ศาลพิพากษาบทสรุปคดี 'อ้อย เข็มทิศชีวิต' แอบอ้างศาสนาหากิน สวนทาง 'พระตถาคต' ที่สอนคนเพื่อให้เกิดปัญญา โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ’ ได้โพสต์ข้อความยกตัวอย่างกรณี ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้อง คดี ‘ฐิตินาถ ณ พัทลุง’ ไลฟ์โค้ชเข็มทิศชีวิต หรือ อ้อย เข็มทิศชีวิต ฟ้องสื่อรายหนึ่งฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายกว่า 5 ล้าน โดยระบุว่า…

จากคำพิพากษาคือ สุดมาก ถ้าค่อย ๆ อ่านจะเห็นว่าศาลคือ ทรงภูมิทางพระพุทธศาสนา และอธิบายเข้าใจไม่ยากนะ

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่พระโพธิสัตว์ยอมละทิ้งราชสมบัติ บุตร และภรรยาเสด็จหลีกออกผนวชแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนได้ปัญญาตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์พระอรหันตระสัมมาสัมพุทธเจ้าและตั้งพระศาสนาหรือพระธรรมวินัยขึ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์ ไว้ให้พระพุทธศาสนิกชนได้ยึดถือเป็นสรณะนั้น...

'เป็นการกระทำเพื่อโปรดเหล่าสรรพสัตว์ที่จะได้ศึกษาเรียนรู้ตามจนเกิดปัญญารู้เห็นสัจธรรม ทำให้ทุกข์ในใจเบาบางลงไปจนหมดสิ้นอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์'

โดยพระตถาคตไม่ได้กระทำไปด้วยความปรารถนาในลาภ ยศ คำสรรเสริญ หรือทรัพย์สินเงินทองใดๆ 

ส่วนการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนไปสู่ผู้มีศรัทธา ก็ทรงให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสงฆ์สาวก หรือ นักบวชในธรรมวินัย ที่ได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนสำเร็จเป็นประโยชน์แก่ตน ซึ่งจะมีคุณสมบัติเป็นผู้มักน้อย สันโดษในลาภสักการะ...

...เลี้ยงขึ้นด้วยปัจจัยสี่ที่ผู้ครองเรือนมอบให้ด้วยใจศรัทธา เที่ยวจาริกไปเผยแผ่คำสอนและชี้ทางแห่งความสุขความเจริญในชีวิตให้แก่คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ในพระรัตนตรัย...

...มีความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฏฐิ ได้ตาปัญญาเป็นแสงสว่างของชีวิต ก็ย่อมจะพบชีวิตใหม่ที่มีคุณค่ากว่าการได้ทรัพย์สินอันใดในโลก เพราะแม้จะยังทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ไม่ได้ในอัตภาพนี้ ก็ต้องได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติในอัตภาพต่อๆ ไปอย่างแน่นอน 

ส่วนการดำรงอยู่อย่างมั่นคงของพระศาสนาเป็นที่พึ่งของเหล่าสรรพสัตว์ชั่วกาลนาน พระองค์ทรงมอบให้เหล่าพุทธบริษัท 4 อันประกอบด้วย ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก และอุบาสิกา ช่วยกันกระทำ 

โดย ภิกษุ และ ภิกษุณี ต้องอยู่ในพระธรรมวินัย ขณะที่ อุบาสก และ อุบาสิกา มีความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นต้น 

ดังนั้น เมื่อน้อมใจเข้าไปพิจารณาหลักการสำคัญของพระศาสนาตามพระประสงค์ที่กล่าวมาข้างต้นและความต้องการอยากพ้นทุกข์ของมนุษย์เข้าด้วยกัน ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนย่อมต้องยอมรับว่า...

'พระธรรมคำสั่งสอนที่ได้ประทานไว้ให้โดยมหากรุณานั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ในโลก และเป็นการประทานให้เปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือทองเข้าแลก'

ดังนั้น จึงไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เหล่าพุทธบริษัท 4 ผู้หนึ่งผู้ใด ที่ได้เรียนรู้พระธรรมแล้วจะอาศัยเอาพระธรรมนั้นออกแสดงเพื่อการค้า หรือเพื่อแสวงหาผลกำไร 

เพราะเป็นการตีราคาพระธรรมคำสอนเทียบค่ากับเงินทอง เป็นการกระทำที่ไม่เคารพต่อพระรัตนตรัยประการหนึ่ง เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนในทางทรัพย์สิน เงินทองได้ประการหนึ่ง...

ทำให้บุคคลที่ยังไม่ได้มั่นคงในพระรัตนตรัยพากันเสื่อมถอยหนีห่างไปจากศาสนาประการหนึ่ง...

...และประการสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการสั่งสอนหรือถ่ายทอดธรรมะให้บุคคลอื่น ผู้ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ เป็นผู้ได้เปรียญธรรมหรือศึกษาปฏิบัติธรรมจนเป็นผู้ข้ามโคตรจากปุถุชนเป็นอริยะบุคคลอย่างชอบขั้นโสดาบัน...

- มีคุณธรรมวิเศษในใจ 
- มีดวงตาเห็นธรรมรู้เห็นอยู่ในแนวทางแห่งพระนิพพาน 
- มีมรรคองค์ 8 เป็นปฏิปทาในตน 

แล้วจึงค่อยสามารถให้การอบรมสั่งสอนปุถุชนผู้ยังมีปัญญามืดบอดแต่มีศรัทธาได้ เพราะคนที่ยังเป็นปุถุชนและยังไม่ได้เปรียญธรรมหากเที่ยวไปสั่งสอนคนอื่น ก็เท่ากับคนตาบอดเดินจูงคนตาบอดไป ย่อมจะไม่สามารถถึงจุดหมายตามที่ปรารถนาได้ แต่กลับต้องประสบกับทุกข์และคลาดเคลื่อนออกนอกทางแห่งพรหมจรรย์ที่ทรงแสดงไว้ให้อย่างแน่แท้ 

และยิ่งหากเข้าลักษณะเป็นการใช้เงินจ้างในการจูง ก็เป็นการพ้นวิสัยที่จะเอาผิดเอาโทษกับบุคคลผู้จูงทั้งในทางแพ่งและทางอาญาได้ ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างเอาว่าการชำระเงินเป็นความสมัครใจของผู้อยากเรียนรู้ธรรม และที่ใครไม่สามารถสร้างปัญญาได้ก็เป็นเรื่องของวาสนาแต่ละบุคคลเท่านั้น 

ทั้งนี้ หากมีบุคคลใดได้แสดงตนกระทำการดังกล่าวเช่นนั้น จึงไม่นับว่าเป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับการยกย่องจากสาธุชนทั่วไปว่า เป็นผู้ประกอบคุณงามความดีหรือนำประโยชน์ทางศาสนามาให้สังคมแต่ประการใด ในขณะเดียวกัน ก็ย่อมเป็นผู้ไม่สมควรที่จะได้ไปซึ่งเงินของบุคคลที่แสวงหาที่พึ่งทางใจจากคำสอนในพระพุทธศาสนาอีกด้วย

ดังนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์เป็นผู้ยังไม่ได้เปรียญธรรม มีแต่ปริญญาทางโลก ได้ยอมรับว่าได้นำเอาหลักศาสนาพุทธมาใช้เป็นปัจจัยในการประกอบธุรกิจ มีรายได้และผลกำไรจากการเปิดคอร์สอบรม 'เข็มทิศชีวิต' เป็นเงินไม่น้อยประมาณปีละ 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยการเก็บเงินค่าสมัครเข้าอบรมคอร์สเข็มทิศชีวิต ซึ่งจะกำหนดค่าสมัครตามจำนวนผู้สมัคร 

หากมีผู้สมัครจำนวนน้อยจะคิดค่าสมัครแพงกว่ากรณีที่มีผู้สมัครจำนวนมาก ค่าคอร์สรายบุคคลในราคาหลักหมื่นไม่ก็หลักแสน โดยเพียงบุคคลเดียวหากเรียนหลายคอร์สจะต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านบาทนั้น ย่อมเท่ากับเป็นการรับรองอยู่ในตัวต่อผู้มีศรัทธาในพระศาสนาว่า ตนเองมีภูมิจิตภูมิธรรมสูง เลยขั้นปุถุชนคนหนึ่งด้วยกิเลสไปแล้ว 

อย่างไรก็ดี คุณธรรมภายในใจ เช่นว่าที่รู้ได้แต่เฉพาะตนส่วนคนอื่น ไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำได้แต่เพียงคาดเดาเอาจากบุคลิกภาพ อันประกอบด้วย วาจากิริยา ท่าทางและการแต่งกาย 

แต่หากพอจะมีเครื่องหมายที่จะบ่งชี้ว่า อริยสาวกผู้ใดเป็นผู้มีคุณธรรมภายในเช่นนั้นได้จริง กล่าวคือ อริยสาวกผู้นั้นจะต้องเป็นผู้มีจิตเมตตา กรุณา ไม่กระทำสิ่งที่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น