Saturday, 7 June 2025
CRIMES

ผบช.สตม. แจ้งเตือน !! อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตำรวจ ตม.หลอกตรวจค้นและช่วยเหลือเรียกค่าดำเนินการ หากพบให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

1 กรกฎาคม 2564 ที่กองงานโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. ในฐานะโฆษก สตม. เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน สืบเนื่องมาจากกรณีมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กระทำการขอตรวจค้นจับกุม สถานประกอบการ โรงงาน เรียกรับเงินหรือทรัพย์สิน และหลอกหลวงว่าสามารถช่วยเหลือในการดำเนินการต่าง ๆ ได้ โดยทางด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้กล่าวว่า กรณีที่มีผู้แอบอ้างดังกล่าว ขอให้ประชาชนโปรดอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด และผู้ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มีความผิดทางกฎหมายอาญา มีโทษทั้งจำคุกและปรับ และได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการสืบสวน หาข่าวติดตามผู้ที่มีพฤติการณ์แอบอ้างหลอกลวงดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรเสื่อมเสีย และประชาชนได้รับความเดือดร้อน

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม ได้มีความห่วงใยและตระหนักถึงในกรณีที่มีการแอบอ้างดังกล่าว ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้างว่าเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และกระทำการดังกล่าว หากพบเห็นผู้มีพฤติการณ์ หรือน่าสงสัยว่ามีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สามารถตรวจสอบเบื้องต้นโดย ขอดูบัตรประจำตัว ข้าราชการ ซึ่งจะระบุ ยศ ชื่อ สกุล สังกัด ที่ชัดเจน หากยังไม่แน่ใจสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หรือแจ้งสายด่วน 191 หรือสอบถามไปยังหน่วยงานในสังกัด ที่ได้แจ้งไว้ในบัตรประจำตัวข้าราชการ ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้โดยทันที ทั้งนี้เพื่อลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อในการถูกหลอกลวงและแอบอ้างต่อไปอีก

ทางด้าน พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.ตม.1/รองโฆษก สตม. กล่าวว่า ขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนระมัดระวังอย่าหลงเชื่อในกรณีดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และ ทาง สตม.พร้อมที่ดูแลสร้างความมั่นใจ อุ่นใจ และความปลอดภัย ไม่ให้มีการซ้ำเติมประชาชนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากต้องการแจ้งเบาะแส หรือพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ที่ท่านอยู่ หรือที่เว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง www.immigration.go.th หรือโทรสายด่วน สตม. 1178 ได้ทันที

จับได้แล้ว คนร้ายใช้มีดจี้ชิงทองหนัก 60 บาท รับสารภาพเล่นการพนันและติดหนี้เงินกู้นอกระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากกรณี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 เวลา 19.30 น.ได้มีคนร้ายใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำรวม 60 บาท จากร้านทองบางกอกโกลด์  ห้างโลตัสลำลูกกา คลอง 2 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ท้องที่ สภ.คูคต และคนร้ายวิ่งหลบหนีไปนั้น ต่อมาภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.

พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1

พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี

พ.ต.อ.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ พ.ต.อ.จักริน พันธ์ุทอง รอง ผบก.ฯ

พ.ต.อ.วิษณุรักษ์ พรหมเมศร์ผกก.สภ.คูคต พ.ต.อ.สมศักดิ์ นิเต็ม ผกก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.อาสาฬห์ ถมยา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.1 และ จนท.ฝ่ายสืบสวน  สืบสวน และฝ่ายสอบสวนได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุ คือนายสมชาย พวงบุญ อายุ 33 ปี จึงได้ไปขอศาลออกหมายจับ และศาลจังหวัดธัญบุรี ได้ออกหมายจับ ที่ จ.391/2564 ลง 30 มิถุนายน 2564 และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.คูคต กั กก.สส.ภ.จว.ปทุมธานี และ บก.สส.ภ.1 ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายสมชายฯได้พร้อมของกลาง

      1.อาวุธมีด 1 เล่ม

      2.สร้อยคอทองคำ หนักเส้นละ 10 บาท  4 เส้น

       3.ตั๋วรับจำนำสร้อยคอทองคำ จำนวน 2 ฉบับ

ดำเนินคดีในความผิดฐาน

       1.ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธมีดในเวลากลางคืน

       2.พกพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะฯ

นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คูคต ดำเนินคดีตามกฎหมาย และต่อมา วันที่ 30 มิถุนายน 2564 เวลา 17.00 น. พล.ต.ต.ชยุตฯ ได้เดินทางมาที่สภ.คูคต และร่วมกับ พ.ต.อ.วิษณุรักษ์ฯพ.ต.อ.สมศักดิ์ ฯ พ.ต.ท.ประสิทธิ์ สมบุญจิตร รอง ผกก.หน.งานสอบสวน

พ.ต.ท.สัมพันธ์ ทิมอิน รอง ผกก.สืบสวนฯ ทำการสอบปากคำ ซึ่งนายสมชายฯให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

นอภ.สัตหีบ ร่วมตำรวจ ทหาร จับกุมกลุ่มวัยรุ่น ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุมดื่มสุรา 8 ราย ดำเนินคดี

วันที่ 30 มิ.ย. 64 เวลา 20.00 น. นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ บูรณาการสนธิกำลังฝ่ายปกครอง ร่วมกับ พ.ต.อ.ปัญญา ดำเล็ก ผกก.สภ.สัตหีบ จนท.สาธารณะสุขอำเภอสัตหีบ และ จนท.ทหารเรือ จากอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหาร นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง สาธารณะสุข ตำรวจ ทหาร เข้าตรวจสอบบริเวณ ริมถนน เส้นทาง กม.10 - ท่าเรือจุกเม็ด หน้าร้านสะดวกซื้อ (เซเว่น อีเลฟเว่น) ม.2 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากจากประชาชนว่า มีกลุ่มแรงงานวัยรุ่นของ บริษัท แห่งหนึ่งในท่าเรือจุกเสม็ด ตั้งวงดื่มสุรา และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

จากการตรวจสอบ พบกลุ่มวัยรุ่น ตั้งวงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริเวณริมฟุตบาธและท้ายรถยนต์กระบะ จำนวน 8 คน จึงควบคุมตัวดำเนินคดีที่ สภ.สัตหีบ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในพื้นที่สาธารณะ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังน่าเป็นห่วง และขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ป้องกันตนเอง ด้วยการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปฏิบัติตามมาตรการและคำสั่งของ ศบค.จังหวัดชลบุรี ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยห้ามไม่ให้มีการมั่วสุม หรือ รวมกลุ่มคนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการตั้งวงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในร้านอาหาร ชายหาด และที่สาธารณะ หากได้รับแจ้งหรือตรวจพบ จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่มีข้อยกเว้นเด็ดขาด


ภาพ/ข่าว นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ชนดับ 3 ศพ ยักษ์ใหญ่รถพ่วงขยี้น้องเล็กรถกระบะ หลังไม่พบตัวคนขับในที่เกิดเหตุแล้ว

เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ศูนย์วิทยุกู้ภัยสายชล มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ รับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุบริเวณโค้งสายชล บนถนนเพชรเกษม ฝั่งขาขึ้นกรุงเทพฯ หมู่ 3 ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ห่างจากศาลพ่อตาหินช้างประมาณ 1 กิโลเมตร

ร.ต.อ.สนธยา ไทยประเสริฐ พนักงานสอบสวนเวร สภ.สลุย รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย เขต อ.ท่าแซะ พบรถพ่วง 22 ล้อ ยี่ห้อวอลโว่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ หมายเลขทะเบียน 77-4467 กรุงเทพมหานคร ชนทับอยู่บนรถกระบะ ยี่ห้อนิสสัน บิ๊กเอ็ม รุ่นฟรอนเทียร์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน บร 1085 นครปฐม จนทำให้รถกระบะมีสภาพบี้แบนอยู่ด้านล่าง ภายในรถกระบะมีผู้เสียชีวิตที่โดยสารมากับรถกระบะรวม 3 ราย ประกอบด้วย นายวสันต์ เชื้อนุช อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 148/1 ม.4 ต.ทะเลทรัพย์ อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นผู้โดยสารที่นั่งมาในรถกระบะ นายราเชญ ชาวปากน้ำ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29/2 ม.7 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร คนขับรถกระบะ และ น.ส.ธิดารัตน์ ตั้งซุยยัง อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ม.4 ต.บางสะพาน อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภรรยาของนายราเชญ ส่วนคนขับรถพ่วงทราบชื่อคือ นายณรงค์ชัย (ไม่ทราบนามสกุล) ไม่พบตัวในที่เกิดเหตุแล้ว

