จิม โจนส์ (Jim Jones) ‘ผีบุญอเมริกัน’ ผู้ปิดฉากลัทธิ ด้วยการพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่กว่า 900 ชีวิต

ประชาชนในพื้นที่อีสานประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ

ระยะนี้บ้านเรามีผู้พยายามนำเรื่องราวของ ‘ผีบุญ’ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 121 ปีล่วงมาแล้ว โดยมีการตีไข่ใส่สีว่าผีบุญเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐ ทั้งๆ ที่ผู้นำขบวนการนั้นตั้งตัวเป็น ‘ผีบุญ’ เอง โดยให้ความหมายของผีบุญว่าเป็น ‘ผู้มีบุญ’ ซึ่งก็คือ การอวดอ้างตัวเองว่า เป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์ มีเดช เหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ได้รับบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสร้างความมั่งคั่งผาสุกให้กับราษฎร ซึ่งชัดเจนแน่นอนว่าเป็นการโกหกหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ก็ทำให้คนที่งมงายเชื่อได้เป็นจำนวนมาก

บรรดากบฏผีบุญถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมไว้ที่ ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2444

ในสมัยนั้น มีผีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานหลายราย ด้วยเพราะประชาชนในพื้นที่ต้องประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ ทำให้ผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีอำนาจออกมาปลุกปั่นว่า เป็นเพราะรัฐบาลสยามส่งคนมาปกครองแล้วเก็บภาษีไปปรนเปรอคนกรุงเทพฯ ประกอบกับผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองและความเจริญมาก ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ จึงถูกบรรดาเหล่าผีบุญหลอกลวงได้อย่างง่าย ๆ และกบฏผีบุญไม่ได้ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลสยามเท่านั้น เพราะมีผีบุญปรากฏในดินแดนรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศส จึงถูกปราบปรามโดยรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2479 จึงถูกรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสกำราบปราบปรามจนหมดสิ้น

ภาพวาดเจ้าพระฝาง (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝาง

ผีบุญรายสำคัญอีกรายหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนครั้งนี้คือ ‘เจ้าพระฝาง’ (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝางภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 โดยมีอิทธิพลจนสามารถยึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือได้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถูกปราบปรามในปี พ.ศ. 2313 โดยกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) เรื่องราวของผีบุญ ซึ่งอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษนั้นจึงมีมานานมาแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังคงมีผู้ที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ในรูปแบบของการต้มตุ๋นหลอกลวง นำไปสู่การดำเนินคดีมากมายหลายกรณี แต่ขบวนการไม่ได้ใหญ่โตจนกลายเป็นการก่อการกบฏต่อบ้านเมือง เพียงแต่เป็นการหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สิน เงิน ทอง

เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) ผีบุญอเมริกัน

ในประเทศที่เจริญแล้วก็มีเรื่องราวของเจ้าลัทธิที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมไม่ต่างจากผีบุญในบ้านเราเช่นกัน ได้เคยเล่าเรื่องของ จุดจบ ‘เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) เมืองเวโก้ มลรัฐเท็กซัส https://thestatestimes.com/post/2022041605 ซึ่งก็ถือว่าเป็นผีบุญอเมริกันคนหนึ่งที่จบเรื่องราวลงพร้อมด้วยกว่าแปดสิบชีวิตของสาวก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี ‘ผีบุญอเมริกัน’ ที่นำสาวกไปจบชีวิตมากที่สุดอยู่อีกคนหนึ่ง…

จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones)

เขาผู้นั้น คือ จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones) เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ในเขตชนบทของเมือง Crete มลรัฐ Indiana สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของ James Thurman Jones กับ Lynetta Putnam

ในวัยเด็ก โจนส์ มีชื่อเล่นว่า จิมมี่ เขามีเชื้อสายไอริชและเวลส์ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเคร่งศาสนา เขาเติบโตเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างแรงกล้า โดยเริ่มท่องจำ Bible ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุสิบสองก็สามารถเทศน์สอนเด็กในละแวกบ้านได้ราวกับเป็นนักเทศน์จริง ๆ

