Friday, 6 June 2025
CRIMES

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5หรือ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคนสัญชาติไทย ขับรถยนต์ขนคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 18 คน หวังเข้าพื้นที่ตอนใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                    

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว สว.ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมแถลงข่าว ดังนี้…

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวัชรพงศ์ สัญชาติไทย พร้อมของกลาง รถกระบะสีขาว ทะเบียน แพร่ (ป้ายแดง) ซึ่งใช้บรรทุกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คนส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหานายวัชรพงศ์ว่า “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ เสพ และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เป็นผู้ขับขี่รถเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ทำให้เสียทรัพย์ และฝ่าฝืนเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในจังหวัดตากโดยไม่ได้รับอนุญาต” และกล่าวหาคนต่างด้าวว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก และฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตาก เรื่องมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)”  เหตุเกิดบริเวณริมถนนพหลโยธิน กม.538-539 หมู่ 1 ตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก

พฤติการณ์ก่อนจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย  โดยใช้รถยนต์ในการขนคนต่างด้าวจากเขตติดต่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ กับ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปยังพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 01.30 น. พบรถกระบะต้องสงสัยขับมาตามถนนพหลโยธิน หมู่ 7 ตำบลเถินบุรี อำเภอเถินบุรี จังหวัดลำปาง มุ่งหน้าไปทาง จังหวัดตาก จึงได้ขับรถยนต์ติดตามและสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเรียกให้จอดรถ เมื่อรถดังกล่าวจอดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถยนต์ส่วนตัว จอดขวางบริเวณด้านหน้ารถและได้นำรถยนต์อีกคันจอดขนาบข้างด้านขวา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะลงจากรถเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่านายวัชรพงศ์ (ทราบชื่อภายหลังจับกุม) พยายามจะหลบหนีและได้ขับรถชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคันเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จากนั้นได้ขับขี่หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คน อยู่ภายในรถ จึงได้จับกุมตัวนายวัชรพงศ์ ซึ่งเป็นคนขับ พร้อมคนต่างด้าวส่งดำเนินคดี

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5หรือ กก.สส.บก.ตม.5 และด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคนต่างด้าวสัญชาติลาว หลังให้การช่วยเหลือคนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง 7 คน เตรียมข้ามไป สปป.ลาว

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด  

                  

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.มนุวัฒน์ กอสนาน ผกก.ด่าน ตม.เชียงแสน ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายพันฯ คนต่างด้าวสัญชาติลาว พร้อมกับนายจางเสวี่ย  คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง กับพวกจำนวน 4 คน และร่วมกันจับกุมตัวนายลีเจิ่น คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมือง กับพวกรวม 3 คน ส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า นายพัน ว่า

“ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม ไม่เดินเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางฯ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติจีนว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อฯ และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” เหตุเกิด บริเวณช่องทางธรรมชาติบ้านสบรวก และโรงแรมแสนโชคการ์เด้นโฮม ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 

สำหรับพฤติการณ์ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติจีนเข้าพักในโรงแรมแสนโชคการ์เด้นโฮมเพื่อเตรียมตัวหนีออกนอกราชอาณาจักรไป สปป.ลาว จึงรีบไปตรวจสอบโดยแบ่งกำลังเป็นสองชุด โดยให้อีกชุดไปลาดตระเวนบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบพบนายลีเจิ่นฯ คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมืองกับพวกอีก 3 คน พักอาศัยอยู่ในโรงแรม จึงได้จับกุมตัวไว้ และจากการลาดตระเวนยังพบนายจางเสวี่ย คนต่างด้าวสัญชาติจีนหลบหนีเข้าเมืองกับพวกรวม 4 ราย กำลังจะลงเรือยาวสัญชาติ โดยมีนายพัน คอยดูต้นทาง จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่คนขับเรือสัญชาติลาวได้ออกเรือหลบหนีไป จึงได้จับกุมตัวคนต่างด้าวสัญชาติจีนทั้ง 7 คน และคนสัญชาติลาว 1 คน ส่ง พงส.สภ.เชียงแสน ดำเนินคดี

จากการขยายผลพบว่ามีเครือข่ายคนสัญชาติไทยคือ นายโอม เป็นผู้เช่ารถยนต์และให้บุคคลอื่นขับนำคนต่างด้าวสัญชาติจีนมาเข้าพักในโรงแรมดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่ง พงส.สภ.เชียงแสน และ พงส.ฯ ได้แจ้งข้อหานายโอม แล้วว่ากระทำความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม” ส่วนผู้ร่วมกระทำผิดอื่นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีตามกฎหมาย

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่  507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 

 

‘ตม.-ระนอง’ รวบยกแก๊งขบวนการปลอมหนังสือเดินทาง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด        

            

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้...

คดีจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางและนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ร่วมกับ จนท.ทหาร ชุด ร้อย ร.2521 (จุดตรวจศิลาสลัก จปร.) ตั้งจุดตรวจจุดสกัดกั้นตรวจพบ นายไวเมียว อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา ขับขี่รถยนต์กระบะทะเบียนชุมพร บรรทุก นายเนคา อายุ 15 ปี สัญชาติเมียนมา และนายโจเซลา อายุ 16 ปี สัญชาติเมียนมา จากการตรวจสอบพบว่าหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม ที่นำมาแสดงเป็นหนังสือเดินทางปลอม จึงจับกุมตัวและสืบสวนขยายผลการจับกุม ทราบว่าหนังสือเดินทางดังกล่าวได้รับมอบมาจาก นายอาวปาย อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมา จึงได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านพัก นายอาวปาย หมู่ 4 ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง พบหนังสือเดินทางปลอม เพิ่มอีกจำนวน 4 จึงจับกุมตัวนายอายปาย ข้อหา

“มีหนังสือเดินทางปลอมไว้เพื่อจำหน่าย” และสืบสวนขยายผลการจับกุม เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านใน หมู่10 ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง จับกุม นางเลเลข่าย อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา ข้อหา “รู้ว่าเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือให้คนต่างด้าวนั้นรอดพ้นการจับกุม” และได้สืบสวนขยายผลกระทั้งสามารถออกหมายจับและจับกุมตัว นายสมศักดิ์ ข้อหา “ทำหนังสือเดินทางปลอม”    

การสืบสวนขยายผลการจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง มีรายละเอียด ดังนี้...

นายเนคา และ นายโจเซลา สัญชาติเมียนมา ต้องการเดินทางไปหาแม่ที่ จว.สุราษฎร์ธานี ได้ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายทางช่องทางธรรมชาติ และไปเข้าพักอาศัย หลบซ่อนอยู่กับ นางเลเลข่าย สัญชาติ

เมียนมา (น้าสาว) ที่บ้านหมู่ 10 ตำบลปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง จากนั้น นางเลเลข่าย ติดต่อว่าจ้าง นางมะแง่หรือโชสุ นายหน้าชาวเมียนมา ให้ดำเนินการช่วยเหลือลักลอบนำพา ขนส่ง เคลื่อนย้ายไปยัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ค่าจ้าง 11,000 บาท/คน นางมะแง่หรือโชสุ จึงให้นางเลเลข่าย ถ่ายรูป นายเนคา และ นายโจเซลา ส่งไปให้ทางเฟซบุ๊ก ชื่อ Tanon Non จากนั้น นางมะแง่หรือโชสุ ได้ส่งรูปภาพต่อไปให้นายอาวปาย ซึ่งนายอาวปาย ได้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Just You ส่งรูปภาพ นายเนคา นายโจเซลา และคนต่างด้าวอื่นๆ ไปให้นายสมศักดิ์ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Ko Soe Soe เพื่อดำเนินการทำหนังสือเดินทางปลอม นายสมศักดิ์ ได้นำหนังสือเดินทางปลอม จำนวน 6 เล่ม มามอบให้กับนายไวเมียว สัญชาติเมียนมาที่ กม.13 (บ้านจันทร์ทึง ตำบลวังใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร) เพื่อนำไปส่งต่อให้กับนายอาวปาย (ผู้ว่าจ้าง) ที่บ้านหมู่ 4 ตำบล จ.ป.ร. อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ต่อมาวันนายอาวปาย ได้ว่าจ้างให้นายไวเมียว ให้นำพาขนส่งนายเนคา และนายโจเซลา ไปส่งยังสถานี บขส.จังหวัดชุมพร โดยได้มอบหนังสือเดินทางปลอม จำนวน 2 เล่ม ให้นายไวเมียว นำไปมอบให้ นายนายเนคา และ นายโจเซลา เก็บไว้กับตัวเพื่อใช้แสดงกับพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อถูกเรียกตรวจสอบระหว่างการเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ถูก จนท.ชุดจับกุม ตรวจสอบพบว่าเป็นหนังสือเดินทางปลอม จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางครั้งนี้ทั้งขบวนการกลุ่มเครือข่าย ขบวนการปลอมแปลงหนังสือเดินทางของนายอาวปาย อายุ 30 ปี สัญชาติเมียนมา มีผู้ร่วมขบวนการเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมาทุกคน

โดยเข้ามาอยู่อาศัยและได้รับอนุญาตให้ทำงานเป็นกรณีพิเศษ ประเภทกรรมกร การเกษตรและปศุสัตว์ (ในพื้นที่ จังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร) นายไวเมียว ยังให้การยอมรับว่า หลังจากมีใบอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ ได้หันรับจ้างบริการนำพาคนต่างด้าวเดิน-ทางไปกลับ จังหวัดระนอง-จังหวัดชุมพร อยู่หลายครั้ง นอกเหนือจากการกรีดยางพารา ซึ่งที่ผ่านมาในการลักลอบนำพา ขนส่ง เคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน ต้องอาศัยความชำนาญเส้นทาง รู้เส้นทางรอง เส้นทางหลบเลี่ยงด่านตรวจ จุดตรวจจุดสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากเครือข่าย ขบวนการกลุ่มนี้เป็นบุคคลต่างด้าวทั้งหมด ไม่ชำนาญเส้นทางในการลักลอบนำพา จึงใช้วิธีการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง เพื่อให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย นำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจจุดสกัดระหว่างการเดินทางเมื่อถูกเรียกตรวจสอบ โดยในครั้งนี้คิดว่าเจ้าหน้าที่คงไม่สามารถตรวจสอบหนังสือเดินทางปลอมได้จึงได้รับงาน และถูกจับกุมตัว

สรุปผลการปฏิบัติในการบูรณาการทลายในเครือข่ายนี้ สามารถออกหมายจับผู้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองได้ จับกุมได้จำนวน 1 คน และแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จำนวน 1 คน และสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติเมียนมาได้ จำนวน 6 คน

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘ตม.-สตูล’ จับกุมเครือข่ายลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด    

                

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ยศพร มาศรีนวล รอง ผกก.ตม.จว.สตูล พร้อมด้วย ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง กุลนิดา ศุภสิทธิกุลชัย สว.ตม.จว.สตูล ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้...

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้ดูแลโรงแรมแห่งหนึ่งว่า มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 6 คน เข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละงู, หน่วยงานความมั่นคง, เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข ควบคุมตัวคนต่างด้าวทั้งหมดไปกักตัว ณ สถานกักตัว Local Quarantine ตามมาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19

จากนั้นจึงได้สอบปากคำคนต่างด้าว ทราบว่าคนต่างด้าวทั้งหมดเดินทาง เข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ บริเวณเกาะสอง จ.ระนอง ต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยมีรถกระบะมารับคนต่างด้าวทั้งหมดที่ บริเวณสวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และเดินทางมาถึง อ.ละงู จ.สตูล โดยมีคนไทยซึ่งเป็นผู้นำพาคนต่างด้าวทั้งหมดเข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิดทราบว่า มีรถยนต์สองคันนำพาคนต่างด้าวเข้าพักโดยรถคันแรกขับนำทางเข้ามายังโรงแรม โดยมี นายหมัดยอหนน อายุ 62 ปีเป็นผู้ขับขี่ และเป็นผู้ดำเนินการเปิดห้องพักให้คนต่างด้าวเข้าพัก 

ส่วนคนต่างด้าวทั้งหมดและคนขับรถยนต์คันที่สองอยู่ในรถ และไม่ได้ลงจากรถแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงนำภาพทะเบียนรถที่ได้ไปตรวจสอบหาผู้ครอบครองและทราบว่ารถยนต์คันที่สองเป็นรถของนายหมาดเหยด อายุ 62 ปี มีถิ่นที่อยู่ในพื้น จ.ระนอง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลโดยสอบปากคำนายหมาดเหยดฯ ให้การว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของตนจริง แต่ได้มอบให้นายสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นลูกเขยของตนไว้ใช้งานมาประมาณ 3 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำภาพนายสุรศักดิ์ฯ มาให้คนต่างด้าวทั้งหมดชี้ตัว โดยทั้งหมดยืนยันว่านายสุรศักดิ์ เป็นผู้ขับรถกระบะคนดังกล่าวไปรับตนที่สวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และนำพาพวกตนเดินทางมายัง อ.ละงู จ.สตูล จริง เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับนายสุรศักดิ์ฯ ที่ จ.107/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าว เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย”

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัว นายหมัดยอหนนฯ ให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมทั้งรับทราบข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่สภ.ราชกรูด จ.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สภ.ละงู จับกุมตัวนาย สุรศักดิ์ฯ พร้อมนำรถยนต์ของกลางที่ใช้ในการก่อเหตุ นำส่ง พงส.สภ.ละงู จากการสอบสวนนายสุรศักดิ์เพิ่มเติม นายสุรศักดิ์ฯ ให้การซักทอด น.ส.ไซด้า หรือดา สัญชาติเมียนมา ว่าเป็นผู้จ้างวานตน โดยคิดค่าจ้างเป็นเงิน 5,000 บาทต่อคน และจ่ายเงินมัดจำ 10,000 บาทก่อน ส่วนอีก 10,000 บาท ที่เหลือจะให้เมื่องานสำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับ น.ส.ไซด้าฯ จาก ที่ จ.109/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.ไซด้า หรือดา มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สรุปผลการปฏิบัติในการบูรณาการทลายในเครือข่ายนี้ สามารถออกหมายจับผู้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองได้ จับกุมได้จำนวน 1 คน และแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จำนวน 1 คน และสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติเมียนมา ได้ จำนวน 6 คน

