Friday, 13 June 2025
WEEKEND NEWS

‘หมอปลา’ ประกาศลั่นไม่ขอร่วมงานทุกรายการของช่องเวิร์คพอยท์ ลั่นรับไม่ได้ไล่นักข่าวสาวร่วมก๊วนออก พร้อมเยียวยาจ่ายเงินเดือนนักข่าวที่โดนไล่ออกแทน 

14 พฤษภาคม 2565 จากกรณีที่ นายจีระพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และสื่อมวลชนหลายสำนัก บุกเข้าตรวจสอบ "หลวงปู่แสง ญาณวโร" จนกระทั่งความจริงได้ปรากฏตามสื่อสำนักต่างๆ จนเกิดกระแสตีกลับ หมอปลาได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษและสำนักข่าวได้ออกมาประกาศลงโทษนักข่าวในสังกัดของตนที่ได้กระทำล่วงเกินต่อ "หลวงปู่แสง" ไปโดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ

หมอปลา เผยถึงประเด็นนี้ด้วยว่า ผมกล้ายืนยันว่า ผมไม่ได้มีการไปสร้างหลักฐานใดใดทั้งสิ้น แล้วน้องนักข่าวผู้หญิงก็ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนกรณีดราม่า เบลล์ ขอบสนาม ซึ่งผมก็ให้เบลล์ทำคลิป ก็ทำหน้าที่พากย์ฟุตบอลไป ส่วนทนายไพศาลเนี่ยเราเป็นทีมเดียวกัน แต่ทุกคนไม่รู้เรื่องเลยแม้กระทั่งตัวของสื่อมวลชนเอง  

ผมว่ามันไม่แฟร์สำหรับบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเค้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ที่น้องมันพูด เพราะมันสงสารหมอปลา เรื่องนี้ไม่ต้องสงสารผมเพราะทัวร์มาลงผมบ่อย ผมยอมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งสื่อไม่รู้ แต่ก็พยายามทำให้ช่องอื่นให้บทลงโทษบ้าง ซึ่งเมื่อคืน พอผมรู้ว่าน้องนักข่าวผู้หญิงโดนไล่ออก ผมก็โทรไปหาผู้บริหารคนหนึ่ง ผมก็อธิบายให้ฟัง แต่เค้าไม่ฟังผมแล้ว แต่ผมก็อธิบายไปว่า ผมต้องแสดงความรับผิดชอบเพราะเรื่องที่ทำให้น้องถูกไล่ออก มันเกิดจากหมอปลา มันไม่ได้เกิดจากน้องนักข่าวผู้หญิง 

งั้นผมขอแสดงสปิริต ด้วยการกล่าวขอโทษพี่ พร้อมพี่หม่ำ จ๊กม๊ก พี่นุ้ย เชิญยิ้ม พี่บอล เชิญยิ้ม และทุกๆคนที่ผนเคยร่วมงานกับช่องนี้ ผมกราบขอโทษด้วย แต่จริงๆผมรักพวกพี่นะ แต่ผมต้องแสดงสปิริตทุกสิ่งทุกอย่าง ผมจะไม่ขอไปก้าวล่วงช่องนี้ ถ้าผมยังจะออกไปเสนอหน้าช่องนี้อยู่ ถ้าน้อง...มันเห็น มันจะคิดยังไง นักข่าวสาวคนนี้ไม่ได้เป็นเหยื่อหมอปลา แต่หมอปลาใช้น้องไปจริงๆ

‘กรณ์’ ฝาก 6 ข้อคิด ‘นักลงทุนคริปโต’ ในวันที่ราคาดิ่งจนแทบไม่เหลือค่า แนะใช้ประสบการณ์ในวันเจ๊งหนัก เป็นบทเรียน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เขียนข้อความแสดงความเห็นสถานการณ์การลงทุนในตลาดคริปโต หลังประสบปัญหาอย่างหนัก โดย ระบุว่า ... ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง

สืบเนื่องจากปรากฏการณ์ Luna และ UST ในตลาดคริปโต  ทำให้นักเล่นคริปโตขาดทุนกันถ้วนหน้าทั่วโลก ในฐานะผู้ที่ผ่านการ crash ของตลาดมาเกือบนับครั้งไม่ถ้วน ผมมีหลักคิดง่ายๆ เรื่องการลงทุนที่อยากจะแชร์ เผื่อเป็นประโยชน์ในยามนี้นะครับ

1. อะไรที่ขึ้นแรงสุดท้ายมักจะมีลง แต่อะไรที่ลงแรงไม่จำเป็นต้องขึ้นกลับไปที่เดิม - อย่ารีบช้อนเพียงเพราะราคาวันนี้ดูตํ่ามากเมื่อเทียบกับเมื่อวาน

2. ติดดอยดีกว่าติดหนี้ - การลงทุนมีความเสี่ยง การเล่นคริปโตเสี่ยงสูงสุด ห้ามกู้เงินมาเล่นเด็ดขาด

3. ยึดหลัก ‘กระจายความเสี่ยง’ อย่าลงทุนในคริปโตทั้งหมด (เว้นคุณรวยพอที่จะรับความเสี่ยงนั้นได้จริง) และแม้แต่ในพอร์ตคริปโตก็อย่าถือกระจุกอยู่เพียงไม่กี่ตัว

4. อย่าลืมว่าทุกยุคสมัย จะมีคนพูดว่า ‘ครั้งนี้ไม่เหมือนอดีต…’ ในประสบการณ์ผม สุดท้าย ‘เหมือน’ ทุกครั้งครับ เพราะการลงทุนก็คือการแข่งขันระหว่าง ‘ความโลภ’ กับ ‘ความกลัว’  เป็นหลักสัจธรรม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

5. บทเรียนแรกที่นายคนแรกผมให้ตอนเริ่มอาชีพบริหารกองทุนคือ ‘don’t fall in love with your investments’ อย่าหลงรักในสิ่งที่ลงทุน

6. ในการลงทุนในหุ้นผมใช้หลัก ‘compounding-ทบต้น’ แต่กับคริปโตผมใช้หลัก ‘ถอนทุน - เอาส่วนกำไรไว้ลุยต่อ’ สาเหตุเพราะหุ้นมีปันผลและมีผลประกอบการที่ประเมินสถานะได้ แต่คริปโตเสี่ยงมากกว่าเพราะไม่มีอะไรให้ใช้ในการประเมินราคา

รมว.ยุติธรรม สั่งเรือนจำ ห้ามกักตัวผู้ต้องขัง 15 -21 วัน หาโควิด เมื่อพ้นโทษ หลังได้รับร้องเรียน เตือน เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ชี้ ต้องตรวจก่อนพ้นโทษ ขู่ ลงโทษหนักหากพบ ขอญาติผู้ต้องขัง ไม่ต้องห่วง

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่า เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษในเรือนจำแล้ว ยังต้องถูกกักตัว 15-21 วัน เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งเรื่องนี้ ได้กำชับกรมราชทัณฑ์ไปแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด ก่อนพ้นโทษ และเมื่อเขาพ้นโทษ ก็ต้องปล่อยตัวได้ทันที โดยอย่าพยายามกักกันเขาเพิ่ม

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้รายงานกลับมาแล้วว่า ไม่มีนโยบายกักตัว 15-21 วัน เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษ จึงได้ให้ปฎิบัติตามแนวทางนี้ทั้งหมด โดยไม่มีการกักตัวเมื่อพ้นโทษ เพราะทางเรือนจำ จะทราบอยู่แล้วว่าใครจะพ้นโทษบ้าง ก็แค่แยกออกมากักตัวก่อนล่วงหน้า เมื่อถึงกำหนดเขาก็จะได้รับการปล่อยตัวตามสิทธิ

‘ไบเดน’ โวเปิดศักราชใหม่ สัมพันธ์สหรัฐฯ-อาเซียน จ่อยกระดับเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ ‘ครอบคลุมทุกด้าน’

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เป็นประธานในการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) สมัยพิเศษ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) โดยระบุว่าการพบกันครั้งนี้ถือเป็นการ “เปิดศักราชใหม่” ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับทั้ง 10 ประเทศ

ในคำแถลงร่วมภายหลังการประชุม สหรัฐฯ และอาเซียนต่างให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนในเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกด้าน (comprehensive strategic partnership) ภายในเดือน พ.ย.

สหรัฐฯ และอาเซียนยังประกาศ “จะเคารพในอธิปไตย ความเป็นอิสระทางการเมือง และบูรณภาพแห่งดินแดน” ของยูเครน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นการเลือกใช้ถ้อยคำที่ “หนักแน่น” กว่าคำแถลงก่อนๆ ของอาเซียน แม้จะไม่ถึงขั้นประณามรัสเซียที่ส่งทหารบุกยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ก็ตาม

การประชุมสุดยอดครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ เปิดทำเนียบขาวต้อนรับบรรดาผู้นำอาเซียน และเป็นซัมมิตกับอาเซียนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016

รัฐบาล ไบเดน หวังที่จะใช้เวทีประชุมคราวนี้แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อกิจการในอินโด-แปซิฟิก รวมไปถึงการสกัดกั้นอิทธิพล “จีน” ซึ่งวอชิงตันถือว่าเป็นคู่แข่งเบอร์ 1 ในภูมิภาค นอกจากนี้ยังหวังที่จะกล่อมผู้นำอาเซียนให้ประกาศจุดยืนแข็งกร้าวมากขึ้นต่อการที่รัสเซียรุกรานยูเครน

“ประวัติศาสตร์โลกในอีก 50 ปีนับจากนี้จะถูกเขียนขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนคืออนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกหลายปี และหลายสิบปีข้างหน้า” ไบเดน กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำด้วยว่า ความเป็นหุ้นส่วนกับอาเซียนนั้น “สำคัญยิ่งยวด” และ “เรากำลังจะเปิดศักราชใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน”

ไบเดน ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่บรรดาผู้นำอาเซียนที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสบดี (12) พร้อมประกาศจะทุ่มเม็ดเงินลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ (ราว 5,200 ล้านบาท) เพื่อช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนด้านความมั่นคง การเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด และพลังงานสะอาดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังจะส่งเรือยามฝั่งเข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อช่วยรับมือ “การทำประมงผิดกฎหมายของจีน”

ไบเดน ประกาศแต่งตั้ง โยฮันเนส อบราฮัม (Johannes Abraham) ประธานคณะเจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตำแหน่งนี้ได้ว่างลงนับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าบริหารประเทศในปี 2017

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

🎤 สัมภาษณ์พิเศษ : ไอซ์ สารวัตร ผู้ประกาศข่าว อมรินทร์ทีวี

ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่” จากนักข่าวสายลุย ตามฝันสู่ผู้ประกาศข่าวเต็มตัว

นักข่าวขวัญใจชาวไทย มากความสามารถ ยอมรับชีวิตเปลี่ยนเพราะ “คดีน้องชมพู่”

1.) "ไอซ์ สารวัตร" ในวงการผู้สื่อข่าว ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้

ไอซ์ สารวัตร : เริ่มฝึกงานจากช่อง 3 ซึ่งตอนเรียนจบ ก็ได้มาทำงานอยู่ที่ อัมรินทร์ทีวี อยู่ที่แรกรายการ “โต๊ะข่าวบันเทิง” อยู่ A-POP บันเทิง ได้สักครึ่งปีและก็ขยับตัวเองหรือได้รับโอกาสจากคุณพุทธ พุทธอภิวรรณ (ผู้ประกาศข่าวทุบโต๊ะข่าวบันเทิง) ปรับมาเป็นผู้สื่อข่าวของ รายการทุบโต๊ะข่าว จากนั้นก็เป็นผู้สื่อข่าวเรื่อยๆ มา ทำอยู่ได้สัก 2 ปี ก็ได้มาอ่านข่าวที่ “ข่าวเที่ยงอัมรินทร์” อีก 2 ปี แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์โอกาสจากผู้ใหญ่ ได้รับความไว้วางใจให้มาอ่านในรายการ “ทุบโต๊ะข่าว” ทั้งช่วงที่ 1 และ ช่วงที่ 2 อาจจะมีการปรับในช่วงเวลา วันเวลาในการอ่านแล้วบ้าง จนมาถึงช่วงนี้ ได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวเต็มตัวแล้วครับ อย่างที่เคยฝันเอาไว้

2.) ย้อนไปเล่าถึงเหตุการณ์ ช่วงการทำงาน คดีลุงพล ถือเป็นคดีแจ้งเกิด "ไอซ์ สารวัตร" ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ถ้าเล่าย้อนไปคดีลุงพลจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นคดีข่าวเป็นการหายตัวไปน้องชมพู่ แต่คนอาจจะไปติดปากในคดีนั้น ก็ต้องยอมรับครับว่าเป็นคดีแจ้งเกิดของตัวไอซ์เอง เนื่องจากว่าเป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือว่ามันฟีเวอร์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น ก็คนจำเราได้มากขึ้น ไปที่ไหนก็มีคนทักทายโดยเฉพาะแถบ ภาคอีสานหรือตามต่างจังหวัด ก็จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี

ส่วนตัวผม ยอมรับว่ามันทำให้รู้สึกเราแปลกใหม่ และก็ถือว่าเป็นสีสันของการทำข่าว มันก็ทำให้มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือว่า เรามีคนรู้จักมากขึ้น เข้าถึงแหล่งข่าวได้ง่ายขึ้นแต่ว่าที่สิ่งยากหน่อย คือ 1.ในเรื่องของวางตัว 2.การไปทำข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวนที่เราทำอยู่ มันอาจจะทำให้แหล่งข่าวที่เราไปบางทีเขาอาจจะจำเราได้ว่าเราเป็นนักข่าว ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากเข้าไปในฐานะนักข่าว เราอยากไปเป็นแบบชาวบ้านทั่วไป เพื่อจะให้ได้ข่าวจริงๆ ออกมา ซึ่งเป็นก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่เราก็ดีใจที่มีคนจำเราได้และก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะมีคนจดจำได้

3.) ใช้อะไรเป็นสิ่งขับเคลื่อน ในชีวิต?

ไอซ์ สารวัตร : ต้องยอมรับว่าเป็นกำลังใจ เพราะการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้คาดหวัง ผมเป็นคนที่มีกำลังใจในทุกๆ วัน และก็ไม่ได้คาดหวัง มองโลกในแง่ดี ไม่ชอบคิดอะไรที่มันลบๆ หรือว่าคิดร้ายไปทั้งหมด เวลาเราเจออะไรที่เข้ามาตอนการทำข่าว ทำงาน แม้กระทั่งเจอเพื่อนร่วมงาน บางทีเราต้องรับอารมณ์หรือรับความหงุดหงิดตรงนั้น แม้ตอนลงพื้นที่ เราต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งรวมถึงอารมณ์ตัวเราด้วย ที่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองไว้ แต่สิ่งหนึ่งถ้าเราไม่ได้มองโลกในแง่ลบ ทุกอย่างก็จะกลายเป็นบวกไปหมด ก็เลยใช้วิธีคิดนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นคนไม่ได้คาดหวัง มันก็ทำให้เราไม่ผิดหวัง ผมเป็นคนคิดอะไรแบบนั้น

4.) อยากเห็นสื่อไทย เป็นอย่างไรบ้าง?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เป็นยังไง แต่แค่อยากจะให้นำเสนอด้วยความเป็นจริง จริงที่ว่าบางครั้งเราจะเห็นในโลกยุคปัจจุบัน ผมไม่ได้โทษสื่อไหน มันอาจจะเป็นด้วยตัวแปรอะไรต่างๆ ไม่ได้ จะเป็นกลุ่มคนดู หรือว่าความต้องการของในหน่วยงาน แต่สิ่งที่อยากเห็นที่สุดก็คือความจริง ไม่อยากให้เกิดการโจมตีกัน อยากให้เป็นการสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน ทุกสื่อให้ความร่วมมือกัน รักในวิชาชีพสื่อด้วยกัน และทำงานแข่งขันกัน แต่ไม่ได้เชิงฆ่ากันด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดโอกาส การเสี้ยมอะไรแบบนี้

คือไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า แต่สิ่งนี้เราไม่อยากให้เจอขึ้น ก็หวังว่าสื่อไทยจะร่วมมือ ในการสร้างสรรค์งานสื่อออกมาในรูปแบบของความจริง และแข่งขันกันในรูปแบบของความจริงทั้งหมดก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยากเห็น

5.) นิสัยส่วนตัวที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้?

ไอซ์ สารวัตร : จริงๆ เป็นคนขี้อาย เป็นคนเขิน เป็นคนที่เวลาใครทักก็จะเขินหน่อยแต่ว่าลึกๆ ก็ดีใจ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้ นึกว่าเราเป็นคนกล้าแสดงออกเพราะว่าออกหน้าจอ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนขี้เขินหรือถ้าเกิดทำอะไรที่ไม่ค่อยชินหรืออะไรที่มันแปลกใหม่ อย่างเช่นเราทำข่าว ผู้ประกาศข่าว หรือพิธีกร มันอาจจะชินกับเราไปทั้งหมด แต่ถ้าเราข้ามสายไปทำอย่างอื่น เช่น การไปร้องเพลง เล่นละคร หรือว่าแสดงอะไรสักอย่าง จะเกิดความประมาทขึ้นได้ เพราะว่าลึกๆ แล้วเป็นที่พูดน้อยเสียงเบาตั้งแต่เด็กๆ มีมาเริ่มเสียงดังก็ตอนมาเริ่มทำงานพิธีกร เริ่มพูดต่อหน้าคนอื่น พยายามฝืนตัวเอง จนกระทั่งมันกลายเป็นตัวเราในวันนี้ หลายๆ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้เพราะคิดว่าเด็กๆ น่าจะเป็นคนที่พูดมาก

6.) ทำไมถึงตอบตกลงไปรายการ ร้องข้ามกำแพง รู้สึกอย่างไร?

ไอซ์ สารวัตร : ตอนนั้นลึกๆ ไม่คิดว่าจะมีทีมงานติดต่อเข้ามาเพราะว่าเอาจริงๆ เป็นรายการที่เราชื่นชอบและก็ชอบดูอยู่แล้ว สนุก ดูย้อนหลังตลอด และพอมีติดต่อเข้ามาก็ตอบรับ แต่จริงๆ ใจก็อยากจะตอบรับทันทีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าขอปรึกษาทางช่องก่อน จนสรุปทางช่องโอเค สนับสนุนให้เราไปออกรายการได้

เราก็คิดว่าอย่างน้อยเป็นโอกาส ให้เราไปลองเปิดโลกใหม่ ที่เราไม่เคยได้ทำคือการไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ยิ่งถ้าหากไปร้องกับคู่กับศิลปินอย่างพี่บุ๋ม ปนัดดา ก็รู้สึกว่า เราได้ยินเสียงร้องอันทรงพลังของพี่แก มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมีวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ร้องคู่ในรายการที่มีคนดูจำนวนมาก รู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่และก็ท้าทาย ก็ดีใจว่ามีโอกาสได้ออกไปรายการนั้นและก็ไม่ผิดหวังที่ได้ตอบตกลง

เจ้าคณะตำบล แนะ นักข่าวช่องดัง กลับมาขอขมา ‘หลวงปู่แสง’ ใหม่ หลังพบใช้พานเทียนแพอวมงคล ที่ใช้ในงานศพ เชื่อ จะทำให้ชีวิตกลับมาดีขึ้น