รับแจ้งจากเพื่อน ๆ ของผู้เสียชีวิตที่มาดูที่เกิดเหตุ ทราบว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ทำงานเกี่ยวกับสายเคเบิ้ลซึ่งขณะนี้กำลังทำการซ่อมแซมสายเคเบิ้ลอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้ที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุเพื่อน ๆ ได้โทรถามทีมผู้เสียชีวิตทั้ง 3 รายว่าอยู่ไหนแล้ว ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเก็บอุปกรณ์เพื่อเตรียมกลับที่พัก จากนั้นเสียงก็เงียบหายไป จนมาทราบว่าเพื่อน ๆ ทั้ง 3 ราย ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้ว

เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่กู้ภัย ต้องช่วยกันนำอุปกรณ์ตัดถ่างงัดซากรถเพื่อนำศพผู้เสียชีวิตออกมาจากใต้ท้องรถพ่วง เพื่อลำเลียงศพไปชันสูตรที่ รพ.ท่าแซะ และแจ้งไปยังญาติ ๆ ให้มารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลทางประเพณี ส่วนพนักงานสอบสวนจะตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และติดตามคนขับรถพ่วงมาสอบปากคำก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

กอ.รมน.สตูล นำกำลังเข้าตรวจยึดป่าชายเลนคืน กว่า 26 ไร่

พ.อ.กิตติ จันทร์เอียด รอง ผอ.รมน.จังหวัดสตูล(ท.),พ.ต.ปิยะเชษฐ์ หนูฉ้ง รอง หัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดสตูล,เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จังหวัดสตูลร่วมกับ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 ,เจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนจังหวัดสตูล สทช.7 ,สถานีเรือละงู,เจ้าหน้าที่กองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452, สถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า, ฝ่ายปกครองอำเภอทุ่งหว้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ได้สนธิกำลังเข้าดำเนินการยึด ทำลาย รื้อถอน หรือทำประการใดแก่สิ่งที่เป็นอันตราย หรือสิ่งที่ทำให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พ.ศ. 2559 ลง พฤษภาคม 2559 ท้องที่บ้านขอนคลานตะวันตก หมู่ที่ 3 ตำบลขอนคลาน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เนื้อที่ จำนวน 26-0-84 ไร่ ซึ่งได้ดำเนินการรื้อถอนพืชผลอาสินที่ปลูกไว้ในพื้นที่ เป็นต้นมะพร้าว จำนวน 46 ต้น ต้นปาล์มน้ำมัน จำนวน 180 ต้น โดยในการนี้ ได้มอบเรื่องราวให้นายนิพนธ์ เต็มแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 (ทุ่งหว้า สตูล) นำเรื่องราวรายละเอียดการดำเนินการไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรทุ่งหว้า ไว้เป็นหลักฐานต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ตำรวจภูธรภาค 5 เร่งรัดการดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อ กรณีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Anti หมวกกันน็อกออนไลน์ ได้นำตัวผู้แทนผู้เสียหายจากการกระทำของขบวนการ Application เงินกู้ออนไลน์ผิดกฎหมาย มาขอความช่วยเหลือจาก ผบช.ภ.5 เนื่องจากกลุ่มผู้เสียหายดังกล่าวเคยเข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในเขต จังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง และลำพูน แล้ว ถูกเพิกเฉย ไม่รับแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวัน 

​ตำรวจภูธรภาค 5 ขอเรียนว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Anti  หมวกกันน็อกออนไลน์ ได้มาพบและยื่นหนังสือต่อ ผบช.ภ.5 โดยแจ้งว่าทางกลุ่ม ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเป็นสื่อกลางในการให้การช่วยเหลือ แนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นให้กับประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกลุ่มขบวนการเงินกู้ผิดกฎหมายดังกล่าว และแจ้งด้วยว่ายังมีประชาชนที่อยู่ในเขตจังหวัดจังหวัดเชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง และลำพูน ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่ทราบถึงวิธีการดำเนินการและแนวทางในการติดต่อเพื่อขอรับความช่วยเหลือและแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งยังได้พาตัวแทนผู้เสียหายจำนวน 4 รายมาพบเพื่อให้รายละเอียดข้อเท็จจริง

ผบช.ภ.5 จึงสั่งการ ให้ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ของตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5) ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล สอบถาม ผู้เสียหายทั้ง 4 ราย สรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นผู้เสียหาย จาก Application เงินกู้ออนไลน์ และมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ , สันทราย , แม่ออน และเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา โดยทุกสถานีตำรวจดังกล่าว ได้ดำเนินการรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดไปตามอำนาจหน้าที่แล้ว ทั้งนี้ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของตำรวจภูธรภาค 5 ได้รวบรวมข้อมูล จากผู้เสียหาย แยกเป็นบัญชี ธนาคาร ที่ Application เงินกู้ ใช้ในการรับโอนเงินกับผู้เสียหาย

โดยได้ทำการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน และข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ที่กลุ่มทวงเงินใช้ในการกระทำความผิดทวงหนี้โดยการข่มขู่ เพื่อเป็นข้อมูลและพยานหลักฐานเพิ่มเติมจัดส่งให้พนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจที่รับผิดชอบดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป อนึ่ง เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ  วงศ์สุข  ผบช.ภ.5 ได้ประชุมสั่งการให้หัวหน้าสถานีตำรวจ ในสังกัด จำนวน 159 สถานี ให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน ที่จะคิดกู้ยืมเงินผ่าน Application เงินกู้ออนไลน์ ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าได้หลงเชื่อ และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ และได้กำชับให้พนักงานสอบสวน รับแจ้งความ และให้คำแนะนำแก่ผู้เสียหายในทุกคดี “ห้ามปัด ไม่รับแจ้งเหตุ” โดยในรอบปี พ.ศ.2564 นี้ ทางตำรวจภูธรภาค 5 ได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมายแล้ว จำนวน 12 คดี ผู้ต้องหาจำนวน 15 คน มีการตรวจยึดของกลางเช่น เงินสด รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์ บัญชีรายชื่อลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อไว้เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผล

ตำรวจชุดสืบเมือง ร่วมตำรวจดงหลวงและตำรวจป่าไม้ นำกำลังบุกปิดล้อมสวนยางพาราจับกุมแก๊งมอดไม้ลักลอบเข้าไปตัดไม้หวงห้ามขนาดใหญ่ อายุประมาณ 100 ปีจำนวน 4 ต้น 35 ท่อน ซึ่งมีมูลค่า 1.5ล้านบาท ในที่ดิน ส.ป.ก. ได้ผู้ต้องหา รวมจำนวน 5 ราย

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 29 มิถุนายน 2564 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร ผบก.ตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร สั่งการให้ พ.ต.อ.ธนิต ดวงกลาง ผกก.สภ ดงหลวง ประสาน หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.2 (ดงหลวง) จ.มุกดาหาร นำกำลังร่วมเข้าตรวจยึดท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่มีแก๊งมอดไม้ลักลอบเข้าไปตัดโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ในที่ดิน ส.ป.ก.4-01 เพื่อลำเลียงท่อนไม้ประดู่ขนาดใหญ่จำนวน 35 ท่อน ของกลางออกจากป่านำส่ง สภ.ดงหลวง

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร ได้รับแจ้งจากจากสายหลับว่ามีแก๊งมอดไม้ลักลอบตัดไม้อยู่ในที่ดิน ส.ป.ก.4-01 อยู่บริเวณป่าสวนยางพาราทางทิศเหนือของ หมู่บ้าน โนนทัน ม.2 ต.ชะโนดน้อย อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร จึงสั่งการให้ชุด สืบ สภ.เมืองมุกดาหาร ร่วมกับตำรวจ สภ.ดงหลวง นำกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบพบกลุ่มชายฉกรรจ์ จำนวน 5 คน กำลังเร่งชักลากท่อนไม้ออกจากป่า เจ้าหน้าที่สั่งให้ชายทั้งหมดหยุดอยู่กับที่แล้วเข้าควบคุมตัวชายทั้ง 5 ทราบชื่อคือ

1.นายดาวเรือง ซุยพวง อายุ 54 ปีอยู่บ้านเลขที่180 ม.1ต.หนองบัว อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

2.นายเดชา เชื้อเมืองแสน อายุ 52 ปีอยู่บ้านเลขที่32 ม.2 ต.หนองแคน อ.ดงหลาง จ.มุกดาหาร

