'ดร.ชัยภัฏ' เชื่อ!! ชาวชุมพร ยอมรับ 'แลนด์บริดจ์' ต้องการความเจริญ แต่รัฐต้องมีกฎหมายพิเศษเยียวยาผลกระทบแก่ชุมพรด้วย

(12 ม.ค.67)ช่วงนี้ ต้องบอกว่า ประเด็นข้อถกเถียงในเรื่อง 'โครงการแลนด์บริดจ์' ที่ภาครัฐพยายามสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสครั้งสำคัญของเมืองไทย ในด้านคมนาคมขนส่งทางทะเล และเททถกสรรพกำลังเพื่อให้เกิดเป็นการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ในพื้นที่ จ.ชุมพร และระนอง ดูจะระอุหนัก

บรรยากาศ การลงพื้นที่แต่ละครั้ง เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในโครงการแลนด์บริดจ์ของประชาชนในพื้นที่นั้น เรียกว่ามีเนื้อหาที่เข้มข้น

แน่นอนว่า บรรยากาศการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ข้องเกี่ยวส่วนใหญ่นั้น ก็มีประชาชน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และตัวแทนส่วนราชการ เข้าร่วมกิจกรรมมากหลักหลายร้อย แต่ก็ยังดีที่ทุกครั้ง ทุกการพูดคุยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีการแสดงความคิดเห็นจากทั้งผู้ที่เห็นด้วยกับโครงการ และผู้คัดค้าน และกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากโครงการแลนด์บริดจ์ในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และพื้นที่ทำประมงสำหรับชาวประมงพื้นบ้าน

เอาจริงๆ ถ้าฟังดูโดยรวมแล้ว ดูเหมือนว่า ถ้ารัฐมีทางออกที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการเยียวยาจากผลกระทบของแลนด์บริดจ์ ผ่านรูปแบบของกฎหมายพิเศษเฉพาะ เชื่อว่าชาวบ้านทุกคนก็คงจะพร้อมใจขานรับ เพราะคงไม่มีใครอยากให้ประเทศไทยปล่อยโอกาสความเจริญ ที่จะส่งผลดีต่อจังหวัดของตนในภายภาคหน้าให้หลุดลอยไปด้วย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อพัฒนาโครงการ 'แลนด์บริดจ์' ประเทศไทย เปิดเผยว่า...

จากโครงการระดับประเทศ แลนด์บริดจ์ ที่เป็นโครงการขนส่ง เชื่อมฝั่งทะเลอันดามัน และทะเลอ่าวไทยที่ภาคใต้ของประเทศไทย ที่อาจมีมูลค่าการลงทุนเป็นหลายแสนล้านบาท หรือถึงหลักล้านล้านบาท และอาจเกิดมูลค่าเพิ่มเป็นหลายเท่าของการลงทุน หากโครงการประสบความสำเร็จ และในทางกลับกันหากโครงการล้มเหลวก็อาจก่อความเสียหายให้การเงินการคลังของประเทศไปอีกนาน 

อย่างไรก็ดี โครงการแลนด์บริดจ์นี้ ก็เป็นโครงการที่ทุกภาคส่วนในประเทศมีส่วนร่วม ในการรับผิดชอบในผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบอย่างปฏิเสธไม่ได้ ที่สำคัญองค์กรภาคสังคมหรือภาคประชาชน ต่างก็มีส่วนอยากรับรู้ความเป็นไปเป็นมาและมีส่วนร่วมในโครงการนี้เช่นกัน

"เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า โครงการแลนด์บริดจ์เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัย ของประเทศในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี การศึกษา ความมั่นคง และที่สำคัญอาจมีผลไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคประชาชนต้องคำนึงในผลได้-เสีย ให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ" ดร.ชัยภัฏ กล่าว

ดร.ชัยภัฏ กล่าวอีกว่า จากจุดนี้ ภาคประชาชนจึงรวมตัวกันขึ้นมา ทั้งนักวิชาการ, นักธุรกิจ และประชาชนอาชีพต่างๆ เป็น เครือข่ายประชาชนเพื่อพัฒนาโครงการ ‘แลนด์-บริดจ์’ ประเทศไทย (Network of people for Land-bridge development of Thailand) หรือชื่อย่อว่า NLDT ตามมาตรา 42 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เพื่อมีส่วนร่วมในโครงการแลนด์-บริดจ์ นี้

จากการที่มีหลายฝ่ายของภาครัฐ ได้ให้ความสำคัญในโครงการแลนด์บริดจ์ประเทศไทย โดยที่ฝ่ายบริหารโดย พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้นำยกโครงการแลนด์บริดจ์ประเทศไทย ไปนำเสนอในต่างประเทศในหลายๆ ครั้ง และได้รับการตอบสนองอย่างดีจากหลายประเทศ อีกทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ โดยรัฐสภา ได้เสนอตั้งกรรมาธิการวิสามัญ แลนด์บริดจ์ เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้โครงการ โดยการพิจารณานั้นทางกรรมาธิการวิสามัญแลนด์บริดจ์ ใช้การรับฟัง การชี้แจง ของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐต่างๆ พร้อมเอกสารประกอบการชี้แจง เช่น...

จังหวัดชุมพร, จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ท่าเรือระนอง, การนิคมอุตสาหกรรม, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล, กรมขนส่งทางราบ, กรมทางหลวงชนบท, กรมทางหลวง, กรมเจ้าท่า, กองทัพฯ และอื่นๆ 

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการวิสามัญแลนด์บริดจ์มีเวลาทำงานเพียง 3 เดือนเท่านั้น และเป็นการทำงานแบบการอภิปราย และปรึกษาหารือ (DISCUSION) โดยยังขาดการพิสูจน์สมมติฐานต่างๆ เพื่อทำการวิจัย หาข้อมูล สรุปอย่างแท้จริง ทำให้เห็นได้ว่าทางฝ่ายนิติบัญญัติมีเวลาน้อยมากกับการศึกษาโครงการที่มีผลกระทบระดับสูงในทุกมิติและระนาบของประเทศ อย่างไรก็ตามต่อจากนี้การทำงานของคณะฯ จะมีความครอบคลุมในมิติของปัญหามากยิ่งขึ้น