ประวัติของจิมระบุว่า ครอบครัวของเขาค่อนข้างมีปัญหา เพราะบิดาเป็นทหารพิการจากพิษของอาวุธเคมีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีปัญหาในเรื่องการหายใจ ทำงานได้ไม่มากนัก ซ้ำได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เศรษฐกิจถดถอยจนต้องสูญเสียบ้าน ส่วนตัวจิมเองก็มีปัญหาในการคบเพื่อนทำให้มีเพื่อนยาก

เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมได้เข้าเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นนักบวชของนิกาย Methodist พออายุ 21 ปี เขาก็ได้แต่งงานกับ Marceline Baldwin ซึ่งทำงานเป็นพยาบาล แล้วต่อมาจิมก็ออกจากนิกาย Methodist มาเป็นนักเผยแผ่ศาสนาหรือนักเทศน์อิสระ

ที่ตั้งแรกสุดของนิกายโบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) เมือง Indianapolis มลรัฐ Indiana

พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) จิมก่อตั้งนิกาย (ลัทธิ) โบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) ขึ้น เพื่อเผยแพร่คำสอน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวอเมริกันผิวสีในเขตสลัม ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวอเมริกันผิวสีในรูปของอาหาร ที่พัก และหางานให้ทำ แต่ถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันผิวขาวที่มีทัศนคติเหยียดสีผิว แต่จิมก็ไม่ยอมแพ้ และทำการเผยแผ่ศาสนาต่อไปเรื่อย ๆ โดยขณะนั้นพลเมืองอเมริกันผิวสีในเมือง Indianapolis เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็มีการรณรงค์เพื่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของชาวอเมริกันผิวสี ขณะที่ตัวจิมเองก็มีพรสวรรค์ในการเทศน์มาก จนทำให้จำนวนผู้ศรัทธาในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย โดยในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จิมได้รับเด็กผิวสีและเด็กเชื้อสายเกาหลีมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างละคน นอกเหนือไปจากลูกสองคนของเขากับภรรยา จนมีลูกทั้งหมดเก้าคน และเรียกครอบครัวของเขาเองว่า ครอบครัวแห่งสายรุ้ง (Rainbow Family)

Martin Luther King Jr. (ซ้าย) และ Malcolm X (ขวา)

เชื่อกันว่า จิม ได้รับอิทธิพลทางความคิดมากมายหลายเรื่อง อาทิ การต่อต้านสงคราม และการรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ จากสาธุคุณ Martin Luther King Jr. กับ Malcolm X และพรรคเสือดำ (Black Panther Party : BPP) ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหว และขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อชาวอเมริกันผิวสี เขาเชื่อถือศรัทธาในสังคมอุดมคติเป็นแบบสังคมนิยมซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ทั้งการเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ โดยจิมเองเชื่อและมีทัศนคติว่า รัฐบาล และผู้ที่แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนเป็นศัตรูของเขา และเขาจึงมีผู้คุ้มกันอยู่ข้างตัวเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีการส่งคนไปเฝ้าดูตามบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนอีกด้วย

โบสถ์แห่งมวลชน Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California

ในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) จิมได้ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนมายัง Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California และต่อมาในปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) จิมก็ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนไปยังนคร San Francisco เขาเทศน์ในเรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือคนยากจน คนตกงาน คนที่มีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาวกมากมายหลายพันคน เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่น ด้วยการสร้างเครือข่ายเส้นสายในหมู่นักการเมือง จนทำให้โบสถ์แห่งมวลชนมีอำนาจมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อมาเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการการเคหะแห่งนคร San Francisco จิมเริ่มมีพฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้น เริ่มปฏิเสธพระเจ้า มีสภาพจิตใจผิดปกติ มีอารมณ์รุนแรง และต้องพึ่งยาระงับประสาท จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์แห่งมวลชน แล้วมาใช้ชีวิตในโบสถ์ เด็ก ๆ ถูกแยกจากครอบครัว และสั่งให้สาวกเรียกเขาว่า ‘บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์’ และเริ่มสร้างความเชื่อถือศรัทธาในการฆ่าตัวตายหมู่ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณของทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ณ โลกใบอื่น