จากกรณีที่ ผู้สื่อข่าวหญิงช่องดัง โร่ขอขมากราบรูป “หลวงปู่แสง ญาณวโร” ที่หน้าประตูวัดทางเข้าวัดหลวงปู่ ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย รับสารภาพผิดที่ล่วงเกินหลวงปู่ขณะทำข่าวร่วมกับหมอปลาที่ผ่านมา ยอมรับว่าสิ่งที่ทำนั้น ไม่ถูกต้อง พร้อมแจงว่า คำพูดที่พูดไป ต้องการสะท้อนไปถึงพระเลขาที่ไม่ให้เกียรติ ไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกินหลวงปู่แสงแต่อย่างใด จากนั้นลูกศิษย์หลวงปู่แสง ได้ส่งตัวแทนเข้ามารับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น ระบุว่าจะเรียนให้หลวงปู่พิจารณาให้อภัย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พระครูกมลวัฒนาทร (มนู ประชานันท์) เจ้าคณะตำบลโพนเมืองน้อย (ธ) มีเขตดูแล 9 ตำบล เจ้าอาวาสวัดป่าทองสมรรัตนาราม ต.รัตนวารี อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า จากการที่โยมนักข่าวผู้หญิงช่องดัง ช่องหนึ่ง ได้นำพานขอขมาไปขอขมาหลวงปู่แสง ที่วัดหลวงปู่แสงวัดอรัญญาวิเวก ที่บ้านไก่คำ ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ หลังใช้วาจาและพฤติกรรมที่ไม่ดีกับหลวงปู่แสง ในขณะที่ไปร่วมทำข่าวกับคณะของหมอปลา ที่อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ที่ผ่านมานั้น

โยมนักข่าวหญิงคนนี้ นำพานเทียนมาขอขมา มาขอขมาหลวงปู่แสงไม่ถูกต้อง คือนำพานเทียนที่ไปขอขมาในงานศพ หรือผีตาย ซึ่งเขาเรียกว่า พานเทียนแพอวมงคล “ดูง่ายๆจะมีเทียนวางไว้บนธูป ซึ่งเอาไว้ในการนำไปขอขมาศพที่ตายแล้ว ส่วนที่ถูกต้องนั้น ต้องใช้พานเทียนแพที่จัดวางธูปไว้บนเทียน ซึ่งเป็นของที่ใช้ในงานมงคลทั่วไปทุกงาน

‘ศรายุทธ ตันเถียร’ ผู้พลิกฟื้นอุทยานทางทะเล หัวหน้าอุทยานคนแรก ที่ใช้เวลาเพียง 2 ปี แต่เก็บรายได้เข้ารัฐกว่า 2 พันล้านบาท

เพจ Open Up ได้เล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ศรายุทธ ตันเถียร’ หัวหน้าอุทยานคนแรกที่สามารถทำรายได้เข้าประเทศไทยมากถึง 2 พันล้านบาท เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงการอุทยานแห่งชาติไทยไปตลอดกาล โดยระบุว่า 

เรื่องราวนี้เริ่มขึ้นเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2558 หัวหน้าอุทยานคนหนึ่ง ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในอุทยานทางทะเลที่ได้ชื่อว่าโหดหินที่สุด มีปัญหาไปหมดทุกอย่าง และเป็นอุทยานที่เก็บเงินรายได้ ได้น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งหัวหน้าอุทยานที่ต้องแก้ไขปัญหาก็คือ ‘ศรายุทธ ตันเถียร’

เพื่อน ๆ เชื่อมั้ยครับว่าในวันแรกที่ ‘ศรายุทธ ตันเถียร’ ถูกย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ มีเรือยาง 1 ลำ มีทุ่นจอดเรือ 8 ลูก มีเรือขออนุญาตในระบบเพียง 90 ลำ แต่ผู้ชายคนนี้ต้องการเพียงแค่ เรือยาง 1 ลำ ในการพลิกฟื้นทะเลกระบี่ จับกุมผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การจับสัตว์น้ำผิดกฎหมาย ผู้ประกอบการทำผิดกฎ นักท่องเที่ยวทำร้ายธรรมชาติ ฯลฯ จนจำนวนสถิติพุ่งถึง 1 พันครั้ง

