Tuesday, 22 April 2025
กัมมันตรังสี

‘ญี่ปุ่น’ พบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี 5.5 ตัน รั่วไหลจาก ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ’

(9 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นเปิดเผยการพบน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีรั่วไหลจากอุปกรณ์ภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ปริมาณรวม 5.5 ตัน

รายงานข่าวดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจากโตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ คอมปานี (TEPCO) ระบุว่าคนงานพบน้ำรั่วไหลออกจากอุปกรณ์ที่ใช้กรองน้ำปนเปื้อนนิวเคลียร์ระหว่างตรวจสอบอุปกรณ์ ตอนราว 08.53 น. ของวันพุธ (7 ก.พ. 67) ตามเวลาท้องถิ่น 

TEPCO เป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้า โดยประเมินว่าน้ำที่รั่วไหลมีปริมาณ 5.5 ตัน น้ำปนเปื้อนอาจมีสารกัมมันตรังสี เช่น ซีเซียมและสตรอนเชียม อยู่ราว 2.2 หมื่นล้านเบ็กเคอเรล

ทั้งนี้น้ำที่รั่วไหลออกมาทั้งหมดได้แทรกซึมลงสู่พื้นดิน แต่ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของระดับกัมมันตรังสีในช่องทางระบายน้ำใกล้เคียง ส่วนเทปโกได้ปิดพื้นที่ที่น้ำรั่วไหลเป็นพื้นที่ห้ามเข้าแล้ว

อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เคยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 9.0 ตามมาตราแมกนิจูด และสึนามิเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2011 ประสบเหตุแกนหลักหลอมละลายและปล่อยกัมมันตรังสีออกมาจนถือเป็นอุบัติเหตุนิวเคลียร์ ระดับ 7 ซึ่งสูงสุดในมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES)

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้ผลิตน้ำปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีปริมาณมหาศาลจากการหล่อเย็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในอาคารเตาปฏิกรณ์ ซึ่งปัจจุบันถูกกักเก็บอยู่ในถังที่โรงไฟฟ้าฯ

ญี่ปุ่นเริ่มต้นปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 แม้มีกระแสคัดค้านต่อเนื่องมากมายจากรัฐบาลและชุมชนต่าง ๆ หน่วยงานสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอ และกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคแปซิฟิก

18 กุมภาพันธ์ 2543 ยืนยันพบเหตุหายนะโคบอลต์-60 หลังซาเล้งเก็บไปขายร้านรับซื้อของเก่า

เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปัจจุบันคือสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ) ได้รับรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุรังสีโคบอลต์-60 ที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องฉายรังสีเก่าของโรงพยาบาลรามาธิบดีถูกนำไปทิ้งโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 รายและผู้ป่วยอีกหลายคนจากการสัมผัสรังสีอันตรายนี้

ย้อนกลับไปในช่วงปลายเดือนมกราคม 2543 เมื่อเครื่องฉายรังสีโคบอลต์-60 ที่หมดอายุของโรงพยาบาลรามาธิบดีถูกทิ้งไว้ที่โกดังของบริษัท กมลสุโกศล อิเล็คทริค จำกัด ก่อนจะถูกนำไปเก็บที่ลานจอดรถเก่าของบริษัทในซอยอ่อนนุช กรุงเทพฯ โดยไม่มีการจัดเก็บอย่างปลอดภัย กระทั่งวันที่ 24 มกราคม 2543 เมื่อชาย 4 คนลักลอบขนย้ายเครื่องฉายรังสีไปขายต่อให้กับร้านรับซื้อของเก่า โดยร้านดังกล่าวคือของ จิตรเสน จันทร์สาขา หรือที่เรียกกันว่า “ซาเล้งเก็บของเก่า”

จิตรเสนได้ซื้อเครื่องฉายรังสีและเศษเหล็กจากผู้ขายในราคา 8,000 บาท ก่อนที่จะรู้สึกถึงอันตรายเมื่อมือเริ่มแสบคันและพบอาการป่วยที่เกิดขึ้นในภายหลัง ต่อมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เขาได้นำเครื่องฉายรังสีไปขายที่ร้านรับซื้อของเก่าในสมุทรปราการ ซึ่งได้ถูกแยกชิ้นส่วนจนพบว่ามีแท่งโลหะที่แผ่รังสีโคบอลต์-60 อยู่

เมื่อผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องฉายรังสีสัมผัสกับรังสีเริ่มแสดงอาการป่วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มือบวมพอง และอาการแผลเน่า ทางแพทย์จึงเริ่มสรุปว่าอาจเกิดจากการสัมผัสกับรังสีอันตราย และได้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้ทำการตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติและเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบจุดต้นกำเนิดรังสีในเวลา 4.00 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งได้ทำการเก็บรักษาแท่งโลหะที่ปล่อยรังสีโคบอลต์-60 ไปยังที่ปลอดภัยภายใต้การกำบังรังสี

ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวงกว้าง โดยมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากรังสีจำนวนมากถึง 948 คนที่ต้องเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง รวมทั้งมีหญิงตั้งครรภ์ที่ต้องตัดสินใจทำแท้งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะมีต่อทารกในครรภ์

เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือดจากการสัมผัสกับรังสีโคบอลต์-60 ซึ่งรายแรกคือ นิพนธ์ ลูกจ้างที่ตัดแยกเครื่องฉายรังสี และต่อมาในวันที่ 18 มีนาคม สุดใจ ลูกจ้างอีกคน และวันที่ 24 มีนาคม สามีของเจ้าของร้านรับซื้อของเก่าก็เสียชีวิตตามมา ขณะที่จิตรเสน แม้จะรอดชีวิต แต่ก็ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลและมีอาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วมือทิ้ง

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุทางรังสีครั้งแรกในประเทศไทย และยังคงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการจัดการสารกัมมันตรังสีในประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top