มหากาพย์ ‘สงครามกลางเมือง’ (Civil War)
ระยะนี้มีผู้คนที่สังคมให้ค่าว่าเป็นผู้มีการศึกษา แต่พฤติการณ์ พฤติกรรม มีการศึกษาแต่กลับไม่มีปัญญา หยิบยกเอาเรื่องสงครามกลางเมืองมาเป็นประเด็นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมให้กลายเป็นความรุนแรงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คนพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย เพียงแต่เป็นเหมือนกับพวก เห็บ หมัด ยุง ที่น่ารำคาญ พยายาม กัด ไต่ ตอม สังคมโดยไม่รู้จักลดเลิก ไม่ได้นึกถึงความเป็นจริง ได้แต่เพ้อเจ้อไปวัน ๆ ซ้ำร้ายที่ยังมีคนที่ขาดความรู้ อ่อนด้อยประสบการณ์จำนวนไม่มากนักที่หลงเชื่อ และส่วนหนึ่งกลายเป็นเหยื่อทั้งต้องติดคุก บาดเจ็บ และร้ายแรงที่สุด คือ เสียชีวิต โดยที่พวกที่ปลุกปั่น ยุยง และญาติพี่น้อง ลูกหลาน และพวกพ้องที่ใกล้ชิดไม่เป็นอะไรกันเลย
สงครามกลางเมือง เป็นสงครามภายในระหว่างกลุ่มคนในสังคม ในชาติเดียวกัน ด้วยประสงค์ในการแย่งชิงอำนาจการปกครอง หรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจถือเป็นการปฏิวัติ (Revolution) รูปแบบหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมืองนั้น ๆ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งองค์การกาชาดสากลให้ความหมายตามมาตรา 9 แห่งสนธิสัญญาเจนีวาไว้ดังนี้ “สงครามกลางเมืองเป็นความขัดแย้งรุนแรงจนถึงมีการใช้อาวุธต่อกันทั้งสองฝ่ายหรือมากกว่านั้น และอาจมีความรุนแรงเหมือนสงครามระหว่างรัฐ แต่เกิดขึ้นภายในประเทศนั้นประเทศเดียว” นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล/การก่อการร้าย/การก่อความไม่สงบ เป็นสงครามกลางเมืองด้วย หากมีการสู้รบระหว่างกองกำลังติดอาวุธเต็มรูปแบบ ความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง" "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ขึ้นอยู่กับบริบท (Context) ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้
การสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยการใช้ความรุนแรงไม่ได้มีผลดีอะไรกับสังคมและชาติบ้านเมืองเลย ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ความบอบช้ำเสียหายเกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม ในชาติบ้านเมืองโดยรวมเสมอ และต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากมายในการฟื้นฟูเยียวยา ส่วนที่แก้ไขเยียวยายากมากที่สุดคือ บาดแผล หรือความบอบช้ำทางจิตใจ อันเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้แพ้ ผู้ชนะ หรือผู้ที่เป็นกลาง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย
สงครามกลางเมืองอังกฤษ (Cromwell war) ค.ศ. 1642-1651
ตามประวัติศาสตร์สากลสงครามกลางเมืองที่ถูกบันทึกไว้ มักจะเป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วหลายพันครั้งในเกือบทุก ๆ ชาติ ตั้งแต่ 475 ปีก่อนคริสต์ศักราช เช่น สงครามรวมชาติจีน หรือสงครามนครคาร์เธจ หรือสงครามแห่งรัฐอิสลาม ค.ศ. 656 - 661 หรือสงครามเมืองอังกฤษหลายครั้งคือ The Anarchy ค.ศ. 1135 - 1153 (ยุคไร้สันติสุข) สงครามกุหลาบ (Wars of Roses) ราว ค.ศ. 1455 - 1485 (ระหว่างเจ้านครแห่งแคว้นแลงคาสเตอร์กับเจ้านครแห่งแคว้นยอร์ก) และสงครามกลางเมือง (Cromwell war) ค.ศ. 1642 - 1651 (ระหว่างกษัตริย์กับรัฐสภา) สงครามกลางเมืองอังกฤษมีสาเหตุจากการชิงอำนาจปกครองประเทศ หรือการปกป้องสิทธิของกษัตริย์ หรือการป้องสิทธิของประชาชน เช่น ในสงครามขุนนางครั้งที่ 1 ค.ศ. 1215 - 1217 ระหว่างขุนนางกับพระเจ้าจอห์น ขุนนางสามารถทำให้พระเจ้าจอห์น ทรงลงพระนามในมหาบัตรใหญ่หรือ Magna Carta อันเป็นต้นกำเนิดรัฐธรรมนูญของอังกฤษ และสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา
สำหรับสหรัฐฯ สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1861 - 1865 เมื่อมลรัฐทางใต้ 11 รัฐ เห็นว่า การรณรงค์เลิกทาสของประธานาธิบดี อับราฮิม ลินคอล์นนั้น ขัดต่อผลประโยชน์ทางมลรัฐทางใต้ ซึ่งต้องพึ่งแรงงานทาสผิวสีในการเก็บฝ้าย และทำกสิกรรม จึงประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐฯ สถาปนาเป็นสหพันธรัฐแห่งอเมริกา โดยมีประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สัน เดวิส เป็นผู้นำ และเกิดการรบขึ้นเพื่อแย่งความชอบธรรมแห่งรัฐ เพราะการแยกตัวจากสหรัฐฯ เป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระยะเวลาในการทำสงคราม 4 ปี ทำให้มีผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากสงครามกว่า 1,030,000 คน ทหารเสียชีวิตราว 750,000 คน ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของทั้งสองฝ่ายราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (สามารถติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ 12 สงครามที่ ‘แพงที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา >> https://thestatestimes.com/post/2021082805)
