Tuesday, 13 May 2025
NEWSFEED

‘ตงตง กฤษกร’ ถูกหามส่งโรงพยาบาล แอดมิทด่วนที่เมียนมา หลังป่วยเป็น ‘ไข้หวัดใหญ่’ แฟนคลับ-คนบันเทิงแห่ให้กำลังใจ

ทำเอาแฟนๆ เป็นห่วงมาก หลังจากพระเอกหนุ่ม ‘ตงตง กฤษกร’ หรือ ‘ตงตง เดอะสตาร์’ เผยภาพตัวเองขณะแอดมิทพร้อมเขียนแคปชันว่า “Influenza”

ในภาพนั้น เป็นภาพขณะ ตงตง นอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล โดยมีเพื่อนๆ ในวงการบันเทิงและแฟนคลับต่างเข้ามาให้กำลังใจ และขอให้เจ้าตัวหายไวๆ จำนวนมาก

ล่าสุด ทางวันบันเทิง แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมรายงานว่า ตงตงไปเที่ยวที่ประเทศเมียนมา และป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จนต้องแอดมิทด่วนโดยคุณหมอให้รอดูอาการ

คาดว่าน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ เพื่อกลับมารักษาตัวต่อที่ประเทศไทย

‘ถา สถาพร’ เผยข้อดี หลังเลิกบุหรี่มา 5 ปี ชี้!! ประหยัดเงินไปได้เกือบ 6 แสนบาท

(24 ส.ค. 66) นอกจากสุขภาพจะดีขึ้นแล้วยังประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะเลยทีเดียว สำหรับ ผู้จัด-นักแสดง ‘ถา สถาพร นาควิไลโรจน์’ ที่ตั้งใจเลิกสูบบุหรี่มาตั้งแต่ปี 2561 จนถึงตอนนี้ก็เป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่เจ้าตัวทำสำเร็จ

โดย ‘ถา สถาพร นาควิไลโรจน์’ ได้ออกมาโพสต์แชร์ประสบการณ์หลังเลิกบุหรี่ 5 ปี ทำให้ประหยัดเงินในกระเป๋าไปกว่าครึ่งล้าน ระบุข้อความว่า "ครบ 5 ปี ที่เลิกบุหรี่สำเร็จ (24 สิงหาคม 2561-2566) เซฟเงินไปเกือบ 6 แสนบาท (150x2x30x12x5) รองาน Presenter เข้า"

ท่ามกลางคอมเมนต์ของแฟน ๆ เข้ามาชื่นชมเป็นจำนวนมาก

‘หนุ่ม ศรราม’ ฉลองวันเกิดแบบเรียบง่าย ในวัย 50 ปี ด้วยการกราบขอพร ‘แม่-ป๋าเดียร์’ พร้อมจัดปาร์ตี้เล็กๆ

(24 ส.ค. 66) เป็นวันเกิดที่น่ารักและอบอุ่นไม่น้อย สำหรับพระเอกดังอย่าง ‘หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์’ ได้เผยคลิปโมเมนต์ครอบครัวเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของตัวเองเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ครบ 50 ปีพอดี โดยเจ้าตัวก็ได้ใส่แคปชันระบุว่า…

“วันเกิด กราบเท้าแม่ กราบป๋า กราบพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรท่านช่วยคุ้มครองผมและวีจิ ด้วยนะครับผม” โดยในคลิปนั้น ‘หนุ่มศรราม’ ก็ได้เข้าไปกราบขอพรจากแม่เนื่องในวันเกิด โดยคุณแม่ก็ได้อวยพรว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะลูก ขอให้ลูกแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี” พร้อมนำพวงมาลัยไปกราบหน้ารูปของ ‘ป๋าเดียร์ ชุมพร เทพพิทักษ์’

นอกจากนี้ ยังมีโมเมนต์น่ารัก ๆ ของพ่อลูก โดย ‘น้องวีจิ’ ได้บอกว่า “แฮปปี้ เบิร์ธเดย์ป่ะป๊านะคะ หนูรักป่ะป๊าที่สุดในโลกนะคะ”

พ่อหนุ่มก็กอดหอมลูกสาว พร้อมบอกว่า “รักวีจิที่สุดในโลกนะคะ ขอบคุณนะลูก”

รวมถึงปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่คนใกล้ชิดได้ทำเซอร์ไพรส์ให้ด้วย “ขอบพระคุณเจณจินนี่ ปุ๋ม และเพื่อน ๆ   ทุกคนสำหรับงานวันเกิดเล็ก ๆ แต่ได้เจอครบทุกคน ขอบพระคุณทุก ๆ คำอวยพรจากแฟน ๆ ทุกคนนะครับ ด้วยความเคารพครับผม”

‘ณวัฒน์’ เดือด!! ขอยุติส่ง ‘เอลซ่า’ ไป Miss Intercontinenta หลังพบมีองค์กรนางงามหนึ่ง พยายามดีลลับกับทางเวทีประกวด

(24 ส.ค. 66) กลายเป็นประเด็นดรามาขึ้นมาในทันที หลังจากที่เมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ได้ออกประกาศยุติการส่งผู้เข้าประกวดเข้าแข่งขันบนเวที Miss Intercontinental เนื่องจากเกิดเหตุการณ์สุดช็อก ที่มีการเปิดดีลลับกับอีกองค์กรหนึ่งของประเทศไทย โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบ ทำให้ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ บอสใหญ่แห่งเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ ถึงขั้นโพสต์ฟาดกลางอินสตาแกรมส่วนตัว

โดยทาง มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กทางการว่า Official Announcement องค์กรมิสแกรนด์ไทยแลนด์ขอประกาศยุติการส่งผู้เข้าประกวดไปเวที Miss Intercontinental ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่เวทีมิสแกรด์ไทยแลนด์ถือลิขสิทธิ์ส่งผู้เข้าประกวดไปยังเวทีดังกล่าว โดยมีระเบียบการทำงานที่เข้าใจตรงกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดียาวนานเสมอมา โดยในช่วงแรกไม่ได้มีการเสียค่าลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ภายหลังจากสถานการณ์ COVID-19 เศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ฟื้นตัว ทางองค์กรฯ จึงเกื้อหนุนราคาค่าลิขสิทธิ์ในราคา 2,000 เหรียญสหรัฐต่อปีตามความเหมาะสมของกิจกรรม

ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ยาวนาน และธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อใกล้กำหนดการประกวด จะมีการดำเนินการทางด้านเอกสาร และเงินสนับสนุนตามอัตราที่พอเหมาะเช่นเคย แต่หลังจากที่เราประกาศตัวแทนของปี 2023 คือ ‘เอลซ่า กชกร กอนตระกูล’ เราเพิ่งทราบว่าเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีองค์กรประกวดนางงามในประเทศไทยองค์กรหนึ่ง ใช้ความพยายามพูดคุยกับทางเวทีนี้ โดยยื่นข้อเสนอในปริมาณที่น่าสนใจ จึงมีการตกลงกันและเก็บเป็นความลับโดยไม่แจ้งกล่าวตามมารยาทของการทำธุรกิจที่ควรจะมี

ดังนั้น ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางองค์กรมิสแกรนด์ไทยแลนด์จึงยุติการถือลิขสิทธิ์เวทีนี้ตลอดไป จึงแจ้งมาให้ทราบโดยทั่วกัน

ต่อมา ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ ได้ออกมาเคลื่อนไหวหลังเกิดดรามาดังกล่าว โดยเจ้าตัวโพสต์ข้อความในสตอรี่ไอจีว่า “ช้อนได้ ช้อนไป อยากได้อะไรอีกบอกได้นะครับ” พร้อมทั้งแชร์รูปประกาศยุติการส่ง เอลซ่า กชกร กอนตระกูล ไปประกวดบนเวที Miss Intercontinental ส่วนตัวแทนสาวงามของไทยที่จะส่งไปประกวดบนเวทีดังกล่าว จะเป็นใครนั้นคงต้องรอดูกันต่อไป

‘เก่ง ธชย’ ทำแฟนคลับเป็นห่วง!! หลังโพสต์ภาพตาแดงก่ำ เหตุเกิดจากเกาตาขณะหลับ ทำให้เส้นเลือดฝอยตาขาวแตก

(24 ส.ค.66) ทำเอาหลายคนออกอาการเป็นห่วงไม่น้อยเมื่อ ‘เก่ง ธชย’ โพสต์ภาพขณะอยู่ที่โรงพยาบาลเนื่องจากตาแดง พร้อมระบุข้อความว่า…

“ไม่เป็นไร ยักษ์โอเค แค่เยื่อบุตาขาวอักเสบ จะเป็นมดเอ็กซ์ไปอีกอาทิตย์สองอาทิตย์นะครับ ก่อนนอนเมื่อคืนไม่เป็นอะไร เพิ่งเป็นตอนตื่น วันนี้ตื่นสาย เลยรีบไปงานอีเวนต์ก่อน พอเสร็จงานเลยได้แวะมาหาคุณหมอ คุณหมอวิเคราะห์แล้ว ไม่ได้เกิดจากอะไรมากมาย เกิดจากความซนล้วน ๆ น่าไปเผลอเกาตอนหลับ เกาแรงและตรงจังหวะไปหน่อย เส้นเลือดฝอยตาขาวแตกเลย แต่สู้ตายครับ รับยาหยอดแล้ว พรุ่งนี้ 10 โมง เจอกัน งาน Otop ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต มาดูมดเอ็กซ์ขับเสภากันครับ หนึ่งเดียวในโลก ฝันดีครับ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับทุกคน”

‘ตั๊ก มยุรา’ เปิดใจ สาเหตุที่ไร้เพื่อน เพราะหาคนจริงใจไม่ได้ เผย แม้มีสเปซเป็นของตัวเองทำให้คบคนยาก แต่มีความสุขดี 

