นายกรัฐมนตรีชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ทำงานหนัก มีเมตตา รับฟังผู้อื่น

นี่เป็นอีกหนึ่งข้อความบอกเล่าถึงบางสิ่งบางอย่างจากคนที่ได้มีโอกาสทำงานและพบเห็น ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

1. ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก แทบจะไม่เคยเห็นว่ามีการพักผ่อน ลาไปเที่ยวไหนเลย (ไม่เหมือนผู้นำหลายคน หรือของต่างประเทศที่มีการพักร้อน) ก็คงเพราะท่านต้องประชุมเยอะมากทุกวัน และเป็นประธานด้วย และก่อนประชุม โดยเฉพาะประชุมครม. ท่านต้องอ่านทุกวาระก่อนในวันจันทร์ และมีโน้ตลายมือส่งกลับมาให้ฝ่ายเลขา (ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการถอดลายมือท่านโดยเฉพาะถ้าคำไหนอ่านไม่ออก 555) 

โดยเฉพาะช่วงโควิด คือทำงานทุกวันจริง ๆ พวกเรา (ทีมโฆษก ศบค.) และคนทำงานอื่น ๆ ก็ต้องตามท่านให้ทันเพราะมักจะมีบัญชา หรือข้อเสนอแนะส่งมาให้พวกเราตลอด บางทีท่านก็เดินจากตึกไทยคู่ฟ้ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพวกเราที่ตึกสันติไมตรีด้วย แต่ด้วยความที่ท่านเน้นการทำ ไม่เน้นการพูดหล่อ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนนักการเมืองอาชีพ ไม่เน้นออกอีเวนต์โชว์ตัวให้เป็นกระแสในโซเชียล การไปไหนคือไปงานราชการทั้งสิ้น (และผมก็สัมผัสได้ว่าช่วงเวลาที่ท่านผ่อนคลายและมีความสุขที่สุดก็คือเวลาได้ไปพบปะพี่น้องประชาชนในต่างจังหวัด) หลาย ๆ คนก็เลยไม่ได้รับรู้ว่าท่านทำอะไรบ้าง (และก็ไม่คิดจะหาข้อมูล สื่อก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่) 

2. ท่านเป็นคนมีเมตตาสูง อันนี้ผมขอท้าให้ไปสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาท่านได้เลย ท่านจะมีความเป็นห่วงเป็นใยช่วงเบรกประชุม ครม. ท่านก็จะเดินไปตามโต๊ะเพื่อทักทายและถามไถ่เจ้าหน้าที่ และสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ภาวะผู้นำของท่านก็คือ ลองไปหาข่าวย้อนหลังดู ว่าเคยมีสักครั้งไหม ที่ท่าน ‘โทษ’ ลูกน้อง ในสิ่งที่อาจจะทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ 

แม้กระทั่งเรื่องโควิด ท่านก็ต้องออกมาขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ ในที่ประชุม ท่านเด็ดขาด หรือบางทีก็พูดตรง ๆ แต่ก็ไม่เคยหักหน้าใคร หลายครั้งพูดไปแล้วต้องพูดตามว่า ผมไม่ได้ว่าท่านนะ หรือ หากทำให้ใครไม่สบายใจก็ต้องขออภัยด้วย จนเกือบจะถึงขั้นเกรงใจคนอื่นเลยทีเดียว ในการพบกันครั้งแรกของผมกับพี่ก้อยกับท่าน ท่านถามเราสองคนว่ามีครอบครัวหรือยัง พอบอกว่ามี ท่านก็มอบกระเป๋าสานฝากไปให้ภรรยาผมด้วย 

ทั้งหมดนี้คือการแสดงว่าท่านคิดถึงคนอื่น และคิดถึงความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นผมจึงเชื่ออย่างจริงใจว่าท่านจะมีความทุกข์และกังวลขนาดไหน ในช่วงโควิด ที่ประชาชนเจ็บป่วย เสียชีวิต ร้านปิดกิจการ ในขณะที่ท่านเป็นผู้นำประเทศและการกล่าวหาว่าท่านไม่เห็นใจชาวบ้าน นั้นเป็นการโจมตีท่านอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่ง ‘ความผิด’ ของท่านข้อเดียวที่ผมมักจะได้ยินจากผู้สนับสนุนท่านก็คือ การไม่จัดการม็อบให้เด็ดขาด แต่ในข้อนี้ก็คงอธิบายได้ประมาณหนึ่ง ว่าท่านไม่ได้เห็นเยาวชนเป็นศัตรูคู่อาฆาต ที่ต้องไปจัดการฆ่าให้ตายเหมือนใครบอกไว้ แต่เป็นลูกเป็นหลานที่อาจจะหลงผิดโดยการปลุกปั่น เพราะท่านเองก็มีลูกสาว เป็นพ่อคนเช่นกัน

3. ท่านเป็นคนรับฟังคนอื่นอย่างมาก ซึ่ง pattern ของการประชุมส่วนมาก ในวาระพิจารณาคือ ท่านจะให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็นกันให้ทั่วถึง รวมถึงคนที่อาจจะไม่เห็นด้วย หรือโจมตีนโยบายท่าน ก็เชิญมาแสดงความเห็นด้วยและท่านก็ให้ความเคารพทุกคน ทุกความเห็น แล้วจึงค่อยสรุป แล้วถามว่า ทุกคนเห็นว่าอย่างไร หากไม่เห็นด้วยให้บอกมาเลย แล้วจึงค่อยออกมาเป็นคำสั่งการและนโยบาย (ซึ่งบางคนในห้องไม่กล้าค้าน แต่ออกมาแล้วโพสต์ด่าเฉย) 

ดังนั้นการโจมตีท่านว่าเป็น ‘เผด็จการ’ จึงเป็นการกล่าวหาที่ ‘เพ้อเจ้อ’ และเป็นเพียงวาทกรรมที่พยายามผลักท่านให้‘ไม่เป็นประชาธิปไตย’ ผมสังเกตว่า ท่านจะรับฟังและให้เกียรติ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เป็นอย่างมาก (เช่น แพทย์ นักวิชาการอาจารย์ ซึ่งทั้งแม่และภรรยาของท่านก็เป็นครู) และแทบจะไม่เคยขัดคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเลย (ข้อเสนอและนโยบายช่วงโควิด ส่วนมากก็มาจากคำแนะนำของฝ่ายสาธารณสุขทั้งสิ้น) และในบางโอกาสที่ผมได้มีข้อเสนอแนะทางการสื่อสาร ท่านก็ยังให้เกียรติสอบถามและรับฟังผม และขอบคุณผมด้วย (ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้) และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะตำหนิอะไรผมหรือทีมโฆษกฯ เลย ท่านเดินผ่านมาทางเราเมื่อไหร่ ก็มีแต่คำขอบคุณ ซึ่งทำให้คนทำงานมีกำลังใจ และสามารถซื้อใจคนเก่งหลาย ๆ คนนอกวงการเมืองมาช่วยงานได้ด้วยความจริงใจ ทำให้เกิดโครงการดี ๆขึ้นมากมายโดยที่ไม่มีปัญหาประโยชน์ทับซ้อน 

4. ท่านอาจจะเป็นคนที่ดูหงุดหงิดง่าย แต่ท่านเป็นคนพูดตรง ๆ ไม่ประดิษฐ์วาทกรรมสวยหรู คิดอย่างไรพูดไปอย่างนั้น จริง ๆ แล้วนักข่าวทำเนียบต่างชอบเวลาสัมภาษณ์ท่าน เพราะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือพูดแล้วกลับไปกลับมา แต่สิ่งที่สื่อต่าง ๆ ชอบนำไปออกก็คือเวลาท่านดูหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์แค่นั้น จึงทำให้คนทั่วไปมองว่าท่านเป็นอย่างนั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่ครับ ว่าท่านเองก็รับทราบ และก็พยายามจะข่มอารมณ์เวลามีคำถามที่ไม่ค่อยน่าฟัง แต่ด้วยความที่ตัวตนของท่านเป็นคนไม่เสแสร้ง บุคลิกแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้เก่งการละครหรือการพูด ท่านดีใจท่านก็ยิ้ม หงุดหงิดก็ขึ้นเสียง ซึ้งใจก็มีน้ำตา 

5. เห็นท่านดูใจร้อน โผงผาง แต่จริง ๆ แล้วเวลาส่วนใหญ่ ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขัน มุกตลกเยอะ (ตลกหน้าตายด้วย) เวลาอารมณ์ดี ชอบแซวชอบแหย่คนอื่น ๆ ในห้องประชุม นักข่าว หรือคนรอบข้างอยู่เสมอ บางเรื่อง ครม. ตกลงกันไม่ได้ โต้กันไปมา ท่านยิงมุกทีนึงฮากันครืนทั้งห้อง บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงทันที และท่านก็ยังมาพูดคุยกับทีมงานแบบไม่ถือตัว (นะจ๊ะ นั่นแหละครับ 55) ซึ่งอันนี้เราเห็นกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว

สิ่งเหล่านี้ (และจริง ๆ ยังมีอีกมาก) คือตัวตนของ พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผมได้เคยสัมผัสในช่วงสั้น ๆ แต่เป็นช่วงที่มีความประทับใจ และเชื่อโดยสนิทใจว่าท่านเป็นคนดี มีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันที่เราเคารพรักจริง ๆ (หากจะพูดว่าตายแทนได้ผมก็เชื่อ) ทำให้ผมและคนเก่ง ๆหลาย ๆ คนอาสาเข้ามาช่วยท่าน (ถ้าดูไม่ดีผมคงเผ่นไปตั้งแต่แรกแล้ว) และสำหรับผม และในกาลเวลาข้างหน้า ก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และเก่งในการบริหารที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ที่ทำให้เราฝ่าวิกฤตซ้อนวิกฤตซ้อนวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง มิได้หวังลาภยศสรรเสริญ แต่เสียสละด้วยความจำเป็นเข้ามารับความเสี่ยงในยามที่ประเทศถึงทางตัน ตามคำขวัญของกองทัพที่ว่า “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดทนเห็นชาติพินาศสลาย”