Monday, 9 June 2025
กระทรวงการต่างประเทศ

‘มาริษ’ จ่อไป ‘กัมพูชา’ ถกรื้อสันเขื่อนกินรวบ ‘เกาะกูด’  ชี้!! คงต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ใช่จะไปขอเขาอย่างเดียว 

(28 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมาริษ​ เสงี่ยม​พงษ์​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ต่างประเทศ​ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่​ นายไพบูลย์​ นิติตะวัน​ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะนักกฎหมายอิสระ ทำหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย MOU 2544 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังพบไม่ได้มีการพิจารณาผ่านสภาฯ​ ว่า​ ยืนยันว่า MOU ไม่ได้มีบทบังคับอะไร หรือเป็นสนธิสัญญา และปัจจุบันเรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า MOU 2544 ไม่ได้ส่งผลต่อเขตแดนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา  

เมื่อถามว่าภายหลังที่นายฮุน​ มาเนต​ มาเยือนไทยได้มีการตั้งคณะกรรมการ​ร่วมเพื่อผลักดันเรื่องนี้หรือไม่​ นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ยังไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการ​ เพราะท้ายที่สุดแล้วเราต้องพิจารณาให้ชัดเจน​ เรื่องผลประโยชน์​อยู่ตรงไหน​ และที่สำคัญตนกำลังหารือกันเป็นการภายในกระทรวงการต่างประเทศ​ เพื่อเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่าง​ โดยอยากให้กระทรวงการต่างประเ​ทศได้ชี้แจงและให้ความรู้กับ​ประชาชน​ ซึ่งตนขอเวลาให้ได้พูดคุยรายละเอียด​ให้เรียบร้อยก่อน​ ซึ่งตนตั้งใจที่จะให้ข้อมูลกับสารธารณะชนให้ได้มากที่สุด​ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสน​

เมื่อถามว่าทางกระทรวงกลาโหมเคยทำหนังสือมายังรัฐบาล​ ให้แบ่งผลประโยชน์​ทับซ้อนควบคู่กับการปักปันเขตแดน​ นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ขอคุยรายละเอียด​ในกระทรวงการต่างประเทศก่อน​ เพราะตนก็ต้องดูทุกสิ่งทุกอย่าง​เป็นไปตาม​กฎหมายหรือไม่​ และต้องการให้ทุกคนเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร​

ส่วนกรณี​จะต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญ​รับคำร้องของนายไพบูลย์​ หรือไม่นั้น​ นายมาริษกล่าวว่า​ ก็เป็นเรื่องของทางศาล​ แต่ในส่วนของการมานั่งพูดคุยกันของผู้ปฏิบัติงาน​ เพื่อให้เกิดความชัดเจน​ ก็สามารถดำเนินการไปได้​

เมื่อถามถึงกรณีที่ทางกัมพูชาสร้างสันเขื่อนลงทะเลอ่าวไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศ​ต้องทำหนังสือ​ประท้วงไปอีกครั้งหรือไม่​ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคย ดำเนินการไปแล้วเมื่อปี 2564 นายมาริษ​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้ และตนมีแผนที่จะไปเยือนกัมพูชาเร็ว ๆ นี้ ซึ่งขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศดีมาก เราต้องดูเวลาว่าควรเป็นช่วงใด ซึ่งในกรอบของอาเซียน ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ อยากเน้นให้ได้สบายใจว่า ประเทศไทยจะมีบทบาทนั้น ในเรื่องของการช่วยกันแก้ไขปัญหา ซึ่งถือเป็นคาแรคเตอร์สำคัญของประเทศไทย ที่เป็นผู้ประสานประโยชน์ ให้กับทุกกลุ่มทุกประเทศได้ถือเป็นจุดแข็ง ซึ่งตรงนี้จะเอามาเน้น เพื่อมีบทบาทนำ ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะในเวทีทวิภาคีเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงเวทีพหุภาคีด้วย ยืนยันว่าตรงนี้อยู่ที่ช่วงเวลาที่เหมาะสมทั้งหมด

เมื่อถามว่าเราจะใช้ความสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาขอร้องให้รื้อสันเขื่อนดังกล่าวหรือไม่ นายมาริษ​ กล่าวว่า ขอดูระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะเรื่องความสัมพันธ์ไม่มีปัญหา เป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ว่าจะไปขอเขาอย่างเดียว ก็ต้องดูว่าเรามีอะไร ที่จะไปแลกเปลี่ยนเขาได้​ 

เมื่อถามว่า คนไทยไม่สบายใจ เพราะกัมพูชา สร้างสรรค์เขื่อนดังกล่าว โดยยึดหลักเขตที่ 73 ซึ่งกินพื้นที่เกาะกูด​ จังหวัดตราด นายมาริษ​ กล่าวว่า​ ตนเข้าใจ

'ก.ต่างประเทศไทย' ออกแถลงการณ์ ยืนยันความภาคภูมิใจ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า...

คำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นเอกสิทธิ์ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ภายใต้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ และคำตัดสินของศาล เป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถแทรกแซงได้ โดยอำนาจอื่นหรืออำนาจรัฐบาล และผลคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย และต้องได้รับความเคารพโดยปวงชนชาวไทย

อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเน้นย้ำอีกว่า ประเทศไทยจะยังคงดำเนินแนวทางค่านิยมตามหลักการประชาธิปไตย และในฐานะรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และย้ำความมุ่งมั่นต่อพันธกรณี และเสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ และเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง

ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อขนบประเพณีไทย ที่สร้างความเป็นชาติตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของไทย และประเทศไทย จะดำเนินตามขนบประเพณีและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้อย่างมั่นคง ด้วยความภาคภูมิใจ และมีศักดิ์ศรี พร้อมเชื่อมั่นว่า ประชาชนคนไทยทุกคน จะเคารพในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และร่วมการนำพาประเทศไปข้างหน้า ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป

'มาริษ' กล่าวถ้อยแถลง บนเวที BRICS Plus Summit  ย้ำไทยพร้อมเป็นตัวเชื่อมระหว่าง BRICS กับกลุ่มอื่น ๆ 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำระหว่างกลุ่มประเทศ BRICS กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา หรือ BRICS Plus Summit ครั้งที่ 4 ณ Kazan Expo เมืองคาซาน รัสเซีย ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรี

รัฐมนตรีต่างประเทศ  ได้กล่าวถ้อยแถลงในโอกาสดังกล่าว โดยเน้นความสำคัญของการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบพหุภาคีที่สมดุลและเป็นประโยชน์ต่อประเทศกําลังพัฒนามากขึ้น พร้อมเน้นย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการยกระดับการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม BRICS และเชื่อว่าไทยจะเป็นตัวเชื่อมระหว่าง BRICS กับกลุ่มอื่น ๆ อาทิ ASEAN APEC BIMSTEC และ ACD ได้เป็นอย่างดี 

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เสนอให้มีการหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเงินระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับประเทศกําลังพัฒนามากขึ้น โดยได้เชิญสมาชิก BRICS เข้าร่วม high-level discussions on the financial architecture ซึ่งไทยในฐานะประธาน ACD จะจัดขึ้นในปีหน้าด้วย

‘มาริษ’ ไม่อยู่เฉย ร่อน ‘หนังสือประท้วง’ ทางการอิสราเอล หลัง ‘แรงงานไทย’ เสียชีวิตแล้ว!! 4 ราย บาดเจ็บ 1 ราย

(2 พ.ย. 67) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงเหตุยิงจรวดเข้าไปในเขตประเทศอิสราเอล และทำให้คนไทยเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ว่าขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง กระทรวงการต่างประเทศพยายามอย่างยิ่งที่จะชะลอการเดินทางของแรงงานไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าว และกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ เข้าใจดีว่าการเข้าไปทำงานของแรงงานไทยเพราะต้องการมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า

แต่อยากจะขอความร่วมมือทุกภาคส่วนรวมทั้งประชาชนชาวไทยว่า ณ ขณะนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางไม่ใช่สถานการณ์ธรรมดา แต่มีความขัดแย้งรุนแรง ดังนั้นขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายและประชาชนไม่เดินทางไปยังประเทศอิสราเอลและภูมิภาคตะวันออกกลาง

รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุเสียชีวิตของแรงงานไทย สถานทูตได้ทำการประท้วงไปยังหน่วยราชการของอิสราเอล เนื่องจากพื้นที่ที่แรงงานไทยเสียชีวิตนั้น เป็นพื้นที่ที่ทางการอิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ทางทหาร แต่มีความพยายามของนายจ้างชาวอิสราเอลที่นำแรงงานเข้าไปทำงานเป็นการชั่วคราวระยะสั้น 2-3 ชั่วโมง แม้จะเป็นระยะสั้นแต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้นเมื่อใด จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้รับข่าวร้ายและมีการสูญเสีย ที่สำคัญตนไม่ต้องการเห็นแรงงานไทยเสียชีวิตในภูมิภาตะวันออกกลางอีก จึงขอให้หน่วยราชการไทยร่วมกันช่วยชะลอการเดินทางเข้าไปทำงานของคนไทยในภูมิภาคดังกล่าว

เมื่อถามว่าประเมินสถานการณ์แล้วมีความน่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สถานการณ์น่าเป็นห่วงแน่นอน กรณีการขยายตัวของสงครามมีแน่นอน แต่คงไม่อยู่ในสเกลที่ไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นหรือมีการปะทะกันเป็นกรณี แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่ไม่ทราบเรื่อง ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จึงใช้กรณีนี้เรียกร้องรัฐบาลอิสราเอลยุติการนำแรงงานไทยเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่อิสราเอลประกาศเป็นพื้นที่ต้องห้าม

นายมาริษ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยังได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลแล้ว ในฐานะที่ประเทศไทยเพิ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เราจึงมีหน้าที่ต้องแสดงจุดยืนในเรื่องสำคัญ จึงขอให้ช่วยใช้ความยับยั้งชั่งใจเพื่อพยายามป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมขอให้ทุกฝ่ายหยุดการกระทำที่จะนำไปสู่การขยายตัวของสงคราม และต้องมานั่งเจรจาเพื่อหาทางยุติข้อขัดแย้ง บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติเป็นหลัก เพราะจุดยืนของไทยคือยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

รมว.กต.เผยเยือนออสเตรเลียกระชับความร่วมมือรอบด้าน ทั้งความมั่นคงมนุษย์-อาหาร-พลังงาน-หลักสูตรส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมชวนลงทุนในประเทศไทย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนนครแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย 'เพนนี หว่อง' เชิญเดินทางเยือน และได้มีการวางแผนการเยือนล่วงหน้าแล้วกว่า 3 เดือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างไทย และออสเตรเลีย ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ก่อนที่การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือ Thailand-Australia Biennial Foreign Ministers’ Meeting ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 2 ปี ระหว่างไทย-ออสเตรเลียจะเริ่มต้นขึ้นว่า พัฒนาการความร่วมมือไทย-ออสเตรเลียนั้น ฝ่ายออสเตรเลียพร้อมสนับสนุนประเทศไทย ทั้งการจัดสรรงบประมาณจำนวน 222.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย สำหรับโครงการ Mekong-Australia Partnership ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้งด้านการฝึกอบรม การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งยังพร้อมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม OECD Southeast Asia Regional Programme หรือ SEARP ของไทย ซึ่งเน้นบทบาท และความมุ่งมั่นของไทยในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และออสเตรเลีย ยังพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเกษตร อาหาร ยา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ในการประชุมฯ ดังกล่าว ยังได้หารือเรื่องการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความมั่นคงของมนุษย์ อาหาร และพลังงาน ให้เป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดกับประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และในภูมิภาค โดยตนเองได้นำเสนอศักยภาพ และข้อได้เปรียบของประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งในทำเลยุทธศาสตร์ สามารถเสริมสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างออสเตรเลียกับภูมิภาคเอเชียตะวันออก, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ โดยได้ยกตัวอย่าง EEC ที่ท่าเรือระนอง ตลอดจนโครงการ Landbridge ให้ได้รับทราบ พร้อมทั้งยังได้เชิญชวนให้ฝ่ายออสเตรเลียมาลงทุน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้ให้ความสนใจ และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ 

นายมาริษ ยังเปิดเผยอีกว่า ก่อนประชุมฯ ดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ได้นำชมสถาบัน Australian Institute for Machine Learning หรือ AIML ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นประโยชน์ด้าน พลังงาน การจัดการข้อมูล และการคำนวณ ซึ่งตนเห็นว่า ภารกิจและความเชี่ยวชาญของสถาบันฯ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เรื่องการส่งเสริมอุตสาหกรรม และ Workforce สำหรับอนาคต โดยคำนึงถึงการหาสมดุล ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลกับความเป็นส่วนตัว จึงได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตไทย ประจำออสเตรเลียแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่าง AIML กับสถาบันการศึกษาในไทย เพื่อจัดตั้ง School of AI ในการพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยี AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศออสเตรเลีย เป็นคู่ค้าอันดับ 7 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของออสเตรเลีย ซึ่งระหว่างไทยและออสเตรเลียนั้น มูลค่าการค้ารวมกว่า 19,054.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลการค้ากว่า 5,375.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทย มีการส่งออกไปออสเตรเลียประมาณ 12,214.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าสำคัญได้แก่ รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, เม็ดพลาสติก และเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ส่วนประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย จำนวนราว 6,839.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พืช และผลิตภัณฑ์จากพืช สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะ และผลิตภัณฑ์ถ่านหิน และเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ เป็นต้น

นอกจากนั้น ประเทศไทย มีภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการลงทุนในออสเตรเลียโดยรวมประมาณ 7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ ปตท.สผ., บริษัทมิตรผล, บริษัทราช เครือไมเนอร์ และบริษัทบ้านปู และออสเตรเลียเอง มีการลงทุนในประเทศไทย จำนวนประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาทิ บริษัท Linfox, บริษัท Anca Manufacturing 

สำหรับตัวเลขด้านการท่องเที่ยวนั้น มีนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยรวม 687,745 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทย ไปท่องเที่ยวที่ออสเตรเลียรวม 107,320 คน รวมทั้งยังมีคนไทยในออสเตรเลีย จำนวน 113,751 คน แบ่งเป็นเป็นนักเรียน-นักศึกษา 25,887 คน โดยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนนักเรียน-นักศึกษาในออสเตรเลียมากเป็นอันดับ 7 รองจากจีน, อินเดีย, เนปาล, โคลอมเบีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงยังมีร้านอาหารไทยในออสเตรเลีย ประมาณ 2,200 ร้าน และคนออสเตรเลียในประเทศไทย ประมาณ 35,000 คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ

ไทยคิกออฟ 'e-Visa'พร้อมให้คนทั่วโลกลงทะเบียน เริ่ม 1 ม.ค. 2568 อำนวยความสะดวกนักเดินทางเข้าไทย

(19 ธ.ค.67) ประเทศไทยเตรียมเปิดให้บริการระบบตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Visa เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติในการยื่นขอวีซ่าออนไลน์จากทุกที่ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 นี้ ผ่านเว็บไซต์ www.thaievisa.go.th

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานในงานเปิดตัว 'Kick-off THAI E-VISA: Apply, Anywhere, Anytime' เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 โดยระบบ e-Visa นี้จะครอบคลุมสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลไทย 94 แห่งทั่วโลก ช่วยให้ผู้เดินทางสามารถยื่นขอวีซ่าได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น

นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ อธิบดีกรมการกงสุล กล่าวถึงการพัฒนาระบบ e-Visa ซึ่งเริ่มต้นในปี 2562 และต่อยอดเป็นการออกวีซ่าแบบออนไลน์ในปี 2564 ปัจจุบันพร้อมใช้งานทั่วโลก ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อความสะดวกในการสมัครวีซ่า โดยใช้หลักการ 3 A คือ Apply (สมัคร) Anywhere (ที่ใดก็ได้) และ Anytime (เมื่อใดก็ได้) ช่วยให้นักเดินทางไม่ต้องไปที่สถานทูตหรือยื่นเอกสารหลายฉบับ เพียงแค่เข้าเว็บไซต์ก็สามารถขอวีซ่าได้ง่ายๆ และปลอดภัย

นายมาริษ กล่าวว่า การเปิดตัวระบบ e-Visa จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ นักลงทุน และนักศึกษา โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก และลดข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ระบบ e-Visa ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก พร้อมย้ำจุดยืนของไทยในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ ระบบ e-Visa ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อการคัดกรองและแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์