นอกจากสงครามกลางเมืองในอังกฤษและสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญที่ถูกบันทึกไว้อีก ดังนี้
>> สงครามโบะชิง (3 มกราคม 1868 - 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1869) นักวิชาการบางส่วนเรียกว่า “การปฏิวัติญี่ปุ่น” เป็นสงครามกลางเมืองในประเทศญี่ปุ่นที่รบกัน ระหว่างกำลังของรัฐบาลเอโดะซึ่งปกครองและผู้ที่มุ่งถวายอำนาจการเมืองคืนแก่ราชสำนักจักรพรรดิ ผลคือ ฝ่ายจักรพรรดิชนะ ทำให้รัฐบาลของโชกุนสิ้นสุดยุติบทบาทลง และจักรพรรดิกลับได้ปกครองญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง (จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร) ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตราว 8,500 นาย
‘ยัน ชิชกา และ บาทหลวงฮุสไซต์’ ยืนมองกรุงปรากหลังยุทธการที่เนินวิตคอฟในสงครามฮุสไซต์
>> สงครามฮุสไซต์ (Hussite wars) (ราว ค.ศ. 1419 - 1437) หรือ สงครามโบฮีเมีย หรือ การปฏิวัติฮุสไซต์ เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายฮุสไซต์ที่นับถือคำสอนของยัน ฮุสกับฝ่ายโรมันคาทอลิก นำโดยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการสู้รบกันเองในหมู่นักรบฮุสไซต์ สงครามนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ความแตกแยกหลายเหตุการณ์ระหว่างผู้นับถือคำสอนของฮุสกับผู้ปกครองที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก เช่น การเผาทั้งเป็นฮุส, เหตุบัญชรฆาตในกรุงปราก และการสวรรคตของพระเจ้าเวนเซลแห่งชาวโรมัน ในปี ค.ศ. 1424 ผลของสงคราม ฝ่ายฮุสไซต์ชนะ ทำให้ (1) ศาสนจักรฮุสไซต์เป็นอิสระจากพระสันตะปาปา (ต่อมาภายหลังฝ่ายฮุสไซต์สายกลางได้ร่วมมือกับฝ่ายโรมันคาทอลิก รบกับฝ่ายฮุสไซต์หัวรุนแรง ทำให้ฝ่ายฮุสไซต์หัวรุนแรงพ่ายแพ้และต้องหลบซ่อน) (2) ฝ่ายโรมันคาทอลิกยอมรับฝ่ายฮุสไซต์สายกลาง (3) จักรพรรดิซีกิสมุนด์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย และ (4) มีการลงนามในสัญญาบาเซิลเพื่อยุติสงคราม ไม่ปรากฏข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิต
>> สงครามศาสนาของฝรั่งเศส (French Wars of Religion) (ค.ศ. 1562 - 1598) เป็นสงครามกลางเมืองฝรั่งเศส สงครามระหว่างชาวฝรั่งเศสผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และ ชาวฝรั่งเศสผู้ที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ฝ่ายโรมันคาทอลิก นำโดยตระกูลกีส (Guise) กับกลุ่มอูเกอโนต์ (Huguenots) หรือโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศส นำโดยตระกูลบูร์บง ผลคือฝรั่งเศสเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่จากราชวงศ์วาลัวส์ เป็นราชวงศ์บูร์บง และเสรีภาพทางศาสนาของผู้นับถือโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสตามพระราชกฤษฎีกาแห่งนองซ์ออกโดยพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ประมาณการว่ามีผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตราว 3,000,000 คน
>> สงครามกลางเมืองบรูไน (ค.ศ. 1661 - 1673) เป็นสงครามกลางเมืองในรัชสมัยของสุลต่านมูฮัมหมัดอาลีที่สิบสองแห่งจักรวรรดิบรูไน เพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองจักรวรรดิบรูไนระหว่างสุลต่านฮักกูล มุบินกับสุลต่านมูยิดดิน สงครามจบลงด้วยชัยชนะของสุลต่านมูยิดดิน ไม่ปรากฏข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิต (จักรวรรดิบรูไนล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1888)
>> สงครามกลางเมืองรัสเซีย (ค.ศ. 1918 - 1922) เป็นสงครามกลางเมืองหลายฝ่ายในอดีตจักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ภายหลังจากการปฏิวัติสองครั้งในปี ค.ศ. 1914 เนื่องจากหลายฝ่ายต่างแก่งแย่งกันในการกำหนดอนาคตทางการเมืองของรัสเซีย โดยมีกลุ่มทหารขนาดใหญ่มาก ๆ อยู่สองกลุ่มคือ กองทัพแดง ที่ต่อสู้เพื่อลัทธิสังคมนิยมตามแบบของบอลเชวิกที่นำโดยวลาดีมีร์ เลนิน และกองทัพพันธมิตรที่ไม่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือ กองทัพขาว ซึ่งได้รวมถึงผลประโยชน์ที่หลากหลาย ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากฝ่ายนิยมกษัตริย์ ฝ่ายทุนนิยม และฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม
.
