Wednesday, 23 April 2025
คนต่างด้าว

ก.แรงงาน เยี่ยมสถานประกอบการ จ.ลพบุรี มุ่งคุ้มครองสิทธิ – สวัสดิการแรงงานได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม

วันที่ 21 มีนาคม 2566 เวลา 13.30 น. นางโสภา เกียรตินิรชา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่จ้างคนต่างด้าวทำงาน เพื่อตรวจคุ้มครองดูแลสิทธิแรงงานของลูกจ้างแรงงานต่างด้าวให้ได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย โดยมี นายนฺสิทธิ์ ตันติบูล ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท วี สถาปัตย์ จำกัด (สำนักงานใหญ่) นางวันทนา ณัฐพูลวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดลพบุรี ให้การต้อนรับ ณ บริษัท วี สถาปัตย์ จำกัด สถานประกอบการประเภทก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่ (แคมป์ก่อสร้าง) ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เลขที่ 321 ถนนนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุมศร อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี (การก่อสร้างอาคารศูนย์กีฬาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ) มีลูกจ้างทั้งสิ้น 46 คน เป็นแรงงานไทย 35 คน แรงงานต่างด้าว 11 คน สัญชาติเมียนมา 8 คน สัญชาติลาว 3 คน

นางโสภาฯ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนชาวไทย การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองเบื้องต้นการบังคับใช้แรงงาน หรือบริการและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว ตามมาตรฐานการปฏิบัติงานการตรวจคัดกรอง (SOP) รบ.1 ให้เป็นไปตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในแรงงานต่างด้าว รวมทั้งเพื่อตรวจติดตามการรายงานผลการตรวจคัดกรองเบื้องต้นจากการใช้มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ แบบ รบ.1 เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจะเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตาม NRM ตลอดจนรับทราบปัญหาอุปสรรค กระบวนการ วิธีการตรวจคุ้มครองแรงงาน และการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อแสวงหาข้อบ่งชี้สำหรับบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยได้ว่าอาจเป็นผู้เสียหายจากการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงาน

บก.สส.สตม. จับจีนใช้วีซ่านักท่องเที่ยวลักลอบทำงาน

ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้กองบังคับการในสังกัด ออกสืบสวนตรวจสอบจับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และเข้ามาลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย จากการสืบสวนของ กองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ทราบว่า  มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใน ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จว.ปราจีนบุรี จะมีคนต่างด้าวสัญชาติจีนเข้ามาทำงานภายในโครงการจำนวนหลายสิบคน จึงได้ประสานงานกับ ตม.จว. ปราจีนบุรี และ สภ.วังตะเคียน จว.ปราจีนบุรี ร่วมกันไปตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบคนจีนทำงานอยู่ภายในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าว จำนวน 35 คน จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางและข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

ตม.พบว่า คนจีนดังกล่าวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วยวีซ่า นักท่องเที่ยว จำนวน 32 คน วีซ่าคนอยู่ชั่วคราว 2 คน และ    คนประจำพาหนะ จำนวน 1 คน และพบว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (OVERSTAY) จำนวน 2 คน โดยทั้ง 35 คน ไม่มีใบอนุญาตทำงาน จึงแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.วังตะเคียน     จว.ปราจีนบุรี ดำเนินคดี ดังนี้

1. ข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จำนวน 33 คน
2. ข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน 2 คน

นอกจากนี้ ยังได้จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 9 คน ดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต

และได้เปรียบเทียบปรับเจ้าบ้านในข้อหา เจ้าบ้าน เจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถานซึ่งรับคน   ต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย ไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาที่คนต่างด้าวเข้าพักอาศัย จำนวน 3 ราย
เปรียบเทียบปรับคนต่างด้าวในข้อหา คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเกินเก้าสิบวัน ไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบถึงที่พักอาศัยของตนโดยมิชักช้าเมื่อครบระยะเก้าสิบวัน จำนวน 1 คน
 

'รมว.พิพัฒน์' กระชับความร่วมมือ ILO ลั่น!! คุ้มครองทุกต่างด้าว ส่วน 'ปัญหาค้ามนุษย์-แรงงานประมงผิด กม.' ไม่นิ่งเฉย

(25 ก.ย.66) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นางชิโฮะโกะ อาซาดะ มิยากาวะ (Ms.Chihoko Asada - Miyakawa) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานภายหลังเข้ารับตำแหน่ง และหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทยฉบับใหม่ (Decent Work Country Program : DWCP) ระยะที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570 โดยมี นายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน, นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน, นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานขอขอบคุณ ILO (International Labour Organization: องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ที่มาเยี่ยมและแสดงความยินดีที่ประเทศไทยได้รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และขอบคุณการสนับสนุนจาก ILO เป็นอย่างดีผ่านโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ที่นำนโยบายเศรษฐกิจ BCG มาเป็นแนวทางเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