สำหรับนักเดินทางจาก 93 ประเทศที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา สามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้ไม่เกิน 60 วัน โดยไม่จำเป็นต้องยื่นขอ e-Visa ส่วนวีซ่าประเภทอื่น ๆ เช่น วีซ่านักเรียน หรือวีซ่าทำงาน ก็สามารถยื่นขอผ่านระบบนี้ได้

ทั้งนี้ ระบบการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าผ่านออนไลน์จะพร้อมใช้งานในบางประเทศภายใน 6 เดือน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางมากยิ่งขึ้น

ระบบ e-Visa นี้จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด เพื่อรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

‘โฆษก ก.ต่างประเทศ’ แถลงไม่ทิ้ง!! ลูกเรือประมงไทย ย้ำ!! เดินหน้าประสาน ทางการเมียนมา เพื่อขอให้ปล่อยตัว

(5 ม.ค. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการ เกี่ยวกับ ‘ลูกเรือประมงไทย’ โดยมีใจความว่า ...

ตามที่เกิดเหตุการณ์ลูกเรือประมงไทย 4 คนถูกจับโดยกองทัพเรือเมียนมา และถูกตัดสินคดีต้องโทษจำคุกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันผลักดันกับทางการเมียนมาเพื่อขอให้มีการปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว นั้น

จากการประกาศของทางการเมียนมาในเรื่องการปล่อยตัวผู้ต้องขัง และนักโทษต่างชาติเมื่อวานนี้ (4 มค. 68) รวมนักโทษชาวไทยจำนวน 152 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ ในการนี้ กระทรวงกระทรวงการต่างประเทศขอขอบคุณฝ่ายเมียนมา อย่างไรก็ดี ขอเรียนว่า ในการประกาศครั้งนี้ ยังไม่พบรายชื่อลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่ถูกจับกุมล่าสุด รวมอยู่ด้วย จึงเป็นที่ผิดหวังที่กระบวนการปล่อยตัวกลุ่มดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จในครั้งนี้ โดยฝ่ายเมียนมายังอยู่ในระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง

ในทางการทูต กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอดและจะดำเนินการต่อไป ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พยายามผลักดันให้มีการปล่อยตัวโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยเรื่องดังกล่าวมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ที่จะต้องหารือข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งรวมถึงแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกในอนาคต

ทั้งนี้ ในห้วงที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ผลักดันและติดตามกับทางการเมียนมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งขอการเข้าถึงทางกงสุล (consular access) ในหลายช่องทาง ทั้งการโทรศัพท์พูดคุยกับลูกเรือทั้ง 4 คน เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบและให้กำลังใจ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มค. 2568 เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้รับอนุญาตให้นำผู้แทนญาติของลูกเรือไทยเข้าเยี่ยมลูกเรือไทยทั้ง 4 คน ที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี  ซึ่งพบว่าลูกเรือไทยทั้ง 4 คน มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจดี ได้รับการดูแลตามความเหมาะสม  และได้รับอาหารครบ 3 มื้อ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำสิ่งของจำเป็นไปมอบให้แก่ลูกเรือทั้ง 4 คนด้วย รวมทั้งได้แจ้งกับลูกเรือเกี่ยวกับสถานะการดำเนินการล่าสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการผลักดันกับฝ่ายเมียนมาเพื่อนำไปสู่การปล่อยตัวโดยเร็ว

สุดท้ายนี้ ขอเรียนว่า กรณีนี้ มีความละเอียดอ่อนทั้งในแง่เรื่องการปล่อยตัวลูกเรือชาวไทย ประเด็นปัญหาการทำประมงของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความสัมพันธ์ในภาพรวมของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและช่องทางการเจรจาอย่างแนบเนียน โดยดำเนินการ ดังนี้ 

(1.) เร่งช่วยเหลือให้ลูกเรือได้รับการปล่อยตัว ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการภายในต่างๆ ของเมียนมาด้วย โดยกระทรวงการต่างประเทศจะผลักดันทางการทูตต่อไป 

(2.) แก้ไขปัญหาผ่านกลไก TBC ร่วมกันกับฝ่ายเมียนมาต่อไป 

ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะติดตามและดำเนินการทุกอย่างในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ ผ่านทุกช่องทางอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้คนไทยทั้ง 4 คนได้รับการปล่อยตัวต่อไป

