‘ปธ.กมธ.อุตฯ’ เสนอ 2 ร่าง กม. ปฏิรูปการกำจัดของเสียภาคอุตสาหกรรม เพิ่มโทษผู้ประกอบการละเมิดกฎ - ตั้งกองทุนกำจัดสารพิษ กากของเสีย

(5 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้อภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า…

ทุกวันนี้ปัญหาในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นปัญหาใหญ่ คือปัญหาในการจัดการสารพิษ กากของเสีย และมลภาวะของโรงงานและผู้ประกอบการ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และสุขภาพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

จากปัญหาดังกล่าวตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ดำเนินการให้คณะทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างพระราชบัญญัติโรงงาน 2 ฉบับ ดังนี้

ฉบับแรกจะเป็นการเพิ่มโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิดในการปล่อยกากของเสีย มลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันพระราชบัญญัติโรงงานมีเพียงโทษปรับ 200,000 บาทต่อกรณีเท่านั้น ส่งผลให้ผู้กระทำความผิดไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นในร่างพระราชบัญญัติโรงงานจะมีการเพิ่มโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเข้าไปด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

และร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งที่ยกร่างเรียบร้อย อยู่ระหว่างการได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการจัดตั้งกองทุนโรงงาน หรือกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรม 

กองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในอนาคต โดยที่มาของเงินทุนของกองทุนดังกล่าวจะมาจากการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินส่วนนี้จะมีการคืนให้แก่ผู้ประกอบการเมื่อเลิกกิจการ 

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้เงิน 2 ส่วนในการจัดการกับของเสียอุตสาหกรรมที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของพี่น้องประชาชน คือ ส่วนแรกจากงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งเป็นการของบกลาง ส่วนที่สองจากกองทุนสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะดำเนินการขออนุมัติได้  

ดังนั้นกฎหมายในการจัดตั้งกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในการจัดการของเสียอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมได้ และงบประมาณส่วนนี้จะได้ใช้สำหรับการลงทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างรากฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป

และสุดท้ายตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่านายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ จะสามารถจัดการปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นได้อย่างแน่นอน