โดยประเทศไทยพร้อมประกาศความมุ่งมั่นระดับประเทศเพื่อขับเคลื่อน SDGs รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ในส่วนของแรงงานต่างด้าว ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้กระทรวงแรงงานดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด 

"วันนี้เรามีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งแรงงานที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องและลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ก็จะต้องทำให้ถูกต้องมากที่สุด ส่วนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมายในประเทศนั้น เราได้บูรณาการความร่วมมือกับหลายกระทรวงอย่างต่อเนื่อง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, มหาดไทย, เกษตรและสหกรณ์, การต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานพร้อมสนับสนุนความร่วมมือในการผลักดันกฎหมายแรงงาน เพื่อมุ่งคุ้มครองดูแลแรงงานทุกสัญชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ ILO ต่อไป" รมว.แรงงาน กล่าว

ด้าน นางชิโฮะโกะ อาซาดะ มิยากาวะ (Ms.Chihoko Asada - Miyakawa) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขอขอบคุณและแสดงความยินดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ได้รับตำแหน่ง พร้อมยินดีที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับรัฐบาลและกระทรวงแรงงานในประเด็นการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและแรงงานกลุ่มต่างๆ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ รวมถึงความร่วมมือในการผลักดันโครงการความร่วมมือภายใต้แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าระหว่างสองหน่วยงานอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกด้วย

หนีไม่รอด! ผู้สั่งการขนคนต่างด้าวรายใหญ่โร่มอบตัว ตม.3 หลังถูกกดดันหนักจนหนีไปนอนป่า

วันนี้ (7 มี.ค.67) เวลา 10.00 น.ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผdก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์  ผกก.1 บก.สส.สตม.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

กก.สส.บก.ตม.3 จับกุมนายเจด (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 115-116/2567 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3  ได้ร่วมกันจับกุมคนไทย 3 คน ในข้อหา “ช่วยเหลือ ช่วยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้พ้นจากการจับกุม ขณะกำลังลักลอบพาคนต่างด้าวชาวกัมพูชาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย รวม 10 คน มาส่งที่บ่อปลาแห่งหนึ่งในเขต จว.สมุทรปราการ นำส่งพนักงานสอบสวนของ กก.สส.บก.ตม.3 ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ ตม.จว.สมุทรปราการ และ กก.สส.บก.ตม.3 ได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนขยายผล จนพบความเชื่อมโยงว่า นายเจด (นามสมมุติ) เป็นผู้สั่งการในการลักลอบขนคนทั้งสองคดีก่อนหน้านี้ และในระหว่างช่วงต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน บัญชีธนาคารของนายเจดมีเงินหมุนเวียนกว่า 150 ล้านบาท โดยมีการทำธุรกรรมพัวพันกับผู้ต้องหาในคดีก่อนหน้าถึงกว่า 1 พันครั้ง พนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 จึงขออนุมัติหมายจับ จำนวน 2 หมาย ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ และศาลได้อนุมัติตามคำขอ ในระหว่างติดตามจับกุมตัว ยังได้ปรากฏอีกว่า เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 18.20 น. ตม.จว.ฉะเชิงเทรา ได้พบเหตุลักลอบขนคนกัมพูชาในพื้นที่ โดยได้ควบคุมตัวคนต่างด้าวไม่มีเอกสารหนังสือเดินทางกว่า 20 คน แต่ผู้ขับรถที่มาขนคนได้หลบหนีไปก่อน ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า นายเจด คือ ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจึงระดมกำลังติดตามจับกุมตัว นายเจด มาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง 

ต่อมานายเจดได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 โดยนายเจดรับรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายจริง และที่มามอบตัว ก็เพราะ รู้สึกกดดันที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามตัวอย่างหนัก จนตัวเองต้องหนีไปนอนในป่าหลายวัน และสุดท้ายคงหนีไม่รอด จึงขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ จากการขยายผลเพิ่มเติม พบว่านายเจดนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในคดีอื่นอีก ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผบช.สตม. สั่งเข้ม ปราบปรามคนต่างด้าวลอบทำงานต้องห้าม แย่งอาชีพคนไทยย่านประตูน้ำ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบคนต่างด้าวผิดกฎหมาย 13 ราย

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. รับนโยบาย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะงานต้องห้ามหรือลักษณะแย่งอาชีพคนไทยซึ่ง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างและอยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่รับผิดชอบงานสืบสวน เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง 

ซึ่งเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด กก.สืบสวน บก.ตม.1 สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และ สน.พญาไท กว่า 20 นาย ประชุมวางแผนเพื่อเข้าตรวจสอบบุคคลต่างด้าวหลายสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เมียนมา ลาว และเวียดนาม ที่ลักลอบเร่ขายสินค้า และขายของหน้าร้าน ในลักษณะไม่มีนายจ้างเป็นคนไทยแต่เป็นการกระทำด้วยตนเอง อยู่บริเวณจุดต่างๆ ในย่านประตูน้ำ ใกล้โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตราชเทวี กทม. ซึ่งได้รับการร้องเรียนและแจ้งเบาะแสจากประชาชน ทั้งทางช่องทางสื่อกระแสหลัก และโซเชียลมีเดีย