(24 ส.ค. 66) นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง ‘ตั๊ก มยุรา เศวตศิลา’ สาวสองพันปีที่อยู่ในวงการบันเทิงมาอย่างยาวนาน ล่าสุดมาเปิดใจในรายการ WOODY FM เผยในชีวิตนี้ไม่มีเพื่อนเพราะหาคนที่จริงใจไม่ได้ และย้อนเล่าการทำงานในวงการบันเทิงยุคแรก ๆ สุดยากลำบากต้องทำเองทุกอย่าง

>> ต้องบอกว่าพิเศษจริง ๆ เพราะพี่ตั๊ก น้อยครั้งมากที่จะมีโอกาสมานั่งเปิดใจคุยกับเราในหลายๆ เรื่องราว ผมรู้สึกว่าพี่ถึงจุดที่แลนดิ้งมานานมากแล้ว และที่เหลือคือโบนัสของชีวิตพี่ หมายถึงว่าฉันไม่ต้องการดังมากไปกว่านี้ ไม่ต้องการอยู่หน้าจอตลอดเวลา?

“คืออย่างที่บอกยุคมันเปลี่ยนไป วู้ดดี้สังเกตุไหมว่าตอนนี้ใครที่อยากอยู่หน้าจอก็จะต้องมีเรื่อง ที่มันไม่ใช่เรียบง่าย ครอบครัวดีน่ารักไม่ใช่ มันต้องมีเรื่องแรงๆ เพราะว่าพี่ก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่ค่อยได้มีอะไรมาก”

>> เป็นยังไงบ้างระหว่างคนทำธุรกิจกับเป็นเซเลบริตี้ ต่างกันยังไงบ้าง?

“ต่างสิ พี่ก็ชอบทำธุรกิจนะ พี่ไม่ชอบสังคม พี่ไม่ชอบไปไหน พี่ไม่มีเพื่อน ตลกไหม”

>> พี่ไม่มีเพื่อน ?

“พี่ไม่มีเพื่อน พี่ไม่คบใคร แต่เจอหมดนะ เจอคนนี้สวัสดีค่ะเสร็จแล้วก็จบไป จะไม่มีกลุ่มเพื่อน อย่างล่าสุดพี่มีกลุ่มเพื่อนหนึ่งอยู่ในวงการ เฮ้ย! เธอดูแลตัวเอง เธอผอมอยู่เลย เธอรู้ไหมฉันมีเพื่อนตั้ง 5 กลุ่มแน่ะ เราก็บอกฉันไม่มีสักกลุ่ม ซึ่ง 5 กลุ่มนี้ มันกินกันทุกวันเลย เดี๋ยวก็ไปกินแชร์ เดี๋ยวก็ไปเจอกัน เดี๋ยวก็ดริ๊งอะไรกันไป พี่ไม่มี ถามว่ารู้สึกยังไงไม่รู้สึก พี่ก็มีความสุขของพี่ เพราะดันทะลึ่งไปมีสเปซ พี่คบคนยากนะ”

>> ความอยากคืออะไร?

“คือเราจะ...อือ! ไว้ก่อน แต่ไม่ได้มองว่า คนนี้จะเข้ามามีผลประโยชน์ไม่ใช่ แต่พี่มีความรู้สึกว่าทุกอย่างอะไรก็ตามถ้ามันยาก มันมักจะมีราคา มองอย่างงี้คือจะมีบางกลุ่มที่แกดีกับฉัน ทำไมแกเป็นอย่างนี้เป็นอย่างงั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้ใครจริงใจกับเรา พอเราเจอกันแล้วเราก็จะรู้ไง หาคนจริงใจไม่ได้ ก็เลยไม่มีเพื่อน คนที่รักเรามากที่สุดคือตัวเอง พี่รักตัวเองมากเลย รักเขาน้อยกว่ารักตัวเอง สมัยก่อนนะพี่เคยพูดว่าคุณหนุ่ย สัก 10 กว่าปีแล้วนะ ถ้าไม่มีคุณหนุ่ยอยู่ตอนนี้ ตั๊กไม่รู้จะอยู่ยังไง พี่ก็มีแนวอ้อน ๆ ของพี่อยู่ จะอยู่ได้ไหมก็ไม่รู้ แล้วหันไปถามเขาว่าถ้าไม่มีตั๊กคุณอยู่ได้ไหม ผมอยู่ได้ จบ! เขาก็รักตัวเอง พี่ก็รักตัวเอง เพราะงั้นเรารักตัวเองดีกว่า ไม่มีใครจริงใจกับเราในโลกนี้ แต่จริงไหมล่ะ”

>> อยากจะย้อนกลับไปตอนที่พี่เข้าวงการตอนอายุ 17 วันนั้นกับวันนี้คนละเรื่องเลย ดาราก็น้อยมาก ดังนั้นเราจะเห็นมยุราแทบทุกเรื่อง ทุกอย่าง?