โจนส์ทาวน์ (Jones town) บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้

ในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) โบสถ์แห่งมวลชนได้ย้ายสาวกกว่าพันคนไปสร้าง ‘โจนส์ทาวน์’ (Jones town) บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ในประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้ เป็นเมืองในระบอบเผด็จการ สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่กันคนละเขต และเด็ก ๆ ถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง มีการปกครองโดยกลุ่มสมาชิกผิวขาว สมาชิกผิวสีต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะถูกบังคับให้เข้าร่วมพิธีในตอนกลางคืน ผู้ที่คิดหลบหนีจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ในปีนี้ Grace Stoen ผู้ที่เคยมีความสัมพันธ์กับเขา ได้ออกมาเปิดโปงเบื้องหลังของโบสถ์แห่งมวลชนต่อสื่อมวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากพากันออกมาตีแผ่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และฟ้องร้องต่อศาล จนทำให้เกิดกลุ่มต่อต้าน จิม โจนส์ ขึ้น

ส.ส. Leo Joseph Ryan Jr. แห่งมลรัฐ California ผู้ถูกสาวกของโบสถ์แห่งมวลชนสังหาร

วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) Leo Joseph Ryan Jr. ส.ส. แห่งมลรัฐ California พร้อมกับนักข่าว อดีตสาวก และครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คนได้เดินทางไปยังประเทศกายอานา เพื่อตรวจสอบโจนส์ทาวน์ และได้พบว่า มีคนแก่และคนเจ็บซึ่งถูกจับนอนเรียงอัดกันบนเตียงเก่า ๆ จนแน่นไปหมด ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็น มีแมลงวันบินว่อน มีหนอนคลานอยู่ไปทั่ว เมื่อนักข่าวจะถ่ายรูปก็มียามติดอาวุธมาห้ามไว้

วันที่ 18 พฤศจิกายน ส.ส. Ryan ได้เดินทางออกจากโจนส์ทาวน์ตามกำหนดการ และพาสาวกจำนวน 16 คนซึ่งต้องการแยกตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน ได้ถูกกลุ่มสาวกติดอาวุธเข้าโจมตีเป็นผลให้ ส.ส. Ryan และผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต แต่มีนักบินผู้หนึ่งเห็นเหตุการณ์จึงได้แจ้งวิทยุไปยังหน่วยงานด้านการบิน และทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับทราบ และส่งกองกำลังไปยังโจนส์ทาวน์เพื่อจัดการลัทธินอกรีตของจิม โจนส์ ในเวลา 5 โมงของเย็นวันเดียวกัน

ภาพถ่ายกองศพของผู้เสียชีวิตทั้งหมด 909 คน โดย 304 ศพเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

แต่เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิม รวบรวมสาวกทั้งหมดกว่า 1,100 คน เข้าร่วมในพิธีกรรม ‘ไวท์ไนท์’ (White Nights) โดยนำน้ำผลไม้ผสมยาพิษไซยาไนด์ให้สาวกดื่ม มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 909 คน โดย 304 ศพเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ศพของจิมถูกพบอยู่บนแท่นเวที ตรงศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน มีสาวกเพียง 167 คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้

น้ำผลไม้ผสมไซยาไนด์ถูกแจกจ่ายให้สาวกของลัทธิดื่ม ส่วนผู้ที่ปฏิเสธที่จะดื่มจะถูกฉีดด้วยไซยาไนด์

จิม โจนส์ ถ่ายภาพกับ Rosalynn Carter ภริยาของประธานาธิบดี Jimmy Carter ระหว่างการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประธานาธิบดี Jimmy Carter

หลังจากการสังหารหมู่ที่โจนส์ทาวน์ เหล่าผู้ที่เคยสนับสนุนนิกายหรือลัทธิโบสถ์แห่งมวลชน โดยเฉพาะบรรดานักการเมืองต่างก็มีความยากลำบากในการอธิบายแก้ตัวถึงความเชื่อมโยงกับจิม โจนส์ ซึ่งหลังจากพิจารณาไตร่ตรองได้ระยะหนึ่ง บางคนต้องออกมายอมรับว่า ถูกโจนส์หลอก