โดยแต่ละกลุ่มก็จะมีทั้งรูปแบบประชาธิปไตยและต่อต้านประชาธิปไตย ผลคือ บอลเชวิกชนะ มีการสถาปนาการปกครองของบอลเชวิกในพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิรัสเซีย สถาปนารัฐมองโกเลียและตูวาที่นิยมบอลเชวิก การล่มสลายของสาธารณรัฐรัสเซีย และรัฐรัสเซีย กองทัพฝ่ายขาวปราชัย และต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ เป็นการยุติการเข้าแทรกแซงของฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประมาณการว่ามีผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตราว 7,000,000 - 12,000,000 คน
>> สงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ (ค.ศ. 1922 - 23) เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลังสงครามประกาศอิสรภาพของไอร์แลนด์ และมาพร้อมกับการก่อตั้งรัฐอิสระไอริช ซึ่งเป็นรัฐที่เป็นอิสระจากสหราชอาณาจักร แต่ยังอยู่ภายในจักรวรรดิอังกฤษ สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นระหว่างสองกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ ได้แก่ รัฐบาลเฉพาะกาลที่สนับสนุนสนธิสัญญาและกองทัพสาธารณรัฐไอริชที่ต่อต้านสนธิสัญญาแองโกล-ไอริช กองกำลังของรัฐบาลเฉพาะกาล (ซึ่งกลายเป็นรัฐอิสระในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2465) สนับสนุนสนธิสัญญา ในขณะที่ฝ่ายค้านต่อต้านสนธิสัญญาเห็นว่า เป็นการทรยศต่อสาธารณรัฐไอริช กองกำลังรัฐอิสระที่สนับสนุนสนธิสัญญาเป็นฝ่ายชนะในสงครามกลางเมือง โดยได้รับอาวุธจำนวนมากจากการจัดหาของรัฐบาลอังกฤษ ความขัดแย้งนอกจากคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าสงครามอิสรภาพของไอร์แลนด์ก่อนหน้า และทำให้สังคมไอริชแตกแยก และสร้างความขมขื่นมาให้กับคนไอริชมาหลายชั่วอายุคนจนทุกวันนี้ พรรคการเมืองหลักสองพรรคในสาธารณรัฐไอร์แลนด์คือ Fine Gael และ Fianna Fáil ต่างก็เป็นทายาทสืบต่อของคู่ขัดแย้งในสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์
>> สงครามกลางเมืองในจีน (Chinese Civil War) (ค.ศ. 1928 - 1937, ค.ศ. 1945 - 1949) เป็นสงครามกลางเมืองที่สู้รบกันระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือประเทศจีน ส่งผลให้จีนถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ คือ สาธารณรัฐจีน ครอบครองเกาะไต้หวัน และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งครอบครองจีนแผ่นดินใหญ่ สงครามกลางเมืองจีนเป็นสงครามที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์โลก รองจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น สงครามเริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1927 ท่ามกลางการกรีธาทัพขึ้นเหนือ (Northern Expedition) และสิ้นสุดลงในช่วง ค.ศ. 1949 - 1950 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้จะไม่มีการรบแล้วก็ตาม แต่สงครามก็ยังคงไม่ยุติลงอย่างเป็นทางการ ด้วยยังไม่มีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพใด ๆ ชัยชนะทางทหารเป็นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ครอบครองจีนแผ่นดินใหญ่ สถาปนาขึ้นเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลสาธารณรัฐจีนย้ายไปยังกรุงไทเป บนเกาะไต้หวัน ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไปในรูปของการข่มขู่ด้วยการใช้กำลังทหาร การกดดันทางการเมือง และการกดดันทางเศรษฐกิจ สถานะทางการเมืองของไต้หวันยังคงเป็นข้อขัดแย้งที่สำคัญในปัจจุบัน โดยความตึงเครียดที่ดำเนินต่อมานั้นถูกเรียกว่าเป็น “ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ” ประมาณการว่ามีผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตช่วง ค.ศ. 1928 - 1936 ราว 2 ล้านคน และช่วง ค.ศ. 1945 - 1949 ราว 1 - 3 ล้านคน