“ก็มันดังจริง ๆ ในตอนนั้น อย่างเวลาเปิดหนังเรื่องหนึ่ง ก็จะลงหนังสือพิมพ์อย่างเดียว อีกอาทิตย์หนึ่งถึงจะเห็นในหนังสือพิมพ์ สมัยก่อนจะมีหนังสือพิมพ์เข้าไปอยู่ตามกองถ่าย เมื่ออายุ 17 พี่ได้ค่าตัวครั้งแรก 25,000 บาท พี่ว่าเยอะนะ เพราะงั้นยุคมันเปลี่ยนแล้ว ถ้าย้อนกลับไปมันเหนื่อยมาก ดารารุ่นนี้โชคดีที่สุด ต้องขับรถเอง กระเป๋าแต่งหน้าต้องเอาไปเอง เสื้อผ้าต้องหิ้วไปเอง แล้วสมัยก่อนจะมีคนส่งคิว ขับรถมาเสียบไว้หน้าบ้าน ไม่มีไลน์อย่างสมัยนี้นะ แล้วเราก็มาดูพรุ่งนี้มีซีนอะไร ใส่เสื้ออะไร ชุดนอน 3 ชุด ชุดเที่ยว 3 ชุดก็ว่าไป แล้วเราก็จัดใส่รถไป ไม่มีแผนกคอสตูมให้เราเดาเอาเอง ในสมัยนั้นพระเอกนางเอกก็ขนเสื้อผ้าไปเองและแต่งหน้าเอง แต่ว่าพอมาละครก็ดีขึ้น ก็มีช่างมาแต่งหน้า ก็มาตามยุคสมัย เพราะงั้นพี่โชคดีพี่อยู่ทุกสมัย เห็นทุกสมัย มันก็น่าสนุก”

>> ที่ผ่านมาตลอดชีวิตนี้ เรื่องที่ทำให้พี่สุขที่สุดคือเรื่องอะไร?

“สุขแรกคือการเป็นตัวเอง เพราะพี่ไม่ใช่เด็กเรียนหนังสือ พี่ขี้เกียจเรียนมาก แม่ให้ไปเรียนให้ไปซื้อชุดบัลเลต์พี่เป็นเด็กนาฎศิลป์ เอาไปทำอย่างอื่น ไม่เอาไม่ชอบเรียน เราก็เลยต้องไขว้คว้า ดันไปเชื่อพระ บอกว่าเราวาสนาดีที่สุดในพี่น้อง สมัยก่อนดาราเป็นยากมาก พี่ก็อยากเป็นดารา หน้าตาเราก็เริ่มดี ก็ฝั่งอยู่ในหัว พี่คิดว่าคนเราถ้าอยากทำอะไรจิตมันจะบอก คิดอยู่ตลอดว่าฉันน่าจะได้เป็นดารา ปรากฎว่าไปเดินช้อปปิ้ง สมัยก่อนเป็นห้างไทยไดมารูไปกับแม่ก็มีแมวมองเขาถ่ายรูปไป พี่ก็เริ่มได้ถ่ายหนังสือลลนา ขึ้นปกหนังสือ นั่นแหล่ะคือที่มาของการเป็นดารานักแสดง”

>> ตอนเป็นดาราสมัยนั้นต้องปิดหลายเรื่องไหม?

“คบกับใครหรือมีคนจีบพูดไม่ได้ ถ้าจะมารับต้องจอดอยู่ในรถ มีแฟนแล้วความนิยมจะตกเขาคิดอย่างงี้ไง สมัยก่อนเราเด็กก็ไม่รู้เรื่อง สมัยก่อนเราก็ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเลยเพราะเด็ก พูดอะไรก็จะกลัวหมดไม่กล้าพูดไม่กล้าตอบ แต่การเป็นพิธีกรมันฝึกให้เรากล้า พี่เพิ่งมากล้าตอนหลังนี่แหล่ะ ตอนแต่งงานยังไม่กล้ามาก”

>> พิธีกรแรกคือรายการอะไร?

“ก่อน 7 สีคอนเสิร์ต มี 2 รายการพร้อมกันเลย มีรายการโชคติดปุ่มอะไรสักอย่างแล้วก็ทำช่อง 7 ทั้งสองอัน นั่นแหล่ะรายการสดมันสอนเรา มันต้องเป๊ะมันต้องแก้ปัญหา ซึ่งตอนนั้นคู่กับ พี่เบิร์ด หลังจากนั้นเบิร์ดก็ไปโด่งดังทำอัลบั้ม หลังจากนั้นก็เป็น แซม ก็มาทำต่อ”

>> ยากที่สุดในการใช้ชีวิต?

“การมีชีวิตคู่ คุณหนุ่ยนี่อยู่มากกว่าพ่อแม่นะ วู้ดดี้สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่อยู่กันไม่ค่อยรอด ขีดความอดทนมนุษย์สมัยพี่มันมีมากกว่า ผู้หญิงมันจะอดทน จะเจอเรื่องมากมายเข้ามาในชีวิต ตอนแรกเราแต่งก็โอเคเราเลือกคนนี้ถูกแล้ว เราจะไปตายเอาดาบหน้า เราไม่ได้คิดถึงตอนที่จะมีเรื่องอะไร พอเรามีชีวิตคู่ปุ๊บเคยเหนื่อยแค่นี้เราต้องเหนื่อย 2 อย่าง การที่ต้องคอนโทรล และต้องอยู่กับคนที่มาจากอีกครอบครัวหนึ่ง อยู่มากกว่าพ่อแม่เรา แล้วทำยังไงที่จะให้มันจูนอยู่ได้ตลอดเวลา เพื่อให้ศิลป์เสมอกัน นั่นคือการทดสอบ ยากนะ แต่มันก็ทำได้”

>> กลัวอะไรมากที่สุด?

“กลัวตายยังไม่อยากตาย เราเกิดในครอบครัวธรรมดา เราก็จะมีลูกหลานที่ต้องดูแล เหมือนเราไม่ปล่อยวาง เรายังต้องดูเขาอยู่ แต่บางบ้านในเวลาเขามีครอบครัวแล้วไม่เอาลูกหลานเลยนะ ชีวิตของพี่ย้อนกลับไปที่ความสุข สุขของพี่คือครอบครัว ครอบครัวพี่ก็ต้องดีด้วย เพราะฉะนั้นคนใกล้ตัวพี่ต้องมีความสุขด้วย เพราะฉะนั้นยังตายไม่ได้”

‘พีช พชร’ กับท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนใส่ ‘พิธา’ หลังเปิดธุรกิจใหม่วันแรก ทำชาวเน็ตเอ็นดูมาก

เมื่อวานนี้ (23 ส.ค. 66) ทำธุรกิจประสบความสำเร็จไปหลายอย่างแล้ว สำหรับ ‘พีช พชร จิราธิวัฒน์’ ล่าสุดเปิดตัวธุรกิจใหม่ร่วมเป็นหุ้นส่วนร้านอาหาร Khao-So-i ข้าวโซอิ หรือก็คือร้านข้าวซอย โดยยกข้าวซอยของขึ้นชื่อทางภาคเหนือมาไว้ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดตัวเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยวันแรกมีคนดังมาร่วมแสดงความยินดีหลายราย หนึ่งในนั้นคือ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่ง ‘ทิม พิธา’ ได้โพสต์รีวิวไว้ในติ๊กต็อกส่วนตัว ระบุว่า…

“เมื่อวานได้ไปทานข้าวซอยที่ร้าน Khao-So-i ข้าวโซอิ ที่มาเปิดสาขาใหม่ที่กรุงเทพฯ เมนูสร้างสรรค์และอร่อยมาก ๆ ครับ อาหารไทยที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ใส่ความสร้างสรรค์ไปเพิ่ม จะไปได้ไกลกว่านี้อีกมากครับ”

โดยในคลิปดังกล่าว มีช่วงที่ ‘พีช พชร’ ได้เดินมาพูดคุยกับ ‘ทิม พิธา’ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการสำรวมและนอบน้อม ทำชาวเน็ตต่างพากันเอ็นดู เข้าไปเมนต์แซวกันกระจายเลยทีเดียว

‘หนุ่ม กรรชัย’ ยัน!! ไม่เคยเรียกเก็บเงินแขกออกรายการ หลังถูกแอบอ้างบ่อย ชี้!! ตนเป็นสื่อ ต้องมีจรรยาบรรณ

(24 ส.ค. 66) สำหรับพิธีกรคนเก่งอย่าง ‘หนุ่ม กรรชัย’ ที่วันนี้จะมาเคลียร์ชัด ๆ ในรายการ มิสเปรียญ 9 ในประเด็นที่คนเม้าท์ว่า เรียกเก็บเงินแขกรับเชิญ พร้อมตอบข้อสงสัยกำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่?

“ถามว่าเคยโดนข่มขู่ไหม มีบ้าง เพราะการทำงานจะมี 2 มุม มีทั้งคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ส่วนตัวเชื่อว่ารายการฮาร์ดทอล์คอะไรแบบนี้ ความเป็นกลางมันไม่มีหรอก มันมีแต่ ความเป็นธรรม”

>> กำลังทำเกินหน้าที่สื่อหรือไม่ ?

“เคยมีคนพูดกับพี่เหมือนกัน ช่วงทำรายการแรก ๆ ก็มีสื่อด้วยกันเองบางคนพูดว่า "สื่อไม่ได้มีหน้าที่ไปช่วยเหลือใครแบบนี้ สื่อมีหน้าที่แค่อยู่ตรงกลาง และนำเสนอเท่านั้น" ตอนนั้นเรื่องแพรวา 9 ศพ พี่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหยื่อทุกคนขอบคุณพี่หมด ผมอาจไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นสื่อ แต่การเป็นสื่อมันต้องมีเรื่องของจริยธรรม จรรยาบรรณ และความเป็นมนุษย์ด้วย ผมแค่ใช้โอกาสในการเป็นสื่อ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนอื่นที่ลำบาก มันคือความเป็นมนุษย์”

>> ส่วนเรื่องเรียกเก็บเงินแขกรับเชิญที่มาออกรายการ?

