Saturday, 26 April 2025
ECONBIZ NEWS

ราเมศ สนับสนุน พาณิชย์ คุมเข้ม จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร ขออย่าซ้ำเติมประชาชน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สั่งการให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร ว่า

เห็นด้วยที่กระทรวงพาณิชย์โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คุมเข้มการจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร ซึ่งจากเดิมมีการเข้มงวดกวดขันอยู่แล้ว แต่ช่วงสถานการณ์ปัจจุบันเห็นด้วยที่จำต้องเข้มงวดมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ป้องกันไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบซ้ำเติมประชาชน ทั้งร้านค้าทั่วไปและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐด้วย หากอาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แสวงหากำไรเกินกว่าที่ควรได้ตามปกติ การเพิ่มราคา ก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนด้วย 

ในส่วนพี่น้องประชาชนที่ได้เกินทางกลับต่างจังหวัด ก็ต้องตรวจสอบการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย ความถูกต้องของหัวจ่ายน้ำมัน ที่จะมีผลต่อการเติมว่ามีปริมาณเต็มลิตรหรือไม่ รวมถึงผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ขาย ผู้บริการก็จะต้องติดป้ายแสดงให้เห็นถึงราคาสินค้าและค่าบริการให้ชัดเพื่อให้ประชาชนได้เห็นราคาก่อนใช้บริการ

นายราเมศ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อก้าวข้ามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ไปด้วยกันหากพบเห็นการกระทำผิด จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร หรือจำหน่ายในราคาไม่ตรงกับที่แจ้งไว้ สามารถแจ้งไปได้ที่กรมการค้าภายใน สายด่วน 1569 ตลอด 24 ชั่วโมง และแจ้งร้องเรียนได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ หากพบการกระทำความผิดก็จะมีความผิด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธ การจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

บขส. - รถไฟ เริ่มคึกคึก หลังคนทยอยเดินทางสงกรานต์

บรรยากาศการเดินทางช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 9 เมษายน 2564 นี้ หลาย พื้นที่เริ่มมีคนทยอยเดินทางออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะบริเวณสถานีขนส่ง ล่าสุด นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยตัวเลขผู้โดยสารเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า เมื่อวานนี้ (วันที่ 8 เมษายน 2564) บขส. ได้จัดรถบขส.,รถร่วม,รถตู้ (เที่ยวไป) จำนวน 3,443 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 40,017 คน ส่วนเที่ยวกลับ ได้จัดรถ บขส., รถร่วม, รถตู้ จำนวน 3,470 เที่ยว รองรับผู้โดยสาร จำนวน 31,868 คน 

ส่วนในวันที่ 9 เมษายน 2564 บขส. ประเมินว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนา ประมาณ 50,000 คน โดย บขส. ยังคงจัดรถโดยสารรองรับการเดินทางในเที่ยวไปกว่า 5,000 เที่ยว สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 100,000 คน  

ขณะที่ สถานีรถไฟ โดยบรรยากาศที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ในวันที่ 9 เม.ย. นี้ ยังคงมีผู้โดยสารทยอยเดินทางกลับหนาตาขึ้น ส่วนใหญ่เป็นขบวนรถระยะใกล้ เช่น ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี บ้านภาชี ตะพานหิน โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย จะให้บริการขบวนรถพิเศษเพิ่มเติม มีทั้งประเภทรถนอนปรับอากาศ และรถนั่งชั้น 3 ไป - กลับ รวม 16 ขบวน แบ่งเป็นเส้นทางสายเหนือ และสายตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 9 - 14 เม.ย. 2564 (เที่ยวไป 8 ขบวน) และวันที่ 10 และ 15 เม.ย. 2564 (เที่ยวกลับ 8 ขบวน) รวมทั้งยังได้มีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มจนเต็มหน่วยลากจูงในขบวนรถที่วิ่งให้บริการปกติทุกสายทั่วประเทศ ซึ่งทำให้สามารถรองรับปริมาณการเดินทางของประชาชนได้สูงสุดถึง 100,000 คนต่อวัน

รายงานข่าวจากบริษัทการบินไทย (จำกัด) มหาชนแจ้งว่า ตามที่บริษัทฯ ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อให้มีตำแหน่งงานและสายบังคับบัญชาที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดธุรกิจการบินได้ จนนำไปสู่ความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ

ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ และสามารถกลับมาประกอบกิจการได้อย่างมั่นคง เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 คณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้ประกาศผลการกลั่นกรองสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ 2564 โดยกระบวนกลั่นกรองครั้งที่ 1 มีผู้แสดงความจำนงทั้งสิ้น 13,554 คน และมีผู้ได้รับการกลั่นกรองครั้งที่ 1 จำนวนทั้งสิ้น 9,304 คน

อย่างไรก็ตามหลังจากบริษัทฯ ประกาศผลการกลั่นกรองสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ 2564 ครั้งที่ 1 แล้ว พนักงานฯ ที่แสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนกลั่นกรองสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ 2564 จะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ…

1.) กลุ่มพนักงานที่ได้รับการกลั่นกรองเข้าสู่โครงสร้างองค์กรใหม่และประสงค์จะเข้าทำงาน พนักงานไม่ต้องดำเนินการใดๆ โดยให้รอรับเอกสารที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างใหม่ในช่วงกลางเดือนเมษายน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ตามประกาศที่จะออกตามมา

2.) กลุ่มพนักงานที่ได้รับการกลั่นกรองเข้าสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ แต่ต้องการสละสิทธิ์ พนักงานสามารถแสดงความจำนงสละสิทธิ์ไม่รับตำแหน่งงาน และเข้าร่วมโครงการร่วมใจจากองค์กร MSP B หรือ MSP C ภายในวันที่ 10 เมษายน 2564 โดยระบบจะยกเลิกตำแหน่งงานโดยอัตโนมัติ

3.) พนักงานที่ไม่ได้รับการกลั่นกรองเข้าสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ หรือ ‘กลุ่มฟ้าใหม่’ จะมี 2 ทางเลือก คือ

- ทางเลือกที่ 1 สมัครโครงการ MSP B หรือ MSP C

- ทางเลือกที่ 2 แสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนกลั่นกรองสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ 2564 ครั้งที่ 2 ในระหว่างวันที่ 12 - 16 เมษายน 2564 เนื่องจาก พนักงานที่ได้รับการกลั่นกรองเข้าสู่โครงสร้างองค์กรใหม่ ครั้งที่ 1 นั้นยังไม่ครบตามจำนวนตำแหน่งงานที่กำหนด กระบวนการกลั่นกรองครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 19 - 23 เมษายน 2564 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองครั้งที่ 2 ในวันที่ 28 เมษายน 2564

เช่นเดียวกับการกลั่นกรองครั้งที่ 1 เมื่อบริษัทฯ ประกาศผลการกลั่นกรองครั้งที่ 2 พนักงานกลุ่มฟ้าใหม่ จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม...

3.1) กลุ่มฟ้าใหม่ที่แสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนกลั่นกรอง Relaunch ครั้งที่ 2 ในตำแหน่งที่ไม่มีผู้สมัครหรือมีผู้สมัคร แต่ไม่มีผู้เหมาะสม หรือตำแหน่งที่มีการสละสิทธิ์ หรือตำแหน่งใหม่ตามความต้องการของธุรกิจ หากผ่านการพิจารณากลั่นกรองจะเข้าสู่สัญญาจ้างใหม่ ข้อบังคับและข้อกำหนดสวัสดิการใหม่

3.2) กลุ่มฟ้าใหม่ที่แสดงความจำนงเข้าสู่ตำแหน่งงานชั่วคราว และได้รับการพิจารณากลั่นกรองให้เข้าสู่ตำแหน่งงานนี้ พนักงานจะเข้าสู่สัญญาจ้างใหม่ที่มีกำหนดระยะเวลา 1 ปีและเข้าสู่โครงการ MSP B หรือ MSP C เมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้าง โดยคำนวณจากอัตราเงินเดือนเดิมก่อน 1 พฤษภาคม 2564

3.3) กลุ่มฟ้าใหม่ที่แสดงความจำนงเข้าสู่กระบวนกลั่นกรอง Relaunch ครั้งที่ 2 ในตำแหน่งที่ไม่มีผู้สมัครหรือมีผู้สมัคร แต่ไม่มีผู้เหมาะสม หรือตำแหน่งที่มีการสละสิทธิ์ หรือตำแหน่งใหม่ตามความต้องการของธุรกิจ หรือตำแหน่งงานชั่วคราว แต่ประสงค์จะสละสิทธิ์ สามารถสละสิทธิ์ในตำแหน่งงานนั้นได้ และสมัครเข้าโครงการ MSP B หรือ MSP C ตามสิทธิของพนักงาน

