Monday, 9 June 2025
NEWSFEED

‘อ.ประมวล’ แนะวิธีคิด ‘หากแฟนไปมีคนใหม่’ ให้มองสิ่งดีๆ ที่มีร่วมกันและขอบคุณที่เข้ามาเป็นบทเรียน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อกชื่อ ‘june.s14’ ได้โพสต์วิดีโอของอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ หรือที่รู้จักกันในนาม ปราชญ์ปักษ์ใต้ ที่ได้พูดถึงในหัวข้อ ‘เมื่อแฟนไปมีคนใหม่’ โดยอาจารย์ได้ยกตัวอย่างจากเรื่องที่เคยพบเจอกับตัวเอง ว่า…

สมัยสอนปริญญาโท ก็มีลูกศิษย์ชายหญิงมาเรียนด้วยกัน อาจารย์จำได้ว่าทั้งสองเคยเรียนกับตัวเองสมัยปริญญาตรี ก็รู้กันดีว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน พอเห็นมาเรียนป.โทด้วยกันอีก อาจารย์ก็แซวว่าสงสัยจะแต่งงานกันตอนเรียน ป.โทนี่แหละ 

หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนก็พาลูกศิษย์ผู้หญิงมาหาอาจารย์ พร้อมกับเล่าว่า ลูกศิษย์ผู้ชายทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่แล้ว เมื่ออาจารย์ฟังเสร็จก็ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่รู้สึกเจ็บปวดนะ เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ เห็นเขาร้องไห้ก็เศร้าไปด้วย จึงได้ตัดสินใจกอดปลอบลูกศิษย์ไป

หลังจากกอดปลอบไปแล้ว ลูกศิษย์ผู้หญิงก็เลิกร้องไห้ แล้วก็ขอตัวกลับไป หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไป อาจารย์ก็ได้มีโอกาสเจอลูกศิษย์ผู้หญิงและพูดคุยกัน ลูกศิษย์ผู้หญิงขอบคุณอาจารย์ที่กอดปลอบในครั้งนั้น และขอคำแนะนำจากอาจารย์ประมวล

อาจารย์ประมวลจึงแนะนำไปว่า “อย่ารู้สึกโกรธเคืองแฟน แต่ให้รู้สึกขอบคุณที่เขานำเอาข่าวสารอันประเสริฐ นั่นก็คือ ความหมายของความรักอันงดงามมามอบให้ จงรับอันนี้ไว้ แม้เขาจะจากไป แต่ก็ขอให้มีจิตที่รู้สึกดีกับเขา หรือหากอำนวยอวยพรเป็นถ้อยคำวาจาได้ ก็จงอวยพรให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ให้เขามีความสุขในการครองชีวิตคู่ ถ้าทำความดีใดใดแล้วอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ก็ให้นึกถึงเขาเป็นคนแรก”

หลังจากได้คำแนะนำของอาจารย์ไปแล้ว ลูกศิษย์ผู้หญิงก็รับปากจะปฏิบัติตาม

เวลาผ่านไปได้ปีกว่าๆ ลูกศิษย์ผู้ชายก็โทรมาหาอาจารย์และขอนัดอาจารย์รับประทานอาหาร เมื่อถึงวันนัดอาจารย์ก็ไปร้านที่ตกลงกันไว้ แต่เนื่องด้วยวันนั้นฝนตกหนัก จึงทำให้อาจารย์ได้เห็นว่า ลูกศิษย์ชายหญิงทั้งสองคนเดินมาด้วยกัน โดยลูกศิษย์ผู้ชายกางร่ม เดินโอบลูกศิษย์ผู้หญิงเข้ามา ภาพที่เห็นสื่อได้ถึงความรักใคร่ดูแลกันและกัน เห็นแล้วอิ่มอกอิ่มใจ

‘ลิซ่า BLACKPINK’ ศิลปินหญิงคนแรกของโลก มียอดวิวบนติ๊กต๊อกทะลุ 1 แสนล้านวิว!!

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.66 ทวิตเตอร์ของ World Music Awards ได้ทวีตข้อความ ระบุว่า ‘ลิซ่า วงแบล็กพิงค์’ ได้กลายเป็นศิลปินหญิงคนแรกของโลก ที่มียอดวิวบนแอพพลิเคชั่นติ๊กต็อก ทะลุ 1 แสนล้านวิว จาก #LISA


ที่มา : https://www.matichon.co.th/entertainment/interstars/news_3939465
 

'พงศ์พรหม' มอง!! 'คนรุ่นก่อน' หวังดี แต่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ส่วนคนรุ่นใหม่ อยากเปลี่ยนแปลง อยากเจริญ แต่ไม่อยากเหนื่อย

(22 เม.ย.66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า...

คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ Gen X ปลาย Y ต้น แทบทุกคนบ่นเหมือนกันว่า คนรุ่นเราแม่งเหนื่อย แต่สู้ เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้ทัศนคติเราดี

อาจเพราะเราโตมาด้วยการขึ้นรถเมล์ แต่ก็มีมือถือใช้บ้าง โตด้วยการกินข้าวแกงข้างถนน แต่ก็รู้จัก Starbucks ที่เมืองนอก

มันทำให้เรานั่งรถบีเอ็มก็ได้ รถเมล์ก็ดี ทำให้เรารู้จักความพอเพียง แต่ก็ไม่ปฏิเสธการว่าก็อยากจะหาเงินพันล้าน เพราะเราก็ทะเยอทะยานพอที่จะบอกว่า เราก็ต้องสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้สำเร็จด้วย

สิ่งที่คนรุ่นเราเจอปัญหามาก คือคนรุ่นก่อนเรา แม้จะน่ารัก แต่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโลกใบใหม่น้อยมาก เราจึงมักเจอคำพูดดีๆ แต่ขาดการปฏิบัติ ขาดการลงมือทำ ขาดการคิดนอกกรอบเพื่อการเปลี่ยนแปลง

เอาหละ!! งั้นคนรุ่นเราเปลี่ยนให้...

ตอนนี้เราโตจนเป็นผู้บริหารตามองค์กรละ ไม่ก็เป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้างละ 

เราเจอปัญหาเพิ่มเติมจากคนรุ่นใหม่ แทนที่เขาจะขยันกว่าเรา เพราะโอกาสเขามีมากกว่าเรา แต่กลายเป็นว่า...

'อยากเจริญ แต่ไม่อยากเหนื่อย'

ซึ่งวนกลับมาเรื่องเดิม ขาดการปฏิบัติ ขาดการลงมือทำ ขาดการคิดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง แถมท้อเร็ว ท้อง่าย ขาด Global mindset ที่มีในเด็กเวียดนาม, สิงคโปร์, จีน, อเมริกา, อังกฤษ, เยอรมนี

แต่กลับบ่นเก่งกว่า...
...ทำไมไทยไม่เจริญ
...ทำไมถนนเราไม่เรียบ
...ทำไมต้นไม้ไม่เยอะๆ แบบเมืองนอก
...ทำไมไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ เยอะๆ

ผมมักเปรียบเทียบให้คน Gen X ปลาย Y ต้นฟัง ว่าคนอายุก่อนเกษียณวันนี้ ลงล่างไปจนอายุ 30 ต้น กำลังแบกภาระใหญ่ให้ประเทศไทย

เรามีคนรุ่นก่อนเราจำนวนไม่น้อยที่หวังดีต่อประเทศ แต่ไม่เข้าใจถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง (คนดีๆ เก่งๆ ก็เยอะ ตรงนี้ต้องขออภัย)

เรามีคนรุ่นใหม่ที่อยากให้ประเทศดีอย่างเมืองนอก แต่ความอดทนไม่พอ เพราะไม่เข้าใจว่า “ไม่มีความสำเร็จใดบนโลกใบนี้ที่ได้มาโดยไม่ต้องเหนื่อย”

ละรุนแรงต่อ 'สตรีเพศ' ให้สมเกียรติเยี่ยง 'สุภาพบุรุษ'  ทิ้งกมลสันดานชั่วในร่าง 'บุรุษ' เตือนตนว่าอย่าหาทำ

เมื่อส่วนแรกพระคัมภีร์ หรือส่วนปฐมกาลเขียนไว้ว่า...

"...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้คล้ายพระองค์ ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง" ทำให้นักวิชาการผู้ศึกษาไบเบิลหลายคนตั้งคำถาม "หรือพระเจ้าเองมีทั้งความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัว?"

หากพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้ชายคนแรกขึ้นจากดิน ซึ่งนั้นก็คือ 'อดัม' และต่อมาก็ได้ใช้กระดูกซี่โครงของอดัมสร้าง 'อีฟ' นั่นจึงหมายความว่าทั้ง 'บุรุษ' และ 'สตรี' เคยเป็นหนึ่งเนื้อนาบุญเดียวกันมาก่อนใช่หรือไม่?

เรื่องดังกล่าวสอดคล้องต้องกันกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่สังฆอริยเจ้า 'พระพรหมคุณาภรณ์' (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยเทศนาไว้ "...ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า แต่ละคนเกิดเป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง หมุนเวียนไป แล้วแต่กรรมของตน ในแง่นี้ทุกคนเป็นมนุษย์ จึงไม่มีอะไรต่างกัน เพราะฉะนั้น ทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจึงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ส่วนการที่เรามามองแยกเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายนี้ เป็นการมองในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่งๆ หรือเฉพาะหน้า แต่ความจริงแต่ละคนก็มีทั้งความเป็นหญิงและความเป็นชาย ที่จะเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ"

เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ปัจจุบันใยบุรุษจึงตั้งตนเป็นใหญ่ในโลก!!

หลังผ่านพ้นยุคหิน โลกโบราณถูกปกครองโดยนักรบ (กษัตริย์) ตามกลไกธรรมชาติซึ่งผู้แข็งแรงกว่าย่อมมีอำนาจดูแล ปกป้อง ผู้ด้อยกว่า ซึ่งในที่นี้ก็คือ สตรี (และเด็ก) นั่นเอง จึงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าบุรุษยุคโน้นข่มเหงสตรี เพียงแต่เพศมีความสำคัญต่างกัน ชายออกรบ ล่า แสวงหาอาหาร (ความมั่นคง) ส่วนหญิงก็ดำรงบทบาทระดับสังคมย่อยลงมา อาทิ ดูแลบ้านช่องและกิจการภายในยามผู้นำออกศึกทุกกรณี

คาดว่าค่านิยมดูแคลนสตรีเพศเริ่มต้นมาจากการบิดเบือนคำสอนตามพระคัมภีร์ต่างๆ หลายกรรมหลากวาระ หวังสร้างความวุ่นวายเพื่อแย่งชิงอำนาจ แม้ในพระไตรปิฎกก็มีเป็นต้น "...ขึ้นชื่อว่าหญิงในโลกนี้ไม่น่ายินดี เพราะหญิงเหล่านั้นไม่มีเขตแดน มีแต่ความกำหนัด คึกคะนอง ไม่มีเลือก เหมือนกับไฟที่ไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงข้ามกับความจริงจากพระพุทธโอษฐ์

'สมรักษ์ คำสิงห์' ชายผู้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 เหนือหัว พร้อมพาเพลงชาติไทยดังกระหึ่มโอลิมปิกที่แอตแลนตา

(19 เม.ย.66) จากเพจ 'ความเห็นของผม' ได้โพสต์ข้อความถึงความเป็นมาของ 'พี่บาส' สมรักษ์ คำสิงห์ ระบุว่า...

เผื่อเด็กรุ่นหลังที่ตามข่าว #เบสท์รักษ์วนีย์ อาจจะไม่รู้รายละเอียดว่า สมรักษ์ คำสิงห์ เป็นใครมาจากไหน 

โพสต์นี้จึงขอเขียนวีรกรรมของตำนานยอดฝีมือนักมวยสากลสมัครเล่นคนนี้พอสังเขป...

