไทย บริเวณใจกลาง Schöneberg ประเทศเยอรมนี ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนอย่างเร่งด่วน

ทั้งยังเปิดเผยเพิ่มเติม โดยอ้างอิงเว็บไซต์ berlin.de ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นประมาณเวลา 00.50 น. ที่บริเวณ Fuggerstr. ซึ่งหลายสำนักข่าวหลายสำนักรวมไปถึงคนไทยหลายท่านที่ Berlin ระบุว่าเป็นหญิงไทย แต่พ่อบ้านขอรอจากทางตำรวจแถลงอีกครั้งเพื่อความชัวร์ที่สุด

ในเบื้องต้นไม่ได้เป็นการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติหรืออาการเจ็บป่วย แต่พ่อบ้านขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดถึงลักษณะของการเสียชีวิต เพราะเคารพถึงใจของญาติผู้เสียหาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตคือเจ้าของร้าน ‘Thai-Art’ ที่เบอร์ลิน โดยยังจับคนร้ายไม่ได้ ซึ่งร้านดังกล่าว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยมาก

พร้อมกันนี้ยังได้แนบข่าวจากเว็บไซต์ bz-berlin ที่ระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นหญิงวัย 61 ปี ได้รับบาดเจ็บที่คอ

ทั้งนี้ สำหรับผู้เสียชีวิตนั้น จะบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรม ที่วัดพุทธวิหาร กรุงเบอร์ลิน

โลกออนไลน์ ยังได้ร่วมกันแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ‘คุณกุ้ง’ เจ้าของร้าน Thai-Art จำนวนมาก

‘UN’ เผย ‘เด็ก-สตรี’ ถูกฆ่าตายเกือบ 8.9 หมื่นคนในปี 2022 ร้อยละ 55 เป็นฝีมือคนในครอบครัว สะท้อน ‘บ้าน’ ไม่ใช่ที่ปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการวิจัยใหม่จากสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่ามีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลกถูกฆ่าในปี 2022 เกือบ 89,000 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขรายปีที่สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) และองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ชี้ว่าเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิง (femicide) เพิ่มขึ้น แม้เหตุฆาตกรรมโดยรวมลดลง

ร้อยละ 55 ของเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิงในปี 2022 มาจากฝีมือสมาชิกครอบครัวหรือคู่ชีวิต ขณะร้อยละ 12 ของเหตุฆาตกรรมผู้ชายเกิดขึ้นที่บ้าน ซึ่งจุดต่างนี้ตอกย้ำว่า ‘บ้าน’ ห่างไกลจากการเป็นพื้นที่ปลอดภัยของผู้หญิงและเด็กผู้หญิง

กาดา วาลี ผู้อำนวยการบริหารสำนักงานฯ กล่าวว่าเหตุจูงใจฆาตกรรมผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเป็นเครื่องเตือนใจว่ามนุษยชาติยังคงต้องต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมที่หยั่งรากลึกและความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิง

วาลีเสริมว่ารัฐบาลต่าง ๆ ต้องลงทุนในกลุ่มสถาบันที่มีความครอบคลุมและความพร้อมมากขึ้นเพื่อยุติการยกเว้นโทษ เสริมสร้างเกราะป้องกัน และช่วยเหลือเหยื่อ เริ่มตั้งแต่ผู้รับมือแนวหน้าจนถึงฝ่ายตุลาการ เพื่อยุติความรุนแรงก่อนสายเกินไป

‘Akku Yadav’ ชายโฉดชั่วผู้ถูกสตรีนับร้อยรุมประชาทัณฑ์ จนเสียชีวิตคาศาล ผลจากความล้มเหลวของกฎหมาย สู่การแก้แค้นที่โหดที่สุดของอินเดีย


