Friday, 13 June 2025
SPECIAL

'รอง ผบ.ตร.' เปิดแถลงผลระดมกวาดล้างคดีออนไลน์ช่วงสงกรานต์ จับผู้กระทำผิด 6,933 ราย พร้อมเตือนภัยออนไลน์ 9 อันดับที่ถูกหลอกมากที่สุด

(21 เม.ย. 65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ 
รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce , พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รอง ผอ.ศปอส.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ถึง 6,933 ราย พร้อมเตือนภัยออนไลน์ 9 ลำดับที่ประชาชนถูกหลอกมากที่สุด 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท โดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์ ในช่วงสงกรานต์ ตั้งแต่ 8 - 17 เม.ย.65 เพราะเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น เกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้ 

จากผลการระดมกวาดล้างของ ศปอส.ตร. และ ศปอส. บช.น.,ภ.1-9 สามารถจับกุมความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ทั้งสิ้น 6,933 ราย  แบ่งเป็น การพนันออนไลน์ 4,302 ราย แชร์ข่าวปลอมและความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 1,303 ราย คดีล่วงละเมิดเพศต่อเด็ก และสตรี ทางอินเตอร์เน็ต และค้ามนุษย์ 473 ราย คดีหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 461 ราย และคดีหลอกลงทุน 394 ราย โดยในคดีทั้งหมดนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหารับจ้างเปิดบัญชีม้า อีกจำนวน 216 คน 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า มีคดีที่น่าสนใจอยู่หลายคดี โดยเฉพาะคดีที่ ชุดปฏิบัติการที่ 1 PCT นำโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.3 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.สภ.ฉิมพลี และทีมงาน สืบสวนจนสามารถ "จับกุมแก็งหลอกลงทุน ในแอพพลิเคชั่น Digital Alliance กลุ่มคนร้ายชักชวนให้ร่วมลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยหาเหยื่อจากโซเชียลมีเดีย จากนั้นเมื่อหลงเชื่อก็จะหลอกให้ลงทุนบนแอปพลิเคชันฯ"

ที่น่าสังเกตุคือ กลุ่มคนร้ายมีการแบ่งหน้าที่กันทำ คือ...
กลุ่มที่ 1: ทำหน้าที่ชักชวนผู้เสียหายโดยหาเหยื่อจากแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
กลุ่มที่ 2: ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวสร้างความสนิทสนมกับผู้เสียหาย  
กลุ่มที่ 3: ทำหน้าที่เทรดนำการลงทุน 
กลุ่มที่ 4: ทำหน้าที่เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ใช้กระทำความผิด 
กลุ่มที่ 5: ทำหน้าที่ฟอกเงินโดยเปลี่ยนเงินที่หลอกลวงมาได้ เป็นเงินสกุลดิจิทัล

จากคำให้การพบว่า ผู้เสียหายหลงเชื่อและร่วมลงทุนหลายครั้ง โดยช่วงแรกๆ คนร้ายจะจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้เสียหายจริง ทำให้มั่นใจและหลงเชื่อ ยอมเพิ่มเงินลงทุนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ 

คดีนี้มีผู้เสียหาย 6 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่าง  ติดตามตัวผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์อีกหลายราย มูลค่าความเสียหายคาดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

"เราสืบทราบว่าคนร้ายใช้กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เป็นสถานที่ในการกระทำความผิด จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้กระทำความผิดจำนวน 32 ราย และได้ทำการจับกุมแล้ว 29 ราย ที่กรุงพนมเปญ โดยการประสานความร่วมมือกับตำรวจกัมพูชา จำนวน 2 ราย และที่ประเทศไทย อีก 27 ราย โดยทั้ง 29 รายนี้ แบ่งเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 2 ราย และคนทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า อีก 27 ราย เพื่อใช้ในการรับโอนเงิน ส่งต่อไปบัญชีอื่นๆ ในเครือข่าย รอง ผบ.ตร. กล่าว" 

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ตร. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นมา มียอดผู้เสียหายแจ้งความคดีออนไลน์แล้ว 14,436 เรื่อง แบ่งเป็นคดีที่รับแจ้งมากที่สุด 9 อันดับ ได้แก่...

อันดับ 1: ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า 4,847 เรื่อง 
อันดับ 2: หลอกให้ทำภารกิจ เช่น กดไลค์ในติ๊กต๊อก กดไลค์ ชอปปี้  1,673 เรื่อง
อันดับ 3: หลอกให้กู้เงิน 1,492 เรื่อง
อันดับ 4: หลอกให้รักแล้วหลอกให้ลงทุน 1,207 เรื่อง
อันดับ 5: Call center 1,155 เรื่อง
อันดับ 6: แชร์ลูกโซ่ 536 เรื่อง
อันดับ 7: หลอกยืมเงิน 524 เรื่อง
อันดับ 8: ซื้อสินค้าได้ไม่ตรงปก 208 เรื่อง
อันดับ 9: หลอกให้รักแล้วให้โอนเงิน 182 เรื่อง

"ผอ.ศพดส.ตร." จับมือ อธิบดีกรมสตรีฯ ร่วมกำหนด 6 มาตรการป้องกันความรุนแรงต่อเด็กและสตรี

(21 เม.ย.65) ที่สำนักตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.และ ผอ.ศพดส.ตร. เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ เป็นผู้แทน ตร. ร่วมต้อนรับและประชุมหารือกับ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวพร้อมคณะ เกี่ยวกับการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ต่อเด็ก สตรีและบุคคลในครอบครัว 

โดยการประชุมหารือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวร่วมกันอีกทั้งมีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการปฏิบัติระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 

โดยมี พล.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร.และหน.ชป.TATIP, พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ผอ.และผู้ช่วย หน.ฝอ.ศพดส.ตร.  พร้อมด้วย ผู้แทนจาก บช.น., สทส., รพ.ตร., กมค.,  รร.นรต., บก.ปคม. และเจ้าหน้าที่จาก กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เข้าร่วมประชุมมีประเด็นความร่วมมือหลักดังนี้...

(1.) สนับสนุนและช่วยเหลือให้เกิดมาตรการต่างๆ ในการดำเนินงานเพื่อยุติความรุนแรงในครอบครัว

(2.) สนับสนุนให้มีการประนีประนอม ช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย และให้คำปรึกษาในการยอมความในการดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว   

(3.) ร่วมมือดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กสตรี และบุคคลในครอบครัว

“หนุ่มเขมรขนเอง! จับกุมชายชาวกัมพูชาลักลอบขนคนหลบหนีเข้าไทย”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                     

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีดังนี้

กล่าวคือก่อนทำการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้ทำการสืบสวนทราบว่า ในเวลากลางคืนวันที่ 17 เม.ย. 65 ซึ่งเป็นห้วงเวลาหลังจากหยุดยาวสงกรานต์ และมีกลุ่มขบวนการลักลอบนำคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาเดิมทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต  โดยอาจจะใช้เส้นทางเลี่ยงการตรวจของด่านความมั่นคงในพื้นที่ จว.สระแก้ว จึงได้วางแผนและวิเคราะห์เส้นทางที่อาจใช้ในการกระทำความผิดเพื่อสกัดจับ จนต่อมาในเดียวกัน เวลา 22.30 น. ได้ตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัยขับออกจากซอยไม่ทราบชื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์ ด้วยความเร็วสูง จึงได้เข้าแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่ามีนายธาน อายุ 37 ปี สัญชาติ กัมพูชา เป็นผู้ขับรถ และมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอีก 5 คน โดยสารในรถมาด้วย ตรวจสอบแล้วไม่มีการเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง จึงจับกุมตัวทั้งหมดและนำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย 

การแจ้งข้อกล่าวหา นายธาน (คนขับ) แจ้งว่า   
1. ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสระแก้ว ที่ 1187/2565 ลง 1 เม.ย.2565 (ฉบับที่ 59)(ข้อ 9)
4. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไป

คนต่างด้าว 5 คน (ผู้โดยสาร) แจ้งว่า 

1. เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ฝ่าฝืนสถานการณ์ฉุกเฉิน ชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ซึ่งไม่ถูกลักษณะและอาจจะเป็นเหตุให้โรคระบาดแพร่ออกไปสถานที่ วันเวลาเกิดเหตุ บริเวณปากซอยไม่ทราบซื่อ ถ.สุวรรณนุสรณ์(ขาเข้า) หมู่ 5 ต.หัวยโจด อ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว เมื่อ 17 เม.ย. 65 เวลาประมาณ 22.30 น. 

 

จับกุมเครือข่ายขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ผกก.สส.บก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้
 คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, สนธิกำลังร่วมกับ กก.สส.ภ.8,  กก.5 บก.ปคม., ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3 และ เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25

ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีขบวนการขนแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร โดยใช้เส้นทางหลบเลี่ยงสายซอยหินช้าง ม.3 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง แล้วนำพาเดินเท้าข้ามภูเขาเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจศิลาสลักของเจ้าหน้าที่ทหารบนเส้นทางหลัก เพื่อไปส่งต่อยังพื้นที่ จว.ชุมพร จึงวางแผนให้กำลังพลซุ่มตามเส้นทางที่ได้รับแจ้งข่าว เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่ผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่วางกำลังซุ่มดูไว้ พบนายเสนอ หรือนุ้ย เป็นผู้ขับขี่ จอดรถลงเดินสะพายปืนลูกซองยาว และใช้ไฟฉายสำรวจเส้นทางสำหรับใช้ขนแรงงานต่างด้าว ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาซักถามให้การวกวน มีพิรุธน่าสงสัย 

ต่อมามีรถจักรยานยนต์ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่นำทางรถยนต์กระบะสี่ประตู ทะเบียนจังหวัดชุมพร ขับขี่เข้ามา ลักษณะตรงตามที่สายรายงานเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ แต่ได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป (ทราบชื่อในภายหลังชื่อนายอนุรักษ์ หรือตาล) และจากการตรวจสอบในรถยนต์กระบะพบว่าผู้ขับขี่ชื่อ นายมนตรี หรือชาญ อายุ 40 ปี ที่อยู่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จว.ระนอง ภายในรถยนต์พบ นายจอจอทวย อายุ 18 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 12 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามนายมนตรียอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนายจอโปนาย สัญชาติเมียนมา และเป็นผู้จัดหารถยนต์มาจอดไว้ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสะพานปลา

โดยให้นำรถยนต์ไปรับแรงงานต่างด้าวที่บริเวณ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เมื่อไปถึงให้ติดต่อประสานงานกับนาย พัลลภ หรือ หนอน และนาย สิทธิพงษ์ หรือ กัปตัน ทั้งสองคนจะทำหน้าที่ดูต้นทางและรับต่างด้าวขึ้นจากเรือ และทำหน้าที่นำพาแรงงานต่างด้าวมาขึ้นรถยนต์ จากนั้นก็ขับขี่มุ่งหน้ามาที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนองโดยมีนาย อนุรักษณ์ ทำหน้าที่ขับรถ จยย. นำทาง เพื่อไปส่งให้คนมารับ พาเดินเท้าอ้อมจุดตรวจด่าน จปร. ไปยังพื้นที่ จว.ชุมพร