'มาริษ' ชี้นานาชาติชื่นชมไทย ย้ำคนไทยต่างแดนจดทะเบียนได้ที่สถานทูต

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันนี้ (23 มกราคม) ว่า กระทรวงการต่างประเทศรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในวันนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนในประเทศไทยสามารถสร้างครอบครัวและออกแบบชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกัน

นายมาริษกล่าวต่อไปว่า การมีผลบังคับใช้ของกฎหมายสมรสเท่าเทียมในวันนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับจากมิตรประเทศในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ในเอเชียที่ผ่านกฎหมายนี้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างบทบาทสำคัญของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรอบสหประชาชาติ และแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเคารพสิทธิความเท่าเทียมของทุกคน

กระทรวงการต่างประเทศยังยินดีเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมให้แก่คนไทยในต่างประเทศ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกพร้อมให้บริการการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมในประเทศที่กฎหมายท้องถิ่นยอมรับ

"จากการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนไม่เคยพูด หรือมีคำพูดในลักษณะตำหนิทางการไทย จึงควรหยุดการเผยแพร่ข้อความดังกล่าว"

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศชี้แจ้งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า การเยือนไทยของผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนเป็นการประสานงานในกรอบความร่วมมือของหน่วยงานความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศไม่ใช่ผู้ประสานงานหลักของการเยือนดังกล่าว จึงไม่ทราบรายละเอียด และสำหรับกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข้อความว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีนตำหนิทางการไทยนั้น จากการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ จีน ไม่เคยพูด หรือมีคำพูดในลักษณะดังกล่าว จึงควรหยุดการเผยแพร่ข้อความดังกล่าว

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศย้ำว่า การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเองได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือในเวทีระหว่างประเทศในทุกระดับมาโดยตลอด และพร้อมให้ความร่วมมือ รวมถึงการประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อร่วมกันจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง

กต.แจงช่วยเหลือ 4 ลูกเรือไทยในเมียนมา ประสานเต็มที่ ทั้งทางการเมือง-ทางด้านกงสุล

ตามที่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศกรณีลูกเรือประมงไทย 4 คน ที่ถูกจับกุมโดยทางการเมียนมา นั้น

เมื่อวันที่ (5 ก.พ. 68) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงบทบาทของกระทรวงต่างประเทศในเรื่องนี้ 2 ด้าน ดังนี้

1. การดำเนินการทางการเมือง กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการอย่างเต็มที่มาโดยตลอด โดยได้เข้าพบผู้แทนฝ่ายเมียนมาในหลายระดับเพื่อผลักดันให้ทางการเมียนมาปล่อยตัวลูกเรือทั้ง 4 คนโดยเร็ว และได้นำส่งหนังสือของญาติที่ขอให้ปล่อยตัวลูกเรือให้กับทางการเมียนมา และติดตามในหลายโอกาส บนพื้นฐานของการเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน รวมถึงเป็นผู้ประสานงานอำนวยความสะดวกการเข้าเยี่ยมลูกเรือของคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทางการเมียนมาได้อนุมัติคำขอของไทย

2. การดำเนินการด้านกงสุล นับตั้งแต่ลูกเรือไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับทางการเมียนมาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกเรือไทย รวมทั้งได้ติดต่อญาติของลูกเรืออย่างสม่ำเสมอ โดยผู้แทนกรมการกงสุลประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เดินทางไปพบปะและอำนวยความสะดวกให้แก่ญาติของลูกเรือที่จังหวัดระนอง และผู้แทนญาติลูกเรือได้เดินทางมาพบผู้แทนกรมการกงสุลที่กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังคำแนะนำในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง พร้อมญาติลูกเรือ ได้เข้าเยี่ยมลูกเรือที่จังหวัดเกาะสอง ภาคตะนาวศรี ตลอดจนได้ประสานงานฝ่ายเมียนมาให้มีการเข้าเยี่ยมของญาติลูกเรือเป็นระยะ

ขอให้มั่นใจว่า การคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์และสวัสดิภาพของคนไทยเป็นหัวใจหลักของนโยบายต่างประเทศ โดยกรณีนี้มีความละเอียดอ่อนในภาพรวมความสัมพันธ์ของสองประเทศ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนและแนบเนียนตามแนวปฏิบัติทางการทูต โดยกระทรวงฯ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top