กรรชัย ยืนยันชัดว่า “ไม่เคยเรียกเก็บเงินเลย ให้ตายจริง ๆ ส่วนเรื่องเงิน 3 แสนบาท เป็นเคสทนายความไปเรียกเงินลูกความแล้วบอกจะพามาออกรายการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับรายการ รายการมีแต่ให้เงิน แต่ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า บางพื้นที่ไปพูดกับชาวบ้านประมาณว่า เอามา 3,000-5,000 บาท จะพาไปออกโหนกระแส ถ้าพี่รู้พี่ก็จะโทรไปคุยเลย โดนแอบอ้างบ่อยมาก”

‘มาย-อาโป’ ขึ้นแท่นนักแสดงฮอตระดับโลก สร้างมูลค่าสื่อให้แบรนด์หรูรวมกว่า 159 ลบ.

‘มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง’ และ ‘อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์’ สองนักแสดงสุดฮอต เปิดเส้นทางในวงการบันเทิงนานกว่า 10 ปี จนกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า สร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ระดับโลก ได้มากกว่า 159.9 ล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31

>>ซีรีส์ที่เล่นชื่อว่าคินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ ดังทั่วโลก กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นดารา ตอนวัยเด็กอยากเป็นอะไร?

มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่

อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึก ๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ ๆ

>>มาเป็นนักแสดงได้ยังไง?

อาโป : พอดีช่วงที่ค้นหาชีวิต เราบังเอิญเจอผู้จัดการคนเก่า คือพี่เบิ้ม เขาก็พาไปเดินแบบ เดินอยู่สักพัก ตอนนั้นเขาให้ไปแคสที่ช่อง 3 บังเอิญแคสไม่ผ่าน เขาก็เลยบังเอิญไปเจออีกคน คือพี่หนุ่ม กฤษณ์ ตอนนั้นกำลังจะถ่ายสุดแค้นแสนรัก เขาให้ไปแคสเรื่องนั้น ที่เล่นกับพี่เบนซ์ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ได้เป็นนักแสดง นั่นคือเรื่องแรก แคสกับช่องไม่ผ่าน แต่แคสกับพี่หนุ่ม พี่หนุ่มบอกว่าต้องเป็นบทคู่แฝด แล้วโปดันไปคล้ายกับอีกคนนึง เขาก็เลยให้มาลองดู แล้วส่งไปเรียนการแสดง ซึ่งผ่านมา 10 ปีพอดี พี่เบนซ์ยังสวยเหมือนเดิม (เบนซ์บอกว่าอาโปมีแววอยู่แล้ว เป็นคนขี้สงสัยแล้วก็จะถามเลย เด็กบางคนไม่ได้ถาม บอกมาก็เล่นตามนั้น แต่อาโปเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งเป็นข้อดีเพราะพอถามแล้วได้ความรู้ กว่าจะจบเขาก็เล่นเก่งเลย

>>หลังเรื่องสุดแค้นก็ได้เล่นอีกหลายเรื่อง แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตใหม่ ก้าวใหม่ของชีวิต?

อาโป : ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าตอนนั้นพอเล่นสุดแค้นเสร็จ บังเอิญได้ไปเล่นกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เรื่องเลือดมังกร แล้วเล่นกับพี่นก ฉัตรชัย พี่นกเขามีแพชชั่นทางด้านแสดง ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเราจะเอาอันนี้เป็นอาชีพ เราต้องทำยังไงกับมันบ้าง ต้องตั้งคำถามยังไง ต้องศึกษายังไงกับการเป็นตัวละคร เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราจะเอาดีด้านนี้แล้วนะ เราทำมาเรื่อย ๆ ก็คิดว่าการละครไม่ตอบโจทย์เรา สมมติปีนึงมีพีเรียดนึง มี 3 พาร์ต เขาถ่ายพาร์ตละ 2-3 เรื่อง มันทำให้เราไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างอื่น ตอนนั้นอยู่มา 2-3 ปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราถ่ายแต่ละคร ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คิดว่าเฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เองเหรอ เราอยากออกไปเจอโลกบ้าง ได้เรียนรู้มุมอื่นบ้าง อยากไปทำงานที่ทุกคนทำงานอย่างละเอียดอ่อน เราเป็นเด็กช่างสงสัย ก็จะถามตัวเองตลอด ทำไมถึงเป็นอันนี้ไม่ได้ ทำไมถึงได้แค่นี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เราก็เลยย้ายไป ตอนนั้นตัดสินใจออก เก็บของ ขายทุกอย่างทิ้งที่เมืองไทย แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์ก