3.4) หากพนักงานไม่ได้รับตำแหน่งในกระบวนกลั่นกรอง Relaunch ครั้งที่ 2 หรือไม่ประสงค์จะแสดงความจำนงใด ๆ พนักงานสามารถสมัครเข้าโครงการ MSP B หรือ MSP C ได้ตามสิทธิต่อไป

อย่างไรก็ตามสำหรับพนักงานที่สมัครเข้าโครงการ MSP B และ MSP C จะได้รับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์บัตรโดยสารสำหรับโครงการ MSP B และ MSP C ตามเงื่อนไขของแต่ละโครงการและจะมีระยะเวลาการจ่ายค่าตอบแทนไล่เรียงกันไปตามช่วงเวลาที่พนักงานสมัครเข้าโครงการ ส่วนกำหนดเวลาการจ่ายเงินบำเหน็จของ MSP B จะเริ่มจ่ายในเดือนมิถุนายน 2564 โดยผ่อนชำระ 4 งวด และโครงการ MSP C เริ่มจ่ายเดือนกันยายน 2564 ผ่อนชำระ 4 งวดเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างของพนักงานทั้งหมด บริษัทฯ ได้ดำเนินการและพิจารณาอย่างรอบคอบรัดกุม ภายใต้กรอบกฎหมายล้มละลาย และกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของบริษัทฯ และความเป็นธรรมต่อพนักงานอย่างที่สุด เพื่อให้การบินไทยกลับมาเป็นองค์กรที่แข่งขันได้ สามารถสร้างความภูมิใจแก่ประเทศไทยได้ในฐานะที่เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศ

นครหลวงปักกิ่งของจีนทะยานขึ้นมาเป็นเมืองที่มีจำนวนมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐมากที่สุดในโลกเพิ่มขึ้นอีก 33 คน ดันมหาเศรษฐีของเมืองเพิ่มขึ้นเป็น 100 ราย โดยเบียด นครนิวยอร์ก ที่ครองแชมป์เมืองมหาเศรษฐีพันล้านมากที่สุดในโลกติดต่อกันมาถึง 7 ปี ตกแท่นไป

โดยนิตยสารฟอร์บ ได้เผยรายงานการจัดอันดับมหาเศรษฐีพันล้านดอลล์ทั่วโลกปี 2021 ซึ่งปีนี้เมือง ‘ปักกิ่ง’ มีกลุ่มมหาเศรษฐีพันล้านเหรียญฯ หน้าใหม่ผุดขึ้นเพียบ เพราะการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และดีดตัวขึ้นจากเมืองมหาเศรษฐีพันล้าน ‘อันดับที่ 4’ มาเป็น ‘อันดับที่ 1’

นับเป็นการเบียด ‘นิวยอร์ก’ ที่ครองแชมป์เมืองมหาเศรษฐีพันล้านมากที่สุดในโลกติดต่อกันมาถึง 7 ปี ตกแท่นไปได้อย่างน่าสนใจ แม้ปีนี้นิวยอร์กจะมีมหาเศรษฐีระดับพันล้านเพิ่มขึ้น 7 คน รวมจำนวนมหาเศรษฐีของนิวยอร์ก เท่ากับ 99 รายก็ตาม

สำหรับปีนี้เมืองมหาเศรษฐีระดับพันล้านเหรียญ ที่มีจำนวนมากสุดในโลก ประกอบไปด้วย...

1.) ปักกิ่ง

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 100

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 33

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $484.3 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = จาง อีหมิง มีทรัพย์สิน $35.6 พันล้าน (ผู้ก่อตั้ง ByteDance และโซเชียลมีเดีย โต่วอิน (Douyin) หรือ ‘TiKToK’)

2.) นิวยอร์ก

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 99

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 7

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $560.5 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = มิเชล บลูมเบิร์ก มีทรัพย์สิน $59 พันล้าน (ผู้ก่อตั้ง ประธานบริหาร และเจ้าของบริษัท Bloomberg L.P. ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการทางการเงิน สื่อมวลชน และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์)

3.) ฮ่องกง

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 80

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 9

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $448.4 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = ลีกาชิง มีทรัพย์สิน $33.7 พันล้าน (นักธุรกิจใหญ่ชาวฮ่องกง นักลงทุน และนักการกุศล)