สมรักษ์ คำสิงห์ เกิดในครอบครัวที่ยากจนที่จังหวัดขอนแก่น เขาฝึกชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก และขึ้นสังเวียนชกครั้งแรกตอนอายุ 7 ขวบ โดยใช้ขื่อในวงการมวยไทยว่า พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ

ต่อมาเมื่ออายุ 12 ปี เขาเริ่มเบนเข็มมาสู่วงการมวยสากลสมัครเล่น โดย สมรักษ์ คำสิงห์ ปรากฏตัวในเวที 'โอลิมปิกเกมส์' ครั้งแรกเมื่ออายุ 19 ปี ที่ โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 25 เมืองบาร์เซโลน่า ปี 1992 เขาขึ้นชกในรุ่นเฟเธอร์เวท ผลคือ ตกรอบที่สอง

แม้จะไปได้เพียงแค่รอบสอง แต่เด็กอายุ 19 ปี ที่แพ้ในโอลิมปิก มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมานั่งเสียใจ เพราะเขายังมีเวลาที่จะเขียนประวัติศาสตร์ 

และหลังจากนี้ สมรักษ์ คำสิงห์ ก็เริ่มเขียนมัน

เขาเริ่มเรียกความสนใจจากผู้คนได้เป็นครั้งแรก เมื่อเขาเป็นหนึ่งในสองนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญทองจากการแข่งขัน เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่ ฮิโรชิม่า ในปี 1994 ร่วมกับ 'ฉลามนุก' รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ จากกีฬาว่ายน้ำ

2 ปีต่อมาหลังจากได้เหรียญทองเอเชียนเกมส์ เขาก็ไปโอลิมปิกเป็นครั้งที่ 2 ที่แอตแลนต้า (1996)

ด้วยสภาพร่างกายที่สดเต็มพิกัดในวัย 23 บวกกับประสบการณ์ที่เคยแพ้มาแล้วในครั้งก่อน และความมั่นใจจากเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ทำให้ในรุ่นเฟเธอร์เวท กล้าพูดได้ว่า นาทีนั้น สมรักษ์ คำสิงห์ ‘เจอใครก็ได้’ แม้ว่ามันจะเป็นเวทีโอลิมปิก แม้ว่ามันจะมีพยัคฆ์หนุ่มคะนองอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ อยู่ในพิกัดเดียวกันก็ตาม

สมรักษ์เอาชนะคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า เข้ารอบลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง ...

ประวัติศาสตร์ถูกเขียนอีกครั้ง เมื่อเขาเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศในกีฬามวยสากลสมัครเล่น ต่อจาก ทวี อัมพรมหา ที่ได้เหรียญเงินจากโอลิมปิกเกมส์ ที่ ลอสแอลเจลิส ในปี 2527

หรือโอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา จะถูกโฉลกกับนักชกไทยจริงๆ...

ในรอบชิงเหรียญทอง สมรักษ์ คำสิงห์ ต้องเจอกับนักมวยยอดฝีมือจากบัลแกเรีย ที่เอาชนะโคตรมวยอนาคตไกลอย่าง ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ มาในรอบรองชนะเลิศ

และในที่สุด ...

4 สิงหาคม 1996 ประวัติศาสตร์ได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่า สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยจากแดนสยาม สามารถเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ คู่ชกจากบัลแกเรียได้อย่างหมดจด

เขาทำสำเร็จ เขาคว้าเหรียญทองให้กับทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกได้เป็นครั้งแรก..!!!!

๓ ข้าหลวงต่างพระองค์ ที่ ร.๕ วางพระราชหฤทัย มอบให้ดูแลบ้านเมือง ‘ต่างพระเนตร-พระกรรณ’

ตอนที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้ ผมกลับมาอยู่บ้านในภาคอีสานพร้อมกับตระเวนไปตามจังหวัดใกล้เคียงบ้านเกิดของผม ซึ่งในอีสานจะมีถนนและสถานที่รำลึกถึงข้าหลวงต่างพระองค์อยู่หลายแห่ง อาทิ หนองประจักษ์ จ.อุดรธานี ถนนสรรพสิทธิ์ จ.นครราชสีมา หรืออย่าง ถนนพิชิตรังสรรค์ จ.อุบลราชธานี ข้าหลวงต่างพระองค์คือตำแหน่งอะไร สำคัญอย่างไร แล้วมีกี่ท่านที่นับได้ว่าเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ 

‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ นั้นเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าข้าหลวงปกติ ข้าหลวงเทศาภิบาลหรือสมุหเทศาภิบาล เพราะคำว่า ‘ต่างพระองค์’ มีความหมายว่าเป็นตัวแทนดูแลราษฎรและพื้นที่ ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ และมีฐานะเป็น ‘ผู้สำเร็จราชการ’ ตีความได้รับมอบความสำเร็จเด็ดขาดมาจากองค์พระเจ้าแผ่นดิน เพื่อดูแลทุกข์บำรุงสุขแก่พสกนิกร ตำแหน่ง ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ เท่าที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มีทั้งสิ้น 3 พระองค์ คือ… 

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร 
๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
และ ๓.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม 

ซึ่งพระประวัติและพระกรณียกิจของทั้ง ๓ พระองค์ผมจะนำเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าโดยสังเขปดังนี้นะครับ

๑.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล’ เป็นต้นราชสกุล ‘คัคณางค์’ ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕ เป็นหนึ่งในพระเจ้าน้องยาเธอที่ ‘เก่ง’ ทั้งทางการปกครอง ทางกฎหมาย และการประพันธ์ ทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกา พระองค์แรก มีหนังสือหลายเล่มโจมตีในหลวงรัชกาลที่ ๕ ว่าทรงกริ้ว จึงทรงให้ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ไปดูแลพื้นที่ห่างไกล แต่ถ้าหากมองจากบริบทของการปกครองแบบรวมศูนย์ในยุคนั้น การให้เชื้อพระวงศ์ระดับสูงไปดูแลภูมิภาคต่างๆ นั้นแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากรนั้นได้ไปดูแลภูมิภาค ‘ต่างพระเนตรพระกรรณ’ อยู่หลายแห่ง เริ่มต้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ พระองค์ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ทรงเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ไปรักษาเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับปรับปรุงการศาลต่างประเทศ และจัดระเบียบการปกครองภาคเหนือใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘ข้าหลวงใหญ่’ หัวเมืองลาวกาว ประจำอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ทรงปรับปรุงการปกครองหัวเมืองทางภาคอีสาน ประมาณ ๒๐ หัวเมือง โดยขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้รวมเป็นมณฑล 

ต้องบอกว่าพระองค์มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านชายแดนลาว และกัมพูชาเป็นอย่างดี คือเรียกว่า เสด็จ ฯ ไปทั่วทุกพื้นที่ในหัวเมือง นอกจากนี้พระองค์ยังมีความชำนาญด้านภาษาอังกฤษ มีความเชี่ยวชาญด้านยาทรงเป็นคนไทยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ปรุงยาไทยผสมกับยาต่างประเทศ เมื่อเสด็จกลับกรุงเทพฯ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้พิพากษาฝ่ายไทยร่วมกันพิจารณาคดีความร่วมกับฝรั่งเศส ในกรณี ‘พระยอดเมืองขวาง’ ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น ‘เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม’ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ สิริพระชันษาได้ ๕๔ ปีโดยการเป็น ‘ข้าหลวงต่างพระองค์’ ของพระองค์นั้นคือการดำเนินการปรับระบบการปกครองและระบบการพิจารณาคดีความให้เป็นเนื้อเดียวกันกับกรุงเทพฯ เป็นหลัก 

