Wednesday, 4 June 2025
SPECIAL

ตำรวจ ปส. สกัดแก๊งค้ายาบ้า ขณะขนยาบ้าล็อตใหญ่ 3.2 ล้านเม็ด ส่งแก๊งค้ายาบ้าภาคกลาง

ตามนโยบายการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ภายใต้การอำนวยการโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยงพล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์  สอนกล้า ผบก.ปส.2 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมแก๊งค้ายาบ้า ขณะขนยาบ้าล็อตใหญ่ 3,200,000 เม็ด ส่งแก๊งค้ายาบ้าใน จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.66 เวลาประมาณ 22.10 น. ตำรวจ ปส.2 ได้สกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ทางภาคอีสาน จับกุมผู้ต้องหา 2 คน คือ นายทศพล  หรือ อ๊อฟ อายุ 36 ปี(คนขับรถขนยาเสพติด) และนายสุริยา อายุ 38 ปี (นั่งข้างคนขับ) พร้อมของกลาง ยาบ้า 8 กระสอบ ประมาณ 3,200,000 เม็ด โดยขณะที่นายทศพล ขับขี่รถกระบะยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 2235 ร้อยเอ็ด ไปถึงบริเวณสี่แยกไฟแดง ถ.สุขเกษม ต.ดงมะไฟ อำเภอเมือง จ.สกลนคร ตำรวจ ปส.2 ได้แสดงตนเข้าตรวจค้น พบยาบ้า 3,200,000 ล้านเม็ดในรถคันดังกล่าว จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อกล่าวหาจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดีและขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการและยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องต่อไป เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การ รับสารภาพว่า รับจ้างขนยาเสพติดเข้ามาจากจังหวัดติดแนวชายแดนทางภาคอีสาน เพื่อนำไปส่งลูกค้าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อไป

ตำรวจไซเบอร์จับ 2 บัญชีม้าขบวนการอ้างพัสดุผิดกฎหมาย แต่งชุดตำรวจวิดีโอคอลหลอกโอนเงิน สูญกว่า 2.6 ล้าน

สืบเนื่องจาก เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 66 ที่ผ่านมา ได้มีมิจฉาชีพโทรหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นพนักงานส่งพัสดุของแบรนด์ดัง แจ้งว่ามีพัสดุส่งจาก จ.ตาก ไป จ.อุบลราชธานี โดยมีชื่อผู้ส่งเป็นชื่อผู้เสียหาย โดยหลอกว่าในกล่องพัสดุมีสมุดบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย จำนวน 3 เล่ม และมีหนังสือเดินทางของชาวจีนอีกจำนวน 15 เล่ม  ต่อมา ผู้เสียหายหลงเชื่อ มิจฉาชีพจึงโอนสายให้ คุยกับตำรวจปลอม อ้างสังกัด สภ.เมืองตาก แล้วขอภาพถ่ายบัตรประชาชนจากผู้เสียหายไป นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังได้ขอแอดไลน์และวิดีโอพูดคุยในชุดเครื่องแบบตำรวจติดยศระดับพันตำรวจเอกอ้างว่าเป็นผู้กำกับ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และพูดจาข่มขู่ให้ผู้เสียหายรู้สึกกลัว แล้วหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินไปให้ทำการตรวจสอบ ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินไปทั้งสิ้น จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,661,529.45 บาท สุดท้าย เมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอก จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ บก.สอท.3 เร่งสืบสวนหาตัวผู้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้หลายราย

กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3  ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า มีผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารให้ขบวนการดังกล่าวใช้เป็นเครื่องมือ กบดานอยู่ในพื้นที่ จ. เพชรบุรี จำนวน 2 ราย จึงได้ร่วมกันลงพื้นที่และวางแผนเข้าจับกุม

