Monday, 9 June 2025
ก้าวไกล

‘ชูวิทย์’ หอบหลักฐาน ‘ทุนจีนสีเทา’ ส่งต่อ ‘โรม’ ชี้!! เป็นข้อมูลชุดใหญ่ อาจโค่น ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’ ได้

(11 ม.ค. 66) เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองไทย ยื่นข้อมูลการทุจริตกลุ่มธุรกิจสีเทาต่อนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพื่อพิจารณาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152

โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า มั่นใจว่ามีข้อมูลสำคัญ ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อมาก่อน เป็นข้อมูลที่ตนคิดว่าควรที่จะนำมาพูดในสภา เพราะนายรังสิมันต์เป็นผู้แทนราษฎร ส่วนตนจะพูดอย่างไรก็ได้แค่นั้นเพราะตนพูดอยู่ข้างนอก จึงได้นำข้อมูลมาให้นายรังสิมันต์พิจารณาแต่จะรับหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ ซึ่งตนเป็นแค่ประชาชนเมื่อไม่มีใครติดต่อตน ตนก็มาที่นี่โดยตนเอง 

ทั้งนี้ นายรังสิมันต์พูดเรื่องตำรวจ หรือเรื่องผิดปกติของสังคมไทย หนึ่งในนั้นตนแน่ใจว่าเป็นเรื่องนี้ จึงได้นำเรื่องนี้มาให้นายรังสิมันต์พิจารณา 

ด้าน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องชื่นชมนายชูวิทย์จริง ๆ ในการรวบรวมข้อมูลและเปิดโปงขบวนการทุนจีนสีเทา และต้องเรียนว่า พรรคก้าวไกลตั้งทีมศึกษาเรื่องนี้เพื่อที่จะเจาะลึกข้อมูลและแสวงหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากแหล่งข่าวต่าง ๆ จากตำรวจน้ำดีที่ยังมีอยู่ในระบบ ยืนยันว่าพวกเราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการที่จะเอาเรื่องนี้มาพูดในสภาฯ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจนว่าจะอภิปรายมาตรา 152 จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลเรามีความสนใจเป็นอย่างยิ่งในการที่จะนำไปศึกษา และหากมีข้อเท็จจริงที่หนักแน่นเพียงพอ เราก็พร้อมที่จะอภิปรายในสภาฯ ต่อไป ย้ำว่าเราจะทำหน้าที่อย่างหนักแน่นและจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ เราต้องอาศัยพลเมืองดีแบบนี้ในการที่จะนำข้อมูลมาให้กับพวกเรา เพราะลำพังพวกเราที่ทำหน้าที่อยู่ในสภาฯ ไม่มีทางที่เราจะรู้เนื้อหาสาระ ความอัปลักษณ์ การทุจริตคอร์รัปชัน ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมากเท่ากับคนที่อยู่ในระบบแน่นอน 

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่านายชูวิทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย และเชื่อว่าการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เราคงจะได้เห็นการพูดถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ใช่แค่ พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่รวมไปถึงพรรคฝ่ายค้านอื่น ๆ ที่จะหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาพูด รวมถึงมีหลักฐานต่าง ๆ ที่เพียงพอจะสาวไปถึงคนในรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และขอฝากถึงประธาน และรองประธานฯ ที่จะควบคุมการประชุมว่า เรื่องนี้อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 บ้าง แต่จะพยายามให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด หากท้ายสุดจะมีการฟ้องร้องก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อภิปรายต่อในศาล เพราะก่อนที่จะอภิปราย ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลมาอยู่แล้ว จึงอยากให้ประธานสภาฯ และรองประธานฯ เข้าใจในการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภา เพื่อประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ

‘ก้าวไกล’ จี้รัฐบาลเช็กบิลคดี ‘เสี่ยเบนท์ลีย์’ เชื่อ!! ปล่อยเป่าเช็กเมา มีระดับ ผบ.หนุน

‘สารวัตรเพียว’ ก้าวไกล ไล่บี้รัฐบาลจี้ตำรวจหาคนผิดช่วยคดี ‘เสี่ยเบนท์ลีย์’ เชื่ออาจมีระดับ ผบ. เอี่ยวด้วย ย้ำ!! ผลตรวจเลือดไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ยื้อเวลาสามชั่วโมง ทำแอลกอฮอล์ในร่างกายหายไปแล้วถึง 60 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

