Saturday, 19 April 2025
คนตัวเล็ก

กลไกภาษีนำเข้า ของ 2 ชาติมหาอำนาจ ไทยจะไปในทิศทางไหน ในโค้งสุดท้าย

(19 เม.ย. 68) เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว กำลังเผชิญกับความท้าทาย และอุปสรรคใหญ่ ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ และปีถัดๆ ไป จากการขึ้นภาษี 36% จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแรงกระทบสำคัญ ที่กระทบทั้งภาคส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวม ข้อมูลจากภาคเอกชนชี้ว่าไทยอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 7-8 แสนล้านบาท ซึ่งอาจทำให้ GDP ไทยลดลงต่ำกว่า 2%

มาตรการกดดันในสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง ของ 2 ชาติมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา และ จีน กำลังจะผลักให้ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเลือกข้าง ในการดำเนินกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ 

ปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท แต่ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มียอดเกินดุลการค้า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ประชุมระหว่างหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงการคลัง ธปท., บีโอไอ สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา เห็นชอบร่วมกันหาแนวทางนำเข้าสินค้าที่จำเป็น เพื่อลดยอดเกินดุลการค้าให้เหมาะสม ผ่านหลายมาตรการ เช่น การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐเพิ่มเติมบางส่วน แทนนำเข้าจากประเทศอื่น

ทีมเศรษฐกิจ ของรัฐบาล จำเป็นต้องหามาตรการอื่นๆ มาเพิ่มเติมแบบเร่งด่วน เพราะ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คาดหวังจะให้เกิดพายุทางเศรษฐกิจ กลายเป็นลมแผ่วๆ ที่กระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจแทบจะไม่ได้เลยในช่วงปีที่ผ่านมา มาเจออีกอุปสรรคใหญ่กับนโยบายภาษีนำเข้าของ ‘ทรัมป์’ … รัฐบาลไทย จะไปยังไงต่อ ?

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ ประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อ ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 อัตราเงินเพื่อทั่วไปที่เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์ของเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ถึงเดือนมกราคม 2568) อยู่ที่ร้อยละ 0.6 ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีข้อตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ 1-3 เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย (SET) คงบอกได้ว่า ยังกู่ไม่กลับ หลังหลุด 1,200 จุด ไปต่ำกว่า 1,100 จุด ในวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ 1,074.59 จุด ก่อนที่จะกลับมาป้วนเปี้ยนแถว 1,130-1,150 จุด โดยหุ้นใน SET100 แดงเกือบยกแผง นักลงทุนไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี กังวลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อการส่งออกสินค้าอีก

ข่าวการปรับ ครม.ของ ‘รัฐบาล’ โดยเฉพาะ ทีมเศรษฐกิจ เริ่มหนาหูขึ้น นอกจากจะเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ยังดำเนินการไม่ครบทุกเฟส รวมถึงร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ยังไม่สามารถเดินหน้าต่อได้จากแรงต้านทั้งในและนอกสภา ยังมีกระแสความเห็นต่างภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะท่าทีของพรรคภูมิใจไทยต่อกฎหมายคาสิโน 

จะปรับ จะเปลี่ยน ก็รีบทำ เพราะหลายๆ อย่าง เห็นได้ชัดเจนว่า ยังทำได้ไม่ดีพอ..!!

Update เศรษฐกิจ!! ยังคงไม่เห็นทางสว่างของ ‘ประเทศไทย’ อุปสงค์โลกฟื้นตัวช้า สินค้าคงคลังของคู่ค้า ยังอยู่ในระดับสูง

(16 มี.ค. 68) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่บทความเรื่อง “ความท้าทายภาคการผลิตอีสานหลังโควิดคลี่คลาย” ซึ่งกล่าวถึงภาคอุตสาหกรรมของอีสาน ที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงวัฎจักร จากการที่อุปสงค์โลกฟื้นตัวช้าและสินค้าคงคลังของคู่ค้ายังอยู่ในระดับสูง

ในขณะที่ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ที่มีภาคการผลิตที่ผลิตสินค้าที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของโลกในปัจจุบัน โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมที่เน้นส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หดตัวลง โดยอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ คิดเป็น 16% ของภาคการผลิต

การลงทุนใหม่ในภาคอีสาน ลดลงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่การลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารยังดี และมีสูงมากเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาล แปรรูปเนื้อสัตว์ และแป้งมันสำปะหลัง

ในช่วงปี 2565 – 2567 มีโรงงานปิดตัวลงไปสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี แต่บริษัทที่อยู่รอดมาได้ ต่างมีแนวทางในการเอาตัวรอดที่คล้ายกัน 4 ข้อคือ 1) การเพิ่มมูลค่า 2) การลดต้นทุน 3) การเพิ่มช่องทางจำหน่าย และ 4) การหาผู้ร่วมลงทุน โดยในแต่ละอุตสาหกรรมมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน

เศรษฐกิจภาคอีสานยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำ จากภาคการผลิตที่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งการผลิตสินค้าโลกเก่า และขาดปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ในการผลักดันให้เศรษฐกิจอีสานเติบโต

ผู้ว่าธปท.ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยที่ 2% ชี้มีความเหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจ: สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษต่อหอการค้าญี่ปุ่นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.0% มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบันของไทย และธปท.ไม่มีแผนที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยบ่อย ๆ

ธปท. คว้ารางวัลระดับโลก “ธนาคารกลางแห่งปี 2568” Central Banking Publications สื่อชั้นนำด้านธนาคารกลางระดับโลก ได้มอบรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2568” (Central Bank of The Year 2025) ให้กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)  ในการมอบรางวัล Central Banking Awards ประจำปีนี้ เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล

สำหรับเหตุผลที่ธปท.ได้รับรางวัลนี้ ทางผู้จัดงานระบุว่า เป็นเพราะท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจภายในที่เผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ธปท.ได้ “รักษาสมดุลอย่างชาญฉลาด” ระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจไปพร้อมกับมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเงินในระยะยาว

ราคาทองคำยังปรับตัวเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันที่ 14 มี.ค. 68 สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทยเปิดตