“จุรินทร์” เชื่อโควิด-19 ไม่กระทบแก้ รธน. ขี้เป็นสัญญาณดีมี ส.ว.ส่วนหนึ่งหนุนแก้ม.272 ตัดอำนาจสภาสูงโหวตเลือกนายกฯ

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงความพยายามดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ว่า  ที่จริง การพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะเริ่มขึ้นได้ต่อเมื่อเปิดการประชุมสภาสมัยสามัญแล้ว แต่ในระหว่างนี้เป็นช่วงการเตรียมการสำหรับการยกร่างและการหารือกับตัวแทนของพรรคร่วมรัฐบาลที่สนใจจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในการยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาที่มีความคิดเห็นในเบื้องต้นคล้ายคลึงกับพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงนี้ก็จะได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว 6 ฉบับ และจะนำไปพิจารณาร่วมกับทั้งสองพรรค ทั้งนี้ตนคิดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ถึงขั้นที่จะส่งผลกระทบกับการเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถึงอย่างไรจะต้องรอการพิจารณาเมื่อเปิดการประชุมสภาสมัยสามัญ

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่ดีจากกรณีที่มี ส.ว.จำนวนหนึ่งที่แสดงความเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ในเรื่องที่จะให้ส.ว.มีหน้าที่เฉพาะการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีควรเป็นหน้าที่ของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เท่านั้นมากกว่า ถ้า ส.ว.จำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการแก้มาตรา 272 ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่าส่วนหนึ่งก็มีความเห็นใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่จะร่วมเสนอกันต่อไปในอนาคต

เมื่อถามว่าสัญญาณที่ดีดังกล่าวจะทำให้การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นหรือไม่  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า  ก็เป็นไปได้ เพราะการจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จได้ นอกจากจะต้องใช้เสียงสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา คือ ส.ส.และ ส.ว. รวมกันแล้ว ในส่วนตรงนั้นต้องมีเสียงส.ว.ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3  และต้องมีเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 มาประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้เสียงส.ว.จำนวนเกินกว่า 1 ใน 3 เห็นชอบด้วย ก็จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบผลสำเร็จได้