“โฆษกรัฐบาล” แจง แบงค์ชาติจับมือสมาคมธนาคาร หามาตรการเข้มป้องสวมรอยธุรกรรมการเงิน หลัง “นายก”สั่ง ดูแลปชช.จากการตัดเงินบัตรเครดิต-เดบิต ผิดปกติ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบรายงานความคืบหน้ากรณีมิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมการเงิน โดยตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคาร จำนวน 10,700 ใบ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 130 ล้านบาท  โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการยกระดับป้องกันการทำธุรกรรมการเงิน ผ่านช่องทางระบบออนไลน์และบัตรเครคิต รวมทั้งขอให้สถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งธนาคารรายงานว่า ได้คืนเงินให้ลูกค้าบัตรเดบิตที่ได้รับความเสียหายครบทุกรายแล้ว ส่วนบัตรเครดิตได้เร่งตรวจสอบและยกเลิกรายการ โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วที่สุดต่อไปด้วย

นายธนกร กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประสานกับสมาคมธนาคารไทย ยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนแล้ว ได้แก่ 1.ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง 2. ติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ 3.แจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการตั้งแต่รายการแรก และ4. ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันความเสี่ยง เช่น การปรับวงเงินในบัตรให้เหมาะสมกับการใช้จ่าย หลีกเลี่ยงการผูกบัตรกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่น่าไว้ใจ 

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้  ธปท. และสมาคมธนาคารไทย จะผลักดันให้ผู้ให้บริการบัตรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบังคับใช้การยืนยันตัวตนก่อนทำรายการชำระเงินกับบัตรเดบิตสำหรับทุกร้านค้าออนไลน์ โดยเฉพาะร้านค้าในต่างประเทศ เช่น การใช้เลข OTP ยืนยันตัวตนก่อนร้านค้าทำการตัดบัญชี รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามทางการเงินในรูปแบบใหม่ ทั้งนี้นายกฯ เตือนประชาชน ถึงภัยออนไลน์โดยเฉพาะภัยจากธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ เนื่องจาก ปัจจุบันระบบการเงินของไทยมีการก้าวหน้ามาก

รวมทั้งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการ ทำให้การใช้จ่ายผ่านออนไลน์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ สะดวกรวดเร็ว เป็นโอกาสให้มิจฉาชีพใช้ช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัล ทุจริต ลักทรัพย์ หรือลอกหลวงให้ยืมเงิน ชักชวนเล่นการพนันหรือลงทุน จึงอยากประชาชนศึกษา ทำความเข้าใจ เพิ่มความระมัดระวังการทำธุรกรรมออนไลน์ ไม่หลงกลหรือตกเป็นเหยื่อยการโฆษณา และหมั่นตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และขณะนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังติดตามผู้กระทำผิดรวมทั้งจะมีการขยายผลถึงเครือข่าย เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป 

เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 เพื่อเร่งจับกุมผู้กระทำความผิด และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป