โอกาสที่ไม่ควรมองข้าม!! ‘พงษ์ภาณุ’ มอง ศก.ไทยจะฟื้นตัวด้วยท่องเที่ยว แนะ รบ.ดันคาสิโนถูก กม. ดึงดูดเม็ดเงินเข้าประเทศ
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และอดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้มุมมองถึงเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 66 ว่า เศรษฐกิจของไทยและทั่วโลก กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว หลังจากเผชิญวิกฤตหลายด้านในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น ภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมันและก๊าซแพงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางของหลายประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่มาถึงปีนี้ มีข่าวดีเกิดขึ้นพอสมควร อัตราเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ที่เคยสูงถึง 10% ปัจจุบันลดลงมาอยู่ประมาณ 6-7% ในขณะที่ดอกเบี้ย แม้จะยังปรับเพิ่ม แต่ก็ชะลอลง ขณะที่ประเทศจีน ประกาศเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้
แน่นอนว่า จากปัจจัยบวกเหล่านี้ ทำให้เกิดความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ ซึ่งเริ่มมีสัญญาณที่เกิดขึ้นมาบ้างแล้วในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม นายพงษ์ภาณุ ได้ย้ำเตือนว่า แม้จะมีสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นภาคธุรกิจของไทย จะต้องระมัดระวังและเรียนรู้ในการบริหารความเสี่ยง เพราะเศรษฐกิจที่กลับมาดีขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีตลอดไป วันดีคืนดี โรคโควิดอาจจะกลับมาระบาดในจีน และจะทำให้ต้องปิดประเทศอีกก็ได้ การท่องเที่ยวที่กำลังกลับมาฟื้นตัวก็อาจจะได้รับผลกระทบอีก ดังนั้นไม่ควรที่จะพึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม นายพงษ์ภาณุ ยังเชื่อมั่นว่าหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ภาคท่องเที่ยวจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัวได้อย่างก้าวกระโดด แม้กระทั่งนักลงทุนต่างชาติเอง ยังเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะเติบโตด้วยภาคธุรกิจท่องเที่ยว และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งสัญญาณการกลับมาของธุรกิจท่องเที่ยวประเทศไทยเห็นชัดเจนมาก จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากตะวันตกและจีน
แต่อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย จะหยุดนิ่งไม่ได้ ต้องปรับตัวเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มี อย่างชายหาด ทะเลและเกาะที่สวยงาม โบราณสถาน รวมถึงศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่น เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ส่วนตัวมองว่า การท่องเที่ยวในอนาคตจำเป็นจะต้องสร้างแหล่งดึงดูดขึ้นมาเพิ่มเติมด้วย ยกตัวอย่าง สิงคโปร์ที่มีมารีน่า เบย์ ซึ่งเป็นคาสิโน หรือ ญี่ปุ่น ที่มีโตเกียวดิสนีย์แลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยยังไม่มี
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรจะหันมาให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นมา อย่าง คาสิโน สวนสนุกขนาดใหญ่ หรือ ธีมพาร์ค อยากให้รัฐบาลไทยมองไปถึงการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ใช่การพึ่งธรรมชาติเป็นหลัก
โดยเฉพาะคาสิโน ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ถูกกฎหมาย เพื่อนำเงินมาใช้บริหารประเทศ ซึ่งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา เมียนมา และลาว ล้วนมีบ่อนคาสิโนกันหมด ยกเว้นประเทศไทย ที่ยังไม่มีคาสิโน หรือ บ่อนถูกกฎหมาย โดยส่วนตัวมองว่าหากประเทศไทย สามารถสร้างคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อีกจำนวนมาก ยกตัวอย่าง เขตเศรษฐกิจมาเก๊า ซึ่งประเทศจีนให้โปรตุเกสเช่า เพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ แต่สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวติด 1 ใน 10 ของโลก โดยมีธุรกิจหลักคือโรงแรม และบ่อนคาสิโน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 รองจากสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และสเปน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเช่นกัน แม้ว่าไทยจะยังไม่มีสถานที่ดึงดูดอย่างบ่อนคาสิโนก็ตาม
นอกจากนี้ นายพงษ์ภาณุ ยังแสดงความเป็นห่วงภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย เนื่องจากตัวเลขสถิติการส่งออกช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ติดลบติดต่อการ 3 เดือน ซึ่งอาจจะต้องมาทบทวนขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตไทยหดหายไป หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ตรงตามความต้องการของตลาด อย่างเช่นอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตหลักของไทย ที่แนวโน้มอุตสาหกรรมเริ่มเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาป ไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยก็จะต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมบริการ ที่มีพรรคการเมืองนำเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำมาหาเสียง แน่นอนว่า หากต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้น แรงงานเองก็จำเป็นจะต้องปรับปรุงศักยภาพตนเองให้สูงขึ้นด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ เพราะประเทศคู่แข่งในอาเซียนอย่างเวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย เริ่มขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น