ต่อมา วันที่ 16 ต.ค.2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้ โดยสามารถจับกุม นายธีรนพ อายุ 21 ปี และ นายไพบูลย์ อายุ 24 ปี ชาวเพชรบุรี ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”  โดยสามารถควบคุมตัวได้ในพื้นที่ ต.ช่องสะแก และ ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี จึงนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.3 ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะข่าวฯ บก.สอท.3 ได้ดำเนินการสั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์, พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ และ ชุดสืบสวน ร่วมกันดำเนินการจับกุม

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566

ถ้าทำอะไรแล้วเป็นทุกข์...ก็หยุดทำ 
ถ้าพูดอะไรแล้วเป็นทุกข์...ก็หยุดพูด
ถ้าคิดอะไรแล้วเป็นทุกข์...ก็หยุดคิด

- หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป-

ตำรวจ ปส. โค่นเครือข่ายยาเสพติดใหญ่ในภาคอีสาน พบหลังถูกปล่อยตัวยังลอบขนยาบ้ากว่า 6.4 ล้านเม็ด

ตามนโยบายการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ในการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ภายใต้การอำนวยการโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยงพล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 สามารถจับกุมเครือข่ายใหญ่ ลักลอบขนยาบ้า 6,440,000 เม็ด 

วันที่ 12 ต.ค.66 เวลาประมาณ 21.30-22.50 น. ตำรวจ ปส. บก.ปส.2 ร่วมจับกุม 4 ผู้ต้องหาคือ นายจงกล, นายบุญมี, น.ส.สุจิตรา และนางสำราญ ได้ที่บริเวณปั้มน้ำมันคาลเท๊กส์ อ.คำตากล้า จ.สกลนคร ต่อเนื่อง ริมถนนสาย 22 ถนนนิตโย อ.พังโคน จ.สกลนคร และ ริมถนนสาย 22 ถนนนิตโย อ.หนองหาน จ.อุดรธานี 

โดยก่อนการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจ ปส.ได้ติดตามพฤติการณ์ของขบวนการค้ายาเสพติดที่มีนางสำราญ (ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีนี้) ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวจากจากเรือนจำ และพบว่า นางสำราญ ยังมีการสั่งการให้เครือข่ายลักลอบขน ยาเสพติดล็อตใหญ่ให้ลูกค้า จึงเฝ้าสืบสวนติดตามพฤติการณ์ ต่อมาวันที่ 12 ต.ค.66 เวลาประมาณ 21.30 น. ตำรวจปส.2 ได้ติดตามรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทะเบียนxx 3367กทม. รถยนต์ฮอนด้า ทะเบียน xx 1473 กทม. และรถยนต์ฟอร์ด ทะเบียน xx 9750 สกลนคร ซึ่งขับขี่ไปอยู่ในพื้นที่ จ.สกลนคร เมื่อไปถึงปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ อ.คำตากล้าจ.สกลนคร ตำรวจ ปส.2 จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น รถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทะเบียน xx 3367 กทม. 

มีนายจงกล เป็นผู้ขับขี่ ผลการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 6,440,000 เม็ด อยู่ในรถคันดังกล่าว ซึ่งนายจงกล รับว่าเป็นยาเสพติดที่กำลังขนไปส่งลูกค้าในพื้นที่ตอนใน ตำรวจ ปส.2 จึงแจ้งข้อหาจับกุมและยึดยาเสพติดเป็นของกลาง จากนั้นได้ติดตามไปสกัดจับกุม รถยนต์ฮอนด้า ทะเบียน xx 1473 กทม. ได้ที่บริเวณ อ.พังโคน จ.สกลนคร โดยมีนายบุญมีเป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.สุจิตรา นั่งไปด้วย ซึ่งทั้งสอง รับว่าทำหน้าที่เป็นรถนำทางสังเกตการณ์ให้รถขนยาเสพติด และตำรวจ ปส.2 ได้ติดตามไปจับกุม รถยนต์ฟอร์ด ทะเบียน xx 9750 สกลนคร ได้ที่บริเวณ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยมีนางสำราญ เป็นผู้ขับขี่ ซึ่งรับว่าทำหน้าที่เป็นรถนำทางให้รถขนยาเสพติดเช่นกัน ในเบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า การขนยาเสพติดครั้งนี้ใช้รถยนต์ถึง 3 คัน เนื่องจากผู้ต้องหากลุ่มนี้เคยถูกจับมาแล้ว จึงเพิ่มความระมัดระวัง โดยใช้รถยนต์คันแรกเป็นรถนำทางด้านหน้า เพื่อตรวจดูด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และดูรถที่ติดตามขบวนยาเสพติดใช้รถยนต์คันที่2 เป็นรถบรรทุกยาเสพติด และรถยนต์คันสุดท้ายทำหน้าที่ปิดท้ายขบวน คอยคุ้มกันรถบรรทุกยาเสพติด จากนั้นตำรวจ ปส.2 จึงจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดี และสอบสวนขยายผลหาผู้สั่งการและกลุ่มขบวนการยาเสพติดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดต่อไป

ตำรวจไซเบอร์จับขบวนการแก๊งแอปกรมที่ดินปลอม หลอกสแกนใบหน้าดูดเงินหายกว่า 2 ล้าน

สืบเนื่องจากเมื่อ ต้นเดือน ก.ค.66 ที่ผ่านมา มีผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งออนไลน์ว่า มีมิจฉาชีพโทรหาผุู้เสียหายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมที่ดิน อ้างว่าเคยส่งหนังสือเรื่องการขอให้ปักหมุดพิกัดที่ดินที่ผู้เสียหายครอบครองอยู่ โดยส่งหาผู้เสียหาย 2 ครั้งแล้วแต่ผู้เสียหายไม่ติดต่อกลับ มิจฉาชีพจึงแนะนำให้ผู้เสียหายดำเนินการปักหมุดพิกัดที่ดินออนไลน์ อีกทั้งมิจฉาชีพยังสามารถแจ้งข้อมูลที่ดินของผู้เสียหายได้ถูกต้อง ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อ 

ต่อมา มิจฉาชีพให้ผู้เสียหายกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ที่ปลอมขึ้นมาแล้วให้ผู้เสียหายโหลดแอปกรมที่ดินปลอม จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายทำการสแกนใบหน้าหลายครั้ง ระหว่างที่คุยกับมิจฉาชีพและทำตามขั้นตอนที่ปลายสายบอก ผู้เสียหายสังเกตเห็นข้อความแจ้งเตือนเงินออกจากบัญชี ผู้เสียหายตกใจจึงพยายามกดออกจากแอป ดังกล่าวแต่ปรากฎว่าโทรศัพท์มือถือค้าง ไม่สามารถดำเนินการใดใดได้ จึงถอดซิมออกแล้วทุบโทรศัพท์ตนเองทิ้ง สุดท้ายเมื่อมาตรวจสอบบัญชีธนาคาร พบว่าเงินถูกโอนออกไปจากบัญชี จำนวน 4 ครั้ง รวมสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท จึงได้ทำการแจ้งความผ่าน www.thaipoliceonline.com

พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ออกสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดกลุ่มขบวนการที่เกี่ยวข้อง จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้หลายราย

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูลจนทราบว่ามีผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.5 ต.ดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี จึงนำหมายจับศาลจังหวัดบัวใหญ่เข้าจับกุมตัว น.ส.พึงชญา อายุ 37 ปี ชาวอุดรธานี ในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.3 ดำเนินการต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 และ พ.ต.อ.พงศ์นริทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3, ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ และ พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘บิ๊กต่าย’ แถลงจับกุม 2 ขบวนค้ายาเสพติดรายใหญ่ เครือข่ายโคราช-นครสวรรค์ ยึดยาบ้ารวม 11 ล้านเม็ด

(11 ต.ค.66) ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บก.ปส.) เเถลงผล ปฏิบัติการทลายเครือข่ายยาเสพติดยึดยาบ้ารวมแล้ว 11,634,000 เม็ด โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาล และนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทาง กฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยงพล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส. และพ.ต.อ.นพสิทธิ์ มิตรภักดี รอง ผบก.1 รรท. ผบก.ปส.๑ ได้เดินหน้าปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่องและสามารถจับกุม 2 เครือข่ายใหญ่ ได้ของกลางเป็นยาบ้าจำนวน 11,634,000 เม็ด

โดยสืบเนื่องจากในเครือข่ายแรกนั้น ตำรวจ บก.ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลการจับกุมขบวนการ ค้ายาเสพติดที่ จ.นครราชสีมา ทำให้ทราบว่าขบวนการค้ายาเสพติดกลุ่มของนายธีรยุทธ ซึ่งถูกดำเนินคดี จะลำเลียงยาเสพติด จำนวนมากอีกครั้ง จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ กระทั่งวันที่ 8 ต.ค.66 พบว่านายธีรยุทธ พร้อมพวกใช้รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 1689 กทม และ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร เดินทางมุ่งหน้าชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอ จ.นครพนม จึงวางกำลังติดตามกลุ่มเป้าหมายไว้ตามจุดที่คาดว่ากลุ่มเป้าหมายเดินทางผ่าน ต่อเนื่องช่วงเช้ามืดของวันที่ 9 ต.ค.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้ง 2 คัน จึงติดตามไป จนกระทั่งรถทั้ง 2 คัน ไปหยุดจอดในปั๊มปตท. อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ตำรวจ ปส.1 และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด จึงได้แสดงตัวและขอตรวจค้นรถ ซึ่งมีนายวิ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ทะเบียน xx 1689 กทม. พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่บริเวณเบาะหลัง และท้ายกระโปรงรถ รวม 4,884,000 เม็ด ขณะที่ รถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียน xx 4580 กำแพงเพชร มีนายธีรยุทธ เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.บุญเรือง ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางถูกจับกุมเช่นกัน

โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่ารับยาเสพติดจากพื้นที่ จ.นครพนม เพื่อจะมาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ อ.เมือง จ.สระบุรี และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

ในส่วนของเครือข่ายที่ 2 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติด บช.ปส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด จ.นครสวรรค์ ทราบว่าจะมีการขนยาเสพติดล็อตใหญ่เพื่อส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและพื้นที่ใกล้เคียงจึงวางแผนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ต.ค.66 เวลาประมาณ 23.50 น. ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ข่าวกรองยาเสพติดร่วมกันติดตามรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน xx 9536 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนหมายเลข 111 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร โดยเมื่อไปถึงบริเวณบึงบัว ซึ่งอยู่ภายในบึงสีไฟ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.พิจิตร ผู้ขับขี่ทราบชื่อภายหลังว่า นายณัฐชนน อายุ 25 ปี ได้จอดรถแล้ววิ่งหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในบึงบัวอยู่นานหลายชั่วโมง ต่อมาตำรวจ ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร ได้ร่วมกันจับกุมตัวได้ และจากการตรวจค้นรถที่นายณัฐชนน ขับขี่พบยาบ้า 6,750,000 เม็ด ชุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะซึ่งมีลักษณะเป็นตู้ที่บ จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดี และขยายผลติดตามออกหมายจับ บุคคลในเครือข่าย และยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ต่อไป

การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 2 เครือข่าย เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนี จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 1,29(1)90, 134, 145 วรรคหนี่ง,145 วรรค 2(1), (2), 145 วรรคสาม (2) , 152 ประกาศ กระทรวงสาธารณสุขเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พ.ศ. 2565 ลง 4 ต.ค. 2564 บัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ลำดับที่ 53 พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 8 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