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

คุมตัวมือจี้ธนาคารเชียงของทำแผน หลังมอบตัวเช้ามืดและออกหมายจับวันเดียว

ตำรวจเชียงของ นำตัวผู้จัดการฝ่ายชายรถยนต์ มือจี้ชิงทรัพย์ ธนาคาร ในห้าง อ.เชียงของ มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพหลังทนแรงกดันไม่ไหวมอบตัวแล้วหลังถูกออกหมายจับเพียง 1 วัน

เวลา 09.45 น.วันที่ 17 มิ.ย. 64 ที่ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาเชียงของ จ.เชียงราย  พ.ต.อ.ชัยยุทธ ฉิมพลี ผกก.สภ.เชียงของ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เชียงของ นำตัว นายอุทิศ เสกสันติสกุล อายุ 32 ปี ชาว ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพการจี้ชิงเงินสดที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาโลตัสเชียงของ  หลังจากเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น.ที่ผ่านมา  โดยมีประชาชนพากันมามุงดูดเป็นจำนวนมาก

โดยช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.ชัยยุทธ ฉิมพลี ผกก.สภ.เชียงของ ได้รับการประสานจากผู้ใหญ่บ้านเวียงหมอก หมู่ 10 ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อนำนายอุทิศ เสกสันติสกุล อายุ 32 ปี เข้ามอบตัว ซึ่งนายอุทิศ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเทิง ที่ 84/2564 ในข้อหาชิงทรัพย์ที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส อ.เชียงของ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมเงินสดประมาณ 100,000 บาทโดยนายอุทิศ ได้นำเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ในวันก่อเหตุ และของกลางต่าง ๆ ที่ใช้ มามอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิดและการชี้ตัวของพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายอุทิศ เป็นผู้จัดการขายรถยนต์อยู่ใน จ.เชียงใหม่ แต่ประสบปัญหาทางการเงินจึงได้ลงมือก่อเหตุ หลังจากนั้นได้ได้หลบหนีไปอยู่ที่บ้านญาติภายในชุมชนห้วยปลากั้ง อ.เมืองเชียงราย แต่ทางญาติทราบข่าวการออกหมายจับ จึงได้เดินทางมาที่บ้านเวียงหมอกตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมาเพื่อไปหา ภรรยาและผู้ใหญ่บ้านเพื่อให้พาไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย

16 พม่าเถื่อน มุดลวดหนามช่องทางธรรมชาติ หลบหนีเข้าประจวบฯ

วันที่ 16 มิถุนายน นายภิรมย์ เรืองโรจน์ ผู้ใหญ่บ้านหนองเป็ดหงส์ หมู่ 11 ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งจากชาวบ้านที่ไปหาปลา บริเวณอ่างเก็บน้ำพบต่างด้าวชาวพม่าชาย-หญิง 16 คนพร้อมกระเป๋าสัมภาระ หลบซ่อนตัวห่างจากแนวเทือกเขาตะนาวศรี ชายแดนไทยพม่าประมาณ 10 กิโลเมตร หลังรับแจ้งจึงสนธิกำลังผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ ชรบ.พื้นที่หมู่บ้านชายแดน ร่วมกันตรวจสอบ พร้อมรายงานให้ฝ่ายปกครองอำเภอรับทราบ จากนั้นร่วมกันจับกุมแรงงานเถื่อน ควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.อ่าวน้อย โดยประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ติดตามข้อมูลการจับกุมที่โรงพัก ก่อนส่งชาวพม่าทั้งหมดไปกักตัว 14 วันที่กองร้อย ตชด.146 ด่านสิงขร ต.คลองวาฬ อ.เมืองฯ

ตรวจสอบชาวพม่าหลบหนีเข้าเมือง มีชาย 9 ราย หญิง 7 ราย อายุระหว่าง 20-40 ปี ส่วนผู้นำพาเป็นชาวพม่า 2 ราย วิ่งหลบหนีไปได้พร้อมกับแรงงานเถื่อนอีกกว่า 20 คน สำหรับผู้ถูกจับกุมทั้งหมดสารภาพว่าเดินทางมาจากประเทศพม่า ทั้งเมืองย่างกุ้ง เมืองตะแว เมาะลำไย เมียวดี และ มะริด อาศัยจังหวะหลบหนีเข้าไทยในวันหวยออก เนื่องจากเชื่อว่าการป้องกันพื้นที่ชายแดนหละหลวม ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตชด. เดินลาดตระเวน โดยก่อนหน้านี้ไปพักรวมพลที่บริเวณโรงน้ำแข็ง บ้านมูด่อง ก่อนเดินเท้าฝ่ารั้วลวดหนาม 3 ชั้น ข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติมาฝั่งไทย เพื่อไปทำงานที่แพกุ้ง โรงงานปลากระป๋อง จ้างทำงานก่อสร้างที่ จ.สมุทรสาคร เสียค่าเดินทางให้กับนายหน้าค้าแรงงานเถื่อนตามระยะทางถึงชายแดน ตั้งแต่ 15,000 - 20,000 บาท บางรายจ่ายค่าเดินทางให้นายหน้าพม่าที่ด่านสิงขร หรือจ่ายส่วยเมื่อไปถึงโรงงานปลายทาง ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการจับกุมแรงงานด่างด้าวเถื่อนในรอบ 3 เดือน ไม่มีการขยายผลเพื่อจับกุมนายหน้าคนไทยและชาวพม่าแม้แต่รายเดียว


ภาพ/ข่าว  นิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ร้องผู้ว่าฯ ช่วยเหลือชาวบ้านเดินทางยื่นหนังสือ ถูกฝูงช้างป่าทำลายพืชสวน นับวันจะทวีความรุนแรง

ชาวบ้านตำบลสาริกากว่า 20 คน เดินทางยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เพื่อหาทางช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกฝูงช้างป่าบุกทำลายพืชสวนเสียหาย เกรงว่าจะทำร้ายชาวบ้านที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น

ที่ศูนย์ดำรงธรรม ศาลากลางจังหวัดนครายก ชาวบ้านจากหมู่ที่ 3 ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก กว่า 20 คน ที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากถูกฝูงช้างจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่บุกทำลายพืชสวนที่กำลังให้ผลผลิตเสียหายเป็นจำนวนมาก เกรงว่าในอนาคตอันใกล้นี้นอกจากจะทำลายพืชสวนผลไม้ แล้วจะทำลายชีวิตชาวบ้าน จึงอยากให้ทางจังหวัดนครนายก เร่งดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนการดำเนินการ และหาทางเยียวยาค่าเสียหายที่เกิดจากกระทำของฝูงช้างดังกล่าว

เนื่องจากชาวบ้านได้รับผลกระทบที่สร้างความเดือดร้อนมาเป็นเวลานาน ยังไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ในการยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกครั้งนี้ ได้มีนายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว โดยมีนายพชร  ศศิชาชยามร หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครนายก นายวิชัย บุญมีนายอำเภอเมืองนครนายก นายบุญชัยอโนดาษ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสาริกาและหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครนายก ได้ร่วมรับทราบปัญหาของชาวบ้าน โดยนายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก จะได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและเร่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาร่วมกันวางแผนร่วมกับชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อผ่อนคลายปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อไป


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

โฆษก ศรชล. ชี้แจงการแก้ปัญหาอวนขนาดใหญ่ คลุมแนวปะการังใต้ทะเลเกิดความเสียหาย

พลเรือตรี ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ชี้แจงกรณีการจัดการแก้ปัญหาการตรวจพบ อวนขนาดใหญ่ ปกคลุมแนวปะการัง บริเวณเกาะโลซิน ดังนี้

1.ตามที่ได้มีนักท่องเที่ยวไปดำน้ำบริเวณแนวปะการัง เกาะโลซิน จว.นราธิวาส ในระหว่าง 11-13 มิ.ย.64 พบเครื่องมือประมง อวนขนาดใหญ่ ปกคลุมแนวปะการัง ทางทิศตะวันตกของเกาะโลซิน ทำให้ปะการังบางส่วนได้รับความเสียหาย ตามที่ปรากฎตามข่าว

2.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แจ้งแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวโดยร่วมกับนักดำน้ำอาสาสมัครจำนวน 30 คน ปฏิบัติการเก็บกู้เครื่องมือประมง อวนขนาดใหญ่ที่ปกคลุมแนวปะการัง และสำรวจประเมินความเสียหาย ผลกระทบ จากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยใช้เรือ Liveaboard จำนวน 1 ลำ เรือบรรทุกเครื่องมือประมงอวน จำนวน 1 ลำ และเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จำนวน 2 ลำ

3.พลเรือโท สำเริง จันทร์โส ผอ.ศรชล.ภาค 2 ได้สั่งการให้ เรือหลวงราวี และเรือ ต.991 รวมทั้งจนท.ปฏิบัติงานใต้น้ำ จำนวน 14 คนพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ ไปปฏิบัติภารกิจในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ร่วมกับทางสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 9 ฯโดยมี นาวาเอกสุวรัฐ รัชยากรณ์ เป็นผู้อำนวยการปฏิบัติการร่วม โดยจะแจ้งผลการปฏิบัติให้ทราบความคืบหน้า ต่อไป