‘อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ย้ำชัด เชื่อผลสำรวจจาก ‘นิด้าโพลล์’ เท่านั้น ชี้ เป็นการสำรวจที่ใช้การสุ่มตัวอย่างที่มีมาตรฐาน

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า Strategic vote ผมไม่ได้ฟังเสียงใคร ผมฟังผลโพลล์ เพียงอันเดียวคือนิด้าโพลล์ ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างที่มีมาตรฐานคือ random digit dial สร้าง master sample แล้วสุ่มอย่างง่ายจาก master sample อีกครั้งแล้วโทรเข้าโทรศัพท์มือถือ สำรวจข้อมูล โพลล์อื่นผมไม่คิดว่ามี sampling plan ที่ดีเท่านี้

นายกฯ กล่าวถ้อยแถลง ย้ำการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สนับสนุนการสร้าง “อาเซียนสีเขียว” อย่างยั่งยืนและสมดุล ลั่น “เราหมดเวลาสำหรับความล้มเหลวแล้ว”

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 65 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.65 เวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสหรัฐอเมริกา ณ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับนางคามาลา เดวี แฮร์ริส รองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และและผู้แทนระดับสูงสหรัฐฯ ได้แก่ นายจอห์น เคอร์รี (John Kerry) ผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ และผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน 
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันของอาเซียนกับสหรัฐฯ ในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภารกิจที่ต้องร่วมกันทำให้สำเร็จเพื่อโลกใบนี้และอนาคตของลูกหลานของทุกคน โดยอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อนำไปสู่การมีสภาพภูมิอากาศที่ยั่งยืน และชุมชนที่มีภูมิต้านทาน โดยกำหนดเป้าหมายร่วมกันต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นร้อยละ 23 ภายในปี ค.ศ. 2025 และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงถึงการสนับสนุนความมุ่งมั่นของภูมิภาค และของโลกในเรื่องดังกล่าว ไทยได้ประกาศเป้าหมายในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 หรือก่อนหน้านั้น ซึ่งจะพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง

ผู้ว่าฯหนองคาย เซ็นหนังสือยกเลิกคำสั่งห้ามเดินรถยนต์ข้ามประเทศลาว หลังต้องปิดช่วงโควิดระบาดหนัก 3 ปี เริ่ม 8 พ.ค.นี้  ขณะที่รัฐบาลลาวอนุญาตให้คนไทยและคนต่างชาติเข้าประเทศได้ 9 พ.ค.

8 พ.ค.2565 – นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ได้ลงนามในประกาศจังหวัดหนองคาย เรื่องเปิดจุดผ่านแดนถาวร ณ ช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศทางบกจังหวัดหนองคายและยกเลิกประกาศการระงับการเดินทางเข้าออกของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 1 จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย และด่านตรวจคนเข้าเมืองสถานีรถไฟหนองคาย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2563 จ.หนองคายได้ประกาศการระงับการเดินทางเข้าออกประเทศทั้งบุคคลและยานพาหนะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 จนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่ จ.หนองคาย แม้ว่าจะมีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกวัน แต่ประชาชนมากกว่าร้อยละ 90 ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ประกอบกับมีความต้องการให้เปิดด่านพรมแดนถาวรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดหนองคาย โดยก่อนหน้านี้มีการอนุญาตให้เฉพาะรถบรรทุกสินค้าเข้าออกประเทศเท่านั้น ดังนั้นเมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายจึงได้ยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางเข้าออก อนุญาตให้บุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ เข้าออกประเทศทางบกที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว 1 อ.เมืองหนองคาย, จุดผ่านแดนถาวรท่าเรือหนองคาย และด่านตรวจคนเข้าเมืองสถานีรถไฟหนองคาย เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.65 เป็นต้นไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top