โดยหลังจากการนำเสนอผลการหลังจากแถลงผลปฏิบัติการในครั้งนี้เสร็จสิ้นแล้วนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถามว่าจุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือที่ใด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า จุดหมายปลายทางของยาบ้าล็อตนี้นั้นคือพื้นที่ตอนกลางและไปยังตอนใต้ของประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าในแต่ละครั้งนั้นกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้นั้นมีการค้นยาบ้าในจำนวนที่เยอะมากในครั้งนี้ก็นับว่าเยอะมากเป็นจำนวนกว่า 11,634,000 เม็ด เหตุใดยังไม่ลดลงเลยในเมื่อมีการจับกรณีในลักษณะนี้อยู่ตลอด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แท้จริงเเล้วในการปฏิบัติการเรื่องยาเสพติดนั้นมีการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนและทำงานกันอย่างสุดความสามารถในเรื่องของเก็บข้อมูล สกัดกั้นและทำลายโครงสร้างของกลุ่มผู้ค้าหลายกลุ่มมาแล้ว ดังนั้นแล้วก็จะมีบางกลุ่มที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน

ผู้สื่อข่าวถามว่าทางตำรวจเองจะมียุทธวิธีในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้อย่างไร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ทางตำรวจมีการฝึกฝนในการต่อกรกับกลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ร่วมทั้งการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจเเห่งชาติเองนั้นมีการตั้งงบประมาณให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ทุกๆ ปี เพื่อนำไปปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลประโยชน์สำเร็จ

ในส่วนของอาวุธปืนที่พบว่าคนร้ายได้มีการจัดหามีใช้งานนั้นทางตำรวจกำลังดำเนินการการตรวจสอบและขยายผลต่อไป ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวนต่อไป

หลังจากให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จสิ้นนั้นทางพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้มอบเงินรางวัลเป็นขวัญกำลังให้เเก่เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ เพราะเดินทักทายเเละกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน 

'เชียงราย' ไม่รอด ฉก.ทัพเจ้าตากยึดรถจักรยานยนต์ 42 คันขณะลักลอบลอยน้ำข้ามชายแดนแม่สาย

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 10 ตุลาคม 2566 เวลา 19.30 นาฬิกา หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง โดย กองร้อยทหารม้าที่ 3 หน่วยเฉพากิจทัพเจ้าตาก ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่ามีกลุ่มขบวนการลักลอบนำรถจักรยานยนต์ ออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงจัดกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการ บูรณาการร่วมกับ สถานีตำรวจภูธรแม่สาย , ศุลกากร อำเภอแม่สาย และฝ่ายปกครอง อำเภอแม่สาย ทำการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดตาม พระราชบัญญัติศุลกากร บริเวณ บ้านเลขที่ 646  บ้านเกาะทราย ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำสาย (ชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมา) 

ตรวจพบกลุ่มขบวนการดังกล่าว กำลังลักลอบนำรถจักรยานยนต์ ข้ามแม่น้ำสายจากฝั่งไทยข้ามไปฝั่งเมียนมา ระหว่างเข้าดำเนินการจับกุม กลุ่มบุคคลดังกล่าวเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ ได้อาศัยความมืดหลบหนีไปได้ จากการตรวจค้นพบรถจักรยานยนต์ (ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนพร้อมกุญแจติดรถ) ที่เตรียมลักลอบนำข้ามชายแดน จำนวน 42 คัน พร้อมอุปกรณ์/เครื่องมือที่ใช้ในการลำเลียงรถจักรยานยนต์ข้ามแม่น้ำสาย ได้แก่ ห่วงยางที่ดัดแปลงสำหรับใช้บรรทุกรถจักรยานยนต์เพื่อให้ลอยน้ำได้  เชือกและรอก พร้อมอุปกรณ์ดัดแปลง สำหรับชักลาก โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมด และทำการขยายผลเพื่อที่จะนำตัวกลุ่มขบวนการที่กระทำผิด มาลงโทษตามกฎหมายต่อไป 

‘บิ๊กก้อง’ นำทัพบุกค้น 114 เป้าหมาย ทลายปืนเถื่อนทั่วประเทศ หลังพบซื้อ-ขายเกลื่อนออนไลน์ เร่งสกัดจับ ป้องกันเหตุสลดซ้ำ

(9 ต.ค. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นำกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษ ‘หนุมานกองปราบ’ กว่า 800 นาย ปล่อยแถวระดมเพื่อกวาดล้างอาชญากรรม

โดยเป้าหมายมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้จำหน่าย และผู้ลักลอบใช้หรือพกพาอาวุธปืนเถื่อน และอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ รวมทั้ง แบลงค์กัน หรืออาวุธปืนดัดแปลง ซึ่งปฏิบัติการมีขึ้นใน 47 จังหวัด รวม 114 เป้าหมายทั่วประเทศ

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ตำรวจสอบสวนกลางทุกกองบังคับการในสังกัด จัดกำลังชุดปฏิบัติการออกระดมกวาดล้างหาเป้าหมายแหล่งอาชญากรรม มุ่งเป้าไปที่การจับกุมผู้จำหน่ายอาวุธปืนเถื่อน และผู้ที่พกพาอาวุธปืนผิดกฎหมาย หลังจากที่ผ่านมามีการลักลอบใช้อาวุธปืนเถื่อน อาวุธปืนติดมือ หรือแม้กระทั่งปืนถูกกฎหมายไปก่อเหตุร้ายในหลายพื้นที่

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า ล่าสุดเกิดคดีเด็กวัย 14 ปี ก็นำอาวุธปืนแบลงค์กันไปก่อเหตุกราดยิงในศูนย์การค้า จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งพบว่าอาวุธปืนเถื่อนส่วนมาก มีการซื้อขายกันผ่านระบบออนไลน์ จึงต้องเร่งกวาดล้างจับกุมอาวุธปืนอย่างเร่งด่วน ส่วนผลการตรวจค้นจะมีการสรุปผล และแจ้งให้ทราบต่อไป

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566

ถ้าความสุขของเรา ขึ้นอยู่กับคนอื่น
รอให้คนอื่น ทำถูกใจเรา
เราจะไม่มีวัน...มีความสุข

- หลวงพ่อชา สุภทฺโท -

ตำรวจไซเบอร์จับเครือข่ายแก๊งสรรพากรปลอม โทรถ่วงเวลาสูบเงินเกลี้ยงบัญชีเกือบ 2 แสน

สืบเนื่องจาก เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 ม.ค.66 ผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์จากหญิงปริศนา อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรจังหวัดนนทบุรี สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโครงการร้านค้าคนละครึ่งของผู้เสียหาย จากนั้นออกอุบายว่าผู้เสียหายได้ส่วนลดในการชำระภาษี จากนั้นจึงให้ผู้เสียหายแอดไลน์กรมสรรพากรปลอม พร้อมกับทำการโอนสายไปให้ชายอีกคน ระหว่างคุยสายก็ให้ผู้เสียหายทำการกดลิงก์พร้อมกรอกข้อมูลต่างๆ ตามขั้นตอนที่แจ้งจนเสร็จสิ้น หลังจากวางสาย ผู้เสียหายพบว่าเงินในบัญชีธนาคารถูกโอนออกไป จำนวน 171,112 บาท จึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดี 

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนเพื่อจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีโดยเร็ว จนสามารถขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้หลายราย

ต่อมา กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า น.ส.ธัญญากร อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี หนึ่งในผู้ร่มขบวนการ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมหาสารคาม พักอาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี จึงทำการวางแผนเข้าจับกุม จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ริมถนนตรงข้าม ซอยแก้วอินทร์ 25 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี

โดยได้แจ้งในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยลวงเป็นเจ้าพนักงาน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” จากนั้นจึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บกสอท. 3 ต่อไป           

กองบังคับการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา  ผบช.สอท.  พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะข่าวฯ บก.สอท.3 สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ขจร แย้มชม สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ

'เพจดัง' จวก!! 'โจรเด็ก 9 ปี' บุกปีนบ้าน แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้ อ้าง!! เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก สุดท้ายปล่อยลอยนวล

