Monday, 21 April 2025
กองทัพไทย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขันกีฬา โครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 เสริมความสามัคคีและสมรรถนะร่างกายของตำรวจ

เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน 2567) เวลา 18.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผย.ตร.) เป็นประธานปิดโครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 ณ สนามศุภชลาศัย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.สกพ. และข้าราชการตำรวจจำนวนมากเข้าร่วมเชียร์กีฬาและร่วมพิธีปิดโครงการ 

ซึ่งในวันนี้มีการแข่งขันกีฬาฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมตำรวจภูธรภาค 2 และทีมตำรวจภูธรภาค 9 ผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมตำรวจภูธรภาค 9 สามารถคว้าชัยชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4 ต่อ 2 จากนั้นเป็นการแข่งขันฟุตบอลทีมอาวุโส ระหว่างทีมตำรวจภูธรภาค 2 และทีมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ด้วยสกอร์ 2 ต่อ 1

นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันกีฬาสนุกสนานของข้าราชการตำรวจหน่วยต่างๆ และครอบครัวข้าราชการตำรวจ เข่น การแข่งขันวิ่งผลัด 4 สายงาน เป็นการวิ่งผลัดของตำรวจหน่วยงานต่างๆ โดย 1 ทีม จะประกอบด้วยสายงานสืบสวน จราจร ป้องกันปราบปราม และกองร้อยควบคุมฝูงชน แต่งกายในชุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทีมที่ชนะเลิศ ได้แก่ ทีมตำรวจภูธรภาค 2 , การแข่งขันวิ่งผลัดสามัคคีครอบครัวตำรวจ ทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมครอบครัวตำรวจภูธรภาค 2  

ในช่วงสุดท้ายเป็นพิธีปิดโครงการจัดเตรียมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2567 โดยมีผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพลกล่าวรายงานวัตถุประสงค์ โดยการแข่งขันกีฬาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการเสริมสร้างและพัฒนาสมรรถภาพทางกีฬาและร่างกายให้แก่ข้าราชการตำรวจ ในปีนี้มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 17 ประเภทกีฬา เริ่มแข่งขันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงพิธีปิดในวันนี้ 

จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ เป็นประธานมอบถ้วยและเหรียญรางวัลให้แก่นักกีฬาที่ชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ได้แก่ กรีฑา กอล์ฟ ตะกร้อ ต่อสู้และป้องกันตัว เทนนิส เทเบิลเทนนิส บาสเกตบอล แบดมินตัน เปตอง ฟันดาบ ฟุตซอล มวย ยิงปืน ยูโด วอลเลย์บอล ฟุตบอล และมอบรางวัลให้กับกลุ่มที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด ซึ่งได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว รวมทั้ง มอบรางวัลให้กับทีมที่ชนะเลิศวิ่งผลัด 4 สายงาน และวิ่งผลัดสามัคคีครอบครัวตำรวจ ด้วย

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับทีมชนะเลิศในการแข่งขันกีฬาแต่ละประเภท ซึ่งการแข่งขันกีฬานี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีส่งเสริมโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามัคคี และเพิ่มสมรรถนะร่างกายของตำรวจ ให้มีทักษะและมีประสิทธิภาพ เพื่อความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน

มูลนิธิคลังสมอง วปอ. เปิดศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพไทย ให้ นพม.17 แถลงผลงาน วิชาการ 'ความท้าทายของประเทศไทยในการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเข้าสู่สังคม Net Zero ในปี 2050'

เมื่อวันที่ (31 ก.ค.67) พลเอก บุญสร้าง เนียม ประดิษฐ์ ประธานคลังสมองอาวุโส วปอ. เพื่อสังคม ปวิธายุวัฒน์ เป็นประธานการเสวนาทางวิชาการ คลังสมอง วปอ. เพื่อ สังคม ครั้งที่ 1/2567 เรื่อง "สรรสร้างสังคม Net Zero ปี 2050 ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ณ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพไทย เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา แหลมแท่น จ.ชลบุรี 

ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก นรินทร์ แทบประสิทธิ์ ประธาน มูลนิธิคลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม , คณะผู้บริหารมูลนิธิฯ ,พลโทมนัส แถบทอง ผู้อำนวยการ หลักสูตร ผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง (นพม.) พร้อมผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง รุ่นที่ 17 ร่วมรับฟังการเสวนาครั้งนี้
 
อีกทั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ได้มีการแถลงผลงานทางวิชาการของผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง รุ่นที่ 17 (นพม.17) ซึ่งประกอบไปด้วยกรอบวิชาการ 6 กลุ่ม คลังสมอง วปอ. เพื่อสังคม จากประเด็น "ความท้าทายของประเทศไทยในการใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเข้าสู่สังคม Net Zero ในปี 2050" โดยครอบคลุมทุกด้านของยุทธศาสตร์ความมั่นคง คือ ด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสังคมจิตวิทยา ด้านการป้องกันประเทศ และด้านยุทธศาสตร์ ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคาร Convention Hall ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพไทยฯ แหลมแท่น จ.ชลบุรี

ส่องเมนูสวัสดิการภายใน 'ทบ.' มื้อละ 10 บาท ถูกกว่าทหารเกณฑ์ จัดเต็มด้วย 'ต้ม-ผัด-แกง-ทอด' หมุนเวียน ตบท้ายด้วยของหวาน

(2 ส.ค. 67) ภายหลังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโซเชียลมีเดีย กรณีทหารกองประจำการของหน่วยทหารหน่วยหนึ่งใน กทม. อัดคลิปรีวิวอาหารเช้า ประกอบด้วย 2 เมนู ต้มจืดแตงกวาใส่ไข่ กุนเชียงทอด สภาพเหมือนอาหารบูด มีแต่น้ำ พร้อมฝากถึงผู้บังคับบัญชาเข้ามาดูแล

ต่อมา กองทัพบก โดย พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ออกมายอมรับว่า ผู้บังคับหน่วยดังกล่าวได้ทราบเหตุการณ์แล้ว จึงได้พูดคุยทำความเข้าใจกับกำลังพล รวมถึงยอมรับข้อบกพร่องในการกำกับดูแลการแจกจ่ายอาหารให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ พร้อมทั้งให้ปรับปรุงเมนูอาหาร และวิธีการแจกจ่ายอาหารให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ ได้รับอย่างทั่วถึงพร้อมเพียงกัน 

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการหักเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือนของทหารกองประจำการในส่วนราชการ สังกัดกระทรวงกลาโหม เป็นไปด้วยความเรียบร้อยโดยหน่วยที่รับผิดชอบ กำกับดูแล รวมถึงให้การสนับสนุนการฝึกทหารใหม่ สามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ตรงตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม 

กลุ่มค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องหักจากเงินเดือนพลทหาร คือ การหักค่าประกอบเลี้ยง ประมาณ 2,100 บาทต่อเดือน หรือวันละประมาณ 70 บาท หรือ มื้อละ 23 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบราคาและคุณภาพอาหาร ซึ่งเป็นสวัสดิการภายในกำลังพลในกองบัญชาการกองทัพบก พบว่า ราคาถูกกว่าเท่าตัวของมื้ออาหารทหารกองประจำการ โดยแยกเป็น ทหารชั้นสัญญาบัตร และทหารชั้นประทวน ซึ่ง กินเมนูเดียวกัน ในราคามื้อละ 10 บาท โดยแต่ละมื้อ จะประกอบด้วย ต้ม แกง ผัด ทอด หมุนเวียนกันไป ตบท้ายด้วยของหวาน

สำหรับเมนูในวันนี้ คือ ส้มตำไทย 1 จาน ต้มแซ่บหมู 1 ถ้วย ข้าวสวยพร้อมไก่ทอด 2 ชิ้น ส่วนของหวาน ลอดช่องน้ำกะทิ

ในขณะที่บุคคลทั่วไปที่เข้ามาติดต่อราชการ สามารถเข้ามาใช้บริการ โดยคิดราคาคนละ 40 บาท

โดยสวัสดิการอาหารกลางวันกำลังพล ขายในกองบัญชาการกองทัพบก หัวละ 10 บาท เกิดขึ้นในยุค พล.อ.วิมล วงศ์วานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบก หวังช่วยเหลือและลดค่าใช้จ่ายของกำลังพล ซึ่งเป็นการนำเงินส่วนตัวของ พล.อ.วิมล มาอุดหนุน ในส่วนต่างราคาอาหาร แต่ต่อมา เนื่องจากวัตถุดิบประกอบอาหารมีราคาเพิ่ม ทำให้กองทัพบกต้องจัดงบประมาณมาอุดหนุนจนถึงปัจจุบันนี้

'เด็กจุฬาฯ' 3 นิ้ว ติดป้ายป่วนมหาลัยฯ กล้องพร้อมจับภาพนิ่ง-เคลื่อนไหว หลังหนังสือโจมตี 'กองทัพ' ถูกสั่งห้ามจัดงานเปิดตัวในรั้วมหาลัยฯ

(25 ก.ย. 67) จากกรณี กอ.รมน.ออกมาท้วงติง หนังสือที่มีชื่อว่า 'ในนามของความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย' ที่เขียนโดย รศ.ดร.พวงทอง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เพราะมีข้อมูลในลักษณะที่เป็นเท็จ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัด พิจารณาเรื่องการละเมิดข้อบังคับจริยธรรม ของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป

งานนี้สะเทือนถึงต้นสังกัด อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต้องออกมาเคลื่อนไหวทันที โดยล่าสุด รศ.ดร.พวงทอง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า ดิฉันได้รับทราบจากท่านคณบดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ จัดงานเปิดตัวหนังสือ 'ในนามความมั่นคงภายใน : การแทรกซึมสังคมไทยของกองทัพ' โดยไม่ได้เหตุผลที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้ ได้รับรางวัลจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 66

ส่วนคณะรัฐศาสตร์ ยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงิน ในการจัดงานครั้งนี้ และภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยังยินดีเป็นเจ้าภาพจัดงานต่อไป จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม คณะรัฐศาสตร์ไม่สามารถให้ใช้สถานที่ได้ เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถือว่าตนเป็นเจ้าของสถานที่ทั้งหมดในรั้วจุฬาฯ สอนเรื่องกระจายอำนาจการปกครองไปทำไม

รศ.ดร.พวงทอง ระบุอีกว่า ขอขอบพระคุณอย่างสูง ต่อผู้บริหารของหอศิลป์บ้านจิม ทอมป์สัน ที่ยินดีให้พื้นที่เสรีภาพแก่งานวิชาการ ที่ตกเป็นเป้าของอำนาจรัฐ ทั้ง ๆ ที่รับทราบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันที่จริงคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่ ที่แสดงความยินดีให้เราใช้สถานที่ได้ แต่เราติดต่อกับทางบ้านจิมเรียบร้อยก่อนแล้ว และการเดินทางมาบ้านจิม ก็ค่อนข้างสะดวก จึงขอขอบคุณคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มา ณ ที่นี้ด้วย ย้ายแค่สถานที่ แต่เวลาเดิม ศุกร์ที่ 27 กันยายน 15.30-17.30 น. แล้วพบกันค่ะ รศ.ดร.พวงทอง ทิ้งท้ายด้วยว่า ประเทศที่เสรีภาพทางวิชาการ เป็นเรื่องตลก
.
ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไท ได้เปิดเผยว่า ช่วง 11.20 น. ที่บริเวณคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตจุฬาฯ และเพื่อนอีก 1 คน ได้ทำกิจกรรมแปะป้ายเรียกร้องเสรีภาพวิชาการ ในพื้นที่มหาวิทยาลัย ที่คณะรัฐศาสตร์ หน้าอาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ หลังมหาวิทยาลัยไม่ให้ใช้สถานที่จัดงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเล่มดังกล่าว

โดยมีการนำป้ายกระดาษที่ระบุข้อความว่า ‘เสรีภาพทางวิชาการ = Fake News ผลิตโดยจุฬาฯ’ / ‘เสรีภาพทางวิชาการกี่โมง’ / ‘ผู้บริหารจุ เป็นอะไรกับทหาร’ ติดที่ป้ายคณะรัฐศาสตร์ แต่ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย เมื่อพนักงานมหาวิทยาลัย ได้รีบเข้ามาดึงป้ายกระดาษดังกล่าวออกไปทันที พร้อมนำโทรศัพท์มาถ่ายคลิปของนิสิตดังกล่าวที่มาทำกิจกรรมป่วน และสอบถามว่าอยู่คณะอะไร แต่เจ้าตัวไม่ฟัง และยังดำเนินกิจกรรมต่อไป โดยได้ไปติดป้ายกระดาษที่อาคารจุลจักรพงษ์ และอาคารของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย ซึ่งระหว่างการติดป้ายข้อความดังกล่าว จะเห็นว่ามีผู้ชาย 1 คน ทำหน้าที่ถ่ายภาพตลอดเวลา ส่วนอีกคนทำหน้าที่ถ่ายคลิปวิดีโอ

นิสิตคนดังกล่าว อ้างว่า ที่ทำกิจกรรมนี้ ไม่ได้ต้องการทำเพื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่เพราะว่ามหาวิทยาลัย ควรจะเป็นสถานที่จะจัดงานวิชาการแบบนี้ได้ จุฬาฯ ไม่เคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเสรีภาพการแสดงออก แล้วเธอก็ยังตั้งคำถามด้วยว่า การที่ก่อนหน้านี้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ออกมาแบนหนังสือเล่มนี้ ทำไมจะต้องให้มีอิทธิพลเหนือผู้บริหารมหาวิทยาลัยด้วย ทั้งที่คณะรัฐศาสตร์ก็ยังอนุญาตให้จัดได้ แต่ทำไมทางมหาวิทยาลัย กลับเข้ามาแทรกแซงการทำงานของคณะ

ทั้งนี้ ที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่า รศ.ดร.พวงทอง ได้ใช้เฟซบุ๊กแชร์คลิปข่าวดังกล่าวของประชาไท พร้อมระบุแคปชันว่า “ขอบคุณนิสิตมากๆ ค่ะ ด้วยความนับถือ”

อย่างไรก็ตาม เพจ 'นักเรียนดี' ได้โพสต์ถึงกรณีนี้ด้วยว่า "ล่าสุด!! จุฬาฯ ไฟเขียวให้ใช้พื้นที่จัดงานเสวนาหนังสือ ฟ้าเดียวกัน 'ในนามของความมั่นคงภายใน' ได้ อธิการบดีจุฬาฯ ยันมหาวิทยาลัยให้เสรีภาพ"

สถานการณ์ความรุนแรงใน ‘เมียนมา’ เริ่มจะเบาบางลง เหตุ!! ‘งบน้อย-จีนออกมาปราม-เตรียมเดินหน้าเจรจา’

(12 ต.ค. 67) หลายวันก่อนเอย่าไปคุยถึงสถานการณ์เมียนมากับมิตรสหายสายข่าวกรองในเมียนมาท่านหนึ่งว่าทำไมช่วงนี้ความรุนแรงในเมียนมาเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด มิตรสหายท่านนั้นได้บอกเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว

อันแรกคือการที่ประเทศผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการกำลังมีการจะมีเลือกตั้งผู้นำ  ทำให้นโยบายต่างประเทศไม่ชัดเจนดังนั้นพอเงินที่มาน้อยลงใบเสร็จก็ลดลงตาม