4.) มอสโค

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 79

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 9

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $420.6 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด: อเลกซี มอร์ดาชอฟ (ALEXEY MORDASHOV & FAMILY) มีทรัพย์สิน $29.1 พันล้าน (นักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เขาเป็นผู้ถือหุ้นหลักและเป็นประธานของ Severstal ซึ่งเป็นกลุ่ม บริษัท ในรัสเซียที่มีผลประโยชน์ใน บริษัท โลหะพลังงานและเหมืองแร่)

5.) เซินเจิ้น

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 68

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น24

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $415.3 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = หม่า ฮว่าเถิง มีทรัพย์สิน $65.8 พันล้าน (โพนี หม่า ผู้ก่อตั้ง ประธาน และกรรมการผู้จัดการ Tencentบริษัทด้านอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี รวมถึงกลุ่มการลงทุน, การเล่นเกม และความบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6.) เซี่ยงไฮ้

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 64

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 18

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $259.6 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = หวง เจิง มีทรัพย์สิน $55.3 พันล้าน

7.) ลอนดอน

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 63

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น7

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $316.1 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = LEN BLAVATNIK มีทรัพย์สิน $32 พันล้าน

8.) มุมไบ

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 48

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 10

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $265 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = MUKESH AMBANI มีทรัพย์สิน $84.5 พันล้าน

9.) ซานฟรานซิสโก

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 48

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 11

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $190 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = DUSTIN MOSKOVITZ มีทรัพย์สิน $17.8 พันล้าน

10.) หังโจว

จำนวนมหาเศรษฐีรวม = 47

นับจากปีที่แล้ว = เพิ่มขึ้น 21

มูลค่าสุทธิทั้งสิ้น = $269.2 พันล้าน

ผู้อาศัยในเมืองที่รวยที่สุด = จง สานส่าน มีทรัพย์สิน $68.9 พันล้าน


ที่มา: http://https://mgronline.com/china/detail/9640000033716

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยประชาชน และต้องการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่มีความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นช่วงวันหยุดยาว

ทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย จึงพัฒนากรมธรรม์ “ประกันภัยกลุ่ม 10 บาท สงกรานต์อุ่นใจ นิวนอร์มอล ซุปเปอร์พลัส” (ไมโครอินชัวรันส์) โดยเงื่อนไขการรับประกันภัย คือผู้ทำประกันภัยต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีบริบูรณ์ - 70 ปีบริบูรณ์ ถึงวันที่ทำประกันภัย ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน และผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้ถือกรมธรรม์ โดยเริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. - 31พ.ค. 2564 ประชาชนที่สนใจซื้อกรมธรรม์ประกันภัย 10 บาท สามารถร่วมกลุ่มกัน 10 คน และซื้อได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 23 แห่ง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @oicconnect

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับกรมธรรม์ดังกล่าว มีความคุ้มครองที่ 1 กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการ ถูกฆาตกรรม ลอบทำร้ายร่างกาย และอุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 1 แสนบาท

ความคุ้มครองที่ 2 กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรม ลอบทำร้ายร่างกาย และอุบัติเหตุขณะขับขี่ หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะได้รับความคุ้มครอง 5 หมื่นบาท

ความคุ้มครองที่ 3 ค่าใช้จ่ายในการจัดการงานศพกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย (ยกเว้นกรณีเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 14 วันแรก นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาประกันภัย) รวมถึงกรณีเสียชีวิตจากผลกระทบการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยคุ้มครองตั้งแต่วันแรกที่ทำประกันภัยและมีการฉีดวัคซีนหลังทำประกันภัย จะได้รับความคุ้มครอง 5,000 บาท

ความคุ้มครองที่ 4 ค่าชดเชยรายวันระหว่างการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน เนื่องจากอุบัติเหตุ รวมถึงได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันละ 300 บาท ไม่เกิน 20 วัน จะได้รับความคุ้มครองไม่เกิน 6,000 บาท ความคุ้มครองที่ 5 กรณีติดเชื้อโควิด-19 จะได้รับคุ้มครอง 3,000 บาท

“สถิติในช่วงสงกรานต์ประจำปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเข้มข้น จำนวนประชาชนเดินทางน้อยกว่าปี 2562 แต่มีสถิติอุบัติเหตุทางถนนสูงถึง 1,307 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 1,260 ราย และเสียชีวิต 167ราย และรัฐบาลตั้งเป้าลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ซึ้งการทำประกันภัยกลุ่ม 10 บาท สงกรานต์อุ่นใจ นิวนอร์มอล ซุปเปอร์พลัส” ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยได้ง่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อระบบการประกันภัยโดยรวม”

คลังเปิดยอดใช้ “เราชนะ” เงินหมุนลงเศรษฐกิจเกือบแตะ 2 แสนล้าน

กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าของโครงการเราชนะ ล่าสุดวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยจำนวนผู้ใช้สิทธิผ่านโครงการ 32.8 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยแล้วกว่า 192,930 ล้านบาท โดยประเภทที่คนใช้สิทธิมากที่สุดคือ ร้านค้าทั่วไปและอื่น ๆ รวมกันถึง 77,729 ล้านบาท รองลงมาคือ ร้านธงฟ้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านโอทอป ร้านค้าบริการ และการขนส่งสาธารณะ ซึ่งล่าสุดมีผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการรายย่อยสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.3 ล้านกิจการ

ทั้งนี้เมื่อแยกเป็นกลุ่ม พบว่า ประชาชนกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13.7 ล้านคน ได้มีการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 5 กุมพาภันธ์ 2564 เป็นต้นมา จำนวน 72,167 ล้านบาท, ประชาชนกลุ่มที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ http://www.เราชนะ .com ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 16.8 ล้านคน และมีการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2564 เป็นต้นมา จำนวน 108,818 ล้านบาท 

ส่วนสุดท้าย คือ ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว จำนวน 2.3 ล้านคน มียอดใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์สะสมตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2564 เป็นต้นมา จำนวน 11,945 ล้านบาท 

สุชาติ รมว.รง. แจงมติ ครม. เห็นชอบขยายเวลาสมัครเป็นผู้ประกันตน ม.39 ได้ถึง 30 มิ.ย. 64

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศ กระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาแสดงความจำนง เป็นผู้ประกันตน และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 พ.ศ. .... เพื่อช่วยเหลือเยียวยาภายหลังช่วงวิกฤติสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ให้ผู้ประกันตนได้มีโอกาสกลับเข้าสู่ระบบประกันสังคม และได้รับสิทธิประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยเห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เสนอให้มีการขยายระยะเวลารับสมัครผู้ประกันตน 33 ที่สิ้นสภาพแล้ว 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 หากประสงค์อยู่ในระบบประกันสังคมต่อไป สามารถแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ภายใน 30 มิถุนายน 2564 พร้อมกันนี้ 

มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังเห็นชอบให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ขยายกำหนดเวลาให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 สามารถนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนมีนาคม 2563 ถึงงวดเดือนพฤษภาคม 2564 ให้นำส่งภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 อีกด้วย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า การขยายกำหนดเวลาแสดงความจำนง เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่สิ้นสภาพ และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 ในครั้งนี้ จะช่วยรักษาสถานภาพการเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 และสิทธิความคุ้มครอง จากสำนักงานประกันสังคมตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ประมาณ 207,000 คน สำหรับขั้นตอนของการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ตนได้เร่งให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการเพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ได้ทันภายในกำหนด จึงขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจการดำเนินงานของกระทรวงแรงงานในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้ประกันตนให้ตรงจุด และทันท่วงที เพื่อสร้างสรรค์หลักประกันที่มั่นคงและเป็นที่พึ่งอยู่เคียงข้างผู้ประกันตนตลอดไป

ทิศทางส่งออกเครื่องมือแพทย์ของไทยอนาคตสดใส

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังขยายตัวด้วยดี เติบโตเฉลี่ย 9 - 10% โดยปี 63 สินค้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ส่งออกรวม 23,314 ล้านบาท และสินค้าถุงมือยางส่งออกรวม 72,680 ล้านบาท  ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และศูนย์กลางการส่งออกเครื่องมือแพทย์ ที่สำคัญการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ทำให้ผู้นำเข้าได้รับรู้ถึงศักยภาพของไทยที่พร้อมเป็นประเทศส่งออกสินค้าประเภทนี้มากขึ้น 

ทั้งนี้ กรมฯ ได้เร่งรัดแผนการส่งออกสินค้าสินค้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ เพื่อขยายตลาดการส่งออกสินค้าไทยในช่วงที่ไวรัสโควิดแพร่ระบาด โดยล่าสุดได้จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าออนไลน์สินค้าไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นสินค้าชุดป้องกันทางการแพทย์ พีพีอี และชุดเสื้อคลุม ส่วนครั้งสองเป็นกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้เพิ่มสินค้านวัตกรรมทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์ ไปด้วย โดยคาดจะมีมูลค่าซื้อขายภายใน 1 ปี 118.40 ล้านบาท  