ต่อมาเวลาประมาณ 23.05 น. มีรถยนต์กระบะสีขาวทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขับตามเข้ามา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายจรัญ หรือไข่ อายุ 42 ปี ที่อยู่ ต.บางนอน อ.เมือง จว.ระนอง เป็นผู้ขับขี่ ภายในรถยนต์บรรทุก นายเมาเอเว อายุ 27 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนางนุสรา หรือเนย ให้มารับแรงงานต่างด้าวที่ริมแม่น้ำกระบุรีในพื้นที่ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 4,000 บาท/ครั้ง

และขณะที่เกิดเหตุ มีชาย 2 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ทะเบียนจังหวัดระนองขับเข้ามา เจ้าหน้าที่แสดงตัวขอตรวจสอบ โดยทั้งสองคนได้ทิ้งรถจักรยานยนต์วิ่งหลบหนีไป จึงไล่ติดตามควบคุมตัวมาได้ 1 คน ชื่อ นายสิทธิพงษ์ หรือกัปตัน ให้การว่าชายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยและวิ่งหลบหนีไปชื่อ นายพัลลภ หรือหนอน

ซึ่งนายสิทธิพงษ์ กับนายพัลลภ เดินทางมาจากจุดที่แรงงานต่างด้าวหลบหนีขึ้นฝั่งบริเวณป่าจาก ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง โดยมีภาพถ่ายแรงงานต่างด้าวขณะขึ้นฝั่งในโทรศัพท์มือถือของ นายสิทธิพงษ์ มายืนยันกับเจ้าหน้าที่ และเมื่อจัดการให้แรงงานต่างด้าวขึ้นรถยนต์กระบะแล้ว นายพัลลภ ได้ใช้ให้ นายสิทธิพงษ์ ขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่ นายเสนอ เพื่อจะร่วมกับ นายเสนอ ในการนำพาแรงงานต่างด้าวเดินเท้าหลบเลี่ยงจุดตรวจเจ้าหน้าที่ไปส่งยังพื้นที่ 
จว.ชุมพร ต่อไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบบริเวณจุดที่แรงงานต่างด้าวขึ้นฝั่ง พบนายยีซออาว อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 13 คน แอบหลบซ่อนอยู่ จึงได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

ค้นบริษัทหัวหมอ ปลอมใบรับรองการทำงานมากกว่า 60 บริษัท เพื่อนำไปขอวีซ่าสถานทูต...พบลูกค้าใช้บริการเพียบ!!!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับ (ขอปิดนาม) แจ้งว่า มีบริษัทรับทำเอกสารปลอมเพื่อขอวีซ่า ซึ่งเปิดรับทำวีซ่าเพื่อใช้ในการเดินทางไปประเทศ มีการปลอมเอกสารใบรับรองการทำงานของบริษัทต่าง ๆ จำนวนมาก เพื่อใช้นำไปยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายค้นบริษัทดังกล่าว

ต่อมาศาลแขวงดอนเมือง อนุมัติหมายค้น ให้เข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าว ในวันที่ 1 เมษายน 2565 เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงทำการเข้าตรวจค้นบริษัทดังกล่าวตามหมายค้น พบว่ามีคนไทยทำงานอยู่ในบริษัท 7 คน จากการตรวจค้น พบตราประทับของบริษัทต่าง ๆ จำนวน 42 อัน, คอมพิวเตอร์ จำนวน 5 เครื่อง, เอกสารสำหรับการยื่นขอวีซ่าไปยังสถานทูตต่าง ๆ มากกว่า 100 คน        

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า บริษัทดังกล่าว ได้ประกาศหาลูกค้าที่ต้องการยื่นขอวีซ่าผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยคิดค่าธรรมเนียมในราคาที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ จากนั้นเมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการ ก็จะช่วยลูกค้าจัดเตรียมเอกสารบางรายการที่ลูกค้าไม่มี สำหรับขอวีซ่า

ซึ่งพบว่าเอกสารบางส่วนที่บริษัทฯ จัดเตรียมให้ลูกค้าเป็นเอกสารใบรับรองการทำงานปลอมของบริษัทต่างๆ มากกว่า 60 บริษัท โดยใช้ คอมพิวเตอร์และตราประทับ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ตรวจพบสำหรับทำเอกสารปลอมขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้านำไปยื่นขอวีซ่ากับสถานทูตต่างๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. จึงได้ทำการตรวจยึดสิ่งของไว้เป็นของกลาง และประสานงานไปยังบริษัทต่าง ๆ เพื่อทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับบริษัทฯ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

'อลงกรณ์' เผยเตรียมส่งออกทุเรียนล็อตใหม่ด้วยรถไฟ 'จีน-ลาว' กลางสัปดาห์หน้า

'อลงกรณ์' เผยเตรียมส่งออกทุเรียนล็อตใหม่ด้วยรถไฟ 'จีน-ลาว' กลางสัปดาห์หน้า พร้อมลงพื้นที่จันทบุรีผนึกผู้ว่าฯ-สมาคมทุเรียนไทยเดินหน้ายกระดับมาตรการป้องกันทุเรียนปนเปื้อนโควิดต่อเนื่อง ประกาศดีเดย์ 22เมษาฯ วันฆ่าเชื้อโควิดทุกล้ง (Big ATK Day)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีในวันนี้ (17เม.ย.) ว่า ได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ให้ติดตามความก้าวหน้าของการยกระดับมาตรการป้องกันการปนเปื้อนโควิดจึงร่วมกับนายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) นาย ภานุศักดิ์ สายพานิช นายกสมาคมทุเรียนไทย นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา คณะกรรมการโครงการจันทบุรี มหานครผลไม้ นายชรัตน์ เนรัญชร รองเลขาธิการหอการค้า ทพ.อิทธิพล จังสิริมงคล นายวิษณุศักดิ์ จิรกฤติยากุล คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. ผศ.ดร.ยศพล ผลาผล ตัวแทนชาวสวน สพว.6 กรมวิชาการและผู้ประกอบการส่งออกตรวจตราสถานประกอบการคัดแยกบรรจุทุเรียนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีตามมาตรการยกระดับการป้องกันการปนเปื้อนโควิดซึ่งผู้ประกอบการให้ความร่วมมือด้วยดีและกำหนดให้วันที่ 22 เมษายนเป็นวันทำความสะอาดฆ่าเชื้อสถานที่ล้งและตรวจเอทีเค.พนักงานทุกคน (Big Cleaning & ATK day)

“แม้ว่าด่านโม่ฮานของจีนได้เปิดนำเข้าทุเรียนไทยแล้วตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมาหลังจากระงับการนำเข้าทุเรียนไทย 3 วันระหว่างวันที่ 12-14 เมษายนจากเหตุพบการปนเปื้อนโควิดในรถบรรทุกคอนเทนเนอร์จากไทยก็ยังประมาทไม่ได้ การ์ดต้องไม่ตกตามข้อสั่งการของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board) เพราะใกล้ถึงช่วงที่ผลผลิตจะออกมามากที่สุดหรือเรียกว่าช่วงพีค(peak season)ของทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกองซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจในภาคตะวันออกโดยมีปริมาณของผลผลิตปีนี้กว่า 1 ล้านตัน"

ทั่วเอเชียต่างจับตา! ‘ธัญวัจน์’ ชี้กระแส ‘มิลลิ’ สร้าง ‘ซอฟต์พาวเวอร์’  แนะรัฐหนุนศิลปะร่วมสมัย ไม่ยัดเยียดความเป็นไทยแบบแช่แข็ง

‘ครูธัญ’ ชี้ #MILLILiveatCoachella ทำให้เห็นว่า การสร้างซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่การยัดเยียดความเป็นไทยแบบแช่แข็ง รัฐควรส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยด้วย

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์  ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อกรณีที่ #มิลลิ ดนุภา คณาธีรกุลศิลปินแร็ปเปอร์หญิงมากความสามารถ ได้ขึ้นแสดงเทศกาลดนตรีโคเชลลา ที่สหรัฐอเมริกาว่า มิลลิได้นำเสนอมุมมองการเล่าเรื่องและตีแผ่ประเทศไทยของศิลปินผ่านท่วงทำนองจังหวะที่สนุกนาน ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักเพียงข้ามคืนและได้รับคำชื่นชมอย่างมากมาย ทั้งการนำข้าวเหนียวมะม่วงขึ้นมากินบนเวที และเนื้อเพลงที่เสียดสีการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถไฟที่ไม่มีการพัฒนาใช้มา 120 ปี ราคาของเสากินรี หรือการตะโกนบอกกับชาวโลกว่า “เราไม่ได้ขี่ช้าง” จากความเข้าใจผิดของชาวต่างชาติว่าคนไทยขี่ช้าง

ธัญวัจน์กล่าวว่า วันนี้ คนไทยที่มีความสามารถมากมายไม่แพ้คนชาติไหน เดินออกไปเชิดฉายสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยโดยที่รัฐไม่ได้มีนโยบายใดๆ ในการสนับสนุนเลย ถือเป็นการเสียโอกาสที่รัฐรู้ว่าต้องส่งเสริม แต่ไม่ลงมือทำ

จะพบว่า วงการเพลงไทยในช่วงยุค 80’s และ 90’s เป็นช่วงเวลาที่ ‘ที-ป็อป’ โดดเด่นอย่างมาก ทั่วเอเชียต่างจับตาเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เกาหลีใต้เองเริ่มก่อร่างสร้าง ‘เค-ป็อป’ แต่หลังจากปี 2000 ประเทศเกาหลีใต้ได้สร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วทวีปเอเชียสร้าง Soft Power จนวันนี้ก้าวสู่ระดับโลก

“หากประเทศไทยต้องการสร้าง Soft Power สู่ชาวโลกจริงๆ ก็คงต้องปรับมุมคิดเสียใหม่ การสร้าง Soft Power แบบเทพเจ้าและหยุดนิ่งแช่แข็งไม่น่าจะใช้ได้กับยุคนี้ ยุคที่โลกเรากำลังมีการเคลื่อนที่ทางวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” ธัญวัจน์ กล่าว

อย่าหาว่าไม่เตือน! ‘รัสเซีย’ เตือน ‘ฟินแลนด์-สวีเดน’ อาจเสียอธิไตย ทั้งยังไร้ประโยชน์ หากเข้าร่วม ‘นาโต’

Russia Today รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเตือนว่า ฟินแลนด์และสวีเดนจะสูญเสียอธิปไตยบางส่วน และต้องประนีประนอมเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ทั้งยังจะไม่ได้อะไรเลยจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโต (NATO) อย่างเป็นทางการ

มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุในแถลงการณ์ว่า การเป็นสมาชิก NATO “ไม่น่าจะช่วยสร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติให้สวีเดนและฟินแลนด์” ทั้งสองประเทศจะสูญเสียโอกาสที่ในการทำหน้าที่เป็น "ผู้ถ่ายทอดความคิดริเริ่มที่สร้างสรรค์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน" เหมือนที่เคยทำในอดีต

“อันที่จริงแล้วหน้าที่ในการตัดสินใจเป็นของผู้มีอำนาจในสวีเดนและฟินแลนด์ แต่พวกเขาควรตระหนักถึงผลที่ตามมาของการกระทำดังกล่าวต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีของเราและโครงสร้างความมั่นคงของยุโรปซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต” ซาคาโรวากล่าว

ทำไมเกเรแบบนี้!! 'พลโทนันทเดช' วิเคราะห์!! ทำไมสหรัฐฯ มักเอี่ยวหลากสมรภูมิ เพราะสงครามนำพาความอยู่รอดมาสู่ประเทศตน

พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ทำไมสหรัฐฯ ถึงเกเรแบบนี้!! 

สหรัฐฯ มีเหตุผลด้านผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ เพื่อความอยู่รอดของประเทศตนเอง บ่อยครั้งจึงได้เห็นความ 'เกเรเกตุง' ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด เพราะ....

1. สหรัฐฯ มีระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาสงคราม 

2. ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ (Grand Strategy)
คือ การรบนอกประเทศ (Forward Defense Strategy)

ดังนั้นสงครามที่สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงต้องทำให้เกิดขึ้นนอกประเทศสหรัฐฯ เสมอ ลองย้อนไปดูประวัติ การทำสงครามของสหรัฐฯ ที่ผ่านมาเกือบ 30 ครั้งได้ จะพบว่าสหรัฐฯ เป็นฝ่ายทำกำไรจากสงครามได้เสมอ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เพราะโครงสร้างประเทศไม่เคยเสียหายเลย 

3. สหรัฐฯ มักจะไม่เข้าร่วมสงครามด้วยตนเองก่อน แต่จะรอให้ ประเทศอื่นๆ รบกันไปก่อน หลังจากที่มั่นใจว่ามีความพร้อมจริงๆ (การข่าวที่ชัดเจน ยุทธวิธี  อาวุธยุทโธปกรณ์ งบประมาณฯ ) แล้ว สหรัฐฯ ถึงจะเข้าไปร่วม ซึ่งมักจะเป็นช่วงหลังๆ ของสงครามเสมอ 

4. สหรัฐฯ เป็นประเทศเกิดใหม่ เป็นพหุสังคม ที่ไม่มีรากเหง้าวัฒนธรรมที่แน่ชัด หรือเป็นหนึ่งเดียว กล่าวง่ายๆ คือ ไม่เคยมีประวัติศาสตร์แม้แต่เรื่อง 'การใช้ ดาบต่อสู้เพื่อความเป็นเอกราช'

ดังนั้น แนวคิดเรื่องเสรีภาพและความ เสมอภาค 
จึงถูกนำมาอ้างเพื่อทดแทน ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ แย่กว่าทางยุโรปเสียอีก

แต่การอ้างเรื่อง เสรีภาพนั้น ก็สุ่มเสี่ยงต่อความคิดเรื่อง การแยกตัวของมลรัฐต่างๆ ดังนั้น การให้ทุกฝ่ายสามารถได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน จึงมีการสร้างภาพ ในประเด็นหลัก สำหรับใช้จูงใจ ประชาชนให้ลืมเรื่อง วัฒนธรรมไป เพื่อให้เกิดพลังของความสามัคคีขึ้น 

สงครามจึงเป็นจุดขายของกรณีนี้!! จนกล่าวได้ว่า สหรัฐฯ นั้นล้างหัวสมองกระทั่งประชาชนของตัวเองด้วย การประชาสัมพันธ์เช่นกัน 

กรณีนี้ สหรัฐฯ จึงพยายามสร้างความภูมิใจในความเป็นชาติ ซึ่งก็สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้รวดเร็ว ผ่านการทำศึกสงคราม สร้างความรู้สึกของความเป็นเจ้าของปกป้องประเทศว่า ผ่านสงครามที่ไหนมาบ้าง? และยังทำให้เกิดความภูมิใจ ต่อประเทศในฐานะ "พี่ใหญ่" ของโลกอีกด้วย (ดูเรื่องประกอบจากหนังสือ "ผ่านฟ้าลีลาศ") 

ด้วยเหตุผลนี้ สหรัฐฯ ซึ่งมองเห็นแต่ผลประโยชนของตนมาก่อนอื่น จึงแผ่อิทธิพลไปในหลายพื้นที่ไม่มีวันหยุด 

ความซวยก็มักจะตกอยู่กับชาติที่สหรัฐฯจะหาประโยชน์ เช่น กรณี ยูเครน ในปัจจุบัน (กำลังจะทำให้ยุโรปซวยตามไปด้วย) ไต้หวัน (ไต้หวันซวย) เกาหลีเหนือ (เกาหลีใต้ กับ ญี่ปุ่นซวย) 

สุดปัง! ‘มิลลิ’ ศิลปินเดี่ยวไทยคนแรก ขึ้นแสดงเวที ‘Coachella 2022’ พาเพลงไทยสู่เวทีโลก

แร็ปเปอร์สาว MILLI หรือ มิลลิ - ดนุภา คณาธีรกุล ศิลปินเดี่ยวไทยคนแรกขึ้นเวที Coachella 2022 พาเพลงไทยสู่เวทีโลก พร้อมกินข้าวเหนียวมะม่วงโชว์เปิดตัวเพลงใหม่

นาทีนี้ความฮอตและร้อนแรง ต้องยกให้แร็ปเปอร์สาวชื่อดัง MILLI หรือ มิลลิ - ดนุภา คณาธีรกุล ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกของไทยขึ้นโชว์บนเวทีเทศกาลดนตรีระดับโลก Coachella 2022 ที่จัดขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 16 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเช้าวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน ตามเวลาประเทศไทย