>> สงครามกลางเมืองสเปน หรือสงครามสเปน (ค.ศ. 1936 - 1939) เป็นสงครามกลางเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้านสาธารณรัฐสเปนที่ 2 ได้แก่ กลุ่มนิยมสาธารณรัฐ นำโดย ประธานาธิบดี มานวยล์ อาซาญา ประกอบด้วยกลุ่มมัชฌิมา กลุ่มสังคมนิยม กลุ่มคอมมิวนิสต์ รวมทั้งชาวกาตาลา และชาวบาสก์ที่เป็นท้องถิ่นนิยมและอนาธิปไตย กับ กลุ่มแห่งชาติ นำโดย นายพลฟรันซิสโก ฟรังโก ซึ่งเป็นฝ่ายก่อการกบฏ รวมถึงพวกนิยมกษัตริย์ พวกการ์ลิสตา พวกคาทอลิกหัวเก่า และพวกฟาสซิสต์ฟรังกิสต์ ซึ่งกองทัพสเปนเองก็ได้แตกออกเป็นสองฝ่าย แต่ละฝ่ายก็พยายามระดมพันธมิตรต่างประเทศมาช่วยรบ กลุ่มนิยมสาธารณรัฐดึงสหภาพโซเวียตและเม็กซิโก ส่วนกลุ่มแห่งชาติดึงเอาพวกฟาสซิสต์จากอิตาลีและนาซีเยอรมนี
สงครามดังกล่าวนับว่าเป็นการเร่งความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และถูกมองว่าเป็นสงครามตัวแทนระหว่างสองลัทธิ คือ คอมมิวนิสต์ สหภาพโซเวียต และฟาสซิสต์ ฝ่ายอักษะ สงครามดังกล่าวได้มีการนำรถถังและการทิ้งระเบิดทางอากาศมาใช้ และถูกกล่าวขานถึงความโหดร้ายของสงครามและความแตกแยกทางการเมืองจากนักเขียนหลายคน อาทิ เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, มาร์ธา เกลฮอร์น, จอร์จ ออร์เวลล์, และโรเบิร์ต คาปา ประมาณการว่ามีทหารเสียชีวิตรวม 500,000 นาย
นอกจากสงครามกลางเมืองที่ได้กล่าวมาแล้ว สงครามเกาหลีก็น่าจะเข้าข่ายสงครามกลางเมืองเพราะเป็นสงครามระหว่างชนชาติเกาหลีด้วยกันเอง ซึ่งประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตราว 3,000,000 - 5,000,000 คน และสงครามอินโดจีนครั้งที่สอง ในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตราว 2,200,000 - 6,800,000 คน
ปัจจุบันสงครามกลางเมืองในซีเรีย ลิเบีย และอิรัก ซึ่งยังดำเนินอยู่จนทุกวันนี้ นอกจากจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างเหลือคณานับ ทั้งชีวิตมนุษย์ และทรัพย์สิน ตลอดจนความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจกับผู้คนที่เกี่ยวข้องจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดผู้อพยพพลัดพรากจากถิ่นฐานเดิมที่เคยอยู่ ครอบครัวแตกซ่านกระจัดกระจายจนไม่สามารถที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันอีก
ดังนั้นพวกที่มีความพยายามที่จะจูงความคิด ปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในชาติบ้านเมืองของเรา จึงเป็นคนที่ชั่วร้ายที่ใช้ไม่ได้เลย คนที่มีความคิดที่ชั่วช้าเยี่ยงนี้สมควรต้องถูกสังคมต่อต้านและประณามหยามเหยียด ไม่สมควรจะให้มีที่ยืนในสังคม ทั้งยังมีหน้ามาล่อลวงเด็ก ๆ ที่อ่อนด้อยต่อโลกให้ออกมาสร้างปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองจนต้อง บาดเจ็บ พิการ ติดคุก โดยที่ตัวเองไม่รับผิดชอบ การสร้างและสั่งสมกรรมเวร - ชั่วบาปกับชาติบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง ที่สุดแล้วคนช่างยุนักปลุกปั่นพวกนี้ก็ย่อมไม่หนีพ้นที่จะถูกจัดการโดยกฎแห่งกรรม...
แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ Blockdit : THE STATES TIMES
???? https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32