ฟากฝ่ายตัวประธานาธิบดี Jimmy Carter และ Rosalynn Carter สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง พยายามลดความเกี่ยวข้องกับจิม โจนส์ลงให้เหลือน้อยที่สุด ขณะที่ George Moscone นายกเทศมนตรี นคร San Francisco (ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจิม โจนส์ จนได้รับการเลือกตั้ง และเป็นผู้เลือกให้จิมเป็นประธานกรรมการการเคหะแห่งนคร San Francisco) กล่าวว่า เขาถึงกับอาเจียนเมื่อได้ยินเรื่องการสังหารหมู่ และโทรหาเพื่อนและครอบครัวของเหยื่อหลายคนเพื่อขอโทษ แสดงความเสียใจและความเห็นใจ

George Moscone นายกเทศมนตรี นคร San Francisco (ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจิม โจนส์จนได้รับการเลือกตั้ง และเป็นผู้เลือกให้จิมเป็นประธานกรรมการการเคหะแห่งนคร San Francisco)

การสอบสวนคดีสังหารหมู่ที่โจนส์ทาวน์เป็นคดีหมายเลข Q042 ของสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI)

การสอบสวนคดีสังหารหมู่ที่โจนส์ทาวน์ดำเนินการโดยสำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) และรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา แม้ว่า จะมีบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ พยายามที่จะติดต่อกับ FBI เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโบสถ์แห่งมวลชนในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้น แต่ FBI ไม่เคยทำการสอบสวนใด ๆ มาก่อนที่จะเกิดการสังหารหมู่ขึ้น โดยการสืบสวนของ FBI ได้มุ่งเน้นไปหาสาเหตุว่า ทำไมเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ทราบถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโจนส์ทาวน์ แม้ว่านิกายหรือลัทธิโบสถ์แห่งมวลชนจะล่มสลายลงหลังจากเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ.1978) ไม่นาน แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งซึ่งยังเชื่อและยังคงติดตามคำสอนของโจนส์ และศึกษาคำทำนายของเขาเพื่อหาข้อแนะนำในชีวิตช่วงทศวรรษ 1980 อยู่

เมื่อศึกษาพิจารณาถึงพฤติการณ์และพฤติกรรมของเหล่าผีบุญทั้งหลาย พอสรุปได้ว่า ผีบุญมักอวดอ้างตัวเป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์ มีเดช เหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ได้รับบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสร้างความมั่งคั่งผาสุก หรือความสุขในโลกหน้า ด้วยการอาศัย ข้อด้อย จุดอ่อน ตลอดจนปัญหาต่างๆ ในชีวิตของบรรดาเหยื่อที่ประสบพบเจอ จนเหยื่อยอมมอบกายและใจจนกลายเป็นสาวก

แต่ผีบุญเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่มีความโลภโมโทสัน บ้างก็มีปัญหาทางจิต ตลอดจนบ้างก็ปมต่าง ๆ ในชีวิต แต่แทนที่จะพัฒนาตัวเองในทางที่ถูกที่ชอบ ทำดีมีศีลธรรม กลับนำความสามารถดังกล่าวมาหลอกลวงผู้คนโดยอาศัย ปมด้อย จุดอ่อน ในจิตใจของผู้เป็นเหยื่อ แต่ที่เลวร้ายมากไปกว่านั้นคือ เหล่าพวกที่พยายามจะหยิบยกนำเรื่องราวของผีบุญมาสร้างความแตกแยกในบ้านในเมือง คนที่ทำผิดคิดร้ายต่อชาติบ้านเมืองไม่มีวันเป็นผู้มีบุญได้ จะเป็นได้แต่ผู้มีกรรม ดังเช่นบรรดาผีบุญอเมริกันร่วมสมัยซึ่งได้นำมาเล่า ซึ่งปรากฏว่า ไม่มีใครจบชีวิตอย่างสงบเลย และต้องชดใช้ผลกรรมที่ได้ทำขึ้นตามกฎแห่งกรรมนั้นเอง


👍 ติดตามผลงาน อาจารย์โญธิน มานะบุญ เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.โญธิน%20มานะบุญ