พร้อมศิลปินไลน์อัพจาก 88rising อย่าง CL สมาชิก 2NE1 , แจ็คสัน หวัง (Jackson Wang)  หรือ แจ็คสัน GOT7 

นิกิ (NIKI) , บีบี (BIBI) , อูทาดะ ฮิคารุ (Utada Hikaru), ริช ไบรอัน (Rich Bryan)และ วอร์เรน ฮิลล์ (Warren Hue) 

เรียกว่าความฮือฮาเริ่มจาก 88rising ค่ายเพลงที่ผลักดันศิลปินเอเชียสู่ระดับโลก ได้ประกาศไลน์อัพ 8 ศิลปินที่จะขึ้นแสดงในเวทีหลักของ Coachella 2022 ซึ่งมี MILLI (มิลลิ) เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ทำเอาแฟนคลับชาวไทยเตรียมปูเสื่อเกาะจอรอส่งเสียงเชียร์กันอย่างตื่นเต้น

และเมื่อถึงเวลาที่ “มิลลิ” ขึ้นแสดง บอกเลยว่า “สุดปัง” ไม่ใช่แค่ชื่อเพลงฮิตอีกต่อไป เพราะ มิลลิ โชว์ความสุดปังต่อสายตาคนทั้งโลกทั้งที่ไปดูสดในงานและที่ดูถ่ายทอดสดผ่านทางยูทูบหลักของงาน
 

อายุเฉลี่ยสั้นลง!  'หมอธีระ' ยกงานวิจัยอเมริกา  ชี้! ประเทศโควิดระบาดหนัก ส่งผลประชากรอายุสั้นลง!

(17 เม.ย.65) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า...

ทะลุ 504 ล้านคนไปแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 559,952 คน ตายเพิ่ม 1,567 คน รวมแล้วติดไปรวม 504,190,244 คน เสียชีวิตรวม 6,221,498 คน

5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ อิตาลี ญี่ปุ่น และเยอรมัน

เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 14 ใน 20 อันดับแรกของโลก

จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 86.23 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 84.81

การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 39.49 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 38.35

...สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก

ทั้งนี้จำนวนคนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 20.79% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย

...โควิด-19 ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกสั้นลง
งานวิจัยจากอเมริกาโดย Woolf SH และคณะ ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์สากล JAMA Network Open เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา

เปรียบเทียบให้เห็นผลของการระบาดระลอกแรกของโรคโควิด-19 ใน 22 ประเทศทั่วโลก
พบว่าประเทศต่างๆ ที่มีการระบาดหนัก ทำให้เกิดความสูญเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมาก ย่อมทำให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศนั้นสั้นลง

ทั้งนี้ในปี 2020 ซึ่งระบาดระลอกแรกนั้น ประเทศที่มีการคุมการระบาดได้ดี (เช่น นิวซีแลนด์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์) จะมีอายุขัยเฉลี่ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในขณะที่กลุ่มประเทศที่มีการระบาดหนัก จะทำให้อายุขัยเฉลี่ยลดลง โดยสหรัฐอเมริกาลดลงมากที่สุดถึงเกือบ 2 ปี

งานวิจัยนี้สะท้อนให้เห็นสัจธรรม และความสำคัญของการควบคุมป้องกันโรค

แน่นอนว่า หากมีการศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากระลอกเดลต้าและ Omicron ผลกระทบน่าจะมากกว่าที่เห็นจากระลอกแรก

ปริญญ์เอฟเฟค! ‘ซูเปอร์โพล’ เผย ‘ปริญญ์เอฟเฟค’ เขย่าศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ส่งผลเพิ่มคะแนนนิยม ‘สกลธี-วิโรจน์’ ขณะ ‘ชัชชาติ’ ยังนำ

(17 เม.ย. 65) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ปริญญ์ เอฟเฟค เลือกตั้ง กทม. กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 1,548 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15 – 16 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 48.5 ติดตามข่าว เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มากถึงมากที่สุด ร้อยละ 32.3 ติดตามปานกลาง และร้อยละ 19.2 ติดตาม น้อยถึงไม่ติดตามเลย

เมื่อถามถึง การรับรู้ข่าว นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ของคน กทม. พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 46.3 รับรู้มากถึงมากที่สุด ร้อยละ 31.3 รับรู้ปานกลาง และร้อยละ 22.4 รับรู้น้อย ถึงไม่รู้เลย

ที่น่าพิจารณาคือ ผลกระทบของข่าว นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ต่อการตัดสินใจเลือกตั้งผู้ว่า กทม. หลังจากทดสอบค่านัยสำคัญทางสถิติ พบว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ต่อนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แม้มีค่าติดลบ คือ -.029 ก็ตาม นอกจากนี้ ไม่มีนัยสำคัญต่อผู้สมัครคนอื่นด้วย เช่น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง แม้ติดค่าลบจากข่าวนายปริญญ์ฯ เช่นกัน คือ -.054 แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีค่าเป็นบวก คือ +.054 แต่ไม่มีนัยสำคัญ

ที่น่าสนใจคือ มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. สองคนที่ผลการทดสอบ ปริญญ์เอฟเฟค พบว่า มีค่าผลกระทบเป็นบวก และมีนัยสำคัญทางสถิติคือนายสกลธี ภัททิยกุล ได้ +.161 และมีนัยสำคัญทางสถิติกว่าร้อยละ 99 รวมถึงนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ที่ได้รับผลกระทบในทางบวกคือได้ +.091 และมีนัยสำคัญทางสถิติกว่าร้อยละ 90 ตามลำดับ ส่วนผู้สมัครท่านอื่น ทดสอบผลกระทบของ ปริญญ์ เอฟเฟค แล้ว ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ความหมายคือ ไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. ของคน กทม.