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน ‘ประเทศอินเดีย’ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยอินเดียเป็นประเทศที่มีปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากวิถีชีวิตผู้คนในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาฮินดู โดยจะยึดถือระบบวรรณะอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีการข้ามวรรณะกันเด็ดขาด วรรณะทั้ง 4 นั้นได้แก่ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์ และศูทร นอกจากนี้ ยังมีคนนอกวรรณะ ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม นั่นคือ ‘จัณฑาล’

ระบบวรรณะในสังคมของอินเดียนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลื่อมล้ำของลำดับชนชั้น โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับอาชีพ ซึ่งบางอาชีพจะถือว่าต่ำต้อยมาตั้งแต่ดั้งเดิม เช่น คนกวาดถนนหรือคนเก็บขยะ ซึ่งจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุดทางสังคม ตามคำสอนเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาในอินเดีย ถ้าชาวฮินดูแต่งงานกับคนนอกวรรณะ หรือกินอาหารร่วมกับคนที่วรรณะต่างจากตัวเองจะถือว่าเป็นเรื่องที่บาป ดังนั้น คนอินเดียจึงปฏิบัติและยึดถือเรื่องของวรรณะอย่างเคร่งครัด


ในสลัม ‘Kasturba Nagar’ ซึ่งอยู่นอกเมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระทางตอนกลางของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ‘ครอบครัวชาวทลิต’ (Dalit) วรรณะที่ต่ำที่สุดในอินเดีย (ต่ำกว่าจัณฑาล) เป็นชนชั้นของอินเดียที่ถูกตีตราชนิดที่ว่า ‘ห้ามเข้าไปจับต้องยุ่งเกี่ยว’ (Untouchable) โดยชาวทลิตเป็นกลุ่มที่ถูกแยกออกจากวรรณะทั้ง 4 ในศาสนาฮินดู และถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอวรรณะ หรือ ‘วรรณะที่ 5’ ที่เรียกว่า ‘ปัญจม’ (Panchama)

และในสลัมแห่งนี้ที่มีทรชนขาใหญ่ที่ชื่อ ‘Akku Yadav’ (Bharat Kalicharan) เป็นนักเลง ขโมย โจร นักลักพาตัว นักข่มขืนต่อเนื่อง นักกรรโชกทรัพย์ และเป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งเคยทำร้ายและข่มขืนผู้หญิงมากกว่า 200 คนในสลัมดังกล่าว โดยผู้หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวทลิต Dalit จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิกเฉยละเลย


ตัว Akku Yadav เองก็เกิดและเติบโตขึ้นมาในสลัม Kasturba Nagar แห่งนี้ เป็นลูกชายของคนส่งนม ซึ่งต่อมาเขาได้ก้าวไปสู่ภัยคุกคามในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากการเป็นอันธพาลตัวเล็ก ๆ มาเป็นมาเฟีย จนในที่สุดก็ได้เป็น ‘ราชาแห่งสลัม’

Yadav ปกครองกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมสลัม Kasturba Nagar ด้วยการ ปล้น ทรมาน และฆ่าผู้คนโดยไม่ต้องรับโทษ Yadav ก่ออาชญากรรมเป็นเวลาหลายปีด้วยการสร้างอาณาจักรธุรกิจมืดขนาดเล็ก เขาและสมาชิกแก๊งมักคุกคามและข่มขู่ผู้คนเพื่อกรรโชกทรัพย์ และการขู่กรรโชก รีดไถ รีดไถเงิน ทำร้าย และข่มขู่ผู้ที่ต่อต้านเขา จนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของ Yadav และสมุน ซึ่งมักจะทำร้ายผู้คนหากพวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้แก่เขา

ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะอาชญากร Yadav ได้สังหารบุคคลอย่างน้อย 3 คน ได้ทรมานและลักพาตัวผู้คน บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้คน และข่มขืนหญิงสาวและเด็กผู้หญิงนับร้อยคน หรือหากพวกเขาทำให้ Yadav โกรธในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็จะขู่ว่า จะข่มขืนใครก็ตามที่ต่อต้านเขาเป็นพิเศษ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหยื่อข่มขืนของ Yadav จำนวนมากคือ ชาวทลิตซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบาก จากความอยุติธรรมสำหรับคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดย Akku Yadav ได้ติดสินบนเพื่อจูงใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นจะปกป้องเขา Yadav ยังคงทำร้ายผู้หญิงต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการกระทำที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนเลย แม้ว่าเหยื่อจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะถูกข่มขู่ และ Yadav ก็สามารถรอดพ้นจากการจับกุมได้เสมอ


‘Usha Narayane’ หญิงผู้กล้าหาญคนหนึ่ง รายงานพฤติการณ์และพฤติกรรมของ Yadav ต่อรองผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนาคปุระ ด้วยหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม แต่กลับมีข่าวที่ชี้ให้เห็นว่า Yadav อาจหลบหนีการลงโทษได้อีกครั้ง วันที่ 6 สิงหาคม 2004 ฝูงชนก็พากันไปที่บ้านของ Yadav แล้วเผาบ้านทิ้ง จนทำให้ Yadav ต้องรีบไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความคุ้มครอง หลังจากที่ตำรวจจับกุม Yadav เพื่อปกป้องตัวเขาเอง ก็มีกำหนดการพิจารณาคดีของเขาในวันที่ 13 สิงหาคม 2004 ในศาลแขวง Nagpur ของอินเดีย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วละแวกใกล้เคียง ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางแผนที่จะควบคุมตัวเขาไว้ จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้วจึงจะปล่อยตัวเขาไป


วันที่ 13 สิงหาคม 2004 เมื่อการพิจารณาคดีเกิดขึ้นในศาลแขวงนาคปุระหมายเลข 7 ในใจกลางเมืองนาคปุระ ห่างออกไปจากสลัม Kasturba Nagar หลายกิโลเมตร มีผู้หญิงหลายร้อยคนเดินขบวนจากสลัมไปยังศาลโดยถือมีดหันผักและพริกป่น เดินเข้าไปในห้องพิจารณาคดี และนั่งเก้าอี้แถวหน้า Yadav เดินเข้าสู่ศาลอย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น

เวลาประมาณ 14.30-15.00 น. เมื่อ Yadav ปรากฏตัว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาข่มขืน Yadav ก็แสดงท่าทีเยาะเย้ยเธอ แล้วเรียกเธอว่า ‘โสเภณี’ และบอกว่าเขาจะข่มขืนเธออีกครั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันหัวเราะ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เอารองเท้าของเธอตี Yadav เข้าที่ศีรษะ เธอบอก Yadav ว่าเธอจะฆ่าเขา หรือไม่เขาก็จะต้องฆ่าเธอ โดยพูดว่า “เราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นฉัน ก็ต้องเป็นตัวแกเอง” และผลการพิจารณาคดีคือ ‘การยกฟ้อง Yadav’


จากนั้น Yadav ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที่ โดยกลุ่มผู้หญิงหลายร้อยคนที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพิจารณาคดี เขาถูกแทงไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง พริกป่นและก้อนหินถูกปาใส่หน้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ก็ถูกปาพริกป่นใส่หน้าด้วย บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพากันตกใจกลัวจึงรีบหนีไปจนหมดในทันที หนึ่งในเหยื่อของเขายังตัดอวัยวะเพศของเขาจนขาดด้วย

การรุมประชาทัณฑ์เกิดขึ้นบนพื้นหินอ่อนของห้องพิจารณาคดี ขณะที่เขาเริ่มถูกประชาทัณฑ์ Yadav ซึ่งถูกผงพริกปาใส่หน้าก็ตกใจกลัวมากและตะโกนขึ้นว่า “ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก!!” พวกผู้หญิงส่งมีดต่อกันไปรอบ ๆ เพื่อผลัดกันแทงเขา ผู้หญิงแต่ละคนตกลงที่จะแทง Yadav อย่างน้อยคนละ 1 แผล เลือดของเขานองอยู่บนพื้นและกระเซ็นไปทั่วผนังห้องพิจารณาคดี ภายใน 15 นาที Yadav วัย 32 ปี ก็ถึงแก่ความตาย หลังการชันสูตรพลิกศพพบว่า กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ยังคงทำร้ายศพของเขาต่อ


กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นอ้างว่า การฆาตกรรมนั้นไม่ได้วางแผนไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่เคยมีการประชุมพูดคุยอย่างเป็นทางการใด ๆ แต่เป็นการบอกปากต่อปาก ว่าเราจะต้องจัดการร่วมกัน” และอวัยวะเพศของเขาก็ถูกตัดออก ผู้หญิงทุกคนอ้างว่าจะรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมนี้ และถึงแม้บางคนจะถูกจับกุม แต่ในที่สุดพวกเขาก็พ้นผิด แม้ว่าผู้หญิงหลายร้อยคนจะมีส่วนร่วมในการรุมประชาทัณฑ์

Usha Narayane และคนอื่นๆ ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ต่อมาได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากขาดหลักฐาน ผู้พิพากษา ‘Bhau Vahane’ ยอมรับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ผู้หญิงต้องเผชิญ และความล้มเหลวของตำรวจในการปกป้องพวกเธอ

การตายของ Akku Yadav กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวการแก้แค้นที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย และมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Netflix ในชื่อ ‘Murder In a court room’

'CEO สาว' ฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ดับอนาคตธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของตนลงในชั่วข้ามคืน

กลายเป็นข่าวสะเทือนใจแวดวงธุรกิจดาวรุ่งอินเดียทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐกัว เมืองชายฝั่งทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ได้จับกุม นาง สุชนา เศรษฐ์ (Suchana Seth) CEO หญิงวัย 39 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัท Mindful AI Lab หนึ่งในธุรกิจ Start-up อนาคตไกลของอินเดีย ด้วยข้อหาฆาตกรรมลูกชายวัย 4 ขวบของตัวเองแล้วแพ็กศพใส่กระเป๋าเดินทาง ขณะกำลังเดินทางออกจากรัฐกัว มุ่งหน้ากลับเมืองบังคาลอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา 

ก่อนหน้านี้ สุชนา เศรษฐ์ เดินทางมารัฐกัว พร้อมลูกชาย เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม และได้เข้าพักในอพาร์ตเมนต์หรูแห่งหนึ่งในเมืองแคนโดลิม สถานที่ตากอากาศริมทะเลชื่อดังทางตอนเหนือของรัฐกัว และได้เช็คเอาท์ออกในวันจันทร์ที่ 8 มกราคมตั้งแต่เช้าตรู่ โดยเธอได้จ้างรถแท็กซี่ให้ขับรถจากรัฐกัว ไปส่งเธอที่เมืองบังคาลอร์ ในรัฐกรณาฏกะ ที่มีระยะทางไกลถึง 600 กิโลเมตร 

หลังจากที่นาง สุชนา ออกจากที่พักไปแล้ว ก็มีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องพักของเธอ และได้พบคราบเลือดติดอยู่ จึงได้โทรแจ้งผู้จัดการโรงแรม ที่ได้โทรแจ้งตำรวจในทันที ทำให้สามารถติดตามตัวนาง สุชนา เศรษฐ์ ได้อย่างทันท่วงทีขณะมุ่งหน้าไปยังเมืองบังกาลอร์ พร้อมศพลูกชายวัย 4 ขวบถูกแพ็กอยู่ในกระเป๋าเดินทางของเธอด้วย จึงเป็นหลักฐานที่ทางตำรวจตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนักธุรกิจสาวรายนี้

ตอนนี้ ทางตำรวจยังไม่ทราบเหตุจูงใจที่นางสุชนา ลงมือฆาตกรรมลูกชายตัวเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับสามี ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เธอลงมือก่อเหตุสะเทือนใจในครั้งนี้ 

และเมื่อตรวจสอบประวัติส่วนตัวของนาง สุชนา เศรษฐ์  ก็พบว่าเธอมีประสบการณ์ทำงานที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เบื้องต้น เธอจบปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยโกลกาตา ในสาขาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยมอันดับ 1 นอกจากนี้เธอยังศึกษาด้านสันสกฤตศึกษา จากสถาบันวัฒนธรรมรามกฤษณะจนได้ถึงระดับอนุปริญญามหาบัณฑิตระดับเกียรตินิยมเช่นกัน  

หลังจากนั้น เธอมีโอกาสไปทำงานที่ Berkman Klein Center ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์ และได้ดูแลด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลของปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องด้วยความรับผิดชอบ ก่อนที่จะกลับมาตั้งบริษัท Mindful AI Lab ของตัวเองที่เมืองบังกาลอร์ ในปี 2020 ที่ได้นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ประมวลผลข้อมูลเพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์ด้านราคาสินค้าต่างๆ อย่างชาญฉลาด 

และทำให้ นาง สุชนา เศรษฐ์ ติดอยู่ในรายชื่อ 100 นักพัฒนา AI ดาวรุ่งหญิงประจำปี 2021 มาแล้ว 

แต่สุดท้าย อนาคตเจ้าของธุรกิจ Startup ดาวรุ่งของเธอกลับต้องจบลงด้วยคดีฆาตกรรมลูกชายตัวเองอย่างน่าสลด ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่ววงการ AI ในขณะนี้ 

ซึ่งชาวเน็ตยังพบว่า ภาพสุดท้ายที่โพสต์ใน Instagram ส่วนตัวของนางสุชนา ก็คือภาพของลูกชายวัย 4 ขวบของเธอนั่นเอง พร้อมแฮชแท็กปริศนา #whatwillhappen จึงทำให้หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่า มีอะไรอยู่ในความคิดของนักธุรกิจสาวผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์คนนี้ ขณะที่เธอจับร่างไร้วิญญาณของลูกชายใส่กระเป๋าเดินทางกลับบ้านเกิด 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

เปิดช่วงเวลา 6 เวียดนามดับ หลังถูกวางยาพิษคาโรงแรมดังกลางกรุงฯ พบเสียชีวิตมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ

(17 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวเปิดเผยไทม์ไลน์ของ 6 นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามที่ถูกวางยาพิษดับในโรงแรมดังกลางกรุงฯ ของวันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้...

- 10:14:13 น. เด็กรับผ้าเดินเข้าห้อง
- 10:15:37 น. เด็กรับผ้าออกมาจากห้อง
- 11:20.31 น. มีเด็กรับผ้าเอาเสื้อคลุมมาส่ง
- 11:20:54 น. เด็กรับผ้าเดินกลับมาจากบริเวณหน้าห้อง
- 12:00:36 น. Mr. Tran dinh phu เดินออกมาจาก ถือถุงพลาสติกสีขาว
- 13:01:09 น. พนักงานทำความสะอาด เดินออกจากห้องติดกัน แล้วเข้าห้อง (ที่เกิดเหตุ)
- 13:13:04 น.พนักงานทำความสะอาดเอาผ้าปูที่นอนออกมาจากห้องที่เกิดเหตุ
- 13:15:57 น. พนักงานทำความสะอาดถือผ้าปู เข้าห้องที่เกิดเหตุ
- 13:29:20 น. พนักงานทำความสะอาดเดินออกจากห้องที่เกิดเหตุ
- 13:30:44 น. พนักงานทำความสะอาดถือผ้าเข้าห้องที่เกิดเหตุ
- 13:36:19 น. พนักงานทำความสะอาดถือจานผลไม้ออกมาจากห้อง
- 13:37:39 น. พนักงานทำความสะอาดถือจานผลไม้เข้าไป
- 13:40:25 น. พนักงานทำความสะอาดเดินออกมาห้อง พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด
- 13:52:44 น. Room service มารอหน้าห้อง 2 คน
- 13:53:36 น. Room service นำอาหารมาเสิร์ฟ 3 ถัง
- 13:58:18 น. Room service ออกจากห้อง
- 14:04:33 น. Mrs. Thi nguyen phuong ถือลากกระเป๋าเดินทางสีชมพูเดินเข้าไป
- 14:05:26 น. MR. Pham hong thanh สวมเสื้อกางเกงขาว ลากกระเป๋าเดินทางสีดำ เดินเข้าห้อง
- 14:09:41 น. Mrs. Thi nguyen thuong lan สวมเสื้อสีชมพู ลากกระเป๋าเดินทางสีชมพูเดินเข้าห้อง
- 14:09:56 น. Mr. Hung dang van สะพายกระเป๋าสีดำแดง มือซ้ายถือกระเป๋าดำ มือขวาถือกระเป๋าเทา เดินเข้าห้อง
- 14:11:29 น. Mrs.sherine chong/Mrs. Thi nguyen/Mr. Hong pham thanh/ Mr. Hung dang van เดินออกมาจากห้อง

📌*****(Mrs. Thi nguyen phuong lan อยู่ห้องคนเดียว)

- 14:13:38 น. Mr. Hung dang van เดินกลับเข้าห้องที่เกิดเหตุ
- 14:14:20 น. Mr. Hung dang van เดินออกมาจากห้อง
- 14:15:04 น. Mr. Hung dang van เดินกลับมาที่ห้องถือถุงพลาสติก / Mr. Dinh tran phu ลากกระเป๋าเดินทางสีดำเดินตามมา แล้วส่งกระเป๋าเดินทางให้ Mr.Hung ดันกระเป๋าเดินทางเข้าห้อง และทั้งสองเดินออกมา
- 14:17:43 น. Mr. Hung เดินกลับเข้าห้อง
- 14:17:51 น. เริ่มทยอยเดินเข้าห้อง 502 ที่เกิดเหตุ โดย Mr.Dint/Mrs.sherine/Mrs. Thi nguyen/Mr. Hong Pham
- 14:17:52 น. ทุกคนอยู่ภายในห้อง

ส่วนช่วงเวลาการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่คาดว่าชาวเวียดนามเสียชีวิตหลัง 13.53 น. ของวันที่ 15 ก.ค.  เพราะเมนูอาหารที่สั่งเป็นอาหารจานเดียว 6 จาน วางอยู่ห้องรับแขก แต่อาหารที่ Room service นำมาเสิร์ฟยังไม่ได้ถูกรับประทาน แต่มีเครื่องดื่มประเภทชากาแฟ จำนวน 6 ถ้วย ซึ่งมีเศษตกค้างอยู่บริเวณก้นถ้วย และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เก็บไปตรวจสอบแล้ว โดยจำนวนถ้วยกาแฟตรงกับผู้เสียชีวิต 6 คน ทั้งนี้ เบื้องต้นไม่พบร่องรอยของการต่อสู้ หรือขัดขืนใดๆ

ภัยคุกคามไทย ใต้เงื้อมมือพรรค 'กลิ้งกลอก-หลอกเด็ก-ย้อนแย้ง' อันตรายเหนือภัยอื่นจาก 'ก๊วนนักการเมืองสายล้มล้างสถาบัน'

ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทยจนอายุแตะเลข 5 ยังไม่เคยเจอนักการเมืองที่กล้าเปิดหน้าเป็นปฏิปักษ์ และเดินหน้ากระทำชั่วช้ากับสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักของคนไทยได้เท่ากับนักการเมืองของพรรคสีส้มเลย 