กระทั่ง เวลาประมาณ 18.30 น. ของวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบตามจุดต่างๆ ตามที่ได้สำรวจเป้าหมายไว้ ระหว่างตรวจสอบกลุ่มคนต่างด้าว ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมาย และกลุ่มที่มีเอกสารถูกต้อง แต่ทำงาน ในลักษณะผิดเงื่อนไขหรืองานต้องห้ามโดยเฉพาะงานเร่ขายสินค้าและงานขายของหน้าร้าน  ปฏิบัติการดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ สามารถควบคุมตัวคนต่างด้าวไว้ได้จำนวนทั้งสิ้น 13 คน มาตรวจสอบจำแนกโดยละเอียดอีกครั้งโดยใช้รถบรรทุกควบคุมผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้เตรียมไว้  

ผลการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าส่วนใหญ่เป็น บุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 12 คน สัญชาติลาว 1 คน 

แบ่งเป็นความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” 5 คน และ ความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่จะกระทำได้ 8 คน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดี และผลักดันออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

อนึ่ง สตม.ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทุกท่านทราบว่า บุคคลต่างด้าวทุกสัญชาติที่เข้ามาในราชอาณาจักร นอกจากจะต้องเข้ามาตามช่องทางอนุญาตตามกฎหมายและได้รับการตรวจลงตราโดยถูกต้องแล้ว ยังมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งที่พักอาศัยต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองตามมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และหากประสงค์จะทำงานในประเทศไทยจะต้องดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีโทษปรับสูงสุดถึง 100,000 บาท ในส่วนของเจ้าของบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานยังมีหน้าที่ในการแจ้งต่อ สตม. เมื่อมีบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยในสถานที่ที่อยู่ในความดูแลของตน ซึ่ง สตม. จะมีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามคนต่างด้าวที่เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้หากผู้ใดให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ จะมีความผิดตามมาตรา 64 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง หมายเลขโทรศัพท์ 1178 จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

แฉ!! แผนระยะยาวต่างชาติเคลมไทย ชุบตัวต่างด้าว 'ให้สิทธิเลือกตั้ง-ครองที่ดิน'

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา 'ประชาไท' ในแพลตฟอร์ม X ได้ลงข่าวว่ามีแรงงานพม่าเรียกร้อง UN ESCAP ให้รับรองแรงงานข้ามชาติให้ได้บัตรชมพู โดยอ้างว่าเพื่อลดความซับซ้อนสำหรับแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและไม่มีพาสปอร์ตว่าเป็นพลเมืองชาวเมียนมา

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ให้รู้กันว่า ทำไมคนพวกนี้ถวิลหาขนาดนั้น แต่ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักก่อนว่า UN ESCAP คือหน่วยงานใด

UN ESCAP หรือชื่อภาษาไทยว่าคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติแห่งเอเชียและแปซิฟิก เป็นหนึ่งในห้าคณะกรรมการส่วนภูมิภาคของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ

ESCAP เป็นองค์กรบริหาร (Executing Agency) ที่เน้นดำเนินการในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคและประเด็นเกิดใหม่ที่สำคัญต่อภูมิภาค เช่น การขจัดความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน การจัดการกับภัยพิบัติ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ความเท่าเทียมกันทางเพศและการส่งเสริมบทบาทของสตรี ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ต่อมาเรามารู้จัก 'บัตรชมพู' กันดีกว่า

บัตรชมพู คือ บัตรประจำตัวคนที่ไม่มีสัญชาติไทย เป็นเอกสารทะเบียนราษฎร์ที่นายทะเบียนออกมหาดไทยให้กับต่างชาติทุกคนที่มีถิ่นพำนักที่ชัดเจนในประเทศไทย

ในกรณีการเรียกร้องขอบัตรชมพู โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายทะเบียน ว่าจะได้รับคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยมาอย่างไร ซึ่งในอดีตเนื่องจากในประเทศไทยมีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายจำนวนมากที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย ทำให้ในยุคของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีการอนุโลมคนต่างด้าวที่มีนายจ้างเป็นคนรับรองว่าเป็นลูกจ้างแต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาทำการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวให้ได้บัตรชมพูและทำระบบ MOU เพื่อจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเหล่านี้

แต่ด้วยความหละหลวมของระบบมหาดไทยของไทย ทำให้คนต่างด้าวหลายคนเมื่อบัตรหมดอายุแล้ว กลับไม่ไปต่อ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อเป็นคนใหม่ไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้ได้บัตรอีกรอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงเจ้าหน้าที่นายทะเบียนและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสัญชาติไม่มีข้อมูลหรืออะไรก็ไม่ทราบ ทำให้การออกบัตรชมพูทำได้ง่าย และส่งผลให้ 1 ชีวิตของชาวเมียนมามีตัวตนมากกว่า 1