ภาพ/ข่าว สนง.โฆษกกองทัพเรือ / นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012

ดีอีเอส ร่วม ตร โชว์ผลจับกุมพนันยูโร 2020 พร้อมรับเรื่องร้องทุกข์กลุ่มผู้เสียหาย ถูกหลอกเล่นเว็บไซต์พนัน

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 14 มิ.ย. 64 ที่ห้องประชุม กระทรวง ดีอีเอส ชั้น 9 อาคารบี ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อม พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. - รองโฆษก ตร. ร่วมรับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายจากการถูกชักชวนร่วมลงทุนพนันออนไลน์เบื้องต้นมีผู้เสียหาย 39 ราย ทั้งสูญเงิน ถูกหลอกถ่ายคลิป และโพสต์ทวิตเตอร์ประจาน พร้อมแถลงผลการปฏิบัติการปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ฟุตบอลยูโร 2020 โดยกระทรวงดิจิทัลฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้ประสานการปฏิบัติในการปราบปราม เว็บไซต์การพนันออนไลน์ทุกรูปแบบ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่ให้มุ่งเน้นการปราบปรามการกระทำความผิดเว็บไซต์การพนันออนไลน์โดยเฉพาะในช่วงมีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ที่ต้องเฝ้าระวังและเข้มงวดตรวจสอบการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลผ่านระบบออนไลน์

ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวว่า ผู้เสียหายกลุ่มนี้ถูกคนร้ายแอดเป็นเฟรนด์กับเหยื่อก่อนจะชักชวนร่วมลงทุนพนันออนไลน์ โดยคนร้ายจะเล่นให้เมื่อได้กำไรก็จะคืนเงินให้ แต่เมื่อเล่นไปถึงจุดหนึ่งผู้เสียหายต้องการถอนเงินคืน คนร้ายบอกต้องเพิ่มเงินเข้าไปตามจำนวนก่อน แต่เหยื่อรายหนึ่งมีเงินไม่พอ คนร้ายจึงขอให้ถอดเสื้อผ้าถ่ายรูป-คลิปเป็นประกัน ก่อนเอามาแบล็คเมลล์ สุดท้ายเอาคลิปไปปล่อยในทวิตเตอร์ประจานผู้เสียหายอีกเบื้องต้นมีผู้เสียหาย 39 ราย ทั้งสูญเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท

กรณีนี้จึงมีความผิด 2 ส่วน คือ เรื่องหลอกลวงลงทุน กับเรื่อง พ.ร.บ.คอมพ์ ม.14(4) ปล่อยภาพลามกอนาจาร และ ป.อาญา ม.309 บังคับขู่เข็ญให้หรือไม่กระทำการใด ๆ (แบล็คเมลล์) ซึ่งผู้เสียหายได้มีการแจ้งความทั้งที่สถานีตำรวจ และ บก.ปอท. โดยรมว.กระทรวง ดีอีเอส ได้กำชับให้ บก.ปอท.ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นภัยสังคมหลอกเหยื่อต่อไปอีก

อย่างไรก็ตาม ภายใต้นโยบายรัฐบาล ในเรื่องการลักเล่นการพนันทายผลฟุตบอลผ่านระบบออนไลน์นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ได้กำชับให้ทุกหน่วยในสังกัดเพิ่มความเข้มในการสืบสวนปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการพนัน และบ่อนการพนัน ทุกรูปแบบทุกช่องทางอย่างเคร่งครัด และพร้อมบูรณาการประสานการปฏิบัติกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำความผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งไปยังสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลข 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมง

จับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 3 คดี ผู้ต้องหา 11 คน ไอซ์ 500 กิโลกรัม และยาบ้าจำนวน 4,200,000 เม็ด

วันอังคาร ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2564 เวลา 10.00 น. ณ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ

ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด ตลอดจนการป้องกันและปราบปรามแหล่งชุมชนที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติด และชุมชนที่เชื่อว่าเป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติดและพื้นที่ล่อแหลม

​ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร.(ปป), พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 6), พล.อ.วรเกียรต รัตนานนท์ เลขาธิการ กอ.รมน., พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่3/ผอ.ศอ.ปส.ชน., และ นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้รับบัญชานำข้อสั่งการนำสู่การปฏิบัติ

​กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส.,พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส.,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ลีลาเขตต์ ผบก.ขส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส.