เมื่อถามถึง การตัดสินใจเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม. ของ คน กทม. เปรียบเทียบระหว่าง ครั้งแรก และ ครั้งที่สอง หลังมีการลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว พบว่าแนวโน้มคนจะเลือก เพิ่มขึ้นทุกคน แต่อันดับสลับกันอยู่บ้าง กล่าวคือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังคงนำเพิ่มจาก ร้อยละ 20.3 ในครั้งที่ 1 มาเป็นร้อยละ 24.5 ในครั้งที่ 2 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.8 ในครั้งที่ 1 มาเป็น ร้อยละ 13.9 ในครั้งที่ 2

รอดนอนคุก! ศาลให้ประกัน ‘ปริญญ์’ วงเงินประกัน 7 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข ‘ห้ามออกนอกประเทศ’

(17 เม.ย. 65) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง พนักงานสอบสวนสน.ลุมพินี ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อายุ45 ปี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศ ที่มีผู้เสียหายมาแจ้งความเอาผิดในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา และกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล รวม 3 สำนวนเป็นคดีกระทำอนาจาร 2 สำนวน และคดีข่มขืนหญิงอื่น ฯ1 สำนวน คือคดีหมายเลยดำ ข้อหากระทำอนาจาร ฝ.173/2565 ฝ.174/2565 , และข้อหาข่มขืนฯ ฝ.175 /2565

เนื่องจากพนักงานสอบสวน ยังต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติม รอผลการตรวจประวัติอาชญากรผู้ต้องหา และอื่นๆ จึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้เป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันที่ 17- 28 เม.ย.นี้

โดยศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ ต่อมาทนายความยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้ง 3 สำนวน ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาโดยตีราคาประกันคดีกระทำอนาจารหมายเลขดำฝ.173 และดำฝ.174/2565 สำนวนละ 200,000 บาท

ตีไข่ ใส่สี! ‘กห.’ สยบเฟกนิวส์ ยัน ‘แก๊งยากูซ่าไทย’ ถูกจับที่สหรัฐฯ ไม่ใช่ ‘ลูกชายปธ.องคมนตรี’ ย้ำ! แค่คนชื่อคล้าย

โฆษกกลาโหม ยันผู้ต้องหาคนไทย แก๊งยากูซ่าที่สหรัฐฯจับกุม คือ สุขสันต์ จุลนันท์ ไม่เกี่ยวข้อง "สันต์ จุลานนท์" ลูกชายประธานองคมนตรี แค่ชื่อ-นามสกุลคล้ายกัน พบมีคนบางกลุ่มบิดเบือน ทำเสียหายปล่อยข่าวปลอม ย้ำผู้ต้องหาไม่เคยเป็นทหาร ไม่มียศพลเอก

(16 เม.ย. 65) พลเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ชี้แจงถึง กรณีมีการบิดเบือนข่าวการจับกุม 3 คนไทย ที่เป็นแก๊งค์ยากูซ่า ที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ผู้ต้องหาชาวไทย คนหนึ่งชื่อ นายสุขสันต์ จุลนันท์ ว่าเป็น นายสันต์ จุลานนท์ ลูกชายพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เพราะมีชื่อและนามสกุลคล้ายกันนั้นว่า ยืนยันว่า ผู้ต้องหา คนดังกล่าว ไม่ใช่ นายสันต์ จุลานนท์ และไม่เกี่ยวข้องใดๆกับ ประธานองคมนตรี

“ตอนนี้ มีการปล่อยเฟคนิวส์ ปล่อยข่าวบิดเบือน ไปเชื่อมโยงกับ บุตรชายประธานองคมนตรี เพิ่อหวังให้เกิดความเสียหาย จากการตรวจสอบกับระบบกำลังพลของกองทัพและทางตำรวจ ยืนยันว่า ผู้ต้องหาคนดังกล่าวชื่อนายสุขสันต์ จุลนันท์ ไม่ได้เป็นทหาร และไม่เคยเป็นทหาร และไม่ใช่นายสันต์ จุลานนท์ แต่อย่างใด ขอผู้ไม่หวังดี หยุดบิดเบือนข่าวในทุกช่องทาง" พลเอกคงชีพ ระบุ

พลเอกคงชีพ ระบุว่า นายสุขสันต์ จุลนันท์ เป็นคนไทยอาศัยอยู่ในอเมริกา และถือ 2 สัญชาติคือไทยและอเมริกา เป็นคนละคน กับนายสันต์ จุลานนท์ และยืนยันว่า ที่แชร์กันด้วยว่า เป็น พลเอกสุขสันต์ จุลานนท์ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะไม่ได้เป็นทหาร แต่เพียงแต่มีชื่อและนามสกุลคล้ายๆกันเท่านั้น แต่ก็มีการมาเขียนตีไข่ใส่สี สร้างความเสียหาย
 

หั่นงบโปรโมตรัฐ!! ‘วิโรจน์’ ชี้ รัฐสวัสดิการที่ดีทำได้ เพียงแบ่งเค้กเท่าเทียม แนะ หั่นงบ PR รัฐ เพิ่มขนาดเค้ก กทม.