ประเด็นที่ 2 การที่จีนผู้เคยเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องออกโรงมาปรามกลุ่มกองกำลัง 3 พี่น้องอันมาจากเหตุที่เข้าไปยึดล่าเสี้ยว ทำให้สถานการณ์ทางเหนือของเมียนมาเงียบลง

ล่าสุดทางรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกประกาศเชิญชวนชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ รวมถึงกลุ่ม PDF ไปถึง NUG ให้เข้ามาเจรจาสันติภาพเพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งในเมียนมา ซึ่งแน่นอนว่าประกาศนี้ถูกฝ่าย NUG ออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เข้าร่วม ซึ่งถ้าถามเอย่าว่าแปลกใจไหมบอกเลยว่าไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะทางรัฐบาลทหารเมียนมาก็ต้องการคำตอบนี้จาก NUG เช่นกันและผลักดันให้ NUG กลายเป็นตัวร้ายในสายตาชาวโลก

การที่เมียนมากล้าทำแบบนี้เพราะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้การช่วยเหลือ อันได้แก่รัสเซีย จีน และอินเดีย ดังปรากฏให้เห็นแล้วว่าเมื่อจีนกับอินเดียเป็นแบ็กอัปให้เมียนมาทำให้สถานการณ์ทางเหนือและฝั่งตะวันตกเบาบางลงเหลือเพียงสถานการณ์ฝั่งตะวันออกเท่านั้น

จากสถานการณ์สงครามในเมียนมาฝั่งตะวันออกติดแนวชายแดนไทยทำให้มูลค่าส่งออกลดลงนับหลายพันล้านบาทนี่ไม่นับปัญหาที่ไทยจะต้องมานั่งรับผิดชอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้อพยพหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผู้อพยพเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทยไปถึงการฟอกขาวเป็นคนไทย ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติดสุดท้ายคือการที่ไทยกลายเป็นแหล่งระดมทุนซื้อขายอาวุธส่งให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา

ทั้งหมดที่เอย่ากล่าวมานี้คือผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย แต่ทว่ารัฐบาลไทยก็ดี กองทัพไทยก็ดี ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หรือจะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยสร้างความสงบสุขในเมียนมา

เอย่าก็ไม่ได้อยากจะต่อว่ารัฐบาลและกองทัพไทยในเวลานี้เข้าใจว่าทั้งรัฐบาลไทยและกองทัพคงกำลังช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนกับสถานการณ์วาตภัยอยู่ แต่การละเลยปัญหาประเทศเพื่อนบ้าน คนที่ได้รับผลกระทบก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนไทยด้วยกันเอง

สุดท้ายผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพไทยควรหัดมาถามชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่มีต่างด้าวมากมายเพ่นพ่านในประเทศไทย

‘ว้าแดง’ ออกแถลงการณ์!! ไม่คิดทำสงครามกับไทย ชี้!! ถูกสื่อบิดเบือน กล่าวอ้างเท็จ ด้วยเจตนาร้ายแอบแฝง

(8 ธ.ค. 67) จากสถานการณ์ชายแดน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีข่าวว่า ‘ว้าแดง’ มีความตึงเครียดและเผชิญหน้ากับทหารไทย ว่า ในวันนี้ ทางว้าแดง ได้ออกเอกสารข่าวจำนวน 3 ฉบับ ระบุว่า แถลงข่าวลือข้อกล่าวหาความตึงเครียดระหว่างไทยกับว้าแดง เมื่อเร็วๆ นี้ สื่อบางส่วนได้ออกมากล่าวอ้างอย่างไร้ความรับผิดชอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับข่าวกองทัพไทยจะโจมตีรัฐว้า นี่เป็นเพียงข่าวลือและก่อให้เกิดความขัดแย้งเท่านั้น

