‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! ‘ครูกายแก้ว’ แท้จริงเป็นของขลังจากเขมร แต่ถูกพวกไสยพาณิชย์ ใช้เป็นเครื่องมือลวงเงินคนสิ้นหวัง
(17 ส.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘ครูกายแก้ว’ โดยระบุว่า…
ครูกายแก้ว คือ ของขลังเขมรคล้ายกุมารทองที่พระธุดงค์นิรนามรูปหนึ่งจากลำปางได้มาจากเขมรแล้วมอบให้ อาจารย์ถวิล มิลินทจินดาซึ่งเป็นอาจารย์ของ อาจารย์สุชาติ รัตนสุข
ครูกายแก้วของจริง เป็นแค่ของขลังชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ต่อมาอาจารย์ถวิลได้มอบของขลังชิ้นนี้ (ปอบขาว) ให้อาจารย์สุชาติเก็บรักษาดูแล โดยที่อาจารย์สุชาติสามารถสื่อทางจิตกับ ปอบขาวตนนี้ได้
แต่หลังจากอาจารย์สุชาติสิ้นบุญแล้ว …‘ตำนานครูกายแก้ว’ ได้ถูกพวกไสยพาณิชย์เอามาปั่นสร้างกระแสงมงายเพื่อดูดเงินจากพวกที่กำลังสิ้นหวังในชีวิตเพราะประสบปัญหาหนี้สิน
ใครจะบูชา ‘ครูกายแก้ว’ ที่กำลังเป็นกระแส จงพิจารณาให้ดีให้ถี่ถ้วนเถิด
อวิชชา คือสิ่งที่อยู่คู่สังสารวัฏ
อวิชชาทั้งหลายถือกำเนิดมาจาก ความกลัว
พลังด้านมืดทุกชนิดก็มาจากความกลัว มิใช่ความรัก
ความกลัวทำให้แบ่งแยก แตกแยก จากจิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์
การจะเลือกนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นจะต้องไม่เอากิเลสหรืออัตตาตัวตนนำหน้าเป็นอันขาด
คืออย่ามุ่งเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารับใช้ตัวตนของตน หรือสนองความอยากทางโลกของตัวเองเป็นอันขาด
เพราะนี่คือการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ถูกต้อง เป็นมิจฉา... แถมมีดอกเบี้ยหรือราคาที่ต้องจ่ายแพงมาก ๆ เพราะโลกนี้ไม่มีของฟรีหรอก…ขอได้ แต่อาจแลกมาด้วยชีวิตของเจ้าตัวที่จะสั้นลงมาก
ในการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเลือกเคารพบูชา สิ่งสำคัญสุดคือ ‘การมอบตัวตน’ (surrender) ยินดีพลีกายใจเป็นเครื่องมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อข้ามพ้นตัวตนของตน
คนมีหลายระดับ ดอกบัวมีหลายประเภท
ถ้าใครยังพึ่งรัตนตรัยไม่ได้ ก็ควรมีความรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
ผู้นำทางจิตแบบบูรณาการต้องมีใจที่เปิดกว้าง สามารถชี้นำคนทุกระดับได้ตามสติปัญญาของคนแต่ละประเภท
อย่าไปโจมตีลอย ๆ ว่า นั่นเป็นมาร ซาตาน แต่ควรเตือนสติคนที่หลงเชื่อว่า ตัวเขาบูชาครูกายแก้วเพื่ออะไร เพราะเหตุใด
ทำให้เขาเห็นจิตโลภ จิตหลงของตนเองก่อน
คนที่มีตบะ มีอำนาจจิตที่เข้มแข็งจะไม่ไปขอพร พึ่งอะไรแบบนี้หรอก
แต่อย่างว่าคนเราบุญวาสนาบารมีไม่เท่ากัน
ช่วยอย่างแรกที่ทำได้ทันทีเลย คือเตือนสติ
ช่วยอย่างที่สอง คือทำจิตตัวเองให้เข้มแข็งด้วยการฝึกจิต ฝึกลมปราณกรรมฐาน
คนที่ทำได้เท่านั้นถึงจะคู่ควร มีคุณสมบัติบำเพ็ญวัชรจิตได้