‘ดร.สุวินัย’ ยก ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ เปรียบดั่งมหาบุรุษของแผ่นดินสยาม ขอคนไทยจงภูมิใจที่ครั้งหนึ่งเคยได้มีชีวิตอยู่ในรัชสมัยของพระองค์
(13 ต.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suvinai Pornavalai’ ถึงความเมตตาอันล้ำลึกของมหาบุรุษ โดยระบุว่า…
เมตตาอันล้ำลึกของ ‘มหาบุรุษ’
เมตตาอันล้ำลึก คือการยอมเสียเปรียบโดยไม่มีประมาณ
เมตตาอันล้ำลึก ดุจ ‘ใจน้ำ’ (水心) ที่อยู่ใต้ทะเล 100 เชียะ (水下百尺)
มหาบุรุษทุกคนล้วนมีเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้
เมตตาเป็นพลังบุญชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่ใจแผ่เมตตาออกไป เปรียบดังเทหยดน้ำลงเติมใน ‘ทะเลบุญ’ หยดน้ำแห่งบุญที่เทเติมลงไปรวมกับทะเลบุญ ย่อมไม่มีวันสูญหายไปไหน ตราบใดที่ทะเลบุญยังอยู่ ทะเลแห่งบุญนี้ย่อมกลายเป็นคลื่นน้อมนำ เกื้อหนุน นำพาผู้นั้นว่ายข้ามสังสารวัฏ ลุถึงความรู้แจ้งได้ในที่สุด
โลกทั้งหมดก็คือ ‘ใจ’
โลกทั้งหมดมิใช่สิ่งใดอื่นที่อยู่นอกเหนือใจ การเห็นโลกทั้งหมดเป็นแค่บ้านที่กำลังถูกไฟไหม้
ย่อมนำมาซึ่งการตื่นรู้และความเมตตาอันล้ำลึก เพราะด้วยเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้ มหาบุรุษจึงมองมนุษย์ทุกคนคือเพื่อนกัน เป็นหนึ่งเดียว มหาบุรุษมักเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้ชีวิตเรียบง่าย รักสันโดษ ไม่มีนอกไม่มีใน มิหนำซ้ำ มหาบุรุษยังเป็นคนแบบเดียวกันกับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา
คนทั้งโลกส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ใต้อำนาจแห่งวัตถุ เมื่อมีผู้ใดหลุดจากอำนาจนี้ได้ ผู้นั้นย่อมข้ามพ้นขีดจำกัดของความเป็นคนธรรมดา กลายเป็นมหาบุรุษผู้มีความพิเศษอันน่าทึ่ง และล้ำลึกสุดหยั่งถึง
มหาบุรุษทุกคนล้วนเป็นผู้ใช้ชีวิตที่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม มหาบุรุษเป็นผู้ที่ทำหนึ่งแต่ได้ทั้งหมด… ไม่ใช่ผู้ทำทุกอย่างแต่ไม่ได้อะไรซักอย่าง…
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรเอาไว้ว่า “เรารักราหุลเยี่ยงไร เราก็รักเทวทัตเยี่ยงนั้น”
หมายความว่า พระองค์ทรงรักผู้ที่เคยลอบปลงพระชนม์พระองค์ เท่ากับที่พระองค์ทรงรักบุตรชายคนเดียวของพระองค์
คนเราต้องใช้ความเมตตามากขนาดไหน จึงสามารถทำจิตใจให้เป็นเช่นนี้ได้?
มหาบุรุษทุกคนล้วนมีความเมตตาอันล้ำลึกเช่นนี้ หากแม้สามารถรับบาปกรรมในนรกอเวจีแทนสรรพสัตว์ได้ พวกท่านจะไม่ลังเลรีรอเลยที่จะทำ มิหนำซ้ำมหาบุรุษไม่เคยคาดหวังให้ผู้อื่นมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองได้กระทำ
“เขาตบแก้มขวา ให้เอียงแก้มซ้ายให้ตบอีก” มหาบุรุษท่านหนึ่งเคยกล่าว
“เรารักราหุลเยี่ยงไร เราก็รักเทวทัตเยี่ยงนั้น” มหาบุรุษพระองค์นั้นทรงตรัสไว้
“เมตตาแปลว่ายอมเสียเปรียบ” พระอริยเจ้ารูปหนึ่งเคยกล่าวไว้
“เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอด ความพอเพียงคือกุญแจสู่อิสรภาพ” มหาบุรุษคนล่าสุดของแผ่นดินนี้เคยสอนไว้
จะมีใครกี่คนกันที่รับรู้ถึงความลึกซึ้งของถ้อยคำเหล่านี้ได้?
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวาทะจากจิตวิญญาณที่เขย่าโลก เพราะมันเป็นคำพูดที่มาพร้อมการกระทำอันเป็นแบบอย่าง จึงมีพลังถึงขั้นสามารถกระตุ้นปลุกความเมตตาในจิตใจของผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายให้ลุกโชน ตื่นรู้จากความเห็นแก่ตัวที่ปกปิดห่อหุ้มจิตวิญญาณให้มืดบอดหลับใหล
เมตตาอันล้ำลึกคืออะไร?
แม้เราเกลียดท่าน ท่านยังเมตตา
แม้เราทำร้ายท่าน ท่านยังรักใคร่
แม้เราแล้งน้ำใจต่อท่าน ไม่เคารพท่าน
ท่านก็ยังเอาชีวิตของท่านรับใช้เพื่อประโยชน์แห่งเราทุกคน
นี่มิใช่หรือ ที่เรียกว่า ‘ความเมตตาอันล้ำลึก’ เท่าที่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งสามารถยกระดับจิตวิญญาณของตนไปถึงได้ คนธรรมดาย่อมกลายเป็นคนไม่ธรรมดา หรือมหาบุรุษได้ หากมีความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนจิตวิญญาณของตนเพียงพอ
หากแม้น ชีวิตคือบทสนทนาไม่รู้จบ กับเหล่า ‘บุคคลต้นแบบ’ ของตนเอง นิยามใหม่ของชีวิต ย่อมมิใช่สิ่งใดอื่น… นอกจากการใช้เวลาทั้งชีวิตของตนเอง เพื่อถมเต็ม ‘ช่องว่าง’ ระหว่างจิตวิญญาณของตน กับจิตวิญญาณของมหาบุรุษเหล่านั้น ผู้มีเมตตาอันล้ำลึก และเป็น ‘บุคคลต้นแบบ’ ของตนนั่นเอง
จงภูมิใจเถิดว่า ครั้งหนึ่งพวกเราเคยมีชีวิตร่วมสมัยเดียวกับมหาบุรุษคนล่าสุดของแผ่นดินสยาม
สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai