Wednesday, 11 June 2025
WEEKEND NEWS

เปิดใจ 'หนุ่มกู้ภัย' อาสามัดศพติดหลัง พาออกจากป่า เผย!! ไม่กลัว หวังแค่นำส่งให้ญาติอย่างดีที่สุด

เปิดใจหนุ่มอาสากู้ภัยมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า..บอกคิดเหมือนเป็นญาติ-ไม่กลัวผี รับหน้าที่มัดร่างผู้ตายติดหลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ลงดอยออกจากป่า หวังส่งให้ญาติที่รออยู่บ้านอย่างดีและเร็วที่สุด

กรณีโลกออนไลน์แห่แชร์ชื่นชมหนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยประจำมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า คือ นายจตุพร วิรัตน์เกษม อายุ 25 ปี หรือ "ฟลุ๊ค" นำร่างผู้เสียชีวิตดังกล่าวมัดและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากป่าเป็นระยะทางกว่า 7 กม. ทำให้เจ้าหน้าที่และญาติขอบคุณในความเสียสละนั้น

ล่าสุดนายจตุพรเปิดเผยว่า ตนมาเป็นอาสากู้ภัยกับสยามรวมใจฯ มาเกือบ 8 ปี แล้ว ได้ประสบการณ์และความรู้มากมาย ที่เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้คนใกล้ตัวให้รอดพ้นจากอันตรายได้

ส่วนเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 31 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกู้ภัยฯ ได้รับแจ้งจาก สภ.แม่เจดีย์ว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในป่า พื้นที่บ้านจำบอน ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ทางมูลนิธิฯ จึงได้ออกให้การช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถตู้ของมูลนิธิฯ เดินทางไปถึงหมู่บ้านจำบอนและพบกับผู้ใหญ่บ้านในเวลาประมาณ 20.00 น.

จากนั้นได้ใช้รถยนต์ตู้เดินทางเข้าไปตามถนนในป่าแต่เข้าไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุด เพราะรถยนต์เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากเส้นทางเป็นลูกรัง แคบ และเป็นโคลน รวมทั้งเป็นทางเนินเขาสูงชัน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ต้องเดินทางต่อไปด้วยรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านเข้าไปต่ออีก 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ILINK เจ๋ง!! คว้า 2 งานใหญ่ ปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย เติม Backlog มูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท

นางสาววริษา อนันตรัมพร กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า...

"บริษัทฯ มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาขับเคลื่อน และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวทันยุคสมัยอยู่เสมอ นับเป็นปีฟ้าสดใสของทุกๆ ธุรกิจภายใต้กลุ่ม ILINK ที่กลับมาตื่นตัว ซึ่งสนับสนุนให้องค์กรของเราเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง"

'อดีตนักสร้างสารคดี' สอนพวกเสี้ยม อย่าชักศึกเข้าบ้าน บางเหตุเป็น 'สิ่งปกติ' ยัน!! 'ไทย-เมียนมา' เพื่อนกันกว่าที่คิด

แม้จะมีความพยายามสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่าง 'ไทย-เมียนมา' จากกรณีเครื่องบินรบเมียนมาตีวงเลี้ยวล้ำน่านฟ้าไทย แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัย ที่พูดคุยกันด้วยความเข้าใจ ก็จบ

เพราะสุดท้ายแล้ว โดยพื้นเพของคนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ ที่เราอาจจะเรียกว่า 'คนระดับล่าง' นั้น เขามีน้ำใจต่อกันแบบที่คนไม่รู้ ก็อาจจะพูดให้เกิดความกังวลใจในภาพใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ 'อัครวุฒิ จันทร์ขจร' ได้โพสต์ข้อความที่ช่วยขยายความสัมพันธ์อันดีของคน 2 ชาติที่สะท้อนจากเรื่องจริง มาถ่ายทอดจนเห็นเป็นภาพชัดว่า 'ไทย-เมียนมา' ต่างกันแค่ลำธารกั้น แต่เป็นเพื่อนกันเมื่อได้พบเจอและพูดคุย ว่า...

เรื่องของเพื่อนประเทศ...