และนั่นทำให้ปัจจุบัน มีคนต่างด้าวรอบ ๆ ข้างไทยหนีเข้าเมืองกันมามากขึ้นทั้ง คนลาว, พม่า และกัมพูชา

การเรียกร้องเช่นนี้ย่อมเป็นการเปิดช่องให้คนกลุ่มที่เข้าเมืองแบบไม่ถูกต้องเข้ามาใช้ช่องทางบัตรชมพู แล้วก็ฟอกตัวเองให้มีงานทำ จากนั้นเมื่อมีลูกก็จะสามารถส่งลูกเรียนในไทยได้ จนเมื่อครบ 20 ปีบริบูรณ์ คนกลุ่มนี้ก็จะมีสิทธิ์ขอสัญชาติไทยได้ตามกฎหมายและสามารถครอบครองอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านหรือที่ดินได้อย่างสมบูรณ์

แน่นอนแผนการนี้คนระดับแรงงานย่อมคิดไม่ได้ หากไม่มีตัวการที่คอยส่งเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ให้แรงงานกลุ่มนี้ไปเป็นหุ่นเชิดเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ไม่ควรที่จะได้

ดังนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมากของกลุ่มคนไทยขายชาติที่ใช้กลุ่มคนเหล่านี้มาเป็นฐานเสียงในระยะยาว 

ก็ลองคิดดูละกันว่า เมื่อลูกหลานพวกเขามีสิทธิ์เลือกตั้ง จะเกิดอะไรขึ้น?

อย่างไม่นานมานี้ ในแพลตฟอร์ม X ก็เริ่มมีการแชร์ภาพเรียกร้องให้คนต่างด้าวมีสิทธิ์เลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งหากคิดเล่น ๆ เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องขำขัน แต่ในประเทศที่เจริญทางประชาธิปไตยอย่างในยุโรปหรืออเมริกา เขาไม่ขำและก็ไม่ได้ให้สิทธิ์คนต่างด้าวในประเทศเลือกตั้ง

ฉะนั้น หากคิดให้ดี นี่คือมะเร็งร้ายที่พยายามชี้นำบ่อนทำลายให้คนไทยมีความคิดที่บิดเบี้ยวโดยอาศัยสิ่งที่คนไทยเป็นมาตลอดคือ "คนไทยเป็นคนง่ายๆ... อะไรก็ได้ เราอะลุ่มอล่วย" 

วิเคราะห์!! ชัยชนะ 'ฟอกขาวต่างด้าว' กระบวนการสมคบคิดของคนบางกลุ่ม ถ้าหากสำเร็จ!! หนี้บุญคุณจะถูกตอบแทนจากต่างด้าวอีกหลายรุ่น

คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า วันนี้มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองบางกลุ่มร่วมมือกับ NGO และสื่อบางสื่ออย่างเป็นขบวนการ 'สมคบคิด' ที่จะผลักดันแผนฟอกขาวให้คนต่างชาติเข้ามามีสิทธิ์ในประเทศไทยโดยแลกกับคะแนนเสียงที่จะได้ในอนาคต  

โดยไม่นานมานี้ มีกลุ่มเรียกร้องทางการเมืองบางกลุ่มพยายามเคลื่อนไหวให้ต่างด้าวสามารถเลือกตั้งได้ ซึ่งหลังจากนั้นทาง กกต. ก็ได้ออกมาแถลงทันทีว่าต่างด้าวที่สามารถเลือกตั้งได้นั้น จะต้องผ่านการแปลงเป็นสัญชาติไทยหรือมีใบต่างด้าวเท่านั้น

ตรงนี้ถือเป็นการจุดประเด็นให้รู้ว่า หากเราต้องการให้ต่างชาติมาเลือกตั้งได้ ต้องมีข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ต่อมาคือ 'กระบวนการฟอกขาว' การที่กลุ่ม NGO บางกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองบางพรรค พยายามผลักดันให้เปิดศูนย์ CI เป็น 1 ในกระบวนการที่พยายามจะเอาคนต่างชาติบ้านใกล้เรือนเคียงประเทศไทยเข้ามาให้มากที่สุด โดยพยายามกดดันให้กระทรวงมหาดไทยรับรอง ด้วยการเปิดให้ต่างด้าวได้รับบัตรชมพูแบบไม่ได้สนใจว่า คนเหล่านั้นจะมีเอกสารถูกต้องหรือไม่ โดยอ้างเหตุผลในเรื่องลดความซ้ำซ้อนของแรงงาน 

แต่ก่อนอื่นทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า 'บัตรชมพู' เป็นความรับผิดชอบโดยกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงแรงงาน...

ดังนั้นการอ้างเรื่องแรงงาน จึงไม่ใช่เหตุผลจริงในการทำบัตรชมพู แต่การทำบัตรชมพูคือ 'การยอมรับว่ามีคนที่ไม่ใช่เป็นคนสัญชาติไทยชื่อนี้ อาศัยอยู่ในประเทศไทย' พูดง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นบัตรประชาชนของคนต่างชาติ 

หมายความว่า การได้มาของบัตรชมพู หากไม่ถูกต้องหรือปราศจากพาสปอร์ตที่ออกโดยฝั่งเมียนมาและการเก็บอัตลักษณ์เป็นลายนิ้วมือหรือม่านตาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นอย่างที่ เอย่า เคยกล่าวไปแล้วคือ...

- การเวียนว่ายตายเกิดของคนต่างด้าวคนนั้น กล่าวคือ 1 คนแต่มีบัตรชมพูหลายใบ โดยใช้ตัวสะกดต่างกันแค่อักษรบางคำ เอย่าจะยกตัวอย่างให้ดู เช่น นางอ่อนคำ มีบัตรชมพูใบที่ 1 ชื่อ Nang On Kham ในบัตรชมพูใบที่ 2 จะชื่อ Nann On Kham และบัตรชมพูใบที่ 3 จะชื่อ Nan Orn Kam เป็นต้น

- การเปลี่ยนสัญชาติ หลายคนกล่าวว่า การได้มาซึ่งสัญชาติไทยนั้นยากมาก แต่คนบางกลุ่มการได้มากลับไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะในการปฏิบัติกับทางกฎหมายที่ระบุมันต่างกัน เอย่าคิดว่าหากถามประเด็นนี้คงไม่ยาก ลองไปดูตามจังหวัดที่ติดชายแดนไทยจะทราบว่า หลายครอบครัวมีการได้มาซึ่งบัตรประชาชนอย่างไร อีกทั้งชาวเมียนมาบนโซเชียลหลายคนก็เคยพิมพ์บอกชาวเมียนมาด้วยกันว่า 'การได้สัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากมีเงินแสนก็สามารถมีสัญชาติไทยได้'

ปัจจุบันการขอสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากกฎหมายและระเบียบการขอสัญชาติไทยปี 2566 ระบุไว้ว่า ผู้ประสงค์จะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต้องมีคุณสมบัติดังนี้...

• บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายประเทศไทย (อายุ 20 ปี) และกฎหมายที่ผู้สมัครมีสัญชาติ

• ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย โดยมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร

• อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี จากวันที่ระบุไว้ในใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือทะเบียนราษฎร

• มีอาชีพสุจริต โดยมีใบอนุญาตทำงาน/หนังสือรับรองการประกอบอาชีพที่ออกโดยสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด โดยมีรายได้ขั้นต่ำดังนี้

• กรณีที่ผู้สมัครไม่มีความสัมพันธ์ใดกับประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 80,000 บาท/เดือน

• กรณีที่ผู้สมัครมีคามสัมพันธ์กับประเทศไทย เช่นแต่งงานกับชาวไทย หรือมีบุตรที่มีสัญชาติไทย หรือจบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจากสถาบันศึกษาในประเทศไทย จะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 40,000 บาท/เดือน

• มีหลักฐานการจ่ายภาษีเงินได้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี

• มีความประพฤติดี โดยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

• มีความรู้ด้านภาษาไทย สามารถร้องเพลงชาติไทย และเพลงสรรเสริญพระบารมีได้

ลองคิดดูว่า หากวันนี้เรามีการทำบัตรชมพูให้แรงงานเข้ามา แล้วแรงงานเหล่านั้น 'มีลูก' ภายใต้นโยบายของรัฐบาลล่าสุดที่ให้เรียนฟรี 15 ปี ไม่เก็บค่าใช้จ่าย ... เด็กทุกคนที่แค่อาศัยในประเทศไทยมีสิทธิและโอกาสศึกษาเข้าเรียนเสมอภาค ก็จะทำให้ลูกที่เกิดจากแรงงานเหล่านั้น สามารถเข้าเรียนในไทยได้และสามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งเลยทีเดียว ... สุดท้ายพอลูกของแรงงานอายุ 20 ปี พอดีกับมีองค์กรใด ๆ มาโอบอุ้มการขอสัญชาติไทย ก็คงจะไม่ยากเย็นเท่าไรนัก และหลังจากนั้นบุญคุณระยะยาวนี้ จะถูกตอบแทนกลับไปจากคนต่างด้าวเหล่านั้นอีกกี่รุ่น เอย่าคงไม่ขอบรรยายนะ...

อันที่จริง เอย่า ก็ไม่ได้ระบุว่า นี่จะเกิดเฉพาะแค่คนเมียนมาเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้หมดกับคนต่างด้าวที่อยากจะหนีความแร้นแค้นในประเทศตนเองมาหาโอกาสที่ดีกว่าในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส แต่โอกาสนั้นควรเป็นคนต่างด้าวหรือต่างชาติที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

มิฉะนั้น จะมีกรณีที่เกิดขึ้น ดังที่เคยเป็นข่าวที่ว่า นายจ้างชาวอิหร่านและภรรยาหญิงไทยถูกลูกจ้างชาวเมียนมาฆ่าตาย เสร็จแล้วลูกจ้างก็หนีไปมอบตัวว่าเข้าเมืองผิดกฎหมายให้ ตม. ไทยผลักดันกลับเมียนมา และสุดท้ายก็หนีไปอย่างลอยนวล 

เฉกเช่นเดียวกันกับคดีฆาตกรรมอดีตทูตไทยประจำกรุงโคเปนเฮเกน ที่คนร้ายก็เป็นชาวเมียนมา และเมื่อสังหารแล้วก็หลบหนีข้ามฝั่งไปยังเมียนมาอย่างลอยนวลยังจับไม่ได้จนทุกวันนี้

“เชียงราย”ตม.เชียงรายไล่ล่าระทึกจับกุมขบวนการขนแรงงานเถือนพม่าเข้าไทย”

ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตม.จว.เชียงราย ได้สืบทราบว่า นายปั่นติ๊ลุงจอยหรือตี๋ใหญ่กับพวก มีพฤติการณ์ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันพาคนต่างด้าวเข้าสู่พื้นที่ตอนในโดยใช้รถยนต์กระบะหลายคัน หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน จากการเฝ้าสังเกตุและจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบตรวจจับทะเบียนยานพาหนะ (LPR) ปรากฎข้อมูลยานพาหนะของกลุ่มขบวนการที่มีการใช้งานหมุนเวียนรับ-ส่ง คนต่างด้าว โดยมีการหมุนเวียนกันทำหน้าที่รับตัวคนต่างด้าวไปส่งยังจุดพักคอยและมีการนำคนต่างด้าวไปพำนักไว้ที่ ตั้งอยู่บ้านพักไม่ทราบเลขที่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองจ.เชียงราย ก่อนจะนำส่งไปยังพื้นที่ตอนใน โดย พล.ต.ท.อิทธิพล  อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.เกติ์ฉกาจ นิลประดับ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , สั่งการให้ทำการสืบสวนจับกุมเพื่อตัดตอนเครือข่ายขบวนการดังกล่าว

กระทั่งเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2567 เวลาประมาณ 05.00น. พ.ต.ท.มนตรี  อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.กฤษณ์ สมณาศักดิ์ สว.ตม.จว.เชียงราย บูรณาการร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยวเชียงราย ชุดสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 สกัดจับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อฟอร์ดสีดำทะเบียน จง-4043เชียงใหม่ โดยมีนายแขก ลุงปันอายุ33ปี เป็นผู้ขับขี่และ รถยนต์กระบะยี่ห้อรีโว่แคป สีขาวทะเบียน ยท-6515 จังหวัดเชียงใหม่มีนายจายเล็ก ไม่มีนามสกุล อายุ38ปีและรถยนต์นำต้นทางเป็นรถยนต์โตโยต้ารีโว สีดำ ทะเบียนยท-1575 เชียงใหม่ โดยมีนายปั่นติ๊ ลุงจอย อายุ51ปี ได้ที่บริเวณริมถนนบริเวณหลักทางหลวงสาย ๑๑๘  (เชียงราย-เชียงใหม่) บริเวณหลัก กม.๑๕๐ ช่องทางมุ่งหน้าจังหวัดเชียงใหม่ ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว จว.เชียงราย พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ทั้งสามคันซึ่งนั่งโดยสารอัดแน่นซ้อนทับกันบริเวณที่นั่งผู้โดยสารตอนหน้า และที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังรวมจำนวนทั้ง3คันรวม25คนโดยมีเด็กผู้ติดตาม2คน

โดยในการนำส่งในแต่ละครั้งจะเก็บค่าใช้จ่ายจากบุคคลต่างด้าวเป็นเงิน 7,000บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน โดยส่วนใหญ่ยอมรับว่าจะเข้าไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.อิทธิพล  อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. มีนโยบายให้หน่วย ตม.ทั่วประเทศบูรณาการการปฏิบัติในการสืบสวนจับกุมกลุ่มขบวนการลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมาย อย่างเข้มงวดและจริงจัง การจับกุมเครือข่าย นายยุรนันท์ ฯ ในครั้งนี้ เป็นความสำเร็จจากการบูรณาการร่วมกันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ร่วมกันสืบสวนติดตามพฤติการณ์จนทราบว่า กลุ่มเครือข่ายนายยุรนันท์ฯ ร่วมกันขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย โดยใช้วิธีการหลบเลี่ยงจุดตรวจ ด่านตรวจ และมีการปรับเปลี่ยนแผนประทุษกรรมให้ยากต่อการสืบสวนจับกุม
สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือโทร. 1178