นายสมเด็จ กล่าวว่า ทั่วโลกมีความต้องการสินค้าเครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์ชุดป้องกัน พีพีอี สินค้านวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย ผู้ที่มีความเสี่ยง หรือประชาชนทั่วไปในแต่ละประเทศทั่วโลก เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้ทันท่วงที ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่ไทยจะเร่งเข้าไปขยายตลาดส่งออกในสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น

ม.หอการค้า ประเมินผลกระทบโควิดระบาดระลอกใหม่ ทุบดัชนีเชื่อมั่น มี.ค. วูบ คาดฉุดกำลังซื้อหดหาย 3 - 5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า การระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯผ่านสถานบันเทิง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มาจากอังกฤษที่แพร่กระจายได้รวดเร็วขึ้นนั้น ส่งผลกับความมั่นใจและกำลังซื้อของประชาชนทำให้มีความวิตกกังวลต่อการใช้จ่ายและการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมองว่าจะทำให้เงินจากการบริโภคของประชาชนหายไป 5 - 10% หรือ อยู่ที่ประมาณ 30,000 - 50,000 ล้านบาทต่อเดือน

ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์ฯ ยังประเมินว่าการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่จะสามารถคลี่คลายได้ภายใน 1 - 2 เดือน ส่งผลทำให้เม็ดเงิน หายออกไปจากระบบเศรษฐกิจประมาณ 60,000 - 100,000 ล้านบาท หรือ กระทบกับจีดีพี 0.3 - 0.5% โดยยังมีปัจจัยหนุนการส่งออกที่เริ่ม ปรับตัวดีขึ้นหลังจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ในขณะที่การค้าชายแดนยังคงทำการค้าได้ จึงยังคงประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ในกรอบเดิมที่ 2.5 - 3.0% ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศและห้ามการเดินทางในประเทศเป็นสำคัญ

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนมี.ค. 2564 จากสำรวจภาคเอกชน 369 ราย ระหว่างวันที่ 23 - 29 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจทุกจังหวัดส่วนใหญ่ 94% ระบุว่าเศรษฐกิจและการค้า อยู่ในภาวะแย่ลงและไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ส่งผลต่อกิจกรรมต่าง ๆ ยังไม่กลับเท่าปี 2562 กังวลเสถียรภาพทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมือง ส่วนราคาพืชผลเกษตรดีแต่ด้วยบางพื้นที่เจอภัยแล้งผลผลิตต่ำลงจึงกระทบต่อรายได้ที่ได้รับลดลง

จุรินทร์ ปลื้มดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 2 เดือนติดกัน อานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและราคาพืชผลการเกษตรปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

วันที่ 8 เมษายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่าดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคโดยรวมในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ทุกภาค และทุกอาชีพ โดยเฉพาะในอนาคต ปรับขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง เนื่องด้วยประชาชนเชื่อมั่นในมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจและราคาพืชผลการเกษตรดีขึ้นจากมาตรการเชิงรุกของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และประชาชนมีความคาดหวัง ในแง่ดีต่อวัคซีน Covid-19

นายจุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนมีนาคม 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ ระดับ 47.5 เทียบกับระดับ 45.5 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 38.1 มาอยู่ที่ระดับ 40.2 และ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต พบว่า ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 50.4 มาอยู่ที่ระดับ 52.3

เมื่อจำแนกรายภูมิภาค พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากระดับ 46.1 มาอยู่ที่ระดับ 49.6 และภาคใต้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 47.0 มาอยู่ที่ระดับ 48.5 เมื่อจำแนกรายอาชีพ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 45.8 มาอยู่ที่ระดับ 49.3 เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว 

ส่วนกลุ่มเกษตรกรปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 46.8 มาอยู่ที่ระดับ 47.7 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคา สินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า และกลุ่มพนักงานของรัฐ ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.4 มาอยู่ที่ระดับ 52.5 ซึ่งปรับตัวมาอยู่ในระดับเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส Covid-19 น้อยที่สุด

กล่าวโดยสรุป แนวโน้มความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มมั่นใจ ที่จะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์ปัญหาร้ายแรงอื่นเพิ่มเติม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ เศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องขึ้นเป็นลำดับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top