3.นายสุกัน วงค์ แก้ว อายุ 44 ปีอยู่บ้านเลขที่40 ม.ม.10ต.พระชอง อ.นาแก จ.นครพนม

4.นายณรงค์ โสมสา อายุ 50 ปีอยู่บ้านเลขที่146  ม.6 ต.พลกรัง อ.เมืองนครราชสีมา และ

5.นายวีระศักดิ์  นวน บุรี อายุ 30 ปีอยู่บ้านเลขที่132 ม.2 ต.อุ่มเม้า อ.ธาตุพนม จ.นครพนม

ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุก10 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุสีฟ้าหมายเลขทะเบียน 85-3498 นครราชสีมา ตรวจสอบพบไม้ประดู่ขนาดใหญ่ความยาว 5 เมตร จำนวนหนึ่งอยู่บนกระบะหลัง และรถบรรทุก 6 ล้อสีขาว ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80-4436 นครพนม อีก 1 คัน จอดอยู่ในที่เกิดเหตุตรวจสอบไม้ประดู่ถูกตัดโค่นลงรวมจำนวน 4 ต้นซึ่งของกลางทั้งหมดไม่สามารถนำออกมาได้เนื่องจากฝนตกดินทางออกเป็นโคลน รถไม่สามารถเอาออกมาได้จนถึงช่วงบ่ายของวันที่29 มิถุนายน ฝนหยุดตกเจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าไปลำเลียงของกลางออกมาพร้อมผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดงหลวงเพื่อดำเนินการตามกฎหมายในข้อหาผิด พรบ.ป่าไม้ตัดโค่นต้นไม้หวงห้ามในที่ดิน ส.ป.ก. 4-01ผิดกฎหมาย


ภาพ/ข่าว  ชุด ฉก.พญาอินทรีย์ / เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร

กองบัญชาการตำรวจนครบาลรายงานผลการจับกุม ”แหล่งผลิตกัญชาออร์แกนิก”

ตามนโยบายของรัฐบาลให้เจ้าหน้าที่ของภาครัฐปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายเนื่องจากการแพร่ระบาดของยาเสพติดซึ่งเป็นภัยคุกคามและอาชญากรรมต่าง ๆ

ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันได้สร้างผลกระทบต่อประชาชน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดติดตามจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น., เป็นผู้ควบคุมสั่งการ

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร จตร.(สบ 8) ปฏิบัติราชการ บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.นพรัตน์ สินมา รอง ผบก.น.3, พ.ต.อ.ถนัด นักธรรม ผกก.สส.บก.น.3 ได้เดินทางตรวจสอบอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.3 สืบทราบและเข้าตรวจค้น พบเป็นสถานที่เพาะปลูกกัญชาออร์แกนิคบริเวณชั้น 3-4 พร้อมทั้งมีอุปกรณ์การผลิตน้ำมันกัญชา บริเวณชั้น 5 โดยจำหน่ายให้กับลูกค้าทางออนไลน์ ในราคาขวดละ 500 บาท (5 ซีซี) และส่งสินค้าทางบริษัทขนส่งพัสดุ มูลค่าของกลางในที่เกิดเหตุรวมกว่า 8 แสนบาท โดยได้แจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน"ผลิต นำเข้า ส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยไม่ได้รับอนุญาต" ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป             

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด หากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

ตม.1 รวบฝรั่งแดนกังหันลม อยู่เกินนับ 10 ปี ค้ารถเถื่อนยังชีพ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1,พ.ต.อ.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล, พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, พ.ต.อ.ยศเอก  รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กีรติศักดิ์  ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้

กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 นำโดย พ.ต.อ.กีรติศักดิ์  ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.ท.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ รอง ผกก.สส.บก.ตม.1 พ.ต.ท.ทรงพันธุ์ กุลดิลก, พ.ต.ท.ปัฐน์ แสนอินอำนาจ สว.กก.สส.บก.ตม.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ร่วมกันจับกุม MR.STANLEY หรือนายสแตนลีย์ อายุ 35 ปี สัญชาติเนเธอร์แลนด์ พร้อมด้วยของกลาง  รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียนกรุงเทพมหานคร สีดำ, รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน กรุงเทพมหานคร สีขาว