>>มายเข้าวงการได้ยังไง?
มาย : พอเรียนวารสารเราก็เปิดใจว่าจริงๆ ต้องหาอะไรทำ ระหว่างเรียน เราจะได้เรียนรู้หน้างานด้วยนอกจากวิชาการ การไปคุยกับคนต่าง ๆ ก็ได้มายด์เซตว่าเราควรเปิดใจกับทุกอย่างที่เข้ามา เพราะโลกกว้างมาก ก็เริ่มไปเป็นดีเจคลื่นวิทยุคลื่นนึงตอน 18 เราก็คุยหมดเลย ช่างแต่งหน้าวันนั้นก็ยังแต่งหน้าวันนี้ คนแรกกับปัจจุบันก็เป็นคนเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าวงการบันเทิงมีหลากหลาย พอมีอะไรมาก็ไปแคส บวกกับความใจดีของเรามั้ง เวลาใครบอกไปทำนี่ให้หน่อยสิ เราก็ไปทำ โดยเราไม่ได้คาดหวังว่าจะดังหรือได้เงิน เพราะเราทำโดยไม่ได้ต้องการเรื่องตรงนั้นสักเท่าไหร่ เหมือนคินน์พอร์ชเหมือนกัน เราก็แค่ไปช่วยเขา เพราะเขาบอกว่าบทนี้มาจากบุคลิกเราบางอย่าง เพราะนักเขียนรู้จักเรา ก่อนรู้จักนักเขียนก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการ เขาก็ชวนเราไปออกรายการเขา แล้วเขาก็เห็นแค่นั้นเอง เราก็ไปสิ แต่ไม่มีใครรู้จักพี่นะ ไปได้มั้ย ก็ไปช่วยกัน หลังจากนั้นสองเดือนเขาก็ติดต่อมาอีก ว่ามีนิยายที่เขาเขียน เขาอยากทำเป็นซีรีส์ เขาเขียนจากตัวมายประมาณใหญ่ ๆ เลยแหละ ลองไปแคสให้ดู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเล่นหรือเปล่านะ เพราะไม่รู้แอ็กติ้งได้ดีขนาดไหน ก็ลองดู แล้วก็ลุย มาถึงตอนนี้

>>อาโปไปทำอะไรอยู่อเมริกา?

อาโป : เราอยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ทั้งหมด ตอนเล่นละครมา ก็จะมีระบบที่เขาบอกว่าคุณต้องวางตัวแบบนี้ คุณต้องเป็นแบบนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ จริง ๆ เราคือมนุษย์ เราควรทรีตทุกคนเท่ากัน เราควรใช้ชีวิตปกติได้สิ เราก็เลยตั้งใจไปที่นั่น แล้วขาดการติดต่อกับคนฝั่งนี้ เมื่อก่อนเรามีผู้จัดการ แต่ ณ วันนี้เราต้องดีลทุกอย่างด้วยตัวเอง เวลาเราอยากได้อะไร มันเลยเหมือนต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น พอไปปั๊บก็คิดว่าถ้าวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ เราเป็นนักแสดงไม่ได้ เราทำอะไรได้บ้าง ณ วันนั้นฉุกคิดมาว่าเราทำอะไรไม่เป็นเลยนี่หว่า เราเป็นนักแสดงได้อย่างเดียว เราก็เริ่มค้นหาว่าเราเป็นอะไรได้บ้าง เราเลยไปลองถูพื้น เป็นแคชเชียร์ เป็นบาร์เทนเดอร์ ก็คิดว่าเป็นชีวิตอีกแบบนึง นี่คือมนุษย์จริง ๆ เพราะเรื่องภาพลักษณ์ที่เรามี เรื่องหน้าตาที่อื่นเขาไม่รู้จักเรา เขาไม่แคร์เราเลย เขาทรีตเราเป็นมนุษย์คนนึง ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจริง ๆ มนุษย์คืออะไร ซึ่งสิ่งนั้นแหละทำให้เราอยากลองไปแคสเป็นนักแสดงที่นั่น ต่อให้เวิร์กหรือไม่เวิร์กอย่างน้อยเราได้ลองทำ บังเอิญโควิดเข้า เสน่ห์นิวยอร์กคือคนพลุกพล่าน พอทุกคนหยุดแล้วหายหมดเลย เราก็เฮ้ย เสน่ห์หายไป เราไปทำอย่างอื่นดีกว่า ก็คิดว่ากลับมาที่เมืองไทยดีกว่า บังเอิญตอนนั้นมีคินน์พอร์ชเปิดให้แคส เราก็เลยไปแคส แล้วบังเอิญได้เล่น จนทุกวันนี้

>>เหมือนเส้นทางชีวิตต้องมาทางนี้ เขาดังมากจริง ๆ คินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ โด่งดังถึงขนาดไปเล่นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์?
อาโป : ไปหลายเมือง มีไทเป สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์

>>เวลามีตติ้งแฟนคลับจะเป็นแบบนึง แต่นี่คอนเสิร์ตยิ่งใหญ่อลังการ รู้สึกยังไงบ้างที่วันนั้นพี่เขาชวนเรา เราลองดู อีกคนโควิดกลับมาเมืองไทย จนความสำเร็จเวอร์วังขนาดนี้ รู้สึกยังไงบ้าง?