(6 ต.ค.66) จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก Drama-addict เปิดเผยเรื่องร้องเรียนจากลูกเพจ กรณีโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปืนบ้านขโมยเงินไป 33,400 บาท แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก โจรไม่ต้องรับโทษอะไร

สวัสดีครับจ่า มีเคสโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปีนบ้านผม

ขโมยเงินไป 33,400 บาท ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก โจรไม่ต้องรับโทษอะไรเลยวันที่ 12 มีนาคม ปีนี้ผมโดนโจรเด็กอายุ 9 ปี บุกปีนบ้านตอนกลางคืน ขโมยเงินสดไป 33,400 บาท ตำรวจทำอะไรไม่ได้เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก 

-ตำรวจบอกว่าเคสนี้ทำอะไรเด็กไม่ได้เพราะมีข้อคุ้มครองเด็กอยู่
-ส่วนผู้ใหญ่ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะตำรวจไม่มีหลักฐานสาวถึงตัวผู้ใหญ่ (มีแค่คำสารภาพจากเด็กว่ามีผู้ใหญ่ที่สนิทพาไปปีน ซึ่งแค่คำให้การอย่างเดียวตำรวจดำเนินคดีไม่ได้)
-พ่อแม่เด็กเสนอชดใช้ให้ตามจริยธรรมเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท คุณพ่อแม่เด็กจ่ายได้2000 หลังจากนั้นก็ติดต่อพ่อแม่เด็กไม่ได้อีกเลย
-มีใบแจ้งความและใบข้อมูลคนร้ายครบ 
-มีคลิปขณะโจรบุก
-โจรคนนี้เคยก่อคดีแล้วหลายครั้ง มากๆ กับบ้านในชุมชน แต่ทุกคดีก็รอดหมดเพราะตำรวจดำเนินคดีไม่ได้เพราะเป็นเด็ก
พ่อแม่เด็กน่าจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
-พ่อ เพิ่งออกจากคุกได้ไม่นานคดีพยายามฆ่า
-เด็ก ขาดการศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียน
ปัจจุบันเด็กยังลอยนวล เดินไปมาในชุมชนอยู่ตามปกติ กลัวว่าในอนาคตจะเกิดอันตรายกับคนในชุมชนอีกครับ เพราะที่ผ่านมาก็หลายคดีแล้ว แต่รอดหมดทุกคดีครับ 
เขาเลยขอความช่วยเหลือมาครับ มีคลิปกล้องวงจรปิดและเอกสารแจ้งความครบถ้วน สื่อเจ้าไหนสนใจ ติดต่อหลังไมค์

‘ตำรวจ’ บุกรวบ ‘2 พ่อค้า’ ขายปืน-กระสุน ให้เด็กวัย 14 ปี ก่อนไปก่อเหตุที่พารากอน เตรียมนำตัวสอบปากคำที่กรุงเทพฯ

(5 ต.ค. 66) จากกรณีโศกนาฏกรรม เยาวชนวัย 14 ปี ได้ก่อเหตุกราดยิงในศูนย์การค้าสยามพารากอน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก ตามที่ได้เสนอไปแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เตรียมออกหมายจับ 3 บุคคล ที่จำหน่ายปืน และกระสุนให้กับผู้ก่อเหตุวัย 14 ปี โดยเป็นการขายให้ผ่านโซเชียลมีเดีย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจจับตัวผู้ขายอาวุธปืนและอาวุธได้แล้ว 2 ราย ที่จังหวัดยะลา กำลังนำตัวเข้าสอบปากคำที่กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ พบว่าผู้ก่อเหตุยิงวัย 14 ได้ซื้อปืนกล็อก 19 จาก นายสุวรรณหงษ์ (สงวนนามสกุล) หลังจากโอนเงินนั้น บัญชีดังกล่าวมีการถอนเงินที่ตู้ ATM ปั๊ม ปตท.บจก.ยะลาออยล์ พบว่านายสุวรรณหงษ์ ทำธุรกรรมด้วยตนเอง จึงได้ออกหมายและประสานชุดสืบสวน ภ. 9 จับกุมดำเนินการ หลังหมายจับออกเมื่อคืนนี้ ขณะที่ผู้ต้องหาอีกราย ชื่อ นายอัครวิชญ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 22 ปี เป็นชาวจ.ยะลา เช่นกัน

‘ตำรวจ’ คุมตัว ‘มือปืนอายุ 14’ ไล่ยิงคนในพารากอนแล้ว พบผู้เสียชีวิต 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บกำลังตรวจสอบ

(3 ต.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุระทึกกลางห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายในห้าง ต่างวิ่งแตกตื่นหนีตายกันออกมา เจ้าหน้าที่ของห้างได้รีบอพยพคนออกมาภายนอกห้างอย่างเร่งด่วน

ขณะที่คนร้ายแต่งกายมิดชิด สวมหมวกแก๊บเดินถือปืนอยู่ในห้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างเข้าพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์

สำหรับผู้บาดเจ็บล่าสุด พบว่ามี 4 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ รปภ.ของห้าง ถูกนำตัวส่ง รพ.หัวเฉียว ส่วนอีก 2 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวคนร้ายได้แล้ว เป็นเด็กชาย อายุ 14 ปี โดยคนร้ายยอมมอบตัวภายในโรงแรมชื่อดัง ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างนำตัวไปสอบปากคำ พร้อมอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเข้าตรวจสอบหาตัวผู้บาดเจ็บเพิ่มเติม

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า สำหรับผู้เสียชีวิตล่าสุดมีรายงานว่า ขณะนี้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บอยู่ระหว่างตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ และกำลังตรวจสอบหาผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมภายในห้างพารากอน

‘คู่สามีภรรยา’ โร่แจ้งความ เหตุถูกรางวัลที่ 1 ชุด 5 ใบ 30 ล้าน แต่ดันไม่ได้รับเงิน หลังซื้อลอตเตอรี่ทางออนไลน์กับเพจชื่อดัง

(2 ต.ค.66) ได้มีผู้เสียหายสามีภรรยาเข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.ตลุกดู่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี หลังจากได้ซื้อลอตเตอรี่ผ่านทางออนไลน์จากเพจชื่อดังโดยซื้อขายเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 มีหลักฐานการซื้อขายทางแชทไลน์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ จึงลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

ผู้เสียหายทั้ง 2 รายคือนายสมเกียรติ อายุ 60 ปี ชาวบ้านหนองเป็ดก่า อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี พร้อมนางสาวนารีรัตน์ อายุ 37 ปี ซึ่งเป็นภรรยาได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า ได้ซื้อขายลอตเตอรี่ทางออนไลน์กับทางเพจดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 หมายเลข 727202 ชุด 5 ใบ โดยมีการซื้อขายทางออนไลน์หลังหวยออกจึงมาตรวจดูปรากฎถูกรางวัลที่ 1 หมายเลข 727202 จำนวน 5 ใบ เป็นเงิน 30 ล้านบาท เมื่อติดต่อไปทางผู้ขายกลับถูกทางผู้ขายอ้างกลับมาว่า ทางผู้ซื้อไม่ตอบกลับมาและติดต่อไม่ได้ ในวันนี้ตนจึงนำหลักฐานมาแจ้งความลงบันทึกประจำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ตลุกดู่

ทั้งนี้ 2 สามีภรรยาผู้เสียหายยังเปิดเผยด้วยว่า เลขดังกล่าวตนได้มาจากการไหว้เขย่าเซียมซีกับหลวงพ่อกวย จังหวัดชัยนาท

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2566

‘ควาย’ เมื่อมันติดหล่ม มันยังรู้จักถอนตัว แต่เมื่อคนไปตกอยู่ในอารมณ์ทำไม ...ไม่รู้จักถอนตัว
ไปปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ทำไม เศร้าหมองทำไม …“ต้องถอนออกมาเลย”

- หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ -


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top