๒.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นพระเจ้าลูกยาเธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพึ่ง เช่นเดียวกับ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มีพระนามเดิมว่า ‘พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช’ เป็นต้นราชสกุล ‘ชุมพล’ ทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งแรกทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งทรงเป็นอธิบดีศาลฎีกาและศาลแพ่งก่อนจะดำรงตำแหน่งอธิบดีในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ จนกระทั้งในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นตามหัวเมืองทางตะวันออก ตั้งแต่เมืองนครราชสีมาลงไปจนถึงเมืองปราจีนฯ เจ้าเมือง กรมการเมือง ไม่สามารถที่จะปราบปรามให้สงบเรียบร้อยลงได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงพิเศษเสด็จขึ้นไปทรงบัญชาการปราบปรามโจรผู้ร้ายที่เมืองนครราชสีมา ซึ่งก็ทรงสามารถทำได้เป็นผลดีตามพระราชประสงค์ก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปเป็นข้าหลวงใหญ่เมืองนครราชสีมาจนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการว่างลง จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ แต่ก็ได้ทรงดำรงตำแหน่งใหม่นี้อยู่ได้ไม่นานนัก ก็เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ จำเป็นต้องมี ‘ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณ’ ไปดูแลพื้นที่มณฑลลาวกาว
และมณฑลอุดร กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้รับราชการสนอง พระเดชพระคุณในตำแหน่งข้าหลวงต่างประเทศสำเร็จราชการมณฑลลาวกาวอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี โดยประทับและตั้งกองบัญชาการข้าหลวงอยู่ที่เมืองอุบลราชธานี 

กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงปรับปรุง พัฒนามณฑลลาวกาว ซึ่งต่อมาคือ มณฑลอีสาน อย่างต่อเนื่อง ปรับรูปแบบ การปกครอง จากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง ตำแหน่งอุปฮาดเป็นปลัดเมือง ฯลฯ จัดตั้งกองทหารในเมืองอุบลราชธานี เรียกคนเข้ารับราชการเป็นตำรวจ พ.ศ.๒๔๕๑ ทรงตั้งศาลยุติธรรมขึ้นที่เมืองอุบลราชธานี มีฐานะเป็นศาลเมืองอุบลราชธานี และศาลมณฑลอีสานอีกด้วย  โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นข้าหลวงต่างพระองค์นั้นก็คือ ‘การปราบกบฏผีบุญ’ โดยเริ่มต้นจาก โนนโพขององค์มั่นก่อนจะดำเนินการอย่างราบคาบเรียบร้อย ซึ่งมีนักเขียนหลายสำนักโจมตีเรื่องการปราบผีบุญนี้ว่าเป็นการปราบที่โหดร้ายป่าเถื่อน แต่เอาเข้าจริงๆ บริบทของยุคสมัยที่กบฏผีบุญกลายเป็นลัทธิแห่งความขี้เกียจ การมั่วสุมไม่ทำงาน ผิดลูกผิดเมีย และชิงเอาของชาวบ้านดื้อๆ ไม่ผิดกับโจร ไม่ปราบ ก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ทำขี้เกลืออะไร? จนมาถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้เสด็จฯ กลับกรุงเทพฯ และทรงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวัง กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ พระชันษาได้ ๖๕ ปี

'ยังโอม' กับ 'ธาตุทองซาวด์' ปรากฏการณ์ที่ยังเพรียกหามือช่วย

ปรากฏการณ์ 'อีกี้' จาก MV ธาตุทองซาวด์ ของศิลปิน 'ยังโอม' อันเปรี้ยงปร้างเกินกว่าเพลงและมิวสิควิดีโอฮิพฮอพดาดๆ เพราะผู้คนพากันขุดอีกี้ของตัวเองมาโพสต์เต็มฟีดของโซเชี่ยลมีเดียทุกแพล็ตฟอร์ม สมเจตนาจนยังโอมเองก็ต้องออกมาโพสต์

"MV เพลงนี้ผมใช้เงินตัวเองลงไปประมาณ 1,200,000 บาท เป็น MV ที่ผมใช้เงินเยอะที่สุดในชีวิต…"

