Tuesday, 22 April 2025
กาฬสินธุ์

กาฬสินธุ์- 'ชูศักดิ์' เผยคดีข้าราชการเอี่ยวตัดไม้พะยูงโรงเรียน เชือดนิ่ม ๆ ใครทำผิดต้องรับกรรม

แนะกรมธนารักษ์ แก้ไขระเบียบวิธีการปฏิบัติ ว.20 ด่วน ก่อนไม้หมดป่า หลังถกนาน 2 ชั่วโมง ฝากข้าราชการที่ดีต้องมีคุณธรรมช่วยเหลือประชาชน

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ อาคารสำนักงานอธิบการบดีและบริหารสินทรัพย์ ชั้น 3 อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (ป.กมธ.ปปช.สภาฯ) นายกิตติ สมทรัพย์ รอง ป.กมธ.คนที่สอง นางรำพูล ตันติวณิชชานนท์ รอง ป.กมธ.คนที่ 6 นางสุขสมรวย วันทนียกุล กรรมาธิการ นายนิพนธ์ คนขยัน เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ และว่าที่ร้อยโท ยุทธการ รัตนมาศ โฆษกคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ชำนาญการประจำคณะ กมธ.ปปช.สภาฯ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย เขต 1 นายพลากร พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย เขต 2 นายทินพล ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย เขต 5 ประชุมร่วมกับจังหวัด เพื่อสรุปผลการตรวจสอบการลักลอบตัดไม้พะยูงในเขตพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีนายสนั่น พงษ์อักษร ผวจ.กาฬสินธุ์ นายธวัชชัย รอดงาม นายธนภัทร ณ ระนอง รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ นายอำเภอหนองกุงศรี นายอำเภอห้วยเม็ก ผู้แทนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 พร้อมด้วยผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

การประชุมครั้งนี้เป็นการหาข้อสรุปเพื่อเติมเต็มในสำนวน กมธ.ปปช.สภาฯ ซึ่งได้ทำการพิจารณาปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตั้งแต่ปี 2566 โดยนายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต1 พรรคเพื่อไทย ได้นำยื่นญัตติปัญหาตัดไม้พะยูงทั่วประเทศไปอภิปรายและ กมธ.ปปช. ได้นำเรื่องนี้เข้าพิจารณา แยกออกเป็น 2 กรณี คือกรณีแรกเป็นการลักลอบตัดไม้พะยูงในสถานีเพาะชำกล้าไม้กาฬสินธุ์ จำนวน 1 ต้น และมีการนำไม้ของกลางไปเก็บเอาไว้ที่เทศบาลตำบลอิตื้อ อ.ยางตลาด แต่ไม้พะยูงหายไป 

ส่วนอีกกรณีตัดไม้พะยูงในโรงเรียน เป็นการฝ่าฝืน ใช้ช่องว่างของระเบียบพัสดุ และโดยเฉพาะข้อสั่งการ ว.20 ปี 2560 ของอธิบดีกรมธนารักษ์ ที่พบเจ้าหน้าที่ของธนารักษ์พื้นที่กาฬสินธุ์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 รวมถึงผู้อำนวยการโรงเรียนหลายแห่ง อนุญาตให้มีการตัดไม้พะยูงไปขายให้กับนายทุนข้ามชาติ ที่มีผู้ต้องหาในคดีเบื้องต้นจำนวน 17 คน อีกทั้งยังมีการวิเคราะห์แนวทางการแก้ไขในเรื่องระเบียบของกรมธนารักษ์เป็นหลัก รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล ป.กมธ.ปปช.สภาฯ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญปัญหานี้ กมธ.ปปช. ได้ทำการตรวจสอบและสรุปเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาก็คือ เป็นการกระทำที่ผิดระเบียบของกรมธนารักษ์ทุกขั้นตอน ซึ่งในสำนวนของ กมธ.ปปช. กรมธนารักษ์ก็ยืนยันว่าการอนุญาตตัดไม้พะยูงในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นการทำผิดระเบียบ เริ่มจากแนวคิดที่จะตัดไม้พะยูง 

รวมไปถึงแนวทางการจำหน่ายไม้พะยูงระหว่างพ่อค้ากับภาครัฐ มีการยึดราคาที่ต่ำกว่าราคาท้องตลาด เป็นการกระทำที่ทำให้ภาครัฐเสียหาย เพราะการกระทำขาดผู้เชี่ยวชาญในการให้ความเห็นในเรื่องราคา โดยเฉพะกรณีโรงเรียนคำไฮวิทยา อ.หนองกุงศรี ไม้พะยูง 22 ต้นใหญ่ ถูกประมูลขายไปในราคาเพียง 153,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงเมื่อวัดออกมาเป็นปริมาตรในท้องตลาดสูงกว่า 4 ล้านบาท ดังนั้นบุคคลใดที่ต้องรับผิดชอบ กมธ.ปปช. จะดำเนินการต่อไป เพื่อให้ปัญหานี้เป็นกรณีตัวอย่างที่ในแต่ละจังหวัดของประเทศไทยจะได้นำไปใช้เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังทรัพยากรป่าไม้ของประเทศให้คงอยู่

“ดังนั้น ผลจากการสอบสวน กรมธนารักษ์ กรรมการสอบสวนสรุปมายังพบว่า มีบางโรงเรียน ที่ขออนุญาตตัดและตั้งคณะกรรมการสอบราคาในวันเดียวกัน หมายถึงอนุมัติตัดในวันเดียว มีลักษณะเร่งรีบเป็นกระบวนการที่ส่อไปในทางทุจริต เรื่องนี้จึงเป็นพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นเรื่องที่ กมธ.ปปช. จะต้องรักษาผลประโยชน์ทางราชการ จึงมีประเด็นที่ต้องขบคิดร่วมกันว่า กมธ.ปปช. จะวางแนวทางป้องกันอย่างไร ซึ่งก็พบว่าหนังสือเวียน กรมธนารักษ์ ตาม ว20 วันที่ 1 กุมภาพันธ์  2560 ควรจะมีการปรับปรุงหนังสือให้มีความชัดเจน ในกรณีการตัดตามความจำเป็นที่ควรจะมีกรอบที่ชัดเจนมากว่านี้ที่จะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา” รศ.ชูศักดิ์ กล่าวในที่สุด

สำหรับคดีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ภาครัฐจะต้องนำมาทบทวนการใช้อำนาจหน้าที่ที่จะกระจายลงสู่ภูมิภาค เนื่องจากการออกหนังสือหรือคำสั่งที่ไปเกี่ยวข้องในเรื่องของทรัพยากรป่าไม้ เป็นสิ่งที่จะต้องมีความรัดกุมเอาใจใส่ ในทุกระดับโดยเฉพาะข้าราชการ ที่อาจจะมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากช่องว่างและกฎระเบียบของภาครัฐ จึงควรที่จะสร้างความตระหนัก สร้างสำนึกให้ข้าราชการมีศีลธรรม มีจรรยาบรรณและคุณธรรม ไม่ฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างกรณีที่เกิดขึ้นเช่นนี้

กาฬสินธุ์-ชาวกาฬสินธุ์นับหมื่นรำถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แห่งแรก! จังหวัดกาฬสินธุ์รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน นำกลุ่มองค์กรสตรีทั้ง 18 อำเภอ และทุกภาคส่วนกว่า 1 หมื่นคน ประกาศเจตนารมณ์จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กล่าวสุนทรพจน์"ในหลวงในดวงใจ" พร้อมรำถวายพระพร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ แต่เป็นความร่วมมือความจงรักภักดีของชาวกาฬสินธุ์

เมื่อวานนี้ (22 ก.ค.67) ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานจัดกิจกรรมโครงการ“กาฬสินธุ์ รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน” เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี นำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 

โดยมีนายวิรัช พิมพะนิตย์ ส.ส.กาฬสินธุ์ เขต 1 นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ นายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกอบจ.กาฬสินธุ์ รศ.จิระพันธ์ ห้วยแสน อธิการบดีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ นายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ นักเรียน กลุ่มองค์กรสตรีทั้ง 18 อำเภอ และทุกภาคส่วนร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน

ทั้งนี้กิจกรรมมีการขบวนธงและพานบายศรีหลวงเดินเข้าสู่สนาม การเป่าแคนลำนำ สำนึกชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จากนั้นนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นำเหล่าพสกนิกรชาว จ.กาฬสินธุ์ ประกาศเจตนารมณ์ เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จะดำรงตนตามหลักปรัญญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการสืบสาน รักษา ต่อยอด และจะรู้รักสามัคคี สืบสานประเพณี ทำความดีทุกวัน ก่อนที่จะร่วมกันขับร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชอย่างกึกก้องทั่วท้องสนาม  

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงความจงรักภักดีของเครือข่ายพัฒนาชุมชนร้องเพลง “องค์เดียวในโลก” โดยนายธรีเมศท์ พลอาจทัง โรงเรียนเหล่ากลางวิทยายน การกล่าวสุนทรพจน์ หัวข้อ "ในหลวงในดวงใจ"โดยนางสาวทอฝัน อินทสอน ตัวแทนนักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ และนางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายกอบจ.กาฬสินธุ์ 

จากนั้นนางรำจากกลุ่มองค์กรสตรีและเครือข่ายสตรีจาก 18 อำเภอกว่า  10,000 คน ซึ่งต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดผ้าไทยและพื้นเมืองสีเหลืองร่วมฟ้อนรำถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ ยังได้มาให้ความรู้เกี่ยวกับฮีสโตรก และมีการจัดนิทรรการเฉลิมพระเกียรติ และจำหน่ายสินค้าโอทอปอีกด้วย

นายอุทัย สิงห์ทอง พัฒนาการ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ โดยภายใต้การนำของนายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชน จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกับองค์กรสตรี ภาคีเครือข่ายในงานพัฒนาชุมชน หน่วยงานราชการทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง และผู้นำชุมชนจะจัดกิจกรรม “กาฬสินธุ์ รวมพลังสามัคคี ภักดี องค์ราชัน” เพื่อเป็นการร่วมแสดงความจงรักภักดี และนำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567การ ซึ่งการจัดกิจกรรมรวมพลังในครั้งนี้ เป็นที่น่าจดจำและประทับใจ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ใช้งบประมาณจากทางราชการ แต่เป็นความร่วมมือความจงรักภักดีของชาวกาฬสินธุ์ทุกภาคส่วนที่ได้สนับสนุนการจัดงาน

เครือข่าย ปปท. 'กาฬสินธุ์' คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องทุจริต ก่อสร้าง '7 ชั่วโคตร' ด้าน ปปท.-สตง.-ปปช.-ดีเอสไอ เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดเรียกเงินคืนแผ่นดิน

เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.มอบรางวัล เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ด้าน เครือข่ายกาฬสินธุ์ คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องกันการทุจริต ปัญหาก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร ขณะที่ องค์กรอิสระ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ เดินหน้าสอบเอาผิด ด้านกรมโยธาฯ เร่งทำหนังสือถึง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ดำเนินการเรียกเงินคืนทั้งหมด

(11 ก.ย. 67) ที่ห้องบอลรูม A ชั้น 5 โรงแรมเบสท์เวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.เป็นประธานพิธีมอบรางวัล 'เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ.2567' ภายใต้โครงการเครือข่าย ป.ป.ท. เฝ้าระวังการทุจริต 'PACC Connect' ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีนางสาวพรหมพรรณ สายทองคำ ผู้อำนวยการกองป้องกันการทุจริตในภาครัฐ คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต (สปท. ป.ป.ท.) ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ท. และผู้แทนเครือข่ายที่ได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตร่วมพิธี

สำหรับการมอบรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในวันนี้ สืบเนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาการทุจริตของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนยังคงขาดการบูรณาการและสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา สำนักงาน ป.ป.ท. จึงนำนโยบายของรัฐบาล นโยบายผู้บริหาร และแผนในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแปลงไปสู่การปฏิบัติให้เห็น เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

โดยเสริมสร้างและขับเคลื่อนบูรณาการ ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมุ่งเน้นให้การป้องกัน เป็นการหยุดระงับยับยั้งปัญหาก่อนเกิดความเสียหาย เสริมสร้างนโยบายให้ “ทุกคนไม่ทน ต่อการทุจริต”และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินงานภาครัฐ รวมทั้งสร้างกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านหรือชี้เบาะแส 