อดีตที่ผ่านมา ถ้าจะมีนักการเมืองสักคนแหลมออกมาในทางดูหมิ่นสถาบัน ก็มักจะเป็นไปในเชิงไม่ตั้งใจ พลั้งเผลอ ไม่รอบคอบในคำพูด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนานทีจะโผล่มาให้เห็นแค่คนสองคนก็หายเงียบไปนานจนลืม แต่จะไม่มีการแสดงออกในทางถ่อย ลามปาม จาบจ้วง หรือจริงจังถึงขั้นร่วมสมคบคิดกับต่างชาติหวังล้มล้างการปกครองไทย และเมื่อถูกจับได้ถึงขึ้นโรงขึ้นศาลจนโดนคดี 112 ก็จะพลิกลิ้น ตลบตะแลงว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นหาใช่การคิดไม่ดีกับสถาบัน แต่เพื่อเจตนาดี หวังให้สถาบันไปได้ดีกับความเป็นอยู่ของคนไทย 

คงมีแต่สมองในระดับ 'เกินควาย' เท่านั้นที่ยังเชื่อฝังชีพ บอดสนิททั้งสายตายันหัวใจ 

ทุกการกระทำของพรรคสีส้ม ซึ่งเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิงระอุในขุมนรก ไม่เคยกล้าหาญยอมรับต่อการกระทำของตัวเองแบบแมน ๆ สักครั้งเดียว เป็นต้องดิ้นหลบเร้นให้ตัวเองดูดีราวกับว่าประชาชน 'นอก 14 ล้านเสียง' ที่ไม่ได้เขลา บาป และหลงของใหม่นั้นกินหญ้าแทนข้าว การกระทำย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำกันเป็นขบวนการหวังล้มล้างสถาบันกษัตริย์ฉายภาพความน่ารังเกียจ ปนความชั่วช้าที่ซุกซ่อนอยู่ในใจจนหมดสิ้น 

ถ้าจะต้องถูกศาลสั่งยุบพรรค เพราะการกระทำเลว ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถึงไม่ถูกยุบพรรคด้วยเหตุผลของศาล ก็ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองที่กระหายการล้มล้างการปกครองเช่นนี้จะหลุดรอด 'ภาพลักษณ์เลว ๆ' นี้ไปได้เลย

คนไทยที่ไม่กตัญญูต่อสถาบันกษัตริย์ ผมพอจะเข้าใจได้ แต่คนไทยที่ถึงขนาดคิดล้มล้างการปกครองสถาบันกษัตริย์ ก็คือ คนไทยที่เนรคุณต่อแผ่นดินชาติของตัวเอง

เจองูพิษ เจอตำรวจชั่ว และเจอโจร พร้อม ๆ กับเจอนักการเมืองที่อกตัญญูต่อสถาบัน บางคนอาจจะเลือกตีงูพิษ ต่อยตำรวจชั่ว หรือกระทืบโจรก็ตามแต่ 

แต่สำหรับผมไม่มีสิ่งใดจะน่ารังเกียจและเป็นอันตรายไปกว่า...'นักการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน'

คนจำพวกนี้อยู่ไปก็รกแผ่นดิน

‘ตำรวจ’ บุกรวบ ‘หนุ่มเมียนมา’ ฆ่าคนขับแท็กซี่ จ.สมุทรปราการ พบเสื้อเปื้อนเลือด-โทรศัพท์-รถของผู้ตาย เบื้องต้นให้การปฏิเสธ

(28 ส.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตถูกนำมาทิ้งหมกภายในพงหญ้าริมบ่อปลา หมู่ที่ 7 ซอยข้างโรงพยาบาลรามาธิบดี สมุทรปราการ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงประสานชุดสืบสวน แพทย์นิติเวช รพ.รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ กองพิสูจน์หลักฐานจังหวัด พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิต เป็นชาย 1 ราย ไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50-60 ปี สวมเสื้อโปโลสีเทา กางเกงขายาวสีครีม สวมรองเท้าแตะหูหนีบ มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกพันธนาการด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวมือไขว้หลัง ที่ศีรษะมีบาดแผลขนาดใหญ่จนกะโหลกแตก จากการโดนของแข็ง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ซึ่งเป็นชายชาวเมียนมา ทราบชื่อคือนายมอง จอ มิน หรือนายซัน อายุ 42 ปี จับได้ที่เพิงพักใกล้เคียงหมู่บ้านบัวทองธานี ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง โดยพบแท็กซี่สีเหลือง-เขียว ของผู้ตาย และโทรศัพท์มือถืออยู่ในเพิงพัก

โดยนายซัน ปฏิเสธข้อกล่าวหา บอกว่าตนไม่ได้ก่อเหตุ ไม่ได้เดินทางไปที่เกิดเหตุเลย และไม่ได้ก่อเหตุฆ่าใคร พอทีมข่าวบอกว่าแล้วรถแท็กซี่มาได้อย่างไรก็ไม่สามารถตอบได้ ทีมข่าวได้บอกว่าพี่เอาเขาไปถ่วงน้ำทำไม ยังทำท่าตกใจ หันมาบอกทีมข่าวว่าไม่ได้ทำ นอกจากนี้ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของพื้นที่ ก็บอกว่าชายคนดังกล่าวนั้นมาพักอยู่ที่นี่ได้ 1 สัปดาห์แล้ว

ต่อมาทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนายซัน ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม คนขับรถชายแท็กซี่​ที่พื้นที่​บางพลี​ จังหวัดสมุทรปราการ​ ตอนแรกนายซันบ่ายเบี่ยงบอกว่าตนเองไม่ได้ขับรถแท็กซี่ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ยอมเปิดปากว่ามีคนบอกให้ตนเองไปขับรถแท็กซี่ เพื่อนำมาซ่อมทำสี​ และยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย​ จู่ ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาจับและนักข่าวก็มาถ่ายภาพตนทำไม​​

ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับชุดจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง และชุดสืบภาค 1​ ทราบข้อมูลว่า เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ ย่านหมู่บ้านบัวทองธานี ภายในซอยตลาดนัดบังยา​ ​ต.บางบัวทอง​  อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี​ พอมาถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นรถแท็กซี่ของผู้ตายจอดอยู่สุดซอย ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนทุบ หลังคาบ้าน ห่างจากรถที่จอดประมาณ 20 เมตร จึงรวมพลมายังบ้านหลังดังกล่าว ก็พบชายต้องสงสัย ลักษณะคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่สมุทรปราการแจ้งมา ว่าเป็นชาวต่างชาติผิวคล้ำ รูปร่างสูงผอม 

จึงเข้าจับกุมได้ภายในบ้านหลังดังกล่าว ทราบภายหลังว่าเป็นบ้านพักของญาติ โดยชายคนดังกล่าว ได้นำกุญแจรถแท็กซี่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยอมรับเพียงว่าตนเป็นคนขับรถแท็กซี่มา แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุฆาตกรรม​ ชุดจับกุมจึงทำการค้น บ้านพักชายคนดังกล่าว​ ทราบว่าเป็นชาวเมียนมา ชื่อว่านายซัน​ จากนั้นพอเข้าไปค้นภายในบ้านก็พบเสื้อสีขาว ลักษณะเปื้อนเลือดฉีกขาด มีร่องรอยต่อสู้ พบกางเกงเปื้อนโคลน และพบโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ภายในบ้านพัก​ ซึ่งได้ให้ชุดพิสูจน์หลักฐาน เก็บร่องรอยคราบ เลือดเพื่อทำการพิสูจน์ต่อไป

เบื้องต้น หลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง พบว่าบริเวณท้ายรถมีเชือกไนล่อนสีเขียว ลักษณะเดียวกันกับที่คนร้ายใช้มัดมือผู้เสียชีวิต จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะนำรถคันดังกล่าว ไปที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top