รัฐว้าไม่เคยบอกว่าจะเป็นศัตรูกับกองทัพไทย หรือไปทำสงครามกับกองทัพไทย บางสื่อประดิษฐ์คำกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเหล่านี้อย่างมุ่งร้ายด้วยเจตนาแอบแฝง โดยกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย

สันติภาพเป็นกระแสทั่วไปของโลกทุกวันนี้ และว้าก็แสวงหาสันติภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ว้าประณามกลุ่มข่าวลือที่จงใจสร้างปัญหาและพยายามก่อให้เกิดสงคราม และหวังว่าชาวเน็ตส่วนใหญ่จะจับตาดูและไม่เชื่อหรือเผยแพร่ข่าวลือ

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ‘กองทัพ’ พร้อมรบปกป้องอธิปไตย ย้ำชัด ‘ทหารไทย’ ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ปมว้าแดงรุกล้ำเขตแดน

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ทหารไทย ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ ปมว้าแดงรุกชายแดน ย้ำ 'กองทัพ' พร้อมปกป้องอธิปไตย ชี้ รบกันไม่ยาก แต่ผลกระทบเกินเยียวยา

(20 ธ.ค.67) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยเมียนมา กรณีพื้นที่ที่มีการพิพาทเกิดขึ้นกับกลุ่มว้าแดงในขณะนี้ ว่า ประเด็นนี้ไม่ขอลงรายละเอียด แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตยหากเกิดการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามา เช่นเดียวกับกรณีที่เมียนมายังคงไม่ปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทย ไม่อยากจะลงในเรื่องของรายละเอียด เนื่องจากอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งอาจกระทบต่อขั้นตอนการเจรจา อาจทำให้คนไทยที่อยู่ฝั่งนู้นได้รับผลกระทบ 

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าหน่วยงานความมั่นคง ไม่ได้อ่อนเกินไป พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ได้อ่อน เราพร้อมปฏิบัติการเมื่อรัฐบาลสั่งการ แต่การพูดคุยจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว แต่อยากให้เชื่อใจ หากเป็นเรื่องอธิปไตย กองทัพปกป้องแน่นอน ไม่ยอมให้ใครมารุกล้ำอธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน การพูดคุยก็ต้องคำนึงถึงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน

"การรบกัน การปะทะกัน เป็นอาชีพของทหาร และความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย"

เมื่อถามว่ากลุ่มว้าแดง ไม่ได้รุกล้ำมาเพียงแค่จุดเดียว แต่ตลอดแนวชายแดนไทยเมียนมา มีการรุกล้ำถึง 80 จุด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ปัจจุบันยังปักปันชายแดนไม่แล้วเสร็จ จึงมีพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนหลายแห่ง ก็ต้องมีการพูดคุยกันในคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย - เมียนมา (TBC)และยืนยันว่าไม่มีเดดไลน์อย่างที่เป็นข่าว 

เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมมีแนวทางอื่นหรือไม่ ในเมื่อการปักปันเขตแดนไม่สามารถทำได้ในพื้นที่ที่เกิดการสู้รบ เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว แม้ไม่มีแนวเขตแดน แต่เรามีเส้นปฏิบัติการที่กำหนดว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันบริเวณไหน เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเรามีคนไทยในการพูดคุยอยู่แล้ว และมีความแน่นแฟ้นกับชนกลุ่มน้อย แต่พื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ที่เราไม่ได้พูดคุยกับเมียนมาโดยตรง มีชนกลุ่มน้อย ที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มอยู่ตรงนั้น เราจึงใช้กลไกทั้ง TBC และกลไกอื่น ๆ เข้ามาเสริม

นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ยังฝากไปถึงสื่อโซเชียลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ว่า ขอให้มั่นใจ กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตย และในการพูดคุยเราไม่ได้มองแค่ประเด็นด้านความมั่นคงหรือการทหารเพียงอย่างเดียว มีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน การรบการปะทะกันน่ะง่าย แต่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยากที่จะเยียวยา กองทัพจึงคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำนึงจนอ่อนอย่างที่สังคมวิจารณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตย เราก็พร้อม ปฏิบัติการได้ทันที