ในสมัยที่ผมทำสารคดีทุ่งใหญ่แถบบ้าน 'ทิไล่ป้า' มันเป็นเขตติดกับพม่าแค่ 'ลำธารกั้น'

ผมก็เดินถ่ายไปของผม​ เพราะธรรมชาติสวยดี​ แต่พอมารู้ตัว​ 'มีทหารพม่า 3 คนเดินเข้ามา' พูดภาษาไทยชัดมาก

>> ทหารพม่า: คุณมาทำอะไร​ 
>> ผมบอก: มาสร้างโรงเรียนทิไล่ป้า
>> ทหารพม่า: อ๋อ!! ลูกชายผม 2 คนก็เรียนที่นั่น​

เรานั่งคุยกัน​ ผมมีช็อกโกแลตไป 5-6 ชิ้น​ ก็แบ่งกันกินเพราะเห็นว่าเค้าน่าจะไม่เคยกิน​ คุยกันถามสารทุกข์สุขดิบ​ จนสุดท้ายผมขอตัวกลับ​...เดินต่อ​ 

>> ทหารพม่าบอก: พี่โอมครับ...แผ่นดินไทยไปทางโน้นครับ​ นี่เขตพม่าครับ
>> ผม: อ้าว​นี่พี่ล้ำแดนมาพม่ารึนี่
>> ทหารพม่า: ไม่เป็นไรครับ​ เราพม่าไทยก็เหมือนเพื่อนกัน​ และยิ่งมาสร้างโรงเรียนให้ลูกผมได้เรียน...ยิ่งอยากต้อนรับครับ

นี่คือ...น้ำใจระดับล่างของประเทศเพื่อนบ้าน...ถ้าเค้ามีความคิดเป็นอย่างฝ่ายค้านบางคนของไทย​ ป่านนี้ผมคงตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว​  

แต่นี่...มันเป็นเรื่องของเพื่อนบ้านรั้วติดกัน​ และผมก็เคยคุยกับพี่ๆ นักบินฮ.ชายแดน​ เค้าบอก​บางทีเราก็ตีวงเข้าพื้นที่กันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา​ ไม่ว่า​ทางน้ำ​ ทางบก​ ทางอากาศ​ ถ้าเค้าไม่ตั้งใจเข้ามาถล่มเรา เรื่องเมื่อวานนี้ (30 มิ.ย.) มัน 'คือปกติ' มีแต่ไอ้พวกที่ชอบชักศึกเข้าบ้านนี่แหละที่มันคิดแบบไม่ดี...

ครับ​ ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้นะ...บางทีชายแดนลาว​ เขมร​ ผมก็เจอ​ อย่างเช่นปี 2535 ที่บ้าน 'ไทยนิยม' ศรีสะเกษ​มั้ง บ้านเกิดพี่บัวขาวน่ะ...ผมก็ไปทำสารคดี...ขับรถข้ามทุ่งไป​ มันเลี้ยวแยะยุคนั้น...เลยเข้าเขมร​ เค้าก็ออกมาบอกทางว่าไปทางนั้นทางนี้...ทั้งๆ ที่ตอนนั้นประเทศเค้ายังรบกัน​ 

ทูตนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ระบุข้อความตำหนิผู้จัดศึกแดงเดือดปมการขายบัตรเข้าชมเกมดังกล่าว ชี้ ริจะจัดงานระดับโลก อย่ามักง่ายพึ่งแม่ค้าออนไลน์ มันได้ไม่คุ้มเสีย

จากกรณี เหตุดราม่ากรณีบัตรฟุตบอลแมตช์แดงเดือด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ ลิเวอร์พูล ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 12 กรกฎาคมนี้ ที่ "พิมรี่พาย" พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ ไลฟ์สดขายบัตรเกมดังกล่าวแบบหั่นราคา และป่าวประกาศว่าสามารถนำบัตรไปทานข้าวกับนักฟุตบอล และศิลปินแจ็คสัน หวัง ได้อีกด้วย

แต่สุดท้ายบัตรรับประทานอาหารกับนักฟุตบอล และแจ็คสัน หวัง ไม่ได้มีอยู่จริง โดยทั้ง 2 สโมสร อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล รวมถึงต้นสังกัดของแจ็คสันหวัง ก็ออกมายืนยันว่าไม่มีบัตรรับประทานอาหารแต่อย่างใด เป็นเพียงบัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล และมินิคอนเสิร์ตเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (26 มิ.ย.) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "Fuangrabil Narisroj" เกี่ยวกับประเด็นดรามาดังกล่าวว่า

"การที่ทั้งสโมสร แมนยู และลิเวอร์พูล ออกแถลงการณ์ ตบหน้า นั้น เป็นเรื่องน่าอายมาก และต้องเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้จัดงานว่า

ถ้าริจะจัดงานระดับโลก อย่ามักง่ายพึ่งแม่ค้าออนไลน์ มันได้ไม่คุ้มเสีย มีแต่พังกับพัง เหมือน down grade งานระดับโลกให้กลายเป็นแค่ “งานวัด” !!!"

