Sunday, 11 May 2025
ECONBIZ NEWS

รมว.คลัง เล็งออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เน้นคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด - ค่าน้ำมันแพง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน ว่า รัฐบาลจะไม่เน้นการดำเนินงานในลักษณะของการเหวี่ยงแหเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินโครงการคนละครึ่ง, เราไม่ทิ้งกัน และโครงการอื่น ๆ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่จะเน้นการดำเนินมาตรการในลักษณะการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปขายปลีกที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

“เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (10 มิ.ย.) กระทรวงการคลังได้รับโจทย์จากรัฐบาล ผ่านมาทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงการหาแนวทางในการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดฯและราคาน้ำมันแพง โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และอาชีพอื่น ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ส่วนจะเป็นมาตรการใดนั้น กระทรวงการคลังจะไปหารือถึงแนวทางที่เหมาะสมต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็มีข้อจำกัดในเรื่องเงินงบประมาณที่จำเป็นจะต้องจัดทำในลักษณะของงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป ท่ามกลางกระแสความไม่เห็นด้วยของหลายฝ่าย 

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเนื่องจากมีภาระรายจ่ายประจำในรูปของเงินเดือนและเงินสวัสดิการแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่รัฐบาลก็ได้ปรับเพิ่มงบประมาณเงินทุนในปีหน้าที่ค่อนข้างสูงถึงร้อยละ 20 เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

นายอาคมยอมรับว่า เงินกู้ส่วนที่เหลือจากโครงการเงินกู้ครั้งก่อน มีไม่เพียงพอต่อการจะนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม การจะกู้เงินก้อนใหม่นั้น รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากกรอบวงเงินกู้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังได้ขยายเพดานสัดส่วนเงินกู้เอาไว้เป็นร้อยละ 70 ของจีดีพี แต่บนข้อเท็จจริงนั้น รัฐบาลจำเป็นจะต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่น ๆ ประกอบกันไป โดยเฉพาะปัญหาหนี้สาธารณะที่มีอยู่สูงมากและเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ 

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการขยายฐานภาษีไปยังกลุ่มคนและกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (e-Business) และสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจ คาดว่าจะเป็นอีกช่องทางรายได้ของรัฐที่จะเข้ามาชดเชยรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนความคืบหน้าในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายอาคม ยอมรับว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรรพากรได้ดำเนินการจนใกล้จะแล้วเสร็จและเตรียมจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีคงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันด้วย

อนึ่ง แนวทางที่กรมสรรพากรได้จัดทำเอาไว้สำหรับการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีมูลค่าตั้งแต่  1 ล้านบาทขึ้นไป โดยจะจัดเก็บภาษีในที่อัตราร้อยละ 0.1

'ทูตจีน' เยือนจันทบุรี ย้ำสัมพันธ์ไทยจีนแน่นแฟ้น ปลื้มชาวสวนทุเรียนไทยให้ความสำคัญกับมาตรการ GAP Plus เผยจีนนำเข้าทุเรียนไทยเพิ่ม 87%

'เฉลิมชัย' พอใจยอดส่งออกทุเรียนจากภาคตะวันออกของไทยไปจีน 4 เดือนปีนี้กว่า 4.3 แสนตัน ทำลายสถิติส่งออกมากกว่าปี 2564 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) แสดงความพอใจต่อรายงานการส่งออกทุเรียนจากภาคตะวันออกของไทยไปจีน ระหว่าง 1 ก.พ. – 5 มิ.ย. ปีนี้ มีปริมาณ 433,809.92 ตัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 มีปริมาณ 425,000 ตันซึ่งเป็นทำลายสถิติการส่งออกของฤดูกาลปี 2564 ซึ่งในปัจจุบันจังหวัดจันทบุรีมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนแล้ว 91% ส่งออกแล้ว 87% สำหรับมังคุดเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว 73% และส่งออกแล้ว 60%       

นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำราชอาณาจักรไทย และคณะ เดินทางศึกษาดูงานด้านการเกษตร ณ จันทบุรี ในวันที่ 10 มิถุนายน โดยมีส่วนราชการ ได้แก่ นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นายพิษณุ คล้ายเจตน์ดี ผู้ตรวจราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 นางสาววนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ และนายภานุศักดิ์ สายพาณิชย์ นายกสมาคมทุเรียนไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับ

โดยคณะได้เดินทางไปยังสวนทุเรียนรักตะวัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี จากนั้นเข้าเยี่ยมชมและหารือกับผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ ดราก้อน เฟรชฟรุ๊ต อ.มะขาม จ.จันทบุรี เพื่อรับทราบมาตรการ GMP Plus ที่มีการควบคุมดูแลผลไม้ส่งออกที่ปลอดโรคแมลงศัตรูพืชและปลอดโควิด-19 จากนั้นได้เดินทางไปยังสหกรณ์การเกษตรเขาคิชฌกูฏ อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ซึ่งถือเป็นสหกรณ์ต้นแบบที่ได้มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าแบบครบวงจร

ทั้งนี้นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า “ทุเรียนถือว่าเป็นราชาแห่งผลไม้หรือคิงออฟฟรุตที่ได้รับความชื่นชอบจากชาวจีนและชาวไทย ผมและคณะของผมก็เป็นผู้บริโภคทุเรียนของไทย การเดินทางมาดูสวนทุเรียนครั้งนี้ ในด้านนึงก็เพื่อศึกษาเรียนรู้การผลิตทุเรียน รวมถึงมาตรการต่างๆเพื่อควบคุมโควิด-19 อย่าง GAP Plus และที่สำคัญในฐานะผู้บริโภคที่ชื่นชอบทุเรียน  อยากแสดงความเคารพต่อผุ้ผลิตทุเรียน ที่ผลิตทุเรียนที่อร่อยผู้บริโภคชาวจีนจึงได้ชิมทุเรียนที่อร่อยสุดๆ 

"ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ชิมทุเรียน คือ ได้เดินทางมาประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ตอนนี้ทุเรียนไทยมีขายทั่วไปในประเทศจีน เพราะฉะนั้นผมเองก็อยากขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดจันทบุรี สมาคมทุเรียนไทย และท่านสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ชวนผมมาดูสวนทุเรียนประเทศไทย 

"จีนกับไทยเป็นประเทศฉันท์มิตร ตามคำกล่าวที่ว่า จีนไทยพี่น้องกันใช่อื่นไกล ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสองประเทศจะไปมาหาสู่กันลดลง แต่ว่าทั้งสองประเทศได้ร่วมมือร่วมใจ สนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้ความสัมพันธ์ไทยจีนแน่นแฟ้นกันมากขึ้นผ่านการต่อสู้เรื่องโควิด-19 ซึ่งระหว่างความสัมพันธ์ไทย-จีน คือการค้าขายสินค้าทางด้านเกษตร ซึ่งปีที่แล้วสินค้าเกษตรของไทยที่ส่งไปจีน มูลค่าทะลุ 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 3 แสนล้านบาท) เติบโต 33 % มีสินค้าทุเรียนที่ส่งไปจีนมูลค่า 5,430 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1.6 แสนล้านบาท) เติบโต 87% 

"ตั้งแต่มีโควิดขึ้นมาพวกเราก็มีมาตรการต่างๆเพื่อป้องกัน และฝ่ายจีนก็ใช้มาตรการต่างๆเพื่อส่งเสริมการส่งออกทุเรียนไทยไปยังจีน ยกตัวอย่างเช่น มนฑลกว่างสี ในเรื่องการการอำนวยความสะดวกส่งผลไม้ไทยไปจีน ก็ได้ขยายเวลาทำการจากวันละ 8 ชั่วโมง เป็นวันละ 10 ชั่วโมง และจากทำการจากอาทิตย์ละ 5 วัน เป็นอาทิตย์ละ 7 วัน 

"ผมได้ยินว่าปีนี้ประเทศไทยมีทุเรียนออกมาเยอะมาก แต่ผมก็มั่นใจว่าการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนจะประสบความสำเร็จ ในเรื่องของการขนส่งก็ได้มีการเปิดรถไฟลาว-จีน เชื่อว่าอนาคตประเทศไทยจะส่งสินค้าไปยังประเทศจีนได้ทางรถไฟอีกทาง ตอนนี้จีนกับไทยก็ผลักดันการสร้างรถไฟไทย-จีน อนาคตจะมีการขนส่งสะดวกขึ้นเพื่อส่งสินค้าของไทยไปจีนมากขึ้น 

"ทาง นายกสมาคมทุเรียนไทยบอกผมว่าจะมีการปลูกต้นทุเรียนร่วมกัน ซึ่งผมเชื่อว่าสินค้าเกษตรโดยเฉพาะทุเรียน เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ของไทย-จีน ผมเองก็หวังว่าต้นทุเรียนที่เราได้ร่วมปลูกกันจะเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ ที่ได้มีร่วมกัน"

นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้รับทราบถึงมาตรการนำเข้าสินค้าของประเทศจีนที่ต้องการให้เป็น Zero Covid จึงได้ดำเนินมาตรการคุมเข้มและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างมาตรฐานการส่งออกผลไม้ที่ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการในสวน โรงคัดบรรจุ และการขนส่ง รวมทั้งได้มีการเพิ่มมาตรการของเกษตรกร จากมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับทุเรียน (GAP) เป็น GAP Plus โดยเพิ่มเติมเรื่องการควบคุมและเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 ในสวน เพื่อลดเชื้อและการปนเปื้อนในผลผลิต สำหรับโรงคัดบรรจุจะเพิ่มมาตรการจากหลักเกณฑ์ในการจัดการขั้นตอนพื้นฐานของกระบวนการผลิต (GMP) เป็น GMP Plus โดยจัดทำมาตรการความปลอดภัยในโรงคัดบรรจุ (Covid Free Setting) และมาตรฐานความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ในผลไม้

ขณะเดียวกัน จังหวัดจันทบุรีได้ตระหนักและมีการติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 ในผลไม้ส่งออกไปจีน จึงได้มีการวางมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น ได้แก่ การตรวจ ATK แก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงคัดบรรจุเป็นประจำ การจัด Big Cleaning เพื่อทำความสะอาดโรงคัดบรรจุ และการฉีดพ่นน้ำยาก่อนการบรรจุและก่อนการขนส่งจนสินค้าที่ส่งออกเป็นที่ยอมรับ และมีการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าเข้าประเทศจีนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

'จุรินทร์' เบรกขึ้นราคา 'บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป' ยึด 'วิน-วิน โมเดล' ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้

‘จุรินทร์’ ยังไม่อนุญาตให้ปรับราคา ‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ รับสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำต้นทุนพุ่ง แต่ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาไว้ให้นานที่สุด ยึดวิน-วิน โมเดล ให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้

นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ขอปรับขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือมาม่า ว่า ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่อนุญาตให้ปรับขึ้นราคา แม้ว่าจะมีการร้องขอปรับราคามาหลายเดือนแล้ว โดยปัจจุบันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายซองละ 6 บาท ซึ่งการปรับราคาก่อนหน้านี้เป็นการปรับราคาจากการบริหารจัดการภายในเป็นทอดๆ เช่น จากโรงงานไประบบค้าส่งไประบบค้าปลีก เป็นต้น แต่ปลายทางยังราคาซองละ 6 บาท สำหรับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพื้นฐานทั่วไป

จับโป๊ะ 'Do Kwon' โอนเงินหนีเดือนละ 80 ล้านเหรียญ ก่อน 'LUNA - UST' ล่มสลายเพียงไม่กี่เดือน

แม้การเสียชีวิตของนักลงทุนกว่า 22 คน ที่ตัดสินใจจบชีวิตของตนเองหลังเหรียญ LUNA ราคาร่วงลงเข้าใกล้ 0 ดอลลาร์ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อนักลงทุนในวงการคริปโต จนทำให้ 'โด ควอน' (Do Keon) หนุ่มเกาหลีใต้ผู้ก่อตั้ง Terraform Labs ที่สร้างเหรียญ Stablecoin อย่าง LUNA และ TerraUSD (UST) ต้องออกมาทวีตว่า ตัวเขาหัวใจสลายที่เหรียญที่สร้างมาไม่มีค่าแล้ว และประกาศกร้าวที่จะฟื้นฟูระบบนิเวศ Terra จากการล่มสลายขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน

ทว่า บรรดาผู้ที่ยังภักดีกับ LUNA อาจจะต้องใจสลายอีกครั้ง เมื่อล่าสุดรายงานจาก Naver และ JTBC สื่อท้องถิ่นประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า โด ควอน (Do Kwon) ได้โอนเงิน 2,700 ล้าน ออกจากบริษัททุกเดือน ก่อน LUNA และ UST จะล่มสลาย

Naver เผยว่า Terraform Labs ของโด ควอน ได้มีการโอนเงินออกจากกองทุนของบริษัท 'ทุกเดือน' คิดเป็นมูลค่าราว 100,000 ล้านวอน (80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 2,700 ล้านบาท ไปยังบัญชีที่แตกต่างกัน และบันทึกรายการนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของ Operating Expenses หรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ

โดยผู้ที่มาเปิดเผยข้อมูลชุดนี้ เป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทของโด ควอน ซึ่งระบุว่า การกระทำดังกล่าวเพิ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ LUNA และ UST ล่มสลายเพียงไม่กี่เดือน ขณะที่สำนักข่าวท้องถิ่น ‘JTBC’ ระบุเพิ่มเติมว่า เงินดังกล่าวได้ถูกโอนไปยังวอลเล็ตคริปโตอื่นๆ และเป็นการกระทำด้วยตัวโด ควอนเอง โดยไม่ได้รับอนุมัติจากบริษัทแต่อย่างใด

มารู้จัก 'SMILES Strategy' ยุทธศาสตร์แห่งรอยยิ้มกันเถอะ!!

