Tuesday, 22 April 2025
คุณครู

ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลโดนไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘หวัง’ ครูใหญ่ประจำโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในนครฉงชิ่ง ยื่นฟ้องศาลหลังจากที่เธอถูกไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 ก.ย.2023 ซึ่งถือเป็นวันครูของจีน โดยตามธรรมเนียมเด็ก ๆ มักจะมีการส่งของขวัญ หรือการ์ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อฉลองวันครู เช่นเดียวกับหวังที่ได้รับช็อกโกแลต มูลค่าประมาณ 6.16 หยวน (ประมาณ 30.8 บาท) จากนักเรียน

รายงานระบุว่า ต่อมา หวังได้นำช็อกโกแลตดังกล่าวไปแบ่งให้เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนกลับไล่เธอออก โดยให้เหตุผลว่า เธอรับของขวัญจากนักเรียน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุไว้ว่า “ห้ามครูร้องขอ หรือรับของขวัญ หรือเงินจากนักเรียน หรือผู้ปกครองไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม”

ด้านหวังที่รู้สึกไม่เป็นธรรมและไม่เห็นด้วย จึงยื่นฟ้องต่อศาลประชาชนเขตจิ่วหลงโพ โดยในการพิจารณาครั้งแรก ทางโรงเรียนชี้แจงว่า การรับของขวัญไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด ก็ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งยังสร้างความเสื่อมเสียให้ทางโรงเรียน

ต่อมาในช่วงเดือน มี.ค. ศาลได้มีคำสั่งตัดสินว่า การที่โรงเรียนอนุบาลไล่หวังออกนั้นผิดกฎหมาย และสั่งให้จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากช็อกโกแลตที่หวังรับมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงความรักและความเคารพของนักเรียนที่มีต่อครู ดังนั้น การรับช็อกโกแลตจึงไม่ควรถือว่าเป็นการรับของขวัญ

ภายหลังโรงเรียนอนุบาลได้มีการยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจะมีคำสั่งตัดสินโดยยืนยันตามคำตัดสินเดิม

เรื่องราวการถูกไล่ออกของหวังกลายเป็นกระแสบนโซเชียล โดยมีผู้เข้าชมบนติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนกว่า 7.2 ล้านครั้ง พร้อมคอมเมนต์ เช่น “น่าขันสิ้นดี! เธอถูกไล่ออกเพราะรับของขวัญมูลค่าเพียง 6 หยวน?” / “ในฐานะครู ฉันรู้สึกผิดหวัง บทลงโทษนั้นร้ายแรงมาก”

‘ครูไทย’ แบกภาระ ‘งานอื่น’ มากกว่า ‘การสอนในห้องเรียน’ กระทบ ‘คุณภาพการศึกษาไทย’ โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องรีบแก้

การพัฒนาคุณภาพครูเป็นภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามาทุกยุค ทุกสมัย เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพของประชาชนในประเทศ และเป็นกระดุมเม็ดแรกในการแก้ไขปัญหา ‘โง่ จน เจ็บ’ ที่เป็นปัญหาคาราคาซังฝังรากลึกของสังคมไทยเสมอมา

แม้ในนโยบายคณะรัฐมนตรีที่นำโดย ‘นางสาวแพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบัน จะไม่ได้กล่าวถึง ‘การพัฒนาคุณภาพครู’ โดยตรง แต่การแถลงนโยบายมีส่วนที่พูดถึงปัญหาของการพัฒนาคุณภาพประชาชนชาวไทยไว้อย่างตรงประเด็นว่า…

“คุณภาพและทักษะแรงงานของไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ เยาวชนและประชากรวัยแรงงานที่มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐานต่ำกว่าเกณฑ์ถึงร้อยละ 64.7 คะแนนวัดผล PISA ของเด็กไทยต่ำสุดในรอบ 20 ปีในทุกทักษะ”

แต่ก็มีชุดนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาติดตามมาเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งงานของรัฐบาลจะสำเร็จได้ต้องอาศัยกลไกที่สำคัญคือ ครู ที่เป็นกระดุมเม็ดแรก

>>แล้วขณะนี้ ‘ครู’ มีปัญหาในด้านการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง?

ในการสำรวจกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของครู โดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ระบุว่า…ครูต้องใช้เวลากับกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การจัดการเรียนการสอนเฉพาะวันธรรมดาถึง 84 วัน หรือคิดเป็น 42% จากการสำรวจนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ทำให้การพัฒนาการเรียนการสอนเป็นไปด้วยความยากลำบาก 

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหนึ่งงานวิจัย คือ การวิเคราะห์ผลของการใช้เวลาในการปฏิบัติภาระงานสอนที่มีต่อประสิทธิภาพการสอนของครูในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย ผศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง และนางสาวพรทิพย์ ทับทิมทอง โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อุปสรรคของการทำหน้าที่ครูมาจาก 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 

1. ภาระหนักนอกเหนือจากการสอน 
2. จำนวนครูไม่เพียงพอ ต้องทำการสอนที่ไม่ตรงกับวุฒิ 
3. ขาดทักษะด้านไอซีที 
4. ครูรุ่นใหม่ขาดจิตวิญญาณ ขณะที่ครูรุ่นเก่าไม่ปรับตัว 
5. ครูสอนหนักส่งผลให้เด็กเรียนมากขึ้น
6. ขาดอิสระในการจัดการเรียนการสอน 

จะเห็นได้ว่าปัญหาที่มาเป็นอันดับหนึ่ง คือ ครูมีภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอนหนักไป โดยภาระงานส่วนนี้มีทั้งการทำธุรการต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมรับการประเมินที่มีจำนวนมาก ตลอดจนการทำหน้าที่อื่น ๆ ควบคู่กับการสอนหนังสือ 

>>แล้วครูไทยจะหลุดพ้นจากปัญหา ‘ใช้เวลานอกห้องเรียนเยอะเกินไป’ ได้อย่างไร 

สำหรับประเด็นนี้ จุไรรัตน์ สุดรุ่ง และผัสสพรรณ ถนอมพงษ์ชาติ ได้ระบุไว้ในหัวข้อ ‘การพัฒนาครู : แก้ปัญหาให้ตรงจุด Teacher Development: Solution to the Point’ โดยเสนอแนวทางแก้ปัญหาไว้ 6 ข้อดังนี้

1. คืนครูสู่ห้องเรียน ให้ครูมีหน้าที่สอน ดูแลพัฒนานักเรียนเพียงอย่างเดียว รับผิดชอบนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ซ่อมเสริมนักเรียนที่มีปัญหาให้มีพัฒนาการที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม 

2. ให้มีฝ่ายบุคลากรสนับสนุนการศึกษาที่ทำหน้าที่ธุรการ การเงิน พัสดุหรืองานสนับสนุนฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งงานแผนงาน งานประกันคุณภาพภายในโรงเรียน และควรกำหนดมาตรฐานวิชาชีพให้เขาได้มีความก้าวหน้าในสายงานที่ปฏิบัติที่แตกต่างไปจากมาตรฐานวิชาชีพครู

3. กำหนดนโยบายให้โรงเรียนจัดการนิเทศภายในอย่างชัดเจนเป็นระบบ มีการกำกับติดตามและประเมินจากหน่วยงานภายนอก

4. กำหนดให้ครูต้องสอบวัตประเมินความรู้ทั้งด้านเนื้อหาวิชาที่สอน วิธีการสอบทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีทุก 3 ปี

5. จัดตั้งศูนย์การพัฒนาครูในเขตพื้นที่การศึกษา มอบหมายให้หน่วยศึกษานิเทศก์เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ กำกับติดตามโดยสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน

6. กำหนดให้มีการประเมินการจัดการเรียนการสอนของครูทุกสิ้นปีการศึกษา โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูต้องนำผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้เห็นผลในเชิงประจักษ์

และแน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการคืนครูให้นักเรียน คือ นโยบายต้องชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเมืองในแต่ละยุค มีมาสเตอร์แพลนที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้ว ‘การคืนครูให้นักเรียน’ จะยังคงเป็นภาพฝันในจินตนาการไปอีกนานเท่านาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top