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สาย/รายงาน

'หนุ่มกะเหรี่ยง' ตะโกนลั่นตลาดบางบอนหยามหญิงไทย เข้ามอบตัวแล้ว อ้าง!! ถูกตีความผิด ไม่ได้ไลฟ์สดชวนพรรคพวกมานอนกับสาวไทย

(20 ส.ค. 67) ที่สถานีตำรวจนครบาลบางขุนเทียน จากกรณีที่หนุ่มชาวกะเหรี่ยงได้ไลฟ์สดผ่าน TIKTOK กลางตลาดบางบอน กรุงเทพมหานคร ชักชวนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงมาจีบสาวไทย ว่า ชวนไปหลับนอนด้วยไม่ยาก จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล ว่า เป็นการไม่ให้เกียรติคนไทย หากปล่อยคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมเช่นนี้ไว้ อาจเป็นภัยในอนาคตได้ อยากให้ตำรวจไปดำเนินการกับหนุ่มกะเหรี่ยงคนนี้

ต่อมาหนุ่มกะเหรี่ยงคนดังกล่าว คือ นาย ซอ ตวน ตวน วิน อายุ 25 ปี ก็ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจ สน.บางขุนเทียน โดยมีตำรวจสืบสวนนครบาล 9 และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมสอบปากคำด้วย โดยมีล่ามชาวเมียนมามาช่วยแปลภาษาระหว่างการสอบปากคำ

นาย ซอ ตวน ตวน วิน กล่าวขอโทษคนไทย ว่า ไม่ได้มีเจตนาพูดไม่ให้เกียรติผู้หญิงไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้คำที่ไม่สุภาพขณะไลฟ์สด จนทำให้ถูกนำไปแปลความหมายในทางที่ผิด

นาย ซาน มิน อู ล่ามชาวเมียนมา ก็ได้อธิบายให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า เนื้อหาที่ นายซอ ตวน ตวน วินไลฟ์สดนั้น ไม่ได้เป็นการเชิญชวนให้พรรคพวกมาพาสาวไทยไปหลับนอนแต่อย่างใด แต่มีคำพูดอยู่ช่วงหนึ่งที่พูดว่า “อยากได้อวัยวะเพศหญิง” จึงทำให้ถูกตีความไปในทางที่ผิด ซึ่งจากการกระทำดังกล่าว ก็ส่งผลทำให้แรงงานชาวเมียนมาเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย จึงอยากอธิบายให้ประชาชนชาวไทยได้เข้าใจ

ด้าน พันตำรวจเอก กฤติเดช จันทร์เพชร ผู้กำกับการ สน.บางขุนเทียน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเรื่องทางตำรวจก็ได้เร่งไปติดตามตัว นายซอ ตวน ตวน วิน เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนกระทั่ง นาย ซอ ตวน ตวน วิน มามอบตัว ซึ่งเมื่อตรวจสอบพิสูจน์ทราบก็พบว่าเป็นการแปลภาษาผิด จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ นาย ซอ ตวน ตวน วิน ไม่พบเอกสารการเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง จึงดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง โดยจะส่งตัวให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปดำเนินการต่อ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศต่อไป

สำหรับปมดรามาดังกล่าว เกิดจาก เพจ 'LOOK Myanmar' ได้โพสต์คลิปหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินไลฟ์ในตลาดบางบอนที่พูดภาษากะเหรี่ยง และถ่ายกล้องไปที่สาวไทย ซึ่งกำลังเดินผ่านไปผ่านมา โดยความหมายในถ้อยคำของชายในคลิปนั้น สื่อถึงว่า "อยากมีอะไรกับผู้หญิงไทย" นั่นเอง 

ทั้งนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความประกอบด้วยว่า...

“คนบางคนคิดว่าตูอยู่ไทย เดินตลาดพม่าในไทย ไลฟ์ถ้าไม่พูดพม่าไม่มีใครจับได้ ก็เผอิญเนี่ย แอดมินเพจนี้เนี่ย รู้จักคนเยอะ สมัครพรรคพวกชาวกะเหรี่ยงที่เป็นคนดี ๆ เค้าเลยแปลให้ เค้าบอกว่า มันพูดภาษากะเหรี่ยงสายหนึ่งละกัน ไม่ใช่กะเหรี่ยงฝั่งแม่สอด มันบอกมันอยากเฮ๊ดกีสาวไทย แถมชักชวนพวกขี้กลากแบบมันให้เข้ามาเฮ๊ดกีสาวไทยด้วย นี้ให้สมัครพรรคพวกช่วยกันแปล ถามตำรวจไทยหรือ ตม. ไทย ว่าทำอะไรคนแบบนี้ได้บ้างหรือต้องให้มีเหยื่อจากภัยสังคมแบบมันก่อนถึงจะทำ พิกัด : ตลาดบางบอน”