การรถไฟฯ ทำพิธีเชื่อมต่อสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลอง สะพานรถไฟแบบขึงแห่งแรกของประเทศไทย แลนด์มาร์คแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดราชบุรี ในโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ 

เมื่อวันที่  24 มิถุนายน 2565 ณ สถานที่ก่อสร้างสะพานฝั่งค่ายภาณุรังษี อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟแห่งประเทศไทย  และนายอุดม เพชรคุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานในพิธีเชื่อมต่อสะพานรถไฟช่วงสุดท้ายข้ามแม่น้ำแม่กลอง สะพานรถไฟแบบขึงแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม–หัวหิน โดยมีพลตรีวิกร เลิศวัชรา รองเจ้ากรมการทหารช่าง และนายดนุช ยนตรรักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด พร้อมด้วยหน่วยงานจังหวัดราชบุรีเข้าร่วมพิธี 

นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟฯ เปิดเผยว่า การสร้างสะพานรถไฟแบบขึงข้ามแม่น้ำแม่กลอง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม – หนองปลาไหล โดยได้มีการสร้างสะพานรถไฟคู่ขนานกับสะพานรถไฟเดิมหรือสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้ พร้อมกับมีการออกแบบด้วยเทคนิคทางวิศวกรรมพิเศษให้โครงสร้างสะพานรถไฟใช้คานขึง ที่มีตอม่ออยู่บนฝั่งแม่น้ำทั้ง 2 ฝั่ง แทนรูปแบบเดิมที่มีตอม่อกลางแม่น้ำ เนื่องจากก่อนที่จะมีการก่อสร้างสะพานรถไฟดังกล่าว การรถไฟฯ ได้ทำการสำรวจพื้นที่แล้วพบวัตถุระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ขนาด 1,000 ปอนด์ จำนวน 7 ลูก จมอยู่ในแม่น้ำแม่กลองบริเวณใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ตรงกับแนวเขตการก่อสร้างสะพานรถไฟ หากจะก่อสร้างสะพานในรูปแบบเดิม จำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตราย ดังนั้น จึงได้ให้ผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการฯ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างสะพานรถไฟใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากวัตถุระเบิด จึงเป็นที่มาของรูปแบบการสร้างสะพานรถไฟแบบขึง (Extradosed Bridge) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “สะพานขึง”  ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอพระราชทานชื่อสะพาน 

'ทิพานัน' นำร่องพาวัยเก๋า 'เดิน ล่อง ท่องคลอง ณ จอมทอง' โชว์ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ฝั่งธน ต่อยอดและสร้างรายได้ให้ชุมชน ดัน 'ตะลิงปลิงแช่อิ่ม' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของดีกระตุ้นเศรษฐกิจเขตจอมทอง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนได้จัดโครงการ 'เดิน ล่อง ท่องคลอง ณ จอมทอง' เพื่อให้ชุมชนตระหนักและมีส่วนรวมในการอนุรักษ์คลองธรรมชาติ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม การเกษตรและวิถีชีวิตของชุมชนริมคลอง พัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในเชิงสร้างสรรค์ สร้างโอกาสและต่อยอดรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

โดยกลุ่มเป้าหมายโครงการนี้ ได้นำผู้สูงอายุ วัยเก๋า! เข้าร่วมโครงการเนื่องจาก สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพื่อเป็นไอเดียให้กับลูกหลานพาคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตายายในครอบครัวมาเที่ยวในกรุงเทพฯ แบบวันเดย์ทริป หรือวันเดียวจบ ซึ่งผู้สูงอายุจะได้ความเพลิดเพลิน และไม่เหนื่อยกับการเดินทางมากเกินไป ที่สำคัญผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีศักยภาพในการใช้จ่าย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โดยทริปนี้ได้พาคณะล่องเรือจากวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร (จอมทอง) เข้าชมวัดนางชี ซึ่งมีงานศิลปะการประดับมุกบนบานประตู หน้าต่างของญี่ปุ่นแบบนางาซากิ ผ่านวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คย่านฝั่งธนบุรี  ชม 'พระพุทธธรรมกายเทพมงคล' พระองค์ใหญ่สูงเท่าตึก 20 ชั้นจากมุมมองที่สวยที่สุด จากนั้นมนัสการพระประธานปางทรงเครื่องจักรพรรดิราชวัดนางนองราชวรวิหาร  หรือ พระพุทธมหาจักรพรรดิ แวะรับประทานอาหารกลางวันภูมิใจการ์เด้น สวนลิ้นจี่โบราณอายุกว่า 100 ปี ริมคลองบางขุนเทียน จากนั้นเดินทางกลับวัดราลโอรสารามราชวรวิหาร 

"ในการมาครั้งนี้ ได้มีสินค้าชุมชนมาออกร้านขาย ที่พร้อมผลักดันเป็นของอร่อยย่านจอมทอง เป็นสินค้าของท้องถิ่นที่จะเตรียมผลักดัน ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของเขตจอมทอง คือ 'ตะลิงปลิงแช่อิ่ม' ให้เป็นเมนูยอดนิยม สูตรพิเศษที่เฉพาะเขตจอมทองเท่านั้น   เรียกว่าอิ่มบุญ อิ่มอร่อยและสุขใจสำหรับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี" น.ส. ทิพานัน กล่าว 

ชื่นชม!! ‘พญาหงส์ อโยธยาไฟท์ยิม’ หลังเอาชนะนักชกสาวญี่ปุ่น คว้าเข็มขัดแชมป์ K-1 รุ่น 45 กก. มาครองได้สำเร็จ นับเป็นหญิงไทยคนแรกที่เป็นแชมป์ดังกล่าว

‘พญาหงส์ อโยธยาไฟท์ยิม’ หรือ จันทกานต์ มโนบาล สร้างชื่อกระหึ่มอีกครั้ง หลังเอาชนะนักชกสาวชาวญี่ปุ่น MIYUU SUGAWARA คว้าเข็มขัด แชมป์ K-1 รุ่น 45 กิโลกรัม ได้สำเร็จ บนสังเวียนที่ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นนักชกหญิงไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการดังกล่าว

สำหรับ พญาหงส์ เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มชกมวยมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นอดีตนักเรียนโรงเรียนกีฬานครราชสีมา ปัจจุบันเป็นนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ชุมพร จัดแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ 16

 วันที่ 26 มิถุนายน 2565 เวลา 06.00 น นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานการแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ร่วมกับพล.ต.ท.เทศา สิริวาโท อดี ต ผบช ภ 8 พล.ต.ท รณพงษ ทรายแก้ว อดีต รอง ผบช.ภ8 พล.ต.ต.วรรณรัตน คชรักษ อดีต ผบช.น ชาวหลังสวน  พลตำรวจตรี วิรุฬห์ สุวรรณวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร  ว่าที่ร.ต.กิตติภพ รอดดอน นายอำเภอหลังสวน นายวิชัย อนันตเมฆนายกเทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน  สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร แขกผู้มีเกียรติ และนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่ง จำวน ๕,๐๐๐ คน รวมทั้ง ๒ รายการการแข่งขัน

นายวิชัย อนันตเมฆ กล่าวว่า ในนามคณะกรรมการจัดการแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอนครั้งที่๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ การจัดกิจกรรมวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ในครั้งนี้ องค์การบริหารส่วน จังหวัดชุมพร ร่วมกับ อำเภอหลังสวน เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ โดย มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายหลีกเลี่ยงห่างไกลยาเสพติด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมการเพิ่มรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นและส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะนักวิ่งจากต่างจังหวัด ได้สัมผัสกับเส้นทางวิ่งที่แปลกไม่เหมือนที่ใดมีเส้นทางวิ่งที่โค้ง ลาดเอียง สูงชัน และพิเศษสุดคือต้องวิ่งข้ามทะเลไปยังจุดหมาย เส้นชัย ณ เกาะพิทักษ์ สำหรับกิจกรรมแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรเทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด ซึ่ง กิจกรรมในครั้งนี้ แบ่งนักวิ่งออกเป็น  ประเภท ได้แก่ ประเภทมินิมาราธอน เส้นทางวิ่งประมาณ ๑๔ กิโลเมตร จุดเริ่มต้นจากเรือจำลองจักรีนฤเบศร สู่ เกาะพิทักษ์และประเภทฟันรัน เส้นทางวิ่งประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร จุดเริ่มต้นจากศูนย์หมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๓ ตำบลบางน้ำจืด สู่ เกาะพิทักษ์ ซึ่งผู้เข้าเส้นชัยทุกคนจะได้รับเหรียญที่ระลึกวิ่ง แหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ สำหรับผู้เข้าเส้นชัย ลำดับที่ ๑ - ๑๐ ประเภทมินิมาราธอน ๑๔ กิโลเมตร และ ประเภทฟันรัน ๓.๕ กิโลเมตร จะได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศ และ รางวัลพิเศษเฉพาะนักวิ่งมินิมาราธอน รุ่นประชาชนทั่วไปทั้งชาย และหญิง รางวัลที่ ๑ ได้รับเงินสด ๕,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๒ ได้รับเงินสด ๓,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๓ ได้รับ เงินสด ๒,๐๐๐บาท รางวัลที่ ๔ ได้รับเงินสด ๑,๕๐๐ บาท และรางวัลที่ ๕ ได้รับ เงินสด ๑,๐๐๐ บาท