(12 ม.ค. 66) ที่รัฐสภา พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ (สารวัตรเพียว) ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความคิดเห็นต่อกรณี สุทัศน์ สิวาภิรมย์รัตน์ หรือที่ปรากฏตามหน้าสื่อในฐานะ ‘เสี่ยเบนท์ลีย์’ ที่ก่อเหตุเมาแล้วขับจนชนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวานนี้ (11 มกราคม) พนักงานสอบสวนได้ตั้งข้อหาเมาแล้วขับ จากการที่สุทัศน์ปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการทดสอบระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ จุดเกิดเหตุแล้วนั้น

พ.ต.ต.ชวลิต ระบุว่า สิ่งที่เป็นข้อกังวล คือการสื่อสารของฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่พยายามทำให้สังคมเน้นจับตาไปที่ผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งตนขอยืนยันว่าผลตรวจนี้เชื่อถือไม่ได้ ไม่สามารถนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่าผู้ต้องหาเมาแล้วขับ ณ เวลาที่เกิดเหตุหรือไม่ สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญจริงๆ ของคดีนี้อยู่ที่ความพยายามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาเปลี่ยนจากความผิดเมาสุราแล้วขับขี่ชนผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำและทั้งปรับ มาเป็นการขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ที่มีโทษจำคุกเบากว่า คือไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ต้องหาจะพยายามเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงแต่เป็นความโชคดีที่ในกรณีนี้มีหลักฐานเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่ถกเถียงว่าผู้ต้องหามีความผิดแน่ ๆ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่มีความพยายามถ้าไม่ใช่จากฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ฝ่ายผู้ต้องหา ในการเปลี่ยนข้อเท็จจริงด้วยการยื้อเวลาให้มีปริมาณแอลกอฮอลล์ในเลือดลดลง

'ก้าวไกล' กางนโยบาย ‘การศึกษาไทยก้าวหน้า’ ชู 'เรียนฟรี - รร.ปลอดภัย - ส่งเสริมเรียนรู้นอกห้องเรียน'

(14 ม.ค.66) ที่ศูนย์เยาวชนเตชะวณิช กรุงเทพมหานคร (บางซื่อ) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงเปิดนโยบาย 'การศึกษาไทยก้าวหน้า' ซึ่งเป็นชุดนโยบายที่ 5 จากทั้งหมด 9 ชุดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของพรรค สร้างประเทศที่ 'เท่าเทียม ก้าวทันโลก ประชาชนเป็นเจ้าของ'

พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลตั้งใจเปิดนโยบายการศึกษาในวันเด็กแห่งชาติ เพราะทุกปีเรามักคุ้นเคยกับคำขวัญวันเด็กที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อบอกว่าเด็กควรเป็นอย่างไร แต่สำหรับพรรคก้าวไกล เราต้องการพลิกแนวคิดเรื่องการศึกษา จากการศึกษาแบบอำนาจนิยม ที่สั่งให้เด็กต้องเป็นแบบที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดี มาเป็นการศึกษาแบบโลกเสรี ที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมีเสรีภาพในการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและหลากหลาย การจัดกิจกรรมวันนี้ จึงต้องการให้ผู้ใหญ่ รวมถึงนักการเมือง มารับฟังเด็กเพื่อเข้าใจปัญหาของเด็กและเสนอทางออก ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันเด็ก

พิธากล่าวว่า เราต่างรู้ดีว่าการศึกษาที่ดีคืออะไร การศึกษาที่ดีคือการศึกษาที่ทุกคนเข้าถึงได้ไม่เหลื่อมล้ำ การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่ออนาคตและการใช้ชีวิต และการศึกษาที่ไม่สิ้นสุด ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่หัวใจสำคัญของนโยบายการศึกษาไทยก้าวหน้าของพรรคก้าวไกลคือการเน้นที่ประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาในการศึกษาไทยที่มีมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็น การที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ผลการประเมินทักษะกลับตามหลังสากล การที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณสูงมากทุกปี แต่กลับไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศ เรียนฟรีก็ยังไม่ฟรีจริง หรือคุณครูที่ต้องทำงานหนัก แต่กลับหมดเวลาแต่ละวันไปกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการสอน

‘ก้าวไกล’ ทวงเอกสาร ‘ทัพเรือ’ ปมเรือหลวงล่ม ขู่!! หากไม่แจงให้ชัด เจออภิปราย ม.152 ในสภาฯ