โดยกล่าวหา  ผู้ถูกจับกุม ฐานความผิดตาม ป.อาญา ม.264, ม.265, ม.268 และ ม.81 พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” และ “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุด”

พฤติการณ์ในการจับกุม ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีเพจใน facebook ชื่อ car planet…ซึ่งเป็นเพจเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ คาดว่ามีคนต่างชาติเป็นแอดมินเพจ และในเพจดังกล่าว มีรถใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมจำนวนหลายคัน  เมื่อเจ้าหน้าที่ฯได้รับข้อมูลจึงได้เช้าไปตรวจสอบในเพจดังกล่าว พบว่า มีบุคคลใช้ชื่อว่า Stanley เป็นแอดมินเพจ  จากนั้นเจ้าหน้าที่ฯได้เดินทางไปตรวจสอบภายในบริเวณ ซ.รามคำแหง72 ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในเพจ เพื่อตรวจสอบสังเกตการณ์ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฯ พบรถยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น แอคคอร์ด สีดำ สวมแผ่นป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอม แต่ไม่พบตัว Stanley ซึ่งเป็นแอดมินเพจตามข้อมูลที่ได้รับ เจ้าหน้าที่ฯเชื่อว่า Stanley ต้องมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับรถใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมอย่างแน่นอน แต่เมื่อยังไม่พบตัวเจ้าหน้าที่ฯ จึงได้จัดกำลังซุ่มดูภายในบริเวณดังกล่าวอีกหลายครั้ง  รอจนกระทั่งได้พบกับนายสแตนลีย์ฯ  เจ้าหน้าที่ฯจึงได้แสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว แต่นายสแตนลีย์อ้างว่า หนังสือเดินทางหายไปนานแล้ว เจ้าหน้าที่ฯจึงได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบจัดเก็บข้อมูล Biometrics (ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) พบข้อมูลของนายสแตนลีย์ฯ อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุดมาแล้ว 3,765 วัน (10 ปี 115 วัน) เจ้าหน้าที่ฯได้สอบถามนายสแตนลีย์ฯ เกี่ยวกับรถยนต์ที่ใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมว่าเป็นรถยนต์ของใคร นายสแตนลีย์ฯ แจ้งว่าเป็นรถยนต์ที่ซื้อต่อมาจากเพื่อนชาวต่างชาติที่พัทยาเนื่องจากเพื่อนคนดังกล่าวผ่อนไฟแนนซ์ไม่ไหว  โดยตนจะสั่งป้ายทะเบียนปลอมมาจากทางอินเตอร์เน็ตแล้วใช้สวมกับรถที่รับซื้อต่อมา เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่กับไฟแนนซ์ และจะนำไปจำหน่ายต่ออีกทอดนึง ซึ่งตนได้ทำอย่างนี้มาแล้วหลายครั้ง นอกจากนี้ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฯ ยังได้ตรวจพบรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น วีออส สวมแผ่นป้ายกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอมอีกเช่นกัน  สอบถามนายสแตนลี่ย์ฯให้การรับสารภาพว่า เป็นรถยนต์ที่ได้มาในลักษณะเดียวกับรถแอ๊คคอร์ด เจ้าหน้าที่ฯจึงได้แจ้งกับนายสแตนลี่ย์ฯว่า กระทำความผิดในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักโดยการอนุญาตสิ้นสุด”, “ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม” และนำตัวนายสแตนลี่นำตัวส่ง พงส.สน.หัวหมากเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ  รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตม.2 รวบ 2 หนุ่มแดนมังกร !! หวังใช้ใบสูติบัตรปลอมเพื่อนำเด็กออกนอกประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ              

      

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ,พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม, พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 ,พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตม.2  รวบ 2 หนุ่มเมืองมังกรปลอมใบเกิดเด็กไทย       

กล่าวคือ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในระดับสำนักตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มบุคคล หรือขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่จะเข้ามาดำเนินการสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งนี้ ผลมาจากการบูรณาการปฏิบัติระหว่าง ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง

ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ตรวจเข้มผู้โดยสารชาวต่างชาตินำเด็กที่เกิดในประเทศไทยออกนอกราชอาณาจักร จนนำมาสู่การจับกุม 2 หนุ่มแดนมังกรปลอมใบเกิดเด็กไทย เปลี่ยนจากบิดาสัญชาติไทย เป็นบิดาสัญชาติจีน โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” และได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบ ณ ที่จับกุมแล้ว และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

รายที่ 1 กล่าวคือ ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย สัญชาติจีน อายุประมาณ 54 ปี พร้อมด้วยเด็กชายเก่ง (นามสมมติ) สัญชาติไทย อายุ 6 เดือน 22 วัน ได้มาขอรับการตรวจอนุญาตเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยไปยังเมือง

เฉิงตู ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการบินเสฉวนแอร์ไลน์ เที่ยวบิน 3U8146 โดยได้ยื่นเอกสารประกอบการนำพาเด็กชายเก่ง ซึ่งเกิดในประเทศไทยให้เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการพิจารณาตรวจอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยอ้างว่า นางสาวบี (นามสมมติ)  ผู้เป็นมารดา สัญชาติไทย เดินทางมาส่งยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิทั้งนี้ ระหว่างการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ผู้ตรวจสงสัยในเอกสารประกอบการเดินทางในส่วนของใบสูติบัตร ในรายละเอียดที่ปรากฏตามใบสูติบัตร ซึ่งระบุว่า นางสาว บี เป็นมารดา และ ผู้ถูกจับกุม สัญชาติจีน เป็นบิดา เมื่อเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบใบสูติบัตรดังกล่าว โดยสแกนข้อมูลจาก QR Code บนใบสูติบัตร ปรากฏข้อมูลหมายเลขประจำตัวประชาชน ตรงกับหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งที่แสดงในใบสูติบัตรจริง ทั้งนี้ การตรวจสอบดังกล่าวเป็นการตรวจสอบตามหลักการตรวจสอบใบสูติบัตรเบื้องต้น ขณะเดียวกันได้ประสานมายัง กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ในการร่วมตรวจสอบผู้โดยสารรายนี้ โดยเจ้าหน้าที่ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งจากระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรที่เชี่อมต่อกับระบบ POLIS ผลการตรวจสอบพบว่า เด็กชายเก่งมีมารดาคือ นางสาวบี ส่วนบิดาไม่ใช่ผู้ถูกจับกุม แต่กลับเป็นนายซี (นามสมมติ) สัญชาติไทย ซึ่งข้อมูลไม่ตรงกับใบสูติบัตรที่ผู้ถูกจับกุมนำมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จึงได้ดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายที่ 2 ผู้ถูกจับกุมเป็นชาย สัญชาติจีน อายุประมาณ 58 ปี พร้อมด้วยเด็กชายเยี่ยม (นามสมมติ) สัญชาติไทย อายุ 1 ปี 6 วัน ได้มาขอรับการตรวจอนุญาตเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยเพื่อเดินทางไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสายการบินไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MU542 โดยผู้ถูกจับกุมได้ยื่นเอกสารประกอบการนำพาเด็กชายเยี่ยม ซึ่งเกิดในประเทศไทยให้เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระหว่างการตรวจสอบ  เจ้าหน้าที่ ผู้ตรวจอนุญาตสงสัยเอกสารประกอบในส่วนของใบสูติบัตรของเด็กชายเยี่ยม ที่ระบุว่ามีมารดาเป็นบุคคลสัญชาติไทย และมีผู้ถูกจับกุม สัญชาติจีนเป็นบิดา เมื่อเจ้าหน้าที่เจ้าหน้าที่ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบใบสูติบัตรดังกล่าว โดยสแกนข้อมูลจาก QR Code บนใบสูติบัตร ปรากฏข้อมูลหมายเลขประจำตัวประชาชน ตรงกับหมายเลขประจำตัวประชาชนของเด็กชายเก่งที่แสดงในใบสูติบัตรจริง ขณะเดียวกันได้ประสานมายัง กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ในการร่วมตรวจสอบผู้โดยสารรายนี้ โดยเจ้าหน้าที่ กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 จึงได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขประจำตัวประชาชน ของเด็กชายเยี่ยม จากระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรที่เชี่อมต่อกับระบบ POLIS ผลการตรวจสอบ พบว่า เด็กชายเยี่ยม มีมารดาและบิดาเป็นบุคคลสัญชาติไทย โดยบิดาไม่ใช่ผู้ถูกจับกุมแต่อย่างใด จึงได้ดำเนินการจับกุมส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top