23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ย้อนรอยข่าวร้ายเหตุการณ์วิปโยคเขมร เหยียบกันตายงานลอยกระทงเกือบ 400 คน
23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 โลกต้องตื่นขึ้นมาพร้อมข่าวร้าย ที่สะเทือนใจคนไปทั่วโลก เมื่อคนเขมรเหยียบกันตายหลายร้อยศพ ในคืนสุดท้ายของงานลอยกระทง!
เช้าของวันนี้เมื่อ 12 ปีก่อน ทุกคนล้วนอยู่ในอาการเศร้าสลด เมื่อได้รับทราบข่าวว่ามีการเหยียบกันตายในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในคืนก่อนหน้านั้น ซึ่งมีรายงานในเบื้องต้นว่ามีประชาชนอย่างน้อย 347 คน!!! ถูกเหยียบจนเสียชีวิตในงานฉลองเทศกาลลอยกระทงคืนสุดท้าย!!
สำหรับที่เกิดเหตุ คือ บนสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะเพชร ที่ทอดตัวยาวตามแนวทะเลสาบเขมร หรือ โตนเลสาบ กับแผ่นดินใหญ่ โดยเป็นสะพานแคบ ๆ ความยาวประมาณ 80 เมตร เท่านั้น!!!
เหตุสลดเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลาประมาณ 21.30 น. ของช่วงค่ำวันที่ 22 พ.ย. 2553 และต่อเนื่องมาจนข้ามมาถึงวันที่ 23 พ.ย. 2553 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานเทศกาลลอยกระทง วันประเพณีประจำปีของประเทศกัมพูชา ในช่วงวันเพ็ญเดือน 12
สำหรับสาเหตุนั้น มีคำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์มากมาย เช่นว่าในขณะที่มีผู้คนอัดแน่น อยู่บนเกาะและสะพานดังกล่าวก็มีผู้ร้องตะโกนว่า มีคนถูกไฟฟ้าช็อตหลายคน
และยังมีกลุ่มที่ตะโกนด้วยความคึกคะนองว่า สะพานใกล้จะพัง จนทำให้ผู้คนพากันตื่นตกใจ ก่อนจะพากันวิ่งหนีจนเกิดเหตุการณ์สลดขึ้น ขณะที่บางส่วนก็หนีตายด้วยการกระโดดลงไปยังทะเลสาบด้านล่าง
ขณะที่บางคนยังระบุว่าสาเหตุของเหตุเหยียบกันเสียชีวิตนี้ เป็นเพราะมีคนบนสะพานมากเกินไป และคนที่อยู่บนปลายสะพานทั้งสองฝั่งก็ผลักกัน ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตกใจในทันที
การผลักกันทำให้คนที่อยู่ตรงกลางสะพานล้มลงกับพื้นและถูกเหยียบ และคนที่พยายามหลีกเลี่ยงจากการโดนเหยียบ ก็ดึงสายไฟฟ้าลงมา ทำให้มีคนจำนวนมากเสียชีวิตจากการถูกไฟฟ้าช็อตด้วย
โดยคำกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วย ซึ่งกล่าวว่าการตายด้วยไฟฟ้าและการขาดอากาศหายใจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะปฏิเสธคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับการถูกไฟฟ้าช็อตก็ตาม
ขณะที่นักหนังสือพิมพ์จากพนมเปญโพสต์กล่าวว่า เหตุเหยียบกันเสียชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่กำลังตำรวจฉีดน้ำใส่ผู้ที่อยู่บนสะพานเพื่อพยายามที่จะไล่ให้คนลงจากสะพานหลังจากสะพานเริ่มแกว่งไปมา แต่การกระทำดังกล่าวได้ทำให้เกิดความตื่นตกใจของผู้ที่ติดอยู่บนสะพาน
ภายหลังเกิดเหตุสลด สะพานนี้เต็มไปด้วยรองเท้า เศษเสื้อผ้าและข้าวของเกลื่อนกลาด ศพจำนวนมากถูกลำเลียงมาวางเรียงกันเพื่อระบุเอกลักษณ์บุคคล ช่างเป็นภาพที่น่าสลดหดหู่ยิ่งนัก