เมื่อไม่นานมานี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบเพื่อกรอบแนวทางในการระดมสมองในโครงการ Thailand Tourism Congress 2022 ณ จ.ภูเก็ต เวทีแห่งการมีส่วนร่วมเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างอนาคตการท่องเที่ยวไทย ประกอบด้วย

S - Sustainability ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งเรื่องการใช้พลังงาน Carbon Footprint ไปจนถึง Food Waste

M - Manpower ให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ทางด้านการท่องเที่ยว ที่มีทักษะในระดับนานาชาติ แต่รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างมีเสน่ห์

I - Inclusive Economy ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมกับคนทุกเพศ ทุกวัย เด็ก คนชรา รวมถึงออกแบบสถานที่การท่องเที่ยวให้ตอบสนองทุกกลุ่มคน และสร้างโอกาสในการทำงานด้านการท่องเที่ยวให้กับผู้ด้อยโอกาส

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม สหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติที่ภูเก็ต

(9 มิ.ย. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งน่ายินดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th ISU Congress) ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 เชื่อมั่นว่าจะเป็นโอกาสแสดงศักยภาพด้านการจัดประชุมนานาชาติ รวมทั้งผลักดันการท่องเที่ยวไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมนำเสนอความเป็นไทย การเป็นเจ้าภาพที่ดีเพื่อเปิดรับโอกาสในการจัดกิจกรรมและการประชุมระดับนานาชาติในอนาคต

นายธนกร กล่าวว่า ภายหลังรัฐบาลได้ปรับมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์โลก ประเทศไทยก็กลับมาสู่กระแสการท่องเที่ยว การกีฬา และการจัดการประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสหพันธ์สเก็ตน้ำแข็งนานาชาติ ครั้งที่ 58 (The 58th Congress of the International Skating Union (ISU) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมฮิลตัน ภูเก็ต อาร์คาเดีย รีสอร์ต แอนด์ สปา จังหวัดภูเก็ต ภายใต้แนวคิดต้นแบบการประชุมรักษ์โลก (Green Meeting) 

'อุตตม' ชี้!! เร่งฟื้นท่องเที่ยว รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม'

อุตตม โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้เร่งฟื้นภาคท่องเที่ยวสร้างรายได้ประเทศรองรับแรงกระแทกจากปัญหาเศรษฐกิจรอบด้าน แนะรัฐบาลต้องมีความพร้อม 3 ด้าน ทั้งการสร้างความได้เปรียบประเทศคู่แข่ง การช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ใช้โอกาสนี้เร่งสร้างรายได้ชดเชยความเสียหายจากโควิด และส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
 
นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กส์ ระบุว่า หลังจากที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเมื่อ 1  มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนเชื่อว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวต่างก็รู้สึกกลับมามีความหวังอีกครั้ง ซึ่งตนก็รู้สึกเช่นนั้น และยังคิดหวังต่อไปอีกว่า หากเราสามารถพลิกฟื้นการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว จะส่งผลดีต่อประเทศในแง่แหล่งรายได้ ที่มาช่วยดูดซับแรงกระแทกจากปัญหานานับประการที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และที่สำคัญจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันของผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม เป็นโอกาสให้พวกเขาฟื้นฟูกิจการและกลับมาเข้มแข็งได้อีก


 
อย่างไรก็ตาม การจะพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนนั้น รัฐบาลต้องมี '3 พร้อม' ประกอบด้วย
 
1.พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งเสริมสร้างให้เกิดความได้เปรียบเหนือประเทศคู่แข่งในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
 
2.พร้อมช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ ให้เข้มแข็งสามารถฟื้นฟูกิจการ และใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างรายได้โดยเร็ว

3.พร้อมสนับสนุนและลงทุน เพื่อขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวโดยเร็ว

“เราต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กระทบผู้ประกอบการอย่างรุนแรง นอกจากรายได้จะหายไปแล้ว ทุนที่มีอยู่ก็ถูกนำมาใช้จนร่อยหรอแทบหมดลง ผมเสนอว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยว ต้องร่วมกันจัดหามาตรการที่ถือเป็นมาตรการพิเศษ มาช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินทุนได้อย่างเพียงพอโดยรวดเร็ว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้โอกาสที่การท่องเที่ยวมีสัญญาณพลิกฟื้นได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งบรรเทาปัญหาหนี้สินก่อนที่จะทรุดหนักไปมากกว่านี้”

นายอุตตม ระบุอีกว่า การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเกิดการลงทุนใหม่ ซึ่งจากการที่ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการเอกชนหลายรายในพื้นที่การท่องเที่ยวต่างๆของประเทศ พบว่า ผู้ประกอบการต้องการลงทุน แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจที่ยังมีความท้าทายและความเสี่ยงมากเช่นนี้ มองว่ารัฐบาลสมควรพิจารณามาตรการที่จะส่งเสริมจูงใจให้เอกชนลงทุน พร้อมทั้งสื่อสารให้ผู้ประกอบการทราบอย่างชัดเจน เช่น แผนการลงทุนที่เกื้อหนุนภาคการท่องเที่ยวในทันที การช่วยผู้ประกอบการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรในภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพิจาณาสิทธิประโยชน์เป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้นและจูงใจให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนในรูปแบบใดบ้าง เป็นต้น

ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการในเรื่องเหล่านี้และอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องได้รวดเร็ว ก็จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนเดินหน้าลงทุน ทั้งกลุ่มผู้ลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศ

‘นายกฯ’ เร่งปลูกข้าวบาสมาติป้อนตลาดซาอุฯ ต่อยอดสัมพันธ์สินค้าเกษตร ‘ไทย-ซาอุฯ’

(8 มิ.ย.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือทางด้านสินค้าเกษตร ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย ให้มีความก้าวหน้า มีพัฒนาการอย่างเป็นรูปธรรม หลังกรมการข้าวเตรียมต่อยอดจากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางไปซาอุดีอาระเบีย และเห็นถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทางด้านการเกษตร 

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทยและซาอุดีฯ เดินหน้าขยายความร่วมมือด้านการเกษตร ชลประทาน ปศุสัตว์และประมง, ฮาลาล, อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีเกษตร โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกรมการข้าว ครั้งที่ 6 ประจำปีงบประมาณ 2565 เพราะเห็นถึงโอกาสของข้าวไทยจากสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ที่ประเทศไทยมีความมั่นคงและสามารถรับมือได้น่าพอใจ ได้รับผลกระทบขาดแคลนอาหารน้อย จึงเป็นโอกาสของไทย ที่จะขับเคลื่อนนโยบายตอบโจทย์ความต้องการ นอกจากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันศึกษาหาช่องทางปลูกข้าวบาสมาติ ที่ไทยเคยปลูกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพื่อขยายตลาดของไทยในซาอุดีฯ ที่มีความต้องการข้าว 30 ล้านตัน เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรมการปลูกข้าวให้มากขึ้น และเสริมศักยภาพด้านการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลกให้มีอำนาจต่อรองยิ่งขึ้น 

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงาน พร้อมขอบคุณทุกฝ่ายที่ดำเนินงานเพื่อประโยชน์กับประเทศ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย และซาอุดีฯ โดยเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถของคนไทยประสบการณ์ที่สืบทอดภูมิปัญญาการปลูกข้าวมาอย่างยาวนาน และยินดีที่สถานการณ์ส่งออกข้าวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้น 48.5% อยู่ที่ 1.76 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 5 ปี เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก โดยตั้งเป้าส่งออกข้าวในปีนี้รวมกว่า 7 ล้านตัน

บอร์ดเกลือลงพื้นที่นาเกลือภาคตะวันออกส่งเสริมชาวสวนผลไม้ใช้ขี้แดดนาเกลือแก้ปัญหาปุ๋ยแพง จับมือศูนย์ AIC เร่งแปรรูปสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกลือทะเล พร้อมมอบ GAP นาเกลือรายแรกของจันทบุรี

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทยเปิดเผยวันนี้ภายหลังประชุมคณะกรรมการเกลือทะเลไทย โดยมีนายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนวนิตย์ พลเคน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายชาญยุทธ์ ภาณุทัต ที่ปรึกษากรมส่งเสริมการเกษตร นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดจันทบุรีว่า ที่ประชุมบอร์ดเกลือรับทราบ 

