Sunday, 8 June 2025
NEWSFEED

เปิดฤกษ์วันไหว้ขนมบัวลอย 07.19 - 17.56 น. ตรง 22 พฤหัสบดี มีทั้ง 'เหมายัน' และ 'ตังโจ่ย'

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เงยหน้ามองสิ่งที่แขวนอยู่ตรงฝาผนังแทบทุกบ้าน 'ปฏิทิน' รายเดือนพิมพ์สองสี (แดง - น้ำเงิน) บนกระดาษปอนด์ขาว แสดงตารางวันเต็มแผ่น (หน้า) ละเดือน แต่ละวันระบุข้างขึ้นข้างแรม (ทางจันทรคติ) วันธรรมสวนะ (วันพระ) และวันสำคัญต่างๆ ตลอดทั้งปี ยิ่งเฉพาะช่องวันที่ 1 และ 16 จะมีตัวเลขยึกยือไว้ให้ส่องตีความกันด้วย

นิวาสสถานบ้านใดมีปฏิทินแบบที่กล่าวมาก็จะสังเกตเห็นว่า วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2565 นี้ (แรม 14 ค่ำ เดือน 1) ซ่อนความสำคัญอยู่สองนัยยะ หนึ่ง คือเป็น 'วันเหมายัน' (อ่านออกเสียง เห - มา - ยัน) ตามความเชื่ออย่างฮินดูคติ พร้อมกันนี้ตำราดาราศาสตร์ฝรั่งยังเรียกวันนี้ว่า 'Winter Solstice' (วินเทอร์ ซอลส์ทิซ) ส่วนไทยบ้านเราบอกต่อๆ กันมา 'ตะวันอ้อมข้าว' ซึ่งความหมายโดยรวมก็คือ…

"...วันที่แกนโลกทางซีกโลกเหนือเอียงออกจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ส่งผลให้ประเทศทางซีกโลกเหนือ (รวมถึงประเทศไทยเรา) มีกลางวันสั้น และกลางคืนยาวนานที่สุดในรอบปี" นั่นเอง

อีกหนึ่งนัยยะแบบบูรพาวิถี จะถือเอา 22 ธันวาคม ของทุกปี (แต่บางปีก็ก่อนหน้าหนึ่งวัน) เป็น 'วันไหว้ขนมบัวลอย' หรือ 'เทศกาลตังโจ่ย' (冬至) อันหมายถึง 'เทศกาลเหมันตฤดู' จุดเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นเทศกาลสุดท้ายของชาวไทยเชื้อสายจีนในรอบหนึ่งปีปฏิทินผ่านมา

ในเทศกาลนี้จะมีการทำ 'ขนมบัวลอย' หรือ 'ขนมอี๋' มาไหว้คารวะฟ้าดิน ปึงเถ่ากง ตี่จู๋เอี๊ย (เจ้าที่เจ้าทาง) เพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยให้การดำรงชีวิตของสมาชิกของแต่ละครอบครัวสามารถดำเนินมาอย่างราบรื่นตลอดสามร้อยหกสิบห้าวัน และยังเพื่อขอพรให้ช่วยคุ้มครองทุกๆ คนต่อไป

ขนมบัวลอยหรือขนมอี๋ที่ใช้ในการไหว้ ทำจากแป้งข้าวเหนียวนวดกับน้ำสุกจนเข้าที่ ปั้นเป็นเม็ดกลมเล็ก นิยมผสมสีชมพูหรือสีขาว โดยทรง 'กลม' ของขนมนั้นหมายถึง 'ความกลมเกลียว' กันในหมู่ญาติพี่น้อง ส่วนสีชมพูก็คือความโชคดี โดยของสักการะอื่นๆ ก็ประกอบด้วย กระถางธูป, เทียนแดง 1 คู่, ธูป 3 (หรือห้า) ดอก, ผลไม้, น้ำชา 5 ถ้วย วางพร้อมขนมบัวลอย 5 ถ้วย

ทั้งนี้ตามหลักของปฏิทินจีนเทศกาลไหว้ขนมบัวลอย จะไม่ได้ระบุวันอย่างตายตัว แต่จะยึดเอาวันซึ่งตรงกับเดือน 11 หรือเดือนธันวาคม หรือ 'เกี๋ยวง๊วย' แต่ตามปฏิทินทางสากล (สุริยคติ) วันตังโจ่ยจะตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ของทุกปีพอดี

เมื่อกิจกรรมแสนสุขกลายเป็นเรื่องทุกข์ของ 'โอรสแห่งสวรรค์' เพราะมันคือภารกิจเพื่อ 'การมีทายาทสืบทอดราชวงศ์'

SEX แห่งจักรพรรดิชิง กฎระเบียบที่ 'ขัดกับความเป็นมนุษย์'

จากคราวที่แล้ว ผมบรรยายถึงเรื่องของขันทีจีน อารยธรรมที่ส่งต่อข้ามศตวรรษ จนกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลทางวัฒนธรรมของแผนดีนจีนอยู่พักใหญ่ ทีนี้มาดูถึงฝ่ายในที่ขันทีพวกนี้ทำงานอยู่บางกันดีกว่า 

แน่นอนพวกเราหลายคนคงเคยดูหนังจีนย้อนยุค (ใช้คำว่าหนังจีนนี่แหละ ดูย้อนยุคดี)  จะเห็นว่าฝ่ายในนั้นจะมีนางสนมของฮ่องเต้ เป็นร้อย เป็นพัน ทั้งจากคัดเลือกของฝ่ายในเพื่อถวายฮ่องเต้โดยเฉพาะจากมเหสีหรือจากนางกำนัลของรัชกาลก่อน ทั้งจากบรรดาขุนนางฝ่ายหน้าที่หวังจะก้าวหน้าจึงเอาลูก เอาหลาน เอาญาติมาถวาย บ้างก็ผ่านการคัดสรรมาจากแดนไกลเพื่อมาหมั้นหมายสร้างสัมพันธไมตรี ความเยอะแยะมากมายแบบนี้แหละที่ได้สร้างตำนานหงส์เหนือมังกรขึ้นมา สุดท้ายก็พาลทำให้หลายราชวงศ์ของจีนถึงกาลล่มสลาย อย่างราชวงศ์ชิงนี่ก็ถึงกาลอวสานด้วยความหลงอำนาจ นำพาจีนให้กลายเป็นดินแดนอ่อนแอด้วยน้ำมือของพญาหงส์อย่างพระนางซูสีไทเฮา

ทีนี้อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงคิดกันว่าถ้าได้เป็นฮ่องเต้ต้องสำราญเป็นแน่แท้ เพราะสนมนางในมีมากมายก่ายกอง ต้องได้ลองรักลองเลิฟกันสนุกสนาน แต่จากการศึกษาเรื่องราวตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ผมบอกได้เลยว่า น่ากระอักกระอ่วน อึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง รันทดระคนสงสาร พาลเลิกจินตนาการเรื่องความหวาบหวามกันไปเลยทีเดียว เพราะมันมีการควบคุมเรื่องอย่างว่าสำหรับ 'ฮ่องเต้ชิง' กันอย่างเข้มงวด เพราะมันคือภารกิจสำคัญ ภารกิจเพื่อ 'การมีทายาทสืบทอดราชวงศ์' และเพิ่มโอกาสที่จะได้โอรส 'เพศชาย' มาสืบทอดบัลลังก์มากขึ้นนั่นเอง 

Sex ที่อยู่ภายใต้การควบคุมมันเป็นอย่างไร? ปุถุชนแบบเราคงจะนึกภาพกันไม่ออก แต่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ 'ชิง' ราชวงศ์สุดท้ายของแผ่นดินจีน ทรงรู้รสชาติของมันเป็นอย่างดี จากชนเผ่านอกด่าน สู่การกุมอำนาจราชสำนัก จักรพรรดิชิงได้รับเอาขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ของราชวงศ์ 'หมิง' ซึ่งเป็นชาวฮั่นมาใช้พร้อมกับพัฒนาระบบเฉพาะตัว โดยเฉพาะเรื่องกิจกรรม 'บนเตียง' ในวังหลวง ถือว่าพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ถ้าเราเคยชมภาพยนตร์ไทยอย่าง 'สุริโยทัย' จะเห็นภาพการถวายงานแบบนั่ง 'พับเป็ด' ทาเครื่องประทินผิวทั่วตัว เปลือยสรีระสำคัญ แต่ข้อห้ามที่สำคัญอย่างยิ่งคือ 'ห้ามเท้า' ซึ่งเป็นของต่ำถูกพระวรกายขององค์ขุนหลวง นี่ว่าลำบากแล้วนะ แต่นั่นก็ยังน่าจะยังลำบากไม่เท่าการถวายงานแก่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง ซึ่งมันค่อนข้าง 'ขัดกับความเป็นมนุษย์' ซึ่งแปลจากภาษาจีนที่เรียกว่า 'ฟ่านเหรินซิ่ง' 

ก่อนจะไปรู้ว่า 'ฟ่านเหรินซิ่ง' เป็นอย่างไร ? เรามาลองอ่านลำดับชั้นของฝ่ายในกันก่อน สำหรับฝ่ายในสมัย 'ราชวงศ์ชิง' นั้นจะมีลำดับอยู่ 3 ชั้น คือ 

1. จักรพรรดินี คือ 'มเหสีเอก' หรือ 'อัครมเหสี' ภรรยาทางการขององค์จักรพรรดิ คือหญิงที่ได้รับการยกย่อง เคารพนับถือสูงสุดในจีน เป็นรองก็เพียง องค์จักรพรรดิ และพระมารดาของจักรพรรดิ 

2. พระมเหสี คือ 'มเหสีรอง' มักจะเป็นหญิงสาวที่จักรพรรดิถูกใจ ได้รับแต่งตั้งไว้ในระดับที่สำคัญแต่ไม่ที่สุด ยกเว้นเมื่อเกิดกรณีที่ 'มเหสีเอก' ไม่มีทายาทเป็นชาย แต่ 'มเหสีรอง' กลับมีทายาทเป็นชาย ทีนี้สถานะก็จะกลับกลายไปเป็นเสมอได้ ในสมัยราชวงศ์ชิงมีตำแหน่ง 'พระมเหสีถึง 4 ตำแหน่ง' ด้วยกัน 

3. นางสนม ลำดับมีมากที่สุด ตามบันทึกแบ่งเป็น 8 ลำดับขั้น คือ พระสนมเอก พระสนม นางสนมกำนัล นางกำนัล กุลสตรี นางกำนัลขานรับ และเจ้าพนักงานหญิง ซึ่งรวมแล้ว อาจจะมี 50 - 80 คน หรือมากกว่านั้น โดยใน 8 ลำดับขั้นนั้นต้องผ่านการคัดเลือกจากหญิงสาวร่วม 5,000 คน ซึ่งการคัดเลือกแต่ละครั้งจะมี 'ขันที' เป็นผู้ทำหน้าที่นี้ เอาล่ะ! เริ่มกระบวนการ 'ฟ่านเหรินซิ่ง'

เริ่มต้นการเลือกนางสนมแห่งค่ำคืนนั้น ด้วยการนำป้ายชื่อของนางสนมแต่ละคนมาวางลงบนถาด แล้วนำมาให้ 'องค์ฮ่องเต้' พิจารณาเลือก ระหว่างรอเชฟหลวงทำอาหารเพลิน ๆ กับรอทีมพิสูจน์อาหารทดสอบยาพิษ ก็เลือกหยิบเอาไว้ว่าคืนนี้จะขึ้นเตียงกับใคร ซึ่งเรื่องนี้ถ้าพิจารณาดูก็จะเห็นว่า เป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นในราชสำนักฝ่ายในได้ โดยเฉพาะกับพวกขันที เพราะถ้าเซ่นขันทีถูก รับรองสบาย เพราะต่อให้ถาดใหญ่แค่ไหน ไม่มีทางใส่ป้ายชื่อของนางสนมได้หมด นางสนมบางคนที่อยากจะได้ใกล้ชิดฮ่องเต้ในค่ำคืนนั้น ก็ต้องติดสินบนขันที เพื่อให้นำป้ายชื่อของตนเองไปไว้บนถาดดังกล่าว โดยใส่รายละเอียดแบบเป๊ะ เพื่อการถูกเลือก ทั้งตำแหน่งในการวาง วางตรงไหน ฝั่งไหน ได้ระดับสายตาไหมเลือกมือไหน มองทางไหนก่อน หยุดตรงไหนนาน ไม่ต้องแปลกใจ เพราะขันทีผู้ดำเนินการ ถือถาดมาให้ฮ่องเต้เลือกนางสนมเกือบทุกวัน แม้จะมีการเปลี่ยนเวรก็เถอะ แต่ก็จะวนปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ไม่กี่คน และแน่นอนด้วยความเป็นข้ารับใช้ที่ใกล้ชิด ก็ย่อมล่วงรู้ถึงพระนิสัย รู้พระทัยของฮ่องเต้ เป็นอย่างดี แบบนี้ก็พาลให้นึกไปว่า อย่างพระนางซูสีไทเฮา ก็ไม่รู้ว่าพระนาง ฯ ได้เซ่นขันทีไปไหม ? หรือขันทีมองพระนาง ฯ เป็นโอกาสไหม ? ที่ทำให้เส้นทางของพระองค์ได้ถูกเลือกขึ้นมาจากถาดใบนั้น 

ทำไมต้องเน้นขนาดนี้ ? เพราะว่า 1. ในเขตพระราชฐานชั้นในมีแค่ฮ่องเต้เป็นบุรุษเพศแค่พระองค์เดียว นางสนมก็เหงาเป็น หนาวเป็น อยากได้ไออุ่นเหมือนชาวบ้านทั่วไป 2. หากสนมคนใดตั้งครรภ์และคลอดองค์ชายออกมาเรียกได้ว่าสุขสบายทั้งชาติ มั่งมีทั้งตระกูล และอาจได้รับการยกระดับ

หลังจากฮ่องเต้ท่านเลือกป้ายชื่อนางสนมได้แล้ว ทีมขันทีก็จะไปเตรียมการ ระหว่างนั้นฮ่องเต้ก็จะทรงดื่มด่ำกับอาหารค่ำไป ซึ่งธรรมเนียมตรงนี้ มีบันทึกเขียนเอาไว้ว่า "หากสนมนางใดถูกเลือก จะถูกนำตัวไปอาบน้ำ พาเข้าพระตำหนักแบบเปลือยเปล่า และนำผ้านวมสีแดงพันตัว อุ้มเข้าไปรอที่ห้องบรรทม” ซึ่งขั้นตอนนี้ นอกจากจะช่วยชำระเนื้อตัวให้หอมสะอาดแล้ว ยังเป็นการป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่นการซุกซ่อนอาวุธหรือยาพิษใด ๆ ที่อาจทำอันตรายต่อองค์จักรพรรดิได้

ขั้นต่อมาถ้าเป็นสามัญชนอย่างเรา ๆ ก็คง "ลุยกันเลย!" แต่ช้าก่อน !!!!! สำหรับองค์จักรพรรดิ ยังต้องทำตามกฎแห่งวังหลวง คือ 'จักรพรรดิ' จะต้องนอนรออยู่บนพระแท่น ห่มผ้า แล้วเปิดส่วนพระบาท เอาไว้ ให้สนมเปลือยกาย “มุดจากด้านล่าง” ขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบแผนชัดเจน ว่าการสังวาสนางสนมนั้น พวกนาง “ต้องมาจากเบื้องต่ำ” หรือ “เบื้องล่าง”  ซี่งเอกสารโบราณเขียนไว้แบบนี้จริง ๆ นึกภาพนางสนมจะต้องเลื้อยจากบริเวณปลายเท้าขององค์ฮ่องเต้ขึ้นมาแนบพระวรกาย เอาล่ะแต่จากตรงนี้จะเป็นช่วง "ฟรีสไตล์” อยากจัดยังไง ก็จัดไป ตามอัธยาศัย แต่อย่าคิดว่าจะ “ฟรีไทม์” นะ ซึ่งนี่คือเรื่องตลกร้าย เพราะ Sex แห่งองค์จักรพรรดิ “มีเวลาจำกัด” !!!!

BNK48 1st Generation Dan D’1ion Concert ‘ความทรงจำ-ความผูกพัน’ ระหว่าง ‘BNK48 - โอตะ’

ปิดฉากลงไปแล้ว สำหรับ ‘BNK48 1st Generation Dan D’1ion Concert’ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ที่ไบเทค บางนา ซึ่งถือว่าเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายที่พวกเธอ หรือ BNK48 รุ่นที่ 1 ได้แสดงร่วมกัน โดยในคอนเสิร์ตครั้งนี้เต็มไปด้วยความรัก ความผูกพันที่สมาชิกในวงมีต่อแฟนคลับ (โอตะ) ทุกคน ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา

และถือเป็นเรื่องที่น่าใจหายมากๆ เพราะเดือนธันวาคมนี้จะเป็นเดือนสุดท้ายที่พวกเธอ (BNK48 รุ่นที่ 1) จะได้ทำงานร่วมกันในนาม BNK48 และศิลปินที่รักของชาวโอตะ และเป็นเดือนสุดท้ายที่จะสามารถเก็บเกี่ยวเรื่องราวความทรงจำที่ประทับใจตลอด 6 ปีไว้ในความทรงจำ ก่อนที่พวกเธอจะแยกย้ายไปเดินตามทางของตัวเอง ในเส้นทางใหม่ๆ ที่แต่ละคนเลือกเดิน

ขอบอกเลยว่าคอนเสิร์ต ‘BNK48 1st Generation Dan D’1ion Concert’ ครั้งสุดท้ายนี้อัดแน่นไปด้วยความรัก ความผูกพันธ์ของเหล่าสมาชิกในวง และเป็นคอนเสิร์ตที่ดึงอารมณ์พาให้แฟนคลับย้อนกลับไปยังวันวานเมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกับเหล่าสาวๆ BNK48

เชื่อว่าหากใครได้เข้าไปร่วมในคอนเสิร์ตเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมาจะต้องอิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่สุดแสนจะประทับใจ ส่วนใครที่รับชมผ่าน AIS play ก็คงรู้สึกไม่น้อยไปกว่ากัน และที่พิเศษมากๆ เลยคือคอนเสิร์ตในครั้งนี้ได้หยิบยกเพลง ‘PARTY ga Hajimaru yo’ มาแสดงด้วย ที่บอกว่าพิเศษคือโดยปกติแล้วเพลงนี้จะนำมาแสดงเฉพาะในเธียเตอร์เท่านั้น ในฐานะแฟนคลับของ BNK48 ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนความรักของเหล่าโอตะได้อย่างสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว

และสิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ คำบอกเล่าของเฌอปราง กัปตันวง BNK48 ที่เธอได้กล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นคอนเสิร์ตที่พวกเราทำ (เกือบ) ทุกอย่าง” เพียงแค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่า พวกเธอตั้งใจจัดการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้มากๆ เพื่อให้โอตะที่รักของพวกเธอได้รับความสนุกและมีความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ดีร่วมกัน

BYD เปิดตัว 2 Application ‘BYD’ และ ‘Rever’ ไลฟ์สไตล์อัจฉริยะ ตอบโจทย์สาวก BYD

สำหรับผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) การใช้งานผ่าน Application เฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับรถยนต์ของตน ดูจะกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว ไหนจะตรวจสอบสถานะตัวรถ แบตเตอรี่ การชาร์จ การปลดล็อก หรือสั่งงานไร้สายระยะไกลด้วยคำสั่งต่าง ๆ เช่น สตาร์ตรถ เปิดแอร์ ลดกระจก เปิดกระจก เป็นต้น 

ล่าสุดค่ายรถไฟฟ้าอีวีที่ครองแชมป์การขายรถไฟฟ้าได้มากที่สุดในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป อย่าง BYD ก็ได้ออก Application มาใหม่ 2 ตัว Application ด้วยกัน นั่นก็คือ BYD Application และ Rever Application ซึ่งในการเปิดตัวในวันนั้นผมก็ได้อยู่ในงานด้วย 

คำถามแรกของผมก็คือ ทำไมต้องใช้ถึง 2 แอป ใช้แค่แอปฯ เดียว จับมันมารวมกันเลยไม่ได้หรือ?

คำตอบที่ผมได้จากท่านผู้บริหารก็คือ Application ทั้งสองนั้น จะแบ่งแยกการทำงานกันอย่างชัดเจน เพื่อความอุ่นใจในทุกการเดินทาง โดยแอป BYD นั้น จะออกมาในลักษณะที่ว่าใช้เหมือนกันทั่วโลก โดยเน้นใช้ควบคุมตัวรถเป็นหลัก แต่แอป Rever นั้น จะเป็นเหมือนแอปฯ ที่ใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น 

ฉะนั้นในการใช้งาน หรือการสมัคร การเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล จึงมีความแตกต่างกัน โดยเริ่มต้นหากสนใจอยากจะใช้รถ BYD นั้น ก็ต้องเริ่มจากโหลด แอป Rever มาใช้ก่อน เพื่อศึกษาข้อมูล ค้นหาผู้จำหน่าย โชว์รูมใกล้บ้าน จองคิว Test drive เป็นต้น เมื่อได้รถมาแล้ว ก็ถึงจะโหลดแอป BYD มาเพื่อใช้ควบคุมตัวรถ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังควรใช้ แอปฯ Rever ต่อไป เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ในการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น การหาสถานีชาร์จ การจองนัดหมายเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการ การติดต่อประกันภัยผ่านแอป กรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยไม่ต้องแจ้งเลขกรมธรรม์ 

สำหรับสองแอปฯ นี้นั้น ใช้งานง่ายมากครับ เพียงโหลด Application ผ่านโทรศัพท์มือถือ แล้วกรอกข้อมูลลงทะเบียน โดยใช้หมายเลข VIN no. พร้อมทั้งระบุหมายเลขโทรศัพท์มือถือเพื่อแสดงความเป็น เจ้าของรถ แค่นี้ก็จะสามารถดูสถานะต่างๆ ของตัวรถคันที่ท่านระบุเป็นเจ้าของได้ ส่วนแต่ละแอปฯ จะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ผมแยกให้ชัดๆ ดังนี้ครับ

BYD Application จะช่วยควบคุมรถในฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นและให้ ทราบถึงสถานะด้านต่างๆ ของรถ อาทิเช่น…

โจทย์หิน ‘อีวีไทย’ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้ามาไว แต่ ‘ค่าไฟ-ตึกสูง’ ยังไม่สมฐานะ ‘พลังงานหลัก’

จากกระแสการตอบรับ รถยนต์ไฟฟ้าอีวี ที่กำลังมาแรง เห็นได้ชัดจากยอดจองที่ถล่มทลายของสุดยอดรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง เทสลา ที่มาเปิดตัวในไทยอย่างเต็มรูปแบบ หรือแม้กระทั่งยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า ATTO3 จากค่าย BYD ที่มาเปิดตัวแค่รุ่นเดียว แต่โกยยอดจองไปร่วม 3 พันคันในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป และยอดรวมกว่าหมื่นคันจนต้องหยุดรับจองรถชั่วคราวไปแล้วนั้น สะท้อนให้เห็นว่าแรงกระเพื่อมของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังค่อย ๆ เขย่าตลาดรถยนต์ในเมืองไทยแบบน่าดูชม

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าอีวีนั้นต้องเดินกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ฉะนั้นพลังงานที่รถต้องการก็คือ พลังงานไฟฟ้า มาใช้ขับเคลื่อน ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือ จำนวนจุดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรืออาคารสูงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 

ผลวิจัยจาก เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) สำรวจไว้ว่า มีแค่ 3% ของโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลเท่านั้น ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่คอนโดมิเนียมประมาณ 74% ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า มีจุดที่สามารถรองรับการชาร์จได้เพียง 1 หรือ 2 คันพร้อมกันเท่านั้น หรือโดยรวมแล้วจะเท่ากับมีพื้นที่สำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 400 คันต่อโครงการคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

รูดม่านฟุตบอลโลก 2022 ฟ้าขาวผงาดซิวสมัย 3 และฝันสุดท้ายของ 'MESSI 10' สำเร็จแล้ว

จะบอกว่าเมื่อคืน (18 ธ.ค. 65) เป็นคืนสุดคลั่งเลยก็คงไม่ผิด หลังผลลัพธ์ในเวลาของรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ลงเอยที่สกอร์ 3-3 แบบคนเชียร์ฝั่งไหน ก็ได้ช็อตช็อกกลับไปกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ แม้สุดท้ายเราจะรู้ว่า ทัพฟ้าขาว 'อาร์เจนติน่า' จะแม่นโทษกว่า 'ฝรั่งเศส' และช่วยเติมบทละครชีวิตสุดท้ายบนสังเวียนฟุตบอลของ 'ลิโอเนล เมสซี่' ให้เป็นจริงได้แล้วก็ตาม

อาร์เจนติน่าจัดทัพเต็บสูบ นำโดย ลิโอเนล เมสซี่, อังเคล ดิมาเรีย, โรดริโก้ เดอปอล และ ฮูเลี่ยน อัลวาเลซ มาในแผน 4-3-1-2  ทางด้านฝรั่งเศสก็ขนชุดใหญ่ลงสนาม นำโดยท่านประธาน คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้,  ชิรูด์, เดมเบเล่ และ กรีซมันส์ มาในแผน 4-2-3-1 เรียกว่าทั้งสองทีมต่างส่งผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนาม และมีแชมป์โลกหนที่ 3 เป็นเดิมพันของทั้ง 2 ทีม 

เกมในช่วง 15 นาทีแรกเป็นฝ่ายอาร์เจนติน่าที่ครองเกมส์ได้ดีกว่าฝรั่งเศส และมีโอกาสได้ยิงทักทายทางฝรั่งเศสครั้งถึง สองครั้ง จังหวะขึ้นเกมส์ของอาร์เจนติน่าทางฝั่งซ้าย ฮูเลี่ยน อัลวาเลซหลบเข้าเขตโทษ อุสมาน เดมเบลเลพยาเข้าสกัดแต่พลาดไปสะกิดขา ฮูเลี่ยน อัลวาเลซ ล้มในเขตโทษผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษ เมสซี่ รับหน้าที่สังหารดวลกับ โยริส ของทางฝรั่งเศส แล้วเมสซี่ก็โชว์ ความเลือดเย็นยิงเข้าไปพาอาเจนขึ้นนำฝรั่งเศส 1-0 

ฝรั่งเศสพยายามตั้งเกมหวังทวงประตูคืนแต่ดูเหมือนว่าผู้เล่นฝรั่งเศสนั้นเล่นผิดฟอร์มกันทั้งทีม กลางเก็บบอลไม่ได้ และเอ็มบั๊ปเป้ไม่มีส่วนกับเกมเลยหลังจากผ่าน 30 นาทีแรกของเกม ฝรั่งเศสพยายามทำเกมขึ้นไปแต่โดนอาเจนฯ สวนกลับต่อบอลกัน 4 จังหวะเริ่มจากเมสซี่จ่ายให้ แมคอัลลิสเตอร์ หลุดถึงกรอบเขตโทษ แล้วปาดให้ ดิมาเรีย ที่เติมมาทางฝั่งซ้ายยิงสวน ฮูโก้ โยริส อาร์เจนฯ ทะยานนำ 2-0 นาที่ 36 แบบที่ช็อกแฟนทีมชาติฝรั่งเศสกันทั้งสนาม  และจบครึ่งแรก อาร์เจนติน่านำฝรั่งเศส 2-0 

ครึ่งหลังเกมยังเหมือนเป็นครึ่งแรก เป็นฝั่งอาร์เจนติน่าที่ยิ่งเล่นยิ่งดี บุกกดฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายเดียว เกมเดินมาถึงช่วงนาที่ที่ 80 ฝรั่งเศสทำเกมบุกขึ้นมาเข้าในกรอบเขตโทษ โกโล มัวนี่ ถูกดึงล้มผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษให้ฝรั่งเศส แล้วคนที่รับหน้าสังหารไม่ใช่ใครที่ไหยเป็น คีเลียน เอ็มบั๊ปเป้ ที่สังหารได้อย่างเยือกเย็น ฝรั่งเศสไล่มา 1-2 

'ขันทีจีน' ตัวแทนอารยธรรมพิเศษ ข้ามพ้นกำแพงแห่งเพศ สู่ วัฒนธรรมใหม่ที่กระจายไกลไปทั่วโลก

เวลาเราดูซีรี่ย์จีนย้อนยุค โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องในรั้ว ในวัง หนึ่งตัวละครที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘ขันที’ มนุษย์เพศชายที่ถูกจับมาตอน ‘ตัด’ เอาอวัยวะเพศออก เพื่อให้สามารถรับใช้ ทำงาน และดำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายในที่มีเพียงสตรีและบุรุษเดียวคือ ‘ฮ่องเต้’ เท่านั้น ที่เข้าออกได้

คำว่า ‘ขันที’ น่าจะเป็นคำที่ผูกโยงกับอัตลักษณ์แบบจีนจนเราคุ้นชิน โดยในภาษาจีนเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ไท้เจี๋ยน’ แต่ในเอาจริงๆ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาคอื่นก็พบเห็นการมีอยู่ของ ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน กระจายออกไปเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมโลกเลยทีเดียว ทีนี้ในแต่ละภูมิภาคเขาเรียก ‘ขันที’ กันอย่างไรบ้าง ? มาลองติดตามอ่านกันก่อน

สำหรับสยาม ในสมัยอยุธยาเราเรียก ‘ขันที’ ว่า ‘นักเทษขันที’ ซึ่งมีมาอย่างยาวนานก่อนจะมายกเลิกในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ส่วนข้าง มอญ - พม่า เรียก ‘ขันที’ ว่า ‘ก็อมนอย’ ส่วนในเกาหลีก็มี ‘ขันที’ เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า ‘แนซี’ การตอนของเกาหลีนี่โหดมาก เพราะเขา ‘ตอน’ โดยให้สุนัขกัดอวัยวะเพศจนขาด (คุณพระ !!!) 

สำหรับเรื่องราวของ ‘ขันที’ ที่น่าจะเก่าแก่ที่สุด ว่ากันว่าเกิดขึ้นที่เมืองลากาสช์ แคว้นสุเมเรียน ในเมโสโปเตเมีย ราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และถือเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักของเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณ ภาษาละตินและอาหรับเรียกขันทีว่า ‘ยูนุก’ ซึ่งนี่คือต้นธารแห่ง ‘ขันที’ 

โดยวัฒนธรรมการใช้ ‘ยูนุก’ แตกแขนงออกเป็น 2 สายคือ สายแรก แพร่หลายไปตามเส้นทางสู่จีนในสมัยราชวงศ์สุย ซึ่งวันนี้เราจะมารู้จัก ‘ขันที’ ในวัฒนธรรมที่จีนกัน ส่วนสายที่ 2 แพร่หลายในเอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ สู่เปอร์เซียโบราณและจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์

ส่วนต้นกำเนิดของขันทีในจีนก็ยังมีความคลุมเครือ ไม่สามารถหาหลักฐานที่บ่งชี้ต้นทางได้อย่างชัดเจน แต่หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘โจวกง’ พระอนุชาของ ‘พระเจ้าโจวอู่หวัง’ ผู้ปราบพระเจ้าโจ้วและสถาปนาราชวงศ์โจว ประมาณ 1,046 ปีก่อนคริสตกาล 

โจวกง มีชื่อจริงว่า ‘ต้าน แซ่จี’ เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของพระเจ้าโจวเหวินหวัง เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยพระเจ้าโจวอู่หวัง ปราบพระเจ้าโจ้ว ในยุคนั้น ‘โจวกง’ เป็นผู้วางระบบกฎหมายทั้งในบทข้อห้ามและบทลงโทษ หนึ่งในบทลงโทษที่กระทำต่ออาชญากรและเชลยศึกนั่นก็คือ ‘การตอน’ เพื่อให้เป็น ‘ขันที’ โดยขันทีจะแยกออกเป็น 2 ประเภทตามรูปแบบการตอนคือ...

ประเภทแรกเป็น ‘ขันทีที่ถูกตัดแค่ส่วนขององคชาติ’ แต่เหลือส่วนของอัณฑะเอาไว้ ซึ่งการตัดในลักษณะนี้จะส่งผลให้ ขันทีประเภทนี้ยังคงมีลักษณะภายนอกเหมือนกับผู้ชายทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นของหนวดเครา ขนแขนหรือขนขา รวมถึงเสียงของขันทีเหล่านี้ก็ยังคงมีความทุ้มและห้าวอยู่ เพราะว่า ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่สำคัญ ยังผลิตจากอัณฑะอยู่ (แค่ไม่มี ‘ลำ’) ทำให้ยังเป็นผู้ชายอยู่ พวกนี้โดยมากจะเป็นเชลยศึกที่ถูกจับมา ต้องโดนตอนเพื่อไม่ให้สืบพันธุ์ได้ มักจะได้รับหน้าที่ให้ทำงานได้แค่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกเท่านั้น 

ประเภทที่สอง ‘ขันทีที่ถูกตัดทั้งองคชาติและถุงอัณฑะ’ ขันทีประเภทนี้จะสูญเสียความเป็นชายไปทันทีหลังจากที่ได้ทำการเฉือนเอาถุงอัณฑะออกไปแล้ว อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ‘อัณฑะ’ คืออวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนโทสเตอโรน (Testosterone) ของผู้ชาย เมื่อตัดออกไปทั้งพวง ผลที่ได้คือ เสียงที่เล็กแหลมเหมือนผู้หญิง ลักษณะทางกายภาพภายนอกจะดูต่างไปจากเพศชายในช่วงวัยเดียวกัน ไม่มีลูกกระเดือกใหญ่โต ขนแขนขนขาและหนวดเคราไม่มี แสดงออกเหมือนกับสตรีเพศ เนื่องจากว่าเขาสูญเสียฮอร์โมนสำคัญในเพศชายไปแล้ว พวกนี้คือ ‘ขันที’ ที่เราคุ้นชิน สามารถทำงานเขตพระราชฐานชั้นใน ได้

ขันทีทั้ง 2 ประเภทหลังจากแผลการ ‘ตอน’ สมานดีแล้ว จะใช้ท่อที่ทำจากโลหะ ไม้ไผ่ หรือฟาง สอดเข้าไปเพื่อช่วยในการปัสสาวะ และใช้ระบาย ‘อสุจิ’ ออกมาเมื่อมันเต็มจนล้นตามการผลิตที่ทำได้ (เสียบลึกขนาดไหนกันนั่น ?) 

ส่วนใหญ่แล้ว การตอนเป็น ‘ขันที’ แบบสมัครใจ มักทำตั้งแต่เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะการ ‘ตอน’ หลังจากวัยเจริญพันธุ์แล้วถือเป็นเรื่องเสี่ยงถึงแก่ชีวิตมากกว่า โดยอัตราการเสียชีวิตในหมู่ผู้ตอนหลังวัยเจริญพันธุ์แล้วอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ซึ่งผู้ที่รับใช้องค์ ‘ฮ่องเต้’ มีผู้ที่ผ่านการตอนทั้ง 2 ช่วงอายุ แต่ตอนแล้วใช่ว่าความต้องการทางเพศจะถูก ‘ตอน’ ไปด้วย 

แน่นอนว่า ‘ขันที’ หลังวัยเจริญพันธุ์ ย่อมต้องเคยรับรู้เรื่องความต้องการทางเพศและด้วยการที่ ‘ขันที’ มีทรัพยากรและเวลาอย่างเหลือเฟือให้ทดลองกิจกรรมทางเพศที่เชื่อว่าอาจช่วยให้อวัยวะที่สูญเสียไปนั้นกลับคืนมา (ตัดเพราะอย่างมีอำนาจ พอมีอำนาจก็เลยอยากต่อคืน ประมาณนั้น) โดยเฉพาะเรื่องของ ‘พลังหยิน’ ที่เชื่อว่าต้องใช้ผู้หญิงมากระตุ้นส่วนที่ถูกตัดไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าความซาบซ่าน (จากกิจกรรมกระตุ้น) จะทำให้เกิดพลังหยาง สรุปมีผลลัพธ์ที่บันทึกในศตวรรษที่ 13 บรรยายว่า “ส่วนที่เป็นแผลที่สมานกันแล้วกลายเป็นเสียหายด้วยเพลิงราคะอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้สึกว่าเส้นเลือดกำลังจะระเบิดออกมา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเลยมันไม่สามารถฟื้นฟูได้” (ก็นะ มันจะไปงอกคืนได้ยังไง ???)  

Dream Match!!  อาร์เจนตินา VS ฝรั่งเศส ‘เมสซี่ หรือ เอ็มปั้บเป้’ ตัดสินนัดชิงดำ เดิมพันแชมป์โลกหน 3

การเดิมพันครั้งที่ใหญ่ที่สุดของ ลิโอเนล เมสซี่ การเดินทาบตำนานของ คีเลี่ยน เอ็มปั้บเป้ ตำนานบทใหม่ อาร์เจนตินา หรือ ฝรั่งเศส ถ้วยแชมป์โลกจะเป็นของใคร ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้แค่ฝั่งเดียวเท่านั้น นัดสุดท้ายที่คนทั้งโลกกำลังรอคอย นี้คือโมเมนต์ที่จะเป็นตำนานเล่าขานต่อจากนี้ นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

เส้นทางของ อาร์เจนตินา เริ่มด้วยความไม่น่าประทับใจ เมสซี่ ที่ยังคงความพีค ที่ชื่อนี้ใครได้ยินก็รู้ถึงความอันตรายรอบด้าน เส้นทางการเริ่มต้นแบบช็อคโลก ไม่มีใครคาดคิดกับการแพ้ซาอุดิอาระเบีย แต่กลายเป็นการรวมใจครั้งใหญ่ของฝั่งอาร์เจน หลังจากนั้นพวกเค้าชนะรวดแบบไม่เกรงใจใครสปิริตในทีมมันพุ่งทะยาน 

เกมส์เจอกับเม็กซิโก เมสซี่ แต่งบอลหน้ากรอบเขตโทษ ซัดด้วยซ้ายปลดปล่อยทุกอย่างออกมาลูกนี้โคตรสำคัญและปิดท้ายด้วยลูกจ่ายของเค้าให้ เอ็นโซ่ เฟอร์นานเดส ตอกฝาโลงเม็กซิโก คว้า 3 แต้มนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ต่อด้วยดับโปแลนด์พาทีมทะยานเข้ารอบ 16 ทีม สุดท้ายชนออสเตรเลีย  เมสซี่ ที่ยิ่งเล่นราวกับว่าร่ายมนต์จนผู้เล่นฝั่งตรงข้ามเอาไม่อยู่แหวกผู้เล่น 3 คนพาบอลซุกก้นตาข่ายและประตูดับออสซี่จาก ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ  สุดท้ายจบ 2-1 เข้าไปชนกับยอดทีมอย่างเนเธอร์แลนด์

ภาพความฝันมันค่อยๆชัดขึ้น รอบ 8 ทีมสุดท้ายแต่มันไม่ใช่งานง่ายๆกับทีมที่ยังไม่แพ้ใครอย่าง เนเธอร์แลนด์ แต่เมสซี่ก็ร่ายมนต์อีกครั้งลูกจ่ายคิลเลอร์พาสผ่านกองกลาง กองหลังบังหน้าเต็มไปหมด และลูกจ่ายลูกนี้กลายเป็นคำว่ามหัศจรรย์แล้วโมลิน่ามาจบงาน การกดจุดโทษพาทีมทะยานหนีเป็น 2-0 แม้สุดท้ายแล้วต้องไปดวลจุดโทษแต่เทพีแห่งโชคยังยืนอยู่ข้างขุนพลฟ้าขาวและเมสซี่พวกเค้าเข้ารอบรองชนะเลิศไปชนกับโครเอเชีย 

รอบรองชนะเลิศมันเป็นเกมส์ที่สุดสะเด่าของทัพฟ้าขาว จังหวะจุดโทษขึ้นนำ 1-0 ของเมสซี่ที่โคตรคม ต่อด้วยจ่ายให้ อัลวาเลซ ลากครึ่งสนามให้อาร์เจนหนีห่าง 2-0 และลูกสุดท้ายจ่ายถวายพานทองหลอกกองหลังอย่าง ยอสโก้ กวาดิโอล ที่เดบิวต์ในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลกหนนี้อย่างหมดรูปและเป็น ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ปิดงานอาร์เจนถล่มโครเอเชีย 3-0 ทั้ง 3 ประตูของฟ้าขาวมันมีที่มาจาก เมสซี่คนเดียว เมสซีโครตร้อนแรงแบกอาร์เจนเป็นทุกอย่างของทัพฟ้าขาวในนาที่นี้พาอาร์เจนตินาเช้าชิง และต้องเจอผู้ท้าชิงคือ ฝรั่งเศส กุญแจสำคัญคือนักเตะอาร์เจนตินาที่พร้อมลงสู้ศึกด้วยหัวใจนักเตะทุกคนที่พร้อมจะทำเพื่อเมสซี่เพราะทุกคนรู้ถึงสถานะนี้คือฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ  ตำนาน และที่ต้องยกขึ้นหิ้งไปเลย เมสซี่ โคตรคุณภาพในทัวร์นาเม้นต์นี้เค้าถือครองสถิติทุกอย่างในทัวร์นาเม้นต์ ดาวซัลโว แอสซิสต์ แมนออฟเดอะแมตซ์มากที่สุด ถ้าพูดถึงตอนนี้ เมสซี่ ดีที่สุดในโลกแบบไม่ใครสงสัยเลยนี้คือคนสำคัญหัวใจของฝั่งอาร์เจนตินาในนัดชิง

The Last Dance การเต้นรำครั้งสุดท้ายของ ลิโอเนล (เมสซี่) จากผู้ปลุกผีฟ้าขาวที่ชื่อ ลิโอเนล (สกาโลนี่)

และแล้วเราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ 

โค้งสุดท้ายแล้ว เกือบ 1 เดือนเต็มที่หลายคนอดตาหลับขับตานอนเพื่อดูฟุตบอลโลก ชมและเชียร์ทีมรักให้ถึงเป้าหมาย และอย่างที่ทราบครับ อาร์เจนติน่า เป็นทีมแรกที่เข้าไปชิงชนะเลิศในปีนี้ โดยคู่แข่งคนสำคัญในนัดชิงคือ แชมป์โลกครั้งที่แล้ว ฝรั่งเศส สมน้ำสมเนื้อครับ

สิ่งที่น่าสนใจที่อยากมาเล่า คือ บทสัมภาษณ์ของ เมสซี่ ที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าฟุตบอลโลกหนนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเค้าแล้ว เพราะตอนนี้ก็อยู่ในวัย 35 ปีแล้ว อะไรที่เค้ามีและสามารถช่วยทีมได้ ก็จะพยายามทุ่มเทให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า

แน่นอนว่า ชื่อชั้นของ เมสซี่ เกิดขึ้นอย่างว่องไว ด้วยวัย 22 ที่คว้าบัลลังดอร์มาครองครั้งแรกได้ แต่ต่อให้ทำได้ดีแค่ไหนก็มักจะมีเสียงวิจารณ์ถูกเป็นแพะรับบาปในวันที่อาร์เจนติน่าไม่ชนะบอลโลกกับเขาเสียที 

แม้ผลงานที่โดดเด่นในระดับสโมสรจะส่งให้ เมสซี่ เหมือนอยู่ในตำแหน่งที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ซึ่งเป็นจุดที่ใครๆ ก็โยนความคาดหวังให้กับชายคนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายครั้งที่มีการพูดถึง เมสซี่ ว่าเป็นคนคาตาลันรึป่าว เค้าจึงไม่พร้อมหรือไม่เต็มทีกับทีมชาติอาร์เจนติน่า เมสซี่ ใหญ่เกินไป ใหญ่เกินทีมทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นยาก หรือบ้างก็อาจจะพูดถึงในเชิงอิทธิผลของ เมสซี่ ที่เหนือกว่าโค้ช

วิบากกรรมของ เมสซี เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะผลงานในฟุตบอลโลก ยังไม่ถึงฝั่งฝันในการคว้าโทรฟี่นี้มาครอง ซึ่งหากย้อนกลับไปช่วงทีมชาติตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2005 จนถึงปัจจุบัน 2021 อาร์เจนติน่ายังคงวนเวียนอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ เรื่องเดิม ๆ ของความผิดหวังใกล้เคียงที่สุดในการเป็นรองแชมป์โลกในปี 2014 แพ้เยอรมนี รวมถึงการเป็นรองแชมป์โคปาอเมริกา แต่มันก็ยังไม่ถึงแชมป์ตามตั้งใจสักทีนั้นคือเหตุผลที่ทำให้ เมสซี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง

ครั้งนึงถึงขั้น ดิเอโก้ มาราดอนน่า ตำนานของทัพฟ้าขาวยังเคยออกมาสนับสนุนให้ เมสซี่ เลิกเล่นทีมชาติจริงๆเพราะว่าโดนเยอะมากและเห็นใจ เมสซี่มากๆ และมองว่าเหตุการณ์ไหนที่พาอาร์เจนฯ พ่ายแพ้ แพะที่ชื่อเมสซี่จะปรากฎโดยทันควัน จนแนะให้เลิกเล่นทีมชาติเพื่อเซฟตัวเองน่าจะดีกว่า

ขณะที่ ฮอร์เก้ ซามเปาลี อดีตกุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่า ก็เคยออกมาเปิดเผยภายหลังว่าปัญหาของทีมชุดนี้มันอาจเป็นเพราะ เมสซี่ แบกทีมมากเกินไป ไม่มีใครพยายามช่วยเค้าเลย โดนรุมกินโต๊ะอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถสร้างการเล่นได้มหัศจรรย์เหมือนแบบที่ บาร์เซโลน่า อาร์เจนติน่าจะไปได้ไกลแค่ไหนส่วนสำคัญมันขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาดของ เมสซี่ แต่ทีมของเราไม่มีนักเตะไปเชื่อมโยงการเล่นกับค้าได้เลยมันจึงน่าผิดหวังมากๆ และน่าโมโห แรงผลักดันของทีมๆ นี้ก็คือ เมสซี่ แต่เรากลับหาเค้าไม่เจอ เราไม่มีความเป็นทีมเลย เราขาดการทำงานรวมกัน นั้นคือภาพรวมก้อนใหญ่ๆ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ติทีมชาติตั้งแต่ปี 2005 บทบาทของ เมสซี่ กับ อาร์เจนติน่ามันคือ THE แบก มันคือ One For All ถึงแม้จะยังไม่เกียรติยศในรูปธรรมแต่ส่วนนึงก็ต้องยอมรับว่าเป็นระยะเวลาเกิน 15 ปี กับเมสซี่ที่ต้องรับบทบาทนี้และเค้าก็ทำมันอย่างเต็มที่

โลกของฟุตบอล One For All มันอาจไม่ตอบโจทย์เพราะนี้คือเกมของการเล่นเป็นทีม มันต้องเปลี่ยนให้เป็น All For One ให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องช่วยเหลือกันเพื่อความเป็นทีม เป็น 1 เดียวให้ได้และนั้นคือสิ่งที่ อาร์เจนติน่าเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนจะมาบอลโลกในครั้งนี้ แต่แน่นอนครับแฟนบอลรอคอยในการที่จะดูฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ เมสซี่ ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน

จุดพลิกผัน!!

ภายหลังทีมชาติอาร์เจนติน่าเริ่มต้นหลังจากตกรอบ 16 สุดท้าย ปี 2018 แพ้ฝรั่งเศส 4-3 ฮอร์เก้ ซามเปาลี กุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่าอำลาทีมไป คนที่เข้ามาคือ ลิโอเนล สกาโลนี่ จากตอนแรกขึ้นมาในหน้าที่โค้ชรักษาการ เพราะ สกาโลนี่ เคยทำงานอยาในทีมของ ซามเปาลี อยู่แล้วเพียงแต่ว่าโค้ชหนุ่มคนนี้ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงให้ทุกอย่างกลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วค่อยๆ แก้ไขจุดอ่อน สกาโลนี่ บอกว่าขอสรุปในการล้มเหลวจากบอลโลกปี 2018 ผมพบว่าการที่เราแพ้ให้ ฝรั่งเศส และ โครเอเชีย เป็นเพราะว่าเสียบอลในตำแหน่งที่ไม่ควรเสียมากเกินไป เราตั้งขบวนเกมรับไม่เป็น ขนาดที่พวกเค้าซ้อมกันมาเป็นอย่างดีและใช้เวลาแค่ 3-4 วินาที เข้าโจมตีและเปลี่ยนโอกาสนั้นให้เป็นประตู ซึ่งนี้คือต้นแบบโมเดิร์นฟุตบอล แล้วสกาโลนี่ก็ค่อยๆ นำศาสตร์ตรงนี้เข้ามาปรับเปลี่ยนทีมชาติอาร์เจนติน่า เล่นบอลให้จังหวะน้อยลง ตรงไปตรงมา เล่นไดเร็คฟุตบอลมากขึ้น บอลจากรับสู่รุกใช้เวลาน้อยลง ส่วนเรื่องนอกสนาม สกาโลนี่ ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ความเป็นรุ่นพี่ค่อยๆ ประคับประคองให้เกิดความปรองดอง 

โรดริโก้ เดอ ปอล 1 ในนักเตะอาร์เจนชุดนี้ บอกว่าช่วงแรกที่ สกาโลนี่เข้ามาเป็นโค้ชคนใหม่หลายคนมีความวิตกกังวล หวาดระแวง ไม่ยอมเปิดใจต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างมาเหมือนพักเบรคจากการทำงานแล้วก็มารวมตัวกันแล้วก็แยกย้ายมันออกไปแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ซ้อมเสร็จประชุมเสร็จแยกย้ายเข้าห้อง แต่มันก็เริ่มค่อยๆ ดีขึ้น

3ปีผ่านไป เห็นสิ่งที่มันแตกต่าง!!