‘พิจารณ์’ ทวงทัพเรือ ครบ 1 เดือนเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ยังส่งเอกสารให้ กมธ.ทหารไม่ครบ ย้ำขอรายชื่อกรรมการสอบสวน-ประวัติซ่อมเรือ เผย 19 ม.ค. เชิญ ทร. หารือที่สภา หากยังชี้แจงไม่ชัดเจน เจอตามต่ออภิปราย ม.152

(17 ม.ค. 66) พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการการทหาร แสดงความเห็นกรณีเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปางเป็นเวลาครบ 1 เดือนในวันนี้ว่า ขณะนี้ครบรอบ 1 เดือนของโศกนาฏกรรม หลังจาก กมธ. การทหารประชุมเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 และได้ขอเอกสารสำคัญจากกองทัพเรือทั้งหมด 8 รายการ แต่ผ่านมา 25 วัน กองทัพเรือส่งให้เพียง 2 รายการ ยังไม่มีเอกสารเพิ่มเติมมาถึง กมธ. ตามที่ขอไป

พิจารณ์กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการมาก คือ ประวัติการซ่อมเรือหลวงสุโขทัย ตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน เพื่อให้ทราบข้อมูลการซ่อมบำรุงตามวงรอบว่าได้ทำตามมาตรฐานหรือไม่ เนื่องจากได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าว รวมถึงข้อสังเกตที่สาธารณะตั้งคำถามเกี่ยวกับสภาพความพร้อมใช้งานของเรือ ไม่ว่าจะเป็น การซ่อมบำรุงครีบกันโคลง (Fin Stabilizer) ที่มีข้อมูลว่าถูกถอดออกไปแล้ว การซ่อมแซมตัวเรือบริเวณใต้ผิวน้ำที่สึกหรอและบางลง เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ รวมถึงการซ่อมเปลี่ยนแบริ่งรองรับเพลาจักร นอกจากนั้น ยังมีรายชื่อของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ซึ่งกองทัพเรือยังไม่เปิดเผยชื่อ โดยในวันที่ 19 มกราคมนี้ ทาง กมธ.การทหาร ได้เชิญกองทัพเรือมาหารือที่รัฐสภา เพื่อติดตามความคืบหน้าและทวงถามเอกสาร

‘โรม’ หวั่น ‘บิ๊กตู่’ ยุบสภาฯ หนีศึกซักฟอก หลังให้เวลาฝ่ายค้านเตรียมตัวมากเป็นพิเศษ

(17 ม.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวยุบสภาก่อนการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องแปลกที่การอภิปรายในครั้งนี้ รัฐบาลดูจะให้เวลาฝ่ายค้านได้เตรียมตัวมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในการอภิปรายที่ผ่านมา รัฐบาลจะพยายามทำให้ฝ่ายค้านมีเวลาเตรียมตัวน้อยที่สุด เพื่อที่การอภิปรายจะออกมาไม่มีคุณภาพมาก แต่รอบนี้กลายเป็นว่าฝ่ายค้านมีเวลาถึงเดือนกว่าในการเตรียมตัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอาจจะไม่ได้กังวลกับการอภิปรายทั่วไปครั้งนี้เท่าไรนัก

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า อาจมองได้ว่าเป็นเพราะรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เพิ่งเปิดตัวเข้าพรรคการเมืองใหม่ กำลังให้ความสนใจกับการสร้างตัวตนทางการเมือง จนไม่ได้สนใจปัญหาอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องปากท้องของประชาชน ขณะเดียวกันงานในความรับผิดชอบหลายอย่างของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะงานตำรวจก็ทำได้เลวร้ายมาก เห็นได้จากการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับทุนจีนสีเทา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กลับดูจะไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้ แต่กำลังให้ความสำคัญกับเรื่องเดียวเท่านั้น คือจะทำอย่างไรให้ตัวเองสืบทอดอำนาจ จึงไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือขึ้นหนาหูในช่วงนี้ ว่าจะเกิดการยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอกของฝ่ายค้านหรือไม่ ซึ่งหากรัฐบาลเลือกที่จะยุบสภาเพื่อหนีการซักฟอกของฝ่ายค้าน ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยอมรับโดยปริยายว่าข้อกล่าวหาต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องจริง

‘ก้าวไกล’ จ่อเปิดตัว ‘กฎหมายรถเมล์อนาคต’ เปลี่ยนรถเมล์ทั้งกรุงเทพฯ ให้เป็น EV ใน 7 ปี

(20 ม.ค. 66) พรรคก้าวไกลเตรียมแถลงเปิดตัวกฎหมาย ‘รถเมล์อนาคต’ ซึ่งเป็นข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร ที่จะกำหนดให้รถเมล์ที่วิ่งในกทม. ต้องเป็นรถไฟฟ้า หรือ EV ทั้งหมด โดยมีระยะเวลาสำหรับการเปลี่ยนผ่าน 7 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายลดฝุ่นละออง PM2.5 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงจะพัฒนาคุณภาพการให้บริการรถเมล์ ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีผู้ใช้งานหลักล้านคน โดยรายละเอียดของกฎหมายรถเมล์อนาคต จะมีการเปิดเผยในวันที่ 22 มกราคมนี้ ก่อนจะมีการยื่นต่อสภา กทม. และลงมติ ในวันพุธที่ 25 มกราคมนี้

กฎหมายรถเมล์อนาคต หรือร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง รถโดยสารประจําทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ นำเสนอโดย ส.ก. พุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ เขตยานนาวา พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี ที่มีการเสนอกฎหมายใหม่ทั้งฉบับโดย ส.ก. ซึ่งข้อบัญญัติฉบับล่าสุดที่เสนอโดย ส.ก. เกิดขึ้นในปี 2544 เป็นข้อบัญญัติเกี่ยวกับการแต่ตั้งผู้ช่วยปฏิบัติงาน ส.ก. โดยพุทธิพัชร์ เชื่อมั่นว่าร่างกฎหมายนี้จะสามารถผ่านสภา กทม. ได้ เนื่องจาก ส.ก. ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่ากฎหมายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกเขตทั่วกรุงเทพ

'ส.ก.ก้าวไกล' เตรียมชง 'กม.รถเมล์อนาคต' เข้าสภา กทม. เปลี่ยนรถเมล์ทั่วกรุงเป็น EV ลดควันเสีย-ฝุ่นละออง

'พิธา' เผย 'ส.ก.ก้าวไกล' เตรียมชง 'กฎหมายรถเมล์อนาคต' เปลี่ยนรถเมล์กทม. ทั้งหมดเป็น EV ภายใน 7 ปี เชื่อสภากทม. ไฟเขียว โว สร้างประวัติศาสตร์ผ่านกม. โดย ส.ก. ครั้งแรกในรอบ 22 ปี 

(22 ม.ค.66) เวลา 13.00 น. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ และนายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก. เขตยานนาวา พรรคก้าวไกล แถลงเปิดตัวกฎหมาย 'รถเมล์อนาคต' ซึ่งเป็นข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร ที่จะกำหนดให้รถเมล์ที่วิ่งในกทม. ต้องเป็นรถไฟฟ้า หรือ EV ทั้งหมด โดยมีระยะเวลาสำหรับการเปลี่ยนผ่าน 7 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายลดฝุ่นละออง PM2.5 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงจะพัฒนาคุณภาพการให้บริการรถเมล์ ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีผู้ใช้งานหลักล้านคน 

โดยนายพิธาได้นำสื่อมวลชนชมรถเมล์สาย 8 แฮปปี้แลนด์-สะพานพุทธ หรือตำนานรถเมล์กรุงเทพ โดยกล่าวว่ารถเมล์คันนี้ แม้สีสันจะดูใหม่ แต่ข้างในเก่า รถคันนี้เดิมเป็นรถเมล์สีครีมแดง ของข.ส.ม.ก. ก่อนจะปลดระวางมาขายต่อให้รถร่วมฯ เปลี่ยนสีใหม่ แต่เครื่องยนต์เก่า พื้นเป็นไม้กระดาน ซึ่งรถคันนี้สร้างเมื่อปี 1960 วันนี้มีอายุ 62 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนก็ต้องเกษียณอายุแล้ว แต่กลับยังใช้งาน วิ่งปล่อยควันเสีย ฝุ่นละอองอยู่ทุกวัน เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กรุงเทพเป็นเมืองที่มีมลภาวะติดอันดับโลก

'พิธา' มั่นใจ ส่ง 'ปารเมศ' เข้าสภาฯ ได้แน่ ยัน!! ไม่จับมือ 'พรรคทหารจำแลง' จัดตั้งรัฐบาล

(22 ม.ค. 66) เวลา 17.00 น. ที่เยาวราช กทม. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยแกนนำพรรคนำทีม พานายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขต 1 ก้าวไกล ลงพื้นที่พบปะประชาชน ในย่านเยาวราช โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า เราส่งนายปารเมศ ลูกหลานคนเชื้อสายจีน มีความเข้าใจบริบทความต้องการพื้นที่นี่เราเคยได้ที่ 2 ตอนปี 62 ส่วนส.ก.เขตพระนครล่าสุดเราก็ได้รับความไว้วางใจมา เรามั่นใจว่าจะสามารถส่งนายปารเมศ เข้าสู่สภาฯ ได้แน่นอน

เมื่อถามว่าส.ส.เจ้าของพื้นที่เดิม ย้ายไปสังกัดเพื่อไทยถือเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่มีเจ้าของประชาชน แข่งขันกันที่นโยบายว่าใครจะตอบโจทย์คนในพื้นที่ ไม่ว่าจะย้ายพรรคหรือไม่ย้ายพรรค มาจากพรรคไหน ต้องสู้เต็มที่เพื่อเอาประชาชนเป็นที่ตั้งให้ได้ 

ก้าวหน้า-ก้าวไกล ผนึกกำลัง เรียกร้องสิทธิประกันตัว ย้ำจุดยืน หยุดใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่าง

ก้าวหน้า-ก้าวไกล ผนึกกำลัง 'ยืนหยุดขัง' เรียกร้องสิทธิประกันตัว หยุดใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่าง ‘พิธา’ ย้ำข้อเสนอก้าวไกลแก้ไข ม.112 ชี้ ถ้าไม่ปฏิรูประบบยุติธรรม สังคมไทยอาจถึงทางตัน ด้าน ‘ธนาธร’ ขอสภาทำหน้าที่นำการพูดคุยปัญหา 112 อย่างมีวุฒิภาวะ เป็นทางออกให้สังคมไทย

เมื่อวันที่ (23 ม.ค. 66) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แกนนำพรรคก้าวไกล และ คณะก้าวหน้า ประกอบด้วย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรม 'ยืนหยุดขัง' ร่วมกับภาคประชาชนหลายเครือข่ายที่มาร่วมกันรณรงค์เรียกร้องการปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด หลังจาก 'ตะวัน' ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ 'แบม' อรวรรณ ภู่พงศ์ นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้ต้องหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประกาศถอนประกันตนเอง อดอาหารและน้ำประท้วงกระบวนการยุติธรรม จากกรณีที่ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองหลายคนถูกปฏิเสธสิทธิการประกันตัวอย่างไม่เป็นธรรม

พิธา ระบุว่า วันนี้ตนมาร่วมกิจกรรมยืนหยุดขังด้วยความห่วงใย ต่อทั้งตะวัน-แบม และนักโทษทางการเมืองทุกคน ทั้งในฐานะนายประกันของตะวัน และในฐานะประชาชนคนหนึ่ง และเพื่อมาแสดงความเคารพด้วยจิตคารวะต่อนักเคลื่อนไหวที่ถูกจองจำทุกคน และเพื่อยืนหยัดกับทุกคนว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง สิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งตะวัน-แบม และนักโทษการเมืองทุกคนวันนี้ คือข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยมีปัญหาบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาทั้งเรื่องการบังคับใช้ อัตราโทษที่ไม่ได้สัดส่วน และการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีความจำเป็นต้องทำให้กระบวนการที่บิดเบี้ยวมาตั้งแต่ทางนี้ ดีขึ้น

“ทางออกที่ดีที่สุด ควรต้องใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมาหาทางออกร่วมกัน ต่อประเด็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นคุณระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้นำเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมกับกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพอื่น ๆ ไปตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา แต่สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันก็ปฏิเสธไม่ตอบรับ แต่อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เกิดการแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ให้ได้” พิธากล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้ คือการเรียกร้องต้องให้สิทธิการประกันตัวแก่นักโทษการเมืองทุกคน ยุติการใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่างในทันที และในอนาคตอันใกล้นี้ จะต้องมีการพิจารณาข้อเสนอนิรโทษกรรมคดีการเมืองทั้งหมด โดยการเดินตามขั้นตอนเหล่านี้เท่านั้น จึงจะนำไปสู่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย ส่วนปัญหาเรื่องมาตรา 112 นั้น พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะผลักดันให้เกิดการแก้ไข ในฐานะข้อเสนอขั้นต่ำที่เราเห็นว่ายังสามารถเป็นหนทางให้ผู้เห็นต่างในสังคมไทยมาพูดคุยกันได้ และแม้ข้อเสนอดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ทันได้ถูกนำมาพิจารณาในสภาชุดปัจจุบัน แต่พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะเสนอและผลักดันร่างดังกล่าวต่อในสภาชุดต่อไปที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้ง