สำนักงาน ป.ป.ส. โดย นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส.,พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส., พ.ต.ท.ไพศิษฎ์  สังคหะพงศ์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.,นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส.,นายไกรเลิศ ดาวเรือง ผอ.ปปส.ภ.5,นายอุดมชัย โลหณุต ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด,นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.ปป.6 ปปส., นายนพดล นุใหม่ นักสืบสวนฯ ชำนาญการพิเศษ, นางทิพย์ชนก โชติกเสถียร นักสืบสวนฯชำนาญการ, นายเชาวลิต ชูเลื่อน นักสืบสวนฯชำนาญการ, นายปทาน ช่วยเพชร นักสืบสวนฯชำนาญการ, นายศักดิ์วุฒิ ใจสมุทร นักสืบสวนฯชำนาญการ

​กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดย พล.ท.ธนณัฐ ยังเฟื่องมนต์ ผอ.ศปป.2 กอ.รมน., พล.ต.ศุรพงษ์ ชำนิยันต์ รอง ผอ.ศปป.2 กอ.รมน., พล.อ.ต.สมยศ  จุลเสน รอง ผอ.ศปป.2, พ.อ.เสกสรร โพทิพยวงศ์ ผช.ผอ.ศปป.2 กอ.รมน.

ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย โดย พล.ท.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย และ พ.อ.อภิชาติ ชูเกียรติตกุล ผอ.กอง 12

คดีที่ 1

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.2 ร่วมกับเจ้าที่ตำรวจ บก.ขส., ชุดวิเคราะห์ข่าวฯ บก.ปส.2, ปป.3 สปป.ป.ป.ส., เจ้าหน้าที่ ศรภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 4 คน

ผู้ต้องหา

1. นายพีรพัฒน์ หรือติมอร์ พิรักษา อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60/102 ม.7 ต.บางจาก อ.พระประแดง จว.สมุทรปราการ

2. นายสามารถ หรือแก๊ป คุ้มสมุทร อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45 ม.1 ต.ปากคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จว.สมุทรปราการ 

3. นายพุฒิพงศ์ หรือปอนด์ พวงสมบัติ อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 139 ม.4 ต.ปากคลองบางปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์ จว.สมุทรปราการ 

4. นายศุภฤกษ์ หรือแครอท  แรงกสิวิทย์ อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37/9 ม.11 ต.บางครุ อ.พระประแดง จว.สมุทรปราการ

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ

​1. ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 516 กิโลกรัม

​2. รถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน

​3. รถยนต์เก๋ง จำนวน 1 คัน

​4. อาวุธปืน ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน จำนวน 12 นัด

​5. โทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 8 เครื่อง

​โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้อนุญาต และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ใจครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

สถานที่เกิดเหตุ/จับกุม

​พิสมัยรีสอร์ท ต.จุมจัง อ.กุฉินารายณ์ จว.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 11.00 น.พฤติการณ์แห่งคดี  เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากการจับกุมเครือข่าย  ยาเสพติดรายสำคัญในห้วงที่ผ่านมารวม 7 คดี สามารถตรวจยึดยาบ้ารวม จำนวนประมาณ 20,000,000 เม็ด, ตรวจยึดไอซ์ รวมจำนวนประมาณ 2,000 กิโลกรัม และยาเสพติดอื่นอีกจำนวนมาก ทำให้พบข้อมูลว่ายังมีเครือข่าย ยาเสพติดที่พยายามลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วนำไปซุกซ่อนอำพรางในสินค้าต่าง ๆ เพื่อลักลอบส่งออกไปยังต่างประเทศจึงได้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 พบข้อมูลว่ากลุ่มผู้ต้องหาจะขึ้นไปดำเนินการเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชุดจับกุมจึงร่วมบูรณาการออกสืบสวนติดตาม จนพบว่าในเวลาช่วงเช้ามืดของวันที่ 10 มิถุนายน 2564 กลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ใช้รถยนต์จำนวน 2 คัน ขับขี่ตามกันเข้าไปในพื้นที่ริมแม่น้ำโขง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม แล้วขับขี่กลับออกมามุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ตอนในและเข้าพักที่ พิศมัยรีสอร์ท ต.จุมจัง อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ จึงเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้ง  4 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ จำนวน 12 กระสอบ รวมน้ำหนักประมาณ 516 กก. และสืบสวนขยายผลยึดทรัพย์ เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวต่อไป 

คดีที่ 2

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 00.10 น. ต่อเนื่องวันที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลา 23.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. ได้จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 4 คน

ผู้ต้องหา

1. นายกมลชัย พูลสวัสดิ์ อายุ 21 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 120 ม. 3 ต. มงคลธรรมนิมิต อ. สามโก้ จว.อ่างทอง

2. น.ส.นภิศ พิกุลขาว อายุ 29 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 59 ม.6 ต.อบทม อ.สามโก้ จว.อ่างทอง

