‘พิธา’ โชว์ภูมิพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ ควรเพิ่มงบท้องถิ่น - ใช้เทคโนโลยีลดเหลื่อมล้ำ

‘พิธา’ โชว์วิสัยทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้จีดีพีไทยโตขึ้นแต่ยังรั้งกลางตารางอาเซียน ชูหลักคิด ‘ก้าวไกล’ ตั้งเป้าหมายไประดับโลก ต้องเริ่มต้นจากท้องถิ่น

(22 ธ.ค. 65) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลในหัวข้อ ‘เทรนด์ใหม่ของเศรษฐกิจดิจิทัลและยุทธศาสตร์ด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน’ ร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ 5 พรรค ในงานเสวนา “Next Step Thailand 2023 ทิศทางแห่งอนาคต” ความตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ 15% ต่อปี โดยมีการลงทุนจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ดีเมื่อเทียบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่จีดีพีคาดการณ์การเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3% แต่กระนั้นหากเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนด้วยกัน จะพบว่าประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 6 ของอาเซียน ทั้งในด้านคาดการณ์การเติบโตและปริมาณการลงทุน และเมื่อหันมาดูด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล จะพบว่ารัฐบาลได้ให้งบประมาณด้านแผนงานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัลเพียง 980 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.03% ของงบประมาณทั้งหมด ส่วนงบประมาณด้านการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 7.36 พันล้านบาท ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กรมโยธาธิการและผังเมืองของกระทรวงมหาดไทย ถึง 7.16 พันล้านบาท ซึ่งไม่ตอบโจทย์ในการสร้างยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยตรง

นายพิธากล่าวว่า การก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย จะต้องเกิดขึ้นจากการอาศัยบทบาทของภาครัฐ ที่ต้องเข้าไปปรับยุทธศาสตร์ กฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ยังล้าหลัง ขัดขวางการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเข้าไปมีบทบาทผลักดันทั้งในด้านอุปทาน ได้แก่ การเพิ่มงบประมาณให้ได้สัดส่วนกับความสำคัญ การลดขั้นตอนในระบบราชการ การสนับสนุนด้านงบประมาณ และการสนับสนุนบ่มเพาะเอกชนที่มีศักยภาพ ส่วนในด้านอุปสงค์ คือการที่รัฐเข้าไปเล่นบทบาทลูกค้ารายแรกๆ ให้สตาร์ทอัพเติบโตได้ สร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และที่สำคัญคือการเปลี่ยนปัญหาของประเทศเป็นการสร้างเศรษฐกิจของประเทศและอุตสาหกรรมใหม่ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลให้หลักคิดด้านนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคก้าวไกล มองว่าการกำหนดเป้าหมายแม้จะต้องไปให้ถึงระดับโลกหรือระดับภูมิภาคอาเซียน แต่การปฏิบัติจริงที่เกิดขึ้นต้องมาจากรากฐานที่สำคัญที่สุด นั่นคือในระดับท้องถิ่นของประเทศ ที่ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยวิกฤติคุณภาพชีวิตและปัญหาของประชาชน

“อาจสามารถ คือรูปธรรมของการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาของประเทศและของประชาชน จากการแก้ปัญหาของอาจสามารถ ไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนในภาคอีสาน นำไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนภาคอื่นๆ และของประชาชนทั้งประเทศและของอาเซียนต่อไป นี่คือโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพรรคก้าวไกล คือตั้งเป้าหมายให้ไปไกลถึงระดับโลก แต่เริ่มต้นการปฏิบัติจากระดับท้องถิ่น เปลี่ยนวิกฤติของเราให้เป็นโอกาสใหม่ๆ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการกระจายอำนาจ การมีงบประมาณที่เพียงพอในระดับท้องถิ่น และกฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนาไปพร้อมๆ กันด้วย” นายพิธากล่าว