พิธายังระบุด้วยว่า หากสภาผู้แทนราษฎรไม่ตอบรับข้อเสนอเรื่องการแก้ไขนี้ในอนาคต ตลอดจนการพูดคุยเพื่อหาทางออกกันอย่างมีวุฒิภาวะ ก็เป็นที่น่ากังวลเหลือเกินว่าทางเลือกของสังคมไทยจะถูกบีบให้เหลือน้อยลง

“สภาควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยกันได้อย่างมีวุฒิภาวะ โดยไม่มีใครต้องเสียสละเลือดเนื้อเพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ใช้โอกาสนี้พูดถึงการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งหมด เพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้สังคมไทยก็อาจจะไปถึงทางตัน ถ้าสภาไม่ทำหน้าที่ ผมก็กังวลเหลือเกินว่าจะเหลือทางเลือกอื่นให้กับสังคมไทยอีกหรือไม่” พิธากล่าว

‘พิธา’ ปลุกขวัญเครือข่ายพรรคพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง เดินหน้าล้มระบอบ 3 ป. - สร้างประเทศที่ดีเพื่อทุกคน

พรรคก้าวไกล จัดประชุมใหญ่เครือข่ายทั่วประเทศ ‘พิธา’ ประกาศความพร้อมเข้าสู่เลือกตั้ง ชี้ ความเป็นสถาบันของพรรคอยู่ที่ผู้คนเดินทางร่วมกัน ขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า ปลุกสมาชิก สิ่งที่ทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อความเปลี่ยนแปลง-เพื่อเยาวชนได้การเมืองดีโดยไม่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก พอแล้วกับระบอบ 3ป. สืบทอดอำนาจผ่านพลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ*

(27 ม.ค. 66) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ต (ดอนเมือง) พรรคก้าวไกลจัดประชุมเครือข่ายพรรคทั่วประเทศ ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคก้าวไกลที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (28 มกราคม) ที่อุทยานการเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวเปิดการประชุมกับสมาชิกพรรคว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวของตัวแทนเครือข่ายพรรคก้าวไกลทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเครือข่ายชาติพันธุ์และแรงงาน ซึ่งปีนี้มีความพิเศษเพราะเป็นปีที่เตรียมความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดมีความสำคัญเพราะจะได้เชื่อมโยงการทำงานในสภา-นอกสภาได้จริง เพื่อให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคมวลชนและทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประชาชนได้จริงๆ 

“ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดของพรรคก้าวไกลที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ มีความสำคัญมากในการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และทำงานเพิ่มจำนวนสมาชิกพรรคก้าวไกลทั่วประเทศ” พิธากล่าว

พิธากล่าวว่า เป้าหมายในการสร้างพรรค ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่จนถึงพรรคก้าวไกล คือต้องการเป็นพรรคมวลชน โอบรับความหลากหลาย เป็นพรรคที่ดำเนินการด้วยสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นพรรคที่คนใดคนหนึ่งสามารถคิดแทนคนทั้งพรรคได้ ความฝันของเราตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ คือการสร้างพรรคที่เกิดจากการเดินทางและผู้คน ปัจจุบันพรรคก้าวไกลมีจำนวนสมาชิก 60,284 คน เท่ากับจำนวนสมาชิกสมัยยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ส่วนการเดินทางไปดูปัญหาทั่วประเทศ ตนในฐานะหัวหน้าพรรคได้เดินทางมากกว่า 45,358 กิโลเมตร เพื่อดูปัญหาและขยายแนวคิดก้าวไกลออกไปทั่วประเทศ

พิธากล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นปีที่พรรคก้าวไกลมีความพร้อมในการเลือกตั้ง ทั้งจากจำนวนสมาชิกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร และอาสาสมัครของพรรคก้าวไกล จากสมัยพรรคอนาคตใหม่ที่เราเน้นการสื่อสารผ่านสื่อเป็นหลัก แต่พรรคก้าวไกลสามารถทำงานเข้าถึงปัญหาในพื้นที่ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งปัญหาที่ดิน น้ำท่วมน้ำแล้ง ฝุ่น PM2.5 และไฟป่า การทำงานร่วมกับสมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัครตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้เชื่อมั่นว่าสามารถปักธงประเทศไทยให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคตได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top