‘ตำรวจ’ บุกรวบ ‘หนุ่มเมียนมา’ ฆ่าคนขับแท็กซี่ จ.สมุทรปราการ พบเสื้อเปื้อนเลือด-โทรศัพท์-รถของผู้ตาย เบื้องต้นให้การปฏิเสธ

(28 ส.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งพบผู้เสียชีวิตถูกนำมาทิ้งหมกภายในพงหญ้าริมบ่อปลา หมู่ที่ 7 ซอยข้างโรงพยาบาลรามาธิบดี สมุทรปราการ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงประสานชุดสืบสวน แพทย์นิติเวช รพ.รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ กองพิสูจน์หลักฐานจังหวัด พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิต เป็นชาย 1 ราย ไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50-60 ปี สวมเสื้อโปโลสีเทา กางเกงขายาวสีครีม สวมรองเท้าแตะหูหนีบ มีแขนทั้ง 2 ข้าง ถูกพันธนาการด้วยเชือกไนล่อนสีเขียวมือไขว้หลัง ที่ศีรษะมีบาดแผลขนาดใหญ่จนกะโหลกแตก จากการโดนของแข็ง คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ ตำรวจ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ซึ่งเป็นชายชาวเมียนมา ทราบชื่อคือนายมอง จอ มิน หรือนายซัน อายุ 42 ปี จับได้ที่เพิงพักใกล้เคียงหมู่บ้านบัวทองธานี ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง โดยพบแท็กซี่สีเหลือง-เขียว ของผู้ตาย และโทรศัพท์มือถืออยู่ในเพิงพัก

โดยนายซัน ปฏิเสธข้อกล่าวหา บอกว่าตนไม่ได้ก่อเหตุ ไม่ได้เดินทางไปที่เกิดเหตุเลย และไม่ได้ก่อเหตุฆ่าใคร พอทีมข่าวบอกว่าแล้วรถแท็กซี่มาได้อย่างไรก็ไม่สามารถตอบได้ ทีมข่าวได้บอกว่าพี่เอาเขาไปถ่วงน้ำทำไม ยังทำท่าตกใจ หันมาบอกทีมข่าวว่าไม่ได้ทำ นอกจากนี้ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของพื้นที่ ก็บอกว่าชายคนดังกล่าวนั้นมาพักอยู่ที่นี่ได้ 1 สัปดาห์แล้ว

ต่อมาทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับนายซัน ผู้ก่อเหตุฆาตกรรม คนขับรถชายแท็กซี่​ที่พื้นที่​บางพลี​ จังหวัดสมุทรปราการ​ ตอนแรกนายซันบ่ายเบี่ยงบอกว่าตนเองไม่ได้ขับรถแท็กซี่ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ยอมเปิดปากว่ามีคนบอกให้ตนเองไปขับรถแท็กซี่ เพื่อนำมาซ่อมทำสี​ และยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อเหตุ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย​ จู่ ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาจับและนักข่าวก็มาถ่ายภาพตนทำไม​​

ทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับชุดจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางบัวทอง และชุดสืบภาค 1​ ทราบข้อมูลว่า เดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ ย่านหมู่บ้านบัวทองธานี ภายในซอยตลาดนัดบังยา​ ​ต.บางบัวทอง​  อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี​ พอมาถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นรถแท็กซี่ของผู้ตายจอดอยู่สุดซอย ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนทุบ หลังคาบ้าน ห่างจากรถที่จอดประมาณ 20 เมตร จึงรวมพลมายังบ้านหลังดังกล่าว ก็พบชายต้องสงสัย ลักษณะคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่สมุทรปราการแจ้งมา ว่าเป็นชาวต่างชาติผิวคล้ำ รูปร่างสูงผอม 

จึงเข้าจับกุมได้ภายในบ้านหลังดังกล่าว ทราบภายหลังว่าเป็นบ้านพักของญาติ โดยชายคนดังกล่าว ได้นำกุญแจรถแท็กซี่ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยอมรับเพียงว่าตนเป็นคนขับรถแท็กซี่มา แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นคนก่อเหตุฆาตกรรม​ ชุดจับกุมจึงทำการค้น บ้านพักชายคนดังกล่าว​ ทราบว่าเป็นชาวเมียนมา ชื่อว่านายซัน​ จากนั้นพอเข้าไปค้นภายในบ้านก็พบเสื้อสีขาว ลักษณะเปื้อนเลือดฉีกขาด มีร่องรอยต่อสู้ พบกางเกงเปื้อนโคลน และพบโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ภายในบ้านพัก​ ซึ่งได้ให้ชุดพิสูจน์หลักฐาน เก็บร่องรอยคราบ เลือดเพื่อทำการพิสูจน์ต่อไป

เบื้องต้น หลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง พบว่าบริเวณท้ายรถมีเชือกไนล่อนสีเขียว ลักษณะเดียวกันกับที่คนร้ายใช้มัดมือผู้เสียชีวิต จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน และจะนำรถคันดังกล่าว ไปที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top