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการด้านกิจการทหาร สรุปการเดินทางไปหารือข้อราชการกับ พลเรือตรี หวัง เจิ้ง ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย 

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค.68) เวลา 09.00 -10.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ นำโดย พลเอก สวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการ ว่าที่พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์  รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมาธิการ และนางสาวนวลนิจ  หงษ์วิวัฒน์ รองเลขานุการคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยอนุกรรมาธิการ และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ ได้ร่วมประชุมหารือข้อราชการกับ พลเรือตรี หวัง เจิ้ง ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย พร้อมด้วยคณะผู้ร่วมหารือของฝ่ายจีน สรุปประเด็นสำคัญในการหารือข้อราชการ ดังนี้

1.การฝึกซ้อมร่วมกันของกองทัพไทยจีนกับกองทัพจีนซึ่งเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคง ในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติ จะเป็นประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและการรักษาพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บโดยหน่วยทหาร รวมทั้งเป็นกิจกรรมที่จะนำมาซึ่งการกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างกองทัพไทยและกองทัพจีนในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ

2.ผู้ช่วยทูตทหารฝ่ายทหารของสาธารณรัฐประชาชนจีนแสดงความสนใจที่จะไปชมศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และเห็นด้วยสำหรับกิจกรรมความร่วมมือในอนาคต ด้วยการจัดการฝึกร่วมระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพจีนทั้งการฝึกกู้ภัยพิบัติและการให้ความความช่วยเหลือด้านการแพทย์ทหาร ซึ่งรายละเอียดจะได้มีการหารือระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบของฝ่ายจีนและฝ่ายไทยต่อไป 

ข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการด้านกิจการทหาร

การฝึกกู้ภัยพิบัติและการให้ความความช่วยเหลือด้านการแพทย์ทหาร นอกจากจะสามารถขยายผลไปสู่ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว ยังจะขยายผลความร่วมมือด้านความมั่นคงไปสู่ประเทศอื่น ๆ ทั้งในอาเซียน และประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เช่น สหรัฐอเมริกา โดยที่ประเทศไทยมีบทบาทนำในการประสานความร่วมมืออีกด้วย จึงเห็นสมควรรายงานกราบเรียนประธานวุฒิสภา และเรียนประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ทราบ เพื่อเป็นประเด็นในการหารือข้อราชการเกี่ยวกับการเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศสำหรับการประชุมในกรอบสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) และการประชุมทวิภาคีของรัฐสภาไทยกับประเทศที่เกี่ยวข้องต่อไป 

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการด้านกิจการทหารจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

กลุ่มเซ็นทรัล ส่งมอบบ้าน 72 หลัง ให้กลุ่มเปราะบาง ร่วมเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(17 ก.พ. 68) พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมทั้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ คุณปริญญ์ จิราธิวัฒน์ รองประธานและกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และคุณสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมพิธีฯ ณ ห้องรับรอง 11 กองบัญชาการกองทัพไทย

สำหรับการจัดพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นความร่วมมือกันระหว่าง กองทัพไทย ประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ  กองทัพอากาศ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมฯ ได้พิจารณาเห็นชอบให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ 

โดยน้อมนำพระราชปณิธานที่ทรงมีความห่วงใยและทรงให้ความสำคัญในความเป็นอยู่และที่อยู่อาศัยของราษฎร มาเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการฯ มีกำหนดปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน จำนวน 72 หลัง ซึ่ง บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างตามโครงการฯ ให้กับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ นำไปซ่อมแซมบ้านเรือนช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือบุคคลไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านบ้านพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 53 หลัง และจังหวัดนราธิวาส จำนวน 19 หลัง ที่บ้านปารีย์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ของเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปลายปี 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top