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอินเดีย ระบุ ยอดขายน้ำมันรัสเซียที่ป้อนแก่อินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 เท่าในช่วง 3 เดือนหลังสุด และตอนนี้คิดเป็นสัดส่วน 10% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดียแล้ว

หนังสือพิมพ์อินเดีย บิสซิเนส รายงานโดยอ้างคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า "เวลานี้พวกเขาติดท็อปเท็นซัปพลายเออร์ของเรา"

ยอดขายน้ำมันรัสเซียที่ป้อนแก่อินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 เท่าในช่วง 3 เดือนหลังสุด และตอนนี้คิดเป็นสัดส่วน 10% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดียแล้ว

มาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกกำหนดเล่นงานรัสเซีย เปิดโอกาสให้โรงกลั่นต่างๆ ของอินเดีย สั่งซื้อน้ำมันรัสเซียเพิ่มมากขึ้นในราคาที่ลดกระหน่ำ หลังจากชาติยุโรปบางประเทศปลีกตัวออกห่างจากน้ำมันดิบรัสเซีย

ก่อนหน้าความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้น น้ำมันรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนแค่ 0.2% ในปริมาณการนำเข้าทั้งหมดของอินเดีย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าแค่เพียงพฤษภาคมเดือนเดียว โรงกลั่นทั้งหลายของประเทศจัดซื้อน้ำมันดิบรัสเซียมากกว่า 25 ล้านบาร์เรล ซึ่งจากจำนวนดังกล่าว ส่งผลให้รัสเซียแซงหน้า ซาอุดีอาระเบีย กลายเป็นผู้จัดหาอุปทานน้ำมันป้อนแก่อินเดียรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 เป็นรองเพียง อิรัก เท่านั้น

อินเดีย ชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก ถูกตะวันตกกดดันอย่างหนักต่อกรณีที่พวกเขายังคงเดินหน้าจัดซื้อน้ำมันของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม นิวเดลี เพิกเฉยต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลว่าการนำเข้าเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในความจำเป็นทั้งหมดของประเทศ

ในเดือนพฤษภาคม กระทรวงพลังงานของรัสเซียระบุว่า "การจัดซื้อพลังงานจากรัสเซียยังคงคิดเป็นสัดส่วนเล็กจิ๋ว เมื่อเทียบกับการบริโภคโดยรวมของอินเดีย"

อย่างไรก็ดี รัฐบาลอินเดีย เรียกร้องให้แก้ปัญหาด้วยวิธีการทางการทูตในความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน พวกเขาไม่ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานมอสโก และแสดงจุดยืนงดออกเสียงในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในญัตติประณามปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย

การสั่งซื้อน้ำมันรัสเซียที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของอินเดีย มีขึ้นในขณะที่โลกตะวันตกกำหนดหาทางบั่นทอนแหล่งรายได้สำหรับทำสงครามของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในนั้นรวมถึงกรณีที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังอเมริกา ระบุเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ อยู่ระหว่างพูดคุยกับแคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในความพยายามหาทางจำกัดรายได้ทางพลังงานของรัสเซียเพิ่มเติม ด้วยการกำหนดเพดานราคาสำหรับน้ำมันรัสเซีย

'อรุณี' จี้รัฐเร่งแก้ค่าครองชีพ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุด หลังสินค้าอุปโภคบริโภคพาเหรดขึ้นราคา แนะยอมรับความจริงทหารบริหารประเทศไม่ได้

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมัน  ค่าไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภคปลายทางล้วนพาเหรดขึ้นราคา นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน  น้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 ปรับขึ้นแล้ว 28% ดีเซล บี 10 ปรับขึ้น 23%  ไข่ไก่ หมู แก๊สหุงต้มก็ปรับขึ้นเฉลี่ย 12-18%  รวมทั้งราคาข้าวสารถุง 5 กิโลกรัมปรับขึ้น 30 บาทหรือปรับขึ้น 18%  “ข้าวสารปรับเพิ่มขึ้นมากอย่างไม่เกรงใจชาวนา”  เพราะราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ตันละ 9,000 บาท  และปีที่ผ่านมาราคาข้าวไทยราคาตกต่ำมากที่สุดในรอบ 10 ปี  ซึ่งตรงกันข้ามกับราคาปุ๋ยที่แพง  เพราะรัฐบาลไปไม่เป็น บริหารไม่ได้ ผู้รับกรรมคือประชาชนคนไทยทุกคน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top