“บิ๊กแก้ว” ปช. ส่วนราชการ ร่วมบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนภายใต้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะผู้อำนวยการปฏิบัติจัดการประชุมบูรณาการและขับเคลื่อนการบริหารจัดการชายแดนภาคใต้ พร้อม หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 โดยมี นโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกรอบแนวทางที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้มอบไว้ในการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด19 ของจังหวัดชายแดน เมื่อวันที่ 24 พ.ค.64
ทั้งนี้ พล.อ.เฉลิมพล ได้เน้นย้ำให้จังหวัดชายแดนมีความเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมาย ตลอดจนการดำเนินมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 ในพื้นที่ชายแดน โดยให้บูรณาการการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ผ่านกลไกศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ซึ่งเป็นกลไกของกองอำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (กอ.นชท.) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติงานร่วมกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกลไก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาค และส่วนกลางหรือระดับนโยบาย โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะรองผู้อำนวยการปฏิบัตินโยบายชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นผู้ควบคุมและกำกับดูแลการปฏิบัติของศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด
ผบ.ทสส. ได้เน้นย้ำให้ศูนย์ปฏิบัติการเหล่าทัพ โดย กองทัพภาคที่ 1-4 ทัพเรือภาคที่ 1-3 และ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ในฐานะศูนย์ควบคุมชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้การสนับสนุนการปฏิบัติของศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ทั้งในพื้นที่ชายแดนทางบก และทางทะเล เพื่อให้การปฏิบัติเกิดการบูรณาการจากทุกภาคส่วนมีความเป็นเอกภาพ สำหรับการปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน พื้นที่ถัดจากชายแดน และพื้นที่ตอนในนั้น จะต้องมีความประสานสอดคล้อง เชื่อมโยงกันในลักษณะโครงข่าย เพื่อให้การปฏิบัติมีความต่อเนื่อง มีการติดต่อสื่อสารที่ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ
ในที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงแรงงาน ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากนายจ้างหรือผู้ประกอบการที่มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าว ดำเนินการจัดหาหรือจ้างแรงงานให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งเร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ในการตรวจสอบ หรือสืบสวน สอบสวน กรณีมีการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลบหนีเข้าเมือง จากกลุ่มขบวนการ ผู้นำพาหรือนายจ้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักและปฏิบัติงานตามหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มขีดความสามารถ เพราะทุกหน่วยงานถือเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในการแก้ไขปัญหา ซึ่งจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนกลไกให้เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องตามหน้าที่ของแต่ละส่วน โดยขอให้มีการปรึกษาหารือและประสานการปฏิบัติระหว่างกันโดยใกล้ชิดในทุกมิติ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19