(1) แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เกลือทะเลไทย โดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี พบว่า สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดจันทบุรี ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอท่าใหม่ และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ได้ดำเนินการพัฒนากลุ่มเกษตรกรเกลือทะเล อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี โดยส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตดอกเกลือและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ขัดหน้า ขัดผิว แช่ผิว แช่เท้า และสบู่ เป็นต้น รวมทั้งสร้างแบรนด์ให้กลุ่มเกษตรกรและผลิตภัณฑ์จากเกลือทะเลเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับเกษตรกรชาวนาเกลือ

(2) การนำเสนองานวิจัย นวัตกรรม การดำเนินกิจกรรมทางเกลือทะเลไทย โดยศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม AIC จังหวัดฉะเชิงเทรา รายงานผลการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเกษตรกรชาวนาเกลือทะเล ได้แก่ การสร้างรายได้เสริมให้กับชาวนาเกลือ การส่งเสริมการทำแผนธุรกิจผลิตภัณฑ์ขี้แดดนาเกลือและแนวทางการส่งเสริมการตลาด การจัดการคนและข้อมูล การพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบเกลือในภาคตะวันออก การบริหารจัดการเชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้านเกษตรอินทรีย์ การใช้ประโยชน์ของขี้แดดนาเกลือ และการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการยกระดับการบริหารจัดการ 

(3) ผลการดำเนินกิจกรรมการทำนาเกลือทะเลภายในจังหวัดจันทบุรี และการใช้ผลผลิตเกลือทะเลในการพัฒนากิจกรรมทางการเกษตร (ไม้ผล) โดย เกษตรจังหวัดจันทบุรี รายงานว่าจังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่อยู่ในตำบลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เกษตรกรชาวนาเกลือได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรแล้วทั้งหมด จำนวน 9 ราย พื้นที่ 229 ไร่ ปริมาณเกลือทะเลที่ผลิตได้เฉลี่ยประมาณ 2,589 ตัน/ปี สร้างมูลค่าได้ปีละ 9.98 ล้านบาท 

โดยผลผลิตเกลือทะเลที่ได้นำไปใช้บริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายให้กับกลุ่มต่างๆ ได้แก่ ผู้บริโภคทั่วไป ผู้แปรรูป เกษตรกรผู้ทำนากุ้ง เกษตรกรชาวสวนผลไม้ และผู้เลี้ยงปศุสัตว์สำหรับผสมอาหารสัตว์ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่ายการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ตลอดจนการฝึกปฏิบัติ และตรวจประเมินความพร้อมเข้าสู่มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ทางเกลือทะเล ให้แก่เกษตรกรชาวนาเกลือทะเล จำนวน 10 ราย ส่งผลให้มีเกษตรกรได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับการทำนาเกลือทะเล (มกษ. 9055-2562) เป็นรายแรกของจังหวัดจันทบุรี

‘ออมสิน-ทิพย-บางจาก’ จับมือตั้งบริษัทร่วมทุน ลุยธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก ดอกเบี้ยต่ำ

‘ออมสิน-ทิพย-บางจาก’ จับมือตั้งบริษัทร่วมทุน ลุยธุรกิจขายฝากที่ดิน ดอกเบี้ยต่ำ 8-9% หวังช่วยกดดบ.ในตลาด

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ ธนาคารออมสิน จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมทุนธุรกิจสินเชื่อที่ดินและขายฝาก กับ บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดตั้งบริษัทขึ้นมาทำธุรกิจสินเชื่อที่ดินโดยตรง ซึ่งเบื้องต้นมีการระดมทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท มีธนาคารออมสินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 49% ส่วนที่เหลืออีก 51% เป็นการร่วมทุนของบางจาก และทิพย กรุ๊ป จากนั้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ไม่ได้เข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่น โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการ ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยที่เป็นธรรม โดยในช่วงแรกจะเริ่มเข้าไปแข่งขันในสินเชื่อที่ดินและขายฝากก่อน เพราะที่ผ่านมามีการคิดดอกเบี้ยสูงมาก จึงจะเข้าไปแข่งทำให้ดอกเบี้ยตลาดลดลงตามนโยบายของรัฐบาล โดยเบื้องต้นจะคิดดอกเบี้ยประมาณ 8-9% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยในตลาดที่เก็บสูงถึง 15-30% และในระยะต่อไปบริษัทมีแผนเข้าไปประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคลอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top