3. นายสาทร  อาหลี อายุ 26 ปี   บ้านเลขที่ 48 ม.4 ต.สะบ้าย้อย อ.สะบ้าย้อย จว.สงขลา

4. นายฮารง  ยามา อายุ 44 ปี บ้านเลขที่ 2/9 ม.4 ต.สะบ้าย้อย อ.สะบ้าย้อย จว.สงขลา 

พร้อมของกลาง จำนวน 6 รายการ

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวนประมาณ 200,000 เม็ด

2. รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ อีซูซุ จำนวน 1 คัน

4. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ มิซูบิชิ จำนวน 1 คัน

5. รถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน

6. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต” 

​สถานที่เกิดเหตุและจับกุม บริเวณด่านตรวจพยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ต่อเนื่อง โรงแรม มิรา รีสอร์ท เลขที่ 173 ต.ท่ามิหรำ อ.เมืองพัทลุง จว.พัทลุง

​พฤติการณ์แห่งคดี  เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนและติดตามกลุ่มบุคคล มีพฤติการณ์ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากกลุ่มผู้ว่าจ้าง จากพื้นที่ทางภาคเหนือ มาส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน จว.เชียงราย มุ่งหน้าไปยัง จว.แพร่ และใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 11 มุ่งหน้าจาก อ.เด่นชัย จว.แพร่ มุ่งหน้าไปยังภาคกลาง จนกระทั่ง วันที่ 10 มิถุนายน 2564 สามารถจับกุม ผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ที่บริเวณด่านตรวจพยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวนประมาณ 200,000 เม็ด จับกุมผู้ต้องหาที่ 3 ได้ที่ บริเวณโรงแรมมิรารีสอร์ท เลขที่ 173 ต.ท่ามิหรำ อ.เมืองพัทลุง จว.พัทลุง และ สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 4 ได้ที่บริเวณบนถนนเพชรเกษม ต.ท่ามิหรำ อ.เมืองพัทลุง จว.พัทลุง จึงทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ตามกฎหมายเพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สิน ตาม พ.ร.บ.มาตราการฯ ต่อไป

คดีที่ 3

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 08.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ บก.สกส.บช.ปส.ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ผู้ต้องหา 3 คน

ผู้ต้องหา

1. นายศุภโชค สุขสุด อายุ 35 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 55 ม.1 ต.บ้านกลาง อ.วังทอง จว. พิษณุโลก

2. นายวิชัย อินทรีย์วงศ์ อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 86 ม. 1 ต.สระพังลาน อ.อู่ทอง จว. สุพรรณบุรี                             

3. นายประมวล ขันแก้ว. อายุ 36 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 115 ม.1 ต.บัววัฒนา อ.หนองไผ่ จว.เพชรบูรณ์

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวนประมาณ 4,000,000 เม็ด

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน  ยี่ห้อ ISUZU จำนวน 1 คัน

​3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA จำนวน 1 คัน

4. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ MG จำนวน 1 คัน

5. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ Honda จำนวน 1 คัน

6. ทองคำแท่ง น้ำหนักประมาณ 5 บาท

7. ทองรูปพรรณ น้ำหนักประมาณ 3 บาท

8. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต” 

สถานที่เกิดเหตุ บริเวณภายในปั๊มน้ำมันเอสโซ่ หสน.ธวัชบริการแพร่ เลขที่ 188 หมู่ 4 ต. ทุ่งโฮ้ง อ.เมือง จว.แพร่ ต่อเนื่อง บริเวณภายในลานจอดรถตลาดไท ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี

สถานที่เกิดเหตุและจับกุม 

​สืบเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายศุภโชค สุขสุด ซึ่งมีประวัติเกี่ยวกับ ยาเสพติดให้โทษ ร่วมกับ นายวิชัย อินทรีย์วงศ์ ทั้งสองมีพฤติการณ์ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ และจะนำไปจำหน่ายให้กับลูกค้าในพื้นที่ทางกลางและปริมณฑล ตามสั่งการของผู้ว่าจ้าง โดยใช้เส้นทาง จว.เชียงราย - พะเยา – ลำปาง - แพร่ - อุตรดิตถ์ - พิษณุโลก - พิจิตร - นครสวรรค์ จนกระทั่งวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เวลา 08.30 น.สามารถจับกุมผู้ต้องหา 1 และ 2 ได้ที่บริเวณ บริเวณภายในปั๊มน้ำมันเอสโซ่ หสน.ธวัชบริการแพร่ เลขที่ 188 ม. 4 ต.ทุ่งโฮ้ง อ.เมือง จว.แพร่ พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 4,000,000 เม็ด และจับผู้ต้องหาที่ 3 ได้ที่บริเวณภายในลานจอดรถตลาดไท ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี จึงทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ตามกฎหมายเพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สิน ตาม พ.ร.บ.มาตราการฯ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top