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต การรณรงค์ให้ความรู้ การแจ้งเบาะแส รวมถึงการยกย่องเครือข่าย ที่มีผลดำเนินการด้านการป้องกันการทุจริต ให้เป็นเครือข่ายต้นแบบในพื้นที่ทั่วประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังทุจริตในพื้นที่อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินการใน 3 ส ได้แก่ สร้างความไว้ใจ สร้างงาน สร้างแรงจูงใจ เพื่อเป็นมาตรการ ในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายต้านทุจริตของประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่าย พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายภาคประชาสังคม พัฒนากลไกและสนับสนุน การทำงานในระดับพื้นที่ การบูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย การรณรงค์ ป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อสรรหา คัดเลือกเครือข่ายคุณภาพ ในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตมีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ และประกาศยกย่องให้เป็น เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต 

โดยเริ่มตั้งแต่การร่วมสร้างความไว้ใจ ความศรัทธาเชื่อมั่น สร้างเครือข่ายโดยการ 'เปิดเวทีสาธารณะ' ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ เพื่อเป็นเวทีเชื่อมต่อระหว่างภาคประชาสังคม กับสำนักงาน ป.ป.ท. ในการรับฟังปัญหา ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริต และความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เป็นที่พึ่งของภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง  ทำการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) พร้อมเปิดรับข่าวสาร ข้อมูล เบาะแส

ตลอดจนร่วมกันสอดส่อง เฝ้าระวังและป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือความเดือดร้อนต่าง ๆ หรือกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ นำไปสู่การสร้างแรงจูงใจ สร้างขวัญกำลังใจให้กับเครือข่าย ที่ร่วมเปิดเวทีสาธารณะ และแจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ ผ่านการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีจิตอาสา ที่เข้ารับการคัดเลือกจนได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ซึ่งมีเครือข่ายต้นแบบที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในระดับดีเยี่ยม 56 เครือข่าย ระดับดีเด่น 8 เครือข่าย ระดับดี 19 เครือข่าย และระดับมาตรฐาน 8 เครือข่าย รวมทั้งสิ้น 91 เครือข่าย 

สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมในการต่อต้านการทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายชาญยุทธ โคตะนนท์ ประธานเครือข่ายฯจ.กาฬสินธุ์ ได้รับโล่ห์เกียรติคุณ ประกาศเป็นเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปี งบประมาณ พ.ศ.2567 ระดับดีเยี่ยม ในการสอดส่องปัญหาการก่อสร้างท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ รวมถึงแนวป้องกันตลิ่ง รวม 8 โครงการ งบประมาณรวมกว่า 545 ล้านบาทดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2561 แต่ไม่มีโครงการไหนสร้างแล้วเสร็จแม้แต่โครงการเดียว แต่กลับถูกจ่ายเงินไปกว่า 250 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นงประมาณของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ว่าจ้าง 2 หจก.ประกอบด้วย หจก.ประชาพัฒน์และ หจก.เฮงนำกิจ  ปัจจุบันยังตกเป็น ผู้รับจ้างทิ้งงานตามคำสั่งของกรมโยธาฯ ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จนถูกประมาณว่าเป็นการก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร 

ล่าสุดรายงานแจ้งว่าขณะนี้ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ กำลังทำการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดกับเพื่อดำเนินการตามกฏหมาย ส่วน กรมโยธาธิการและผังเมือง ก็กำลังประสานหนังสือไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการทางพัสดุในการเรียกเงินคืนเงินรวมถึงค่าเสียหายทั้งหมดเป็นภาษีของประชาชน ด้านเครือข่ายฯ ปปท.จ.กาฬสินธุ์ รวมถึง ธรรมาภิบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และประชาชนผู้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ ยังคงเฝ้ารอความชัดเจนในการแก้ไขปัญหารวมถึงการดำเนินคดีกับผู้รับจ้าง ที่สร้างความเสียหายในครั้งนี้ที่ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ในการก่อสร้างจะต้องได้รับคืนทั้งหมด