มาย : จริง ๆ ผมมีความสุขมาก เพราะคลิกสุดท้ายที่เราเลือกว่ามาทำบันเทิงเต็มตัวดีกว่า ให้เวลาโดยทิ้งงานอื่นไปเลย คือเราอยากสร้างความสุขให้คน ส่งต่อความสุขให้คนผ่านงานบันเทิง เราชอบกีตาร์ เราชอบร้องเพลง แอ็กติ้งได้บ้าง มาผนวกรวมกัน พอไปคอนเสิร์ตเราได้เจอคนหลากหลายประเทศ หลากหลายเมือง หลากหลายโลเกชั่น เราเห็นแววตาของความสุข เสียงกรีดร้องที่ไพเราะต่าง ๆ นานา มันเป็นเอเนอร์จี้ที่เรามีความสุขจากงานที่พวกเราทำ นั่นคือทำให้ผมโอเคมาก ๆ กับเป้าหมายในวงการบันเทิง

อาโป : โปภูมิใจมาก ในฐานะนักแสดง สิ่งที่เราทำ คือเราเป็นตัวแทนในการเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวละคร ให้คนดูได้กำลังใจ ได้เรียนรู้ชีวิต แต่พอเราได้ทำคอนเสิร์ต เราส่งไปปั๊บเราเห็นเลยว่าเขามีความสุข มันเลยเป็นอีกเวย์ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง เราแค่เต็มที่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาโดยเราไม่ได้ทำอะไรมากเลย ทำให้รู้ว่าหลาย ๆ ที่ในโลก สิ่งเชื่อมกันคือความสุข

>>การสร้างมูลค่าทางสื่อ 160 ล้าน ไปทำอะไรมา?
มาย : จริง ๆ เราสองคนเป็น House Ambassador ของดิออร์ ของประเทศไทย ไปร่วมงานที่ฝรั่งเศส
อาโป : พลังของแฟน ๆ ทั่วโลกเขาซัปพอร์ตกันลงโซเชียล มันเลยทำให้ยอดสื่อไปถึงขนาดนั้น ก็ขอบคุณแฟน ๆ มาก ๆ

>>หนึ่งโพสต์ ทำให้ยอดซื้อสินค้าพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น สองคนรวมกัน 160 ล้านถือว่าเยอะมาก ๆ ล่าสุดมายเป็นอะไร?
มาย : เฟรนด์ ออฟ เกอร์แลง ต้องขอบคุณแบรนด์ด้วย ผมเป็นในพาร์ตของน้ำหอม เดือนที่แล้วไปฝรั่งเศสมา ไปดูของเกอร์แลง ทั้งเกอร์แลง ทั้งดิออร์ การทำงานเขาเจ๋งมากในทุกส่วนจริง ๆ แล้วโปรดักส์เขาดีมาก ๆ

‘แอร์ ภัณฑิลา’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ แล้ว พร้อมอวดความน่ารัก เหล่าคนบันเทิง-แฟนคลับ แห่คอมเมนต์ร่วมแสดงความยินดี

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 66 พิธีกรสาวร่างเล็ก ‘แอร์-ภัณฑิลา ฟูกลิ่น’ คลอด ‘น้องฑิลาร์’ ลูกสาวคนแรก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย สาวแอร์ ได้เผยโฉมให้เห็นกันเป็นครั้งแรกผ่านไอจีส่วนด้วย ระบุว่า…

“𝐃𝐀𝐘𝟏 : เบบี๋ ฑิลาร์ รายงานตัวค้าาาา…🐰💖
#bunnytila🐰 #babytila🍼
#อ่อแอร์เอง #bunnyaire”

ในภาพจะเห็นคุณแม่มือใหม่ นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับลูกสาวสุดน่ารักน่าชัง และมีสามี ‘ไอซ์-รัชชสิทธิ์ มั่นคงธนทรัพย์’ นักธุรกิจหนุ่มอยู่คอยเฝ้าให้กำลังใจไม่ห่าง

หลังจากโพสต์ไปไม่นาน มีดารา นักแสดง และแฟนคลับเข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก เช่น

- โยชิ รินรดา เข้ามาคอมเมนต์ว่า “ยินดีด้วยนะค้า”
- ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ยินดีด้วยน้าาาค้า”
- ดิว อริสรา เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “On the rainy afternoon Tequila came to the world! มีคนแถวนี้พูด Soooooo Cute!”
- คิมเบอร์ลี่ นางเอกดัง เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “Congratulations naka sisss” เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top