วิโรจน์ชี้ สร้างรัฐสวัสดิการที่ดีทำได้จริง ไม่ใช่แค่เพิ่มขนาดเค้ก แต่ต้องแบ่งเค้กเท่าเทียม ปกป้องเค้กของประชาชนไม่ให้มือดีแอบกิน พร้อมเสนอ 5 นโยบายทำได้ทันทีเพื่อเพิ่มขนาดเค้ก กทม. รวมถึงการตัดงบ PR ภาครัฐ ซึ่งใช้เงินมหาศาลโดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ 

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สัครผู้ว่าฯ กรุงเทพ เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยการจัดทำรัฐสวัสดิการที่ดี ต้องเพิ่มขนาดเค้ก หรือขนาดรายได้ของรัฐก่อน โดยวิโรจน์ยืนยันว่าการเพิ่มขนาดเค้กเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องแบ่งเค้กอย่างเป็นธรรม และปกป้องเค้กของประชาชนไม่ให้ถูกเบียดบัง มิฉะนั้นต่อให้เค้กก้อนใหญ่ขึ้นแค่ไหน ประชาชนก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ 

“หากเราไม่สนใจที่จะจัดสรรอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าเค้กจะใหญ่ขึ้นสักเท่าใดคนที่ได้รับประโยชน์ก็จะไม่ใช่ประชาชนอยู่ดี และอันที่จริง เค้กของประเทศไทยไม่ใช่ว่าจะไม่ใหญ่ขึ้น แม้ GDP ไทยจะโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน แต่ก็โตทุกปี แต่ในขณะที่เค้กใหญ่ขึ้น คนจนกลับจนลง คนรวยกลับยิ่งรวย จนประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก การจัดสรรอย่างเป็นธรรมจึงต้องทำทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้เค้กใหญ่ขึ้นก่อนแล้วค่อยจัดสรร” วิโรจน์กล่าว

วิโรจน์ยังเสนออีกว่า หากเปรียบงบประมาณทั้งหมดเป็น เค้ก 1 ก้อน เพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ เพื่อสร้างเมืองที่คนเท่ากัน มี 3 สิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน ได้แก่

1. ปกป้องเค้กของประชาชน มีตัวอย่างมากมายที่เค้กถูกตัดไปใช้ในโครงการที่ประชาชนแทบไม่ได้ประโยชน์ หนักไปกว่านั้นคือมีคนแอบกินเค้ก จากที่เล็กแทบจะไม่พออยู่แล้วก็ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก แต่เราก็ไม่เคยเห็นผู้ว่าฯ คนไหนลุกขึ้นมาปกป้องเค้กของประชาชน

ต่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะคนที่จะมาปาดหน้าหรือแอบกินได้ หากไม่ใช่พวกพ้องที่ต้องคอยเกรงอกเกรงใจแล้ว ก็ต้องเป็นคนใหญ่โต ผู้มีบารมี ไม่ใช่ตาสีตาสา อะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่ฟุ่มเฟือย ผู้ว่าฯ ต้องกล้าหาญพอที่จะตัดทิ้ง รวมถึงการแอบเบียดบังเค้กก็ต้องถูกจัดการให้หมดไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งเค้กของประชาชน

2.แบ่งเค้กอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าเค้กจะก้อนเล็กหรือใหญ่ มันจะต้องถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรมและรัฐสวัสดิการคือหนึ่งในสิ่งที่จะลดความเหลื่อมล้ำและทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในสังคม

3. ทำให้เค้กก้อนใหญ่ขึ้น หากเราทำข้อ 1 และ 2 ได้ดี เค้กก็จะดูใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะการแบ่งที่เท่าเทียม และการป้องกันไม่ให้ใครมาเบียดบังแอบกินเค้ก

อย่างไรก็ตามด้วยงบประมาณที่มี แม้เราจะสามารถสร้างรัฐสวัสดิการได้ แต่ก็ยังไม่ดีพอเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการที่ดีกว่านี้ เราจำเป็นต้องทำให้เค้กใหญ่ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

วิโรจน์เสนอว่า สำหรับ กทม. สิ่งที่ผู้ว่าฯ สามารถทำได้ทันทีเพื่อให้ได้เค้กก้อนที่ใหญ่ขึ้น ได้แก่การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและภาษีป้ายให้ครบถ้วน เพราะทุกวันนี้ กทม. ปล่อยให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เจ้าของห้างสรรพสินค้า นายทุนพลังงาน นายทุนทหาร เอาที่ไปล้อมรั้วปลูกกล้วย แยบยลกว่านั้นคือการซอยที่ให้เป็นที่เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือที่ตาบอดเพื่อเลี่ยงภาษี ส่วนภาษีป้ายโฆษณา ปัจจุบัน กทม. จัดเก็บเข้าระบบได้เพียง 30-40% เท่านั้น ที่เหลือเป็นป้ายเถื่อนที่ใช้ระบบมาเฟียเส้นสาย ทำกำไรมหาศาลโดยไม่เข้ารัฐ

อีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กทม. คือการกำหนดค่าธรรมเนียมขยะใหม่ กทม. มีค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะปีละ 7,000 ล้าน (หรือ 12,000 ล้าน หากรวมค่าจ้าง ค่าเสื่อมราคา ค่าซ่อมแซมรถขนส่งขยะ)  ต่เก็บค่าธรรมเนียมจัดการขยะได้เพียง 500-600 ล้านบาทต่อปี วิโรจน์ยืนยันว่ารัฐสามารถขาดทุนเพื่อให้บริการสาธารณะได้ แต่รัฐไม่ควรขาดทุนเพื่อโอบอุ้บนายทุน เพราะเมื่อลงไปดูรายละเอียดเราจะพบว่าเหล่าห้างสรรพสินค้าทั้งหลายที่ผลิตขยะเป็นจำนวนมหาศาลกลับจ่ายค่ากำจัดขยะเพียงเดือนละไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top