ชาวกาฬสินธุ์ แพร่ พังงา เฮ! 'เฉลิมชัย' ประเดิมมอบของขวัญปีใหม่ 68 อนุญาตที่ดินทำกินในเขตป่าให้ชุมชนที่รอมายาวนาน รวมกว่า 6,600 ไร่

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่าได้ลงนามอนุมัติการเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อนำไปดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ให้กับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ แพร่ และพังงา รวมเนื้อที่กว่า 6,617 ไร่  

โดยพื้นที่แต่ละจังหวัดได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติมาแล้วตั้งแต่ปี 2564 และได้รับความเห็นชอบพื้นที่เป้าหมายจากคณะกรรมการจัดหาที่ดินแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2564 – 2565 แต่เนื่องจากทั้ง 3 พื้นที่ มีพื้นที่บางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ในเขตจำแนกการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ เขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม (Zone C) ที่ต้องมีการจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมให้คณะกรรมการเพื่อพิจารณารายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นชอบก่อนเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้พิจารณาอนุญาตการเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 นอกจากนี้ บางพื้นที่ยังมีการปรับลดเปลี่ยนแปลงเนื้อที่จากทางจังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบสภาพป่า ทำให้มีกระบวนการที่ทำให้ชาวบ้านต้องใช้ระยะเวลาในการรอคอยมาอย่างยาวนาน

“ในวันนี้ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แพร่ และพังงา ที่จะมีที่ดินทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ได้รับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นตามมา เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง ซึ่งหลังจากที่กระทรวงทรัพยากรฯ พิจารณาอนุญาตการเข้าใช้พื้นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปของทั้ง 3 จังหวัด จะเข้าสู่ขั้นตอนของคณะอนุกรรมการจัดที่ดิน โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ซึ่งมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ โดยประชาชนจะได้รับการจัดสรรที่ดินรายละไม่เกิน 20 ไร่ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับการจัดสรรเข้าถือครองพื้นที่ ร่วมกันดูแลรักษาพื้นที่ให้ดี ปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้พื้นที่อย่างเคร่งครัดต่อไป ครั้งนี้ ถือเป็นการประเดิมมอบของขวัญปีใหม่จากกระทรวงทรัพยากรฯ ให้กับพี่น้องประชาชนเป็น 3 จังหวัดแรก ใน 3 ภูมิภาค และในปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะเร่งดำเนินการในพื้นที่ที่เหลือให้ครบตามเป้าหมายโดยเร็วต่อไป” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

โดยพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดที่ได้รับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อดำเนินโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) ในครั้งนี้ ปะกอบด้วย พื้นที่ใน จ.กาฬสินธุ์ เนื้อที่ 661 ไร่ 3 งาน 39.37 ตารางวา  จ.แพร่ เนื้อที่ 3,606 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา จ.พังงา เนื้อที่ 2,350 ไร่ 1 งาน 41 ตารางวา ซึ่งทั้ง 3 พื้นที่มีกำหนดระยะเวลาการอนุญาต 30 ปี และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาต รวม 26 ข้อ เพื่อการร่วมดูแลและรักษาพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต่อไป

กาฬสินธุ์-ม.กาฬสินธุ์เปิดประชุมวิชาการระดับชาติ-นานาชาติ ครั้งที่ 3 

มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์จัดประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน”

(7 มี.ค.68) ที่อาคารกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ (พื้นที่ในเมือง) รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” (INNOVATION AND TECHNOLOGY FOR SUSTAINABLE AREA-BASED DEVELOPMENT: KSU INNO-TECH 2025 FOR SABD) โดยมีนายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดีม.กาฬสินธุ์ นายวิทยา ปัญจมาตย์ ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์ คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์และนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมพิธีเปิดและประชุม  

ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา และนิทรรศการทางวิชาการและนวัตกรรม ที่นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดี ม.กาฬสินธุ์ ในนามผู้แทนคณะกรรมการดำเนินโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความรู้และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการและสังคมอย่างยั่งยืน การประชุมวิชาการในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้พัฒนาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top