โดย "...ที่ผมต้องลงทุนเยอะขนาดนี้ เพราะอยากให้ทั้งโลกเห็นว่าคนไทยก็เฟี้ยวเหมือนกันนะ คนไทยถ้าเอาจริงๆ เราทำได้ทุกอย่าง เรามีความสามารถ เรามีศิลปินทที่เก่งมาก ในทุกๆ แขนงของศิลปะ"

และ "...นี่ขนาดผมทำด้วยตัวคนเดียว ด้วยเงินตัวเอง มันยังได้ขนาดนี้ ผมอยากจะรู้จริงๆ ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วจะนำพาประเทศเราไปได้ถึงจุดไหน จะไปได้ไกลเท่าเกาหลีไหมนะ…"

ผมชื่นชมยังโอม ยินดีด้วยกับความสำเร็จระดับไวรัล แต่กับข้อคิดเห็น (หรือคำถาม) "...ถ้าคนไทยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือจากไหนสักที่ วงการศิลปะบ้านเราจะไปได้ไกลแค่ไหน" ผมเองก็อดคิดตามไม่ได้

ศิลปินแขนงวงการบันเทิงบ้านเรามักออกมาพูดถึงอะไรแบบนี้เสมอเมื่อ 'งาน' ถูกนำเสนอจนเป็นที่นิยม ทำนองหยาดเหงื่อตนล้วนๆ ไม่มีใครสนับสนุน 'เหมือนบางประเทศ' ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นยก 'เกาหลี (ใต้)' มาเป็นคู่เปรียบกับไทย

ความจริงที่ต้องถามคือ "เกาหลีเขาสนับสนุนศิลปินกันแค่ไหน?"

‘ดีเจมดดำ’ โพสต์รูปคู่ ‘โอ๊ค พานทองแท้’ ย้อนวันวานยุค Y2K เผย เป็นรูปถ่ายจากเที่ยวทริปตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อไม่นานมานี้ พิธีกรมากฝีมืออย่าง นายคชาภา ตันเจริญ หรือ ‘ดีเจมดดำ’ ได้ทำการโพสต์รูปถ่ายย้อนวัย ยุค Y2K ที่กำลังเป็นกระแสสุดฮิตในตอนนี้ ที่ถ่ายคู่กับ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ ‘โอ๊ค’ ลูกชายของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านโซเชียลเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม โดยระบุว่า…

‘สมัย y2k เนอะ รูปนี้ต้องลง @oak_ptt ได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต’

หลังจากนั้น ได้มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก และได้มีคนในครอบครัวชินวัตรอย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ น้องสาวคนสุดท้องของบ้านชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัว และหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย คอมเมนต์ในอินสตาแกรม ว่า ‘น่ารักอ่ะ❤️’

ชีวิตยังมีพรุ่งนี้... สำรวจการเงินเด็กยุคใหม่ หลังพบรายจ่ายสุดแสน 'น่าห่วง' สวนทาง!! 'เงินออม' ใต้ค่านิยม 'เน้นใช้-ไม่เน้นเก็บ-อยู่ไปวันๆ'

(13 เม.ย.66) เฟซบุ๊ก ‘GUNRATA’ ได้นำเสนอคอนเทนต์ในหัวข้อ 'การใช้เงินของเด็กในยุคนี้' โดยมี ‘กันต์ รตนาภรณ์’ เจ้าของธุรกิจ นักลงทุนในหุ้น-อสังหาริมทรัพยฺ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้ออกสัมภาษณ์เด็กหลายๆ คน ซึ่งเขาได้ตั้งคำถามกับเด็กกลุ่มหนึ่งว่า “อะไรที่เคยซื้อและมีมูลค่าแพงที่สุดในชีวิต?”
.
ในจำนวนเด็กๆ ที่ถูกสัมภาษณ์ได้ให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น IPhone 14 Promax ราคา 48,000 บาท,  บัตรคอนเสิร์ต ราคา 15,000 บาท และ IPad ราคา 30,000 บาท
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top