เดอ ปอล บอกว่า สกาโลนี่ปลูกฝั่งทัศนคติของผู้ชนะให้กับนักเตะทุกคน เค้ารวมทีมได้เป็น 1 จากการทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีเช่น มีวินัยในการกิน ออกกำลังกาย ทักทายทุกคน ทำให้ทุกๆ คนอย่ในทีมจริงๆ และช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็นสร้างปฏิสัมพันธ์ด้วยตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างมันลงตัวขึ้น

ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยังยอมรับว่า นาทีนี้มันเป็นบรรยากาศของทีมชาติในช่วงที่น่าจะดีที่สุดตั้งแต่เค้าเล่นให้อาร์เจนติน่ามา ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นอย่างรูปธรรมคือการคว้าแชมป์โคปาอเมริกาเมื่อปี 2021 เอาชนะบราซิล 1-0 สกาโลนี่ ทำให้ทีมก้าวกระโดดขึ้นไป 

เมสซี่ พูดถึง สกาโลนี่ว่าโค้ชคนนี้สะท้อนให้เห็นว่าเค้าเป็นพวกเดียวกับเรา รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เป็นคนใจกล้า ใจกว้าง โดยเฉพาะการเข้ามารับงานในช่วงที่ดูสุ่มเสี่ยง เพราะหลังจาตกรอบฟุตบอลโลก 2018 มันดูเหมือนเป็นยุคมืดของทีมชาติอาร์เจนติน่าด้วยซ้ำไป แต่ สกาโลนี่ กล้าหาญมากที่ขึ้นมารับงาน เค้าเชื่อใจนักเตะทุกคน ผู้เล่นหน้าใหม่ๆ อายุน้อย หรือตัวเก๋าประสบการณ์ สกาโลนี่ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างให้เติบโตและเดินไปพร้อมๆ กัน นั่นคือสาเหตุสำคัญที่เค้าแสดงออก และเด็ก ๆ มีความมั่นใจและเชื่อใจ

ตัดเชือก 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ฝรั่งเศสจะย้ำชัย หรือแชมป์หน้าใหม่จะบังเกิด

4 ทีมสุดท้ายในเวิลด์คัพ คุณคิดว่าใครจะเป็นแชมป์?

ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ เราก็ได้เห็น 4 ทีมสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบรองชนะเลิศ 

ทีมแรกที่เข้ามาในรอบนี้เป็นทีมแรกคือ เหล่าขุนพลทัพฟ้าขาว อาร์เจนตินา นำทัพโดย ลิโอเนล เมสซี่ ที่ลงสนามร่ายมนต์พาอาร์เจนเข้ารอบรองโดยหักด่านรอบ 16 ทีมด้วยการล้มออสเตรเลีย 3-1 และชนะการดวลจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-3 หลังใน 120 นาที เสมอกัน 2-2 

ในเกมรอบ 8 ทีม ที่พบกับอัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะเป็นงานง่ายๆ เพราะออกนำ 2-0 โดยได้ประตูช่วงครึ่งแรกจาก มานูเอล โมลิน่า นาทีที่ 35 และจุดโทษของ เมสซี่ นาทีที่ 73 เกมทำท่าว่าจะจบด้วยชัยชนะของทัพฟ้าขาว แต่เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เนเธอร์แลนด์ได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จาก วูท เว็กซ์ฮอสร์ท ช่วงทดเวลา 10 นาที นาทีที่ 90+10 ใครจะคิดว่า เนเธอร์แลนด์จะตีเสมอ 2-2 นาทีสุดท้ายของสุดท้าย กล้องจับภาพไปที่กองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่ง คนละอารมณ์เลย กองเชียร์ทัพฟ้าขาวถึงกับ ‘ช็อตฟีล’ 

ในจังหวะนี้ ถ้าเนเธอร์แลนด์ทำไม่ได้คือจบเกมไปเลย แต่นี้ต้องอยู่ด้วยกันต่อไปลุ้นที่การดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่า อาร์เจนตินายิงแม่นกว่าเนเธอร์แลนด์ เบียดเอาชนะไป 4-3 ในการดวลจุโทษ หลังเสมอ 2-2 ใน 120 นาที และส่งให้ขุนพลทัพฟ้าขาวลุ้นแชมป์โลกสมัยที่ 3 เส้นทางที่ เมสชี่ จะพาอาร์เจนตินาไปเป็นแชมป์โลกยังคงเปิดกว้างและในรอบรองต้องชนกับ ทัพตราหมากรุก โครเอเชีย ซึ่งไม่ง่ายเลยและเป็นถึงรองแชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ทีมที่ 2 ที่เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ด้วยการล้มเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ในรอบ 16 ทีม คือโครเอเชีย แต่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด เพราะต้องเล่นญี่ปุ่น จนถึงดวลจุดโทษ แอบเสียดายญี่ปุ่นอยู่นิดๆ มาทัวร์นาเมนต์นี้ดีจริง ๆ ล้มอดีตแชมป์โลกได้ 2 ทีม (เยอรมันและสเปน) เข้ามาเป็นที่ 1 ของสายชนโครแอต ในรอบ 16 ทีม ความเก๋าเกม บวกกับมีลูก้า โมดริช ที่คอยคุมจังหวะเทมโป้ของเกมทำให้ทัพโครเอเชียคว้าชัยเบียดญี่ปุ่นเข้ารอบ 8 ทีม ไปชนกับเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ที่นำทัพมาโดยสุดยอดกองหน้าทั้งนั้น นำโดย เนย์มาร์ จูเนียร์ ราฟิณญ่า ริชาร์ลิซอน แอนโตนี่ มาติเนลลี่ และ เฆซุส แล้วก็เป็น ลูก้า โมดริช คนดีคนเดิมของคนโครแอตที่หักด่านบราซิลในการดวลจุดโทษ แต่คนที่พาโครเอเชียเข้ารอบมาจริงๆ เป็นพระเอกของงานนี้ทั้ง 2 รอบ โดมินิค ลิวาโควิช ผู้รักษาประตูทีมชาติโครเอเชีย ต้องบอกว่านี้โกล์หรือกาว เหนียวเกินพ่อเอ้ยยย เชฟจุดโทษทั้งรอบ 16 และ รอบ 8 ทีมแบบโคตรเทพ พาทัพตราหมากรุกเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะชนกับ อาร์เจนตินา ในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ เป็นการรีแมตซ์เมื่อ 4 ปีก่อนที่โครเอเชียอัดทัพฟ้าขาว 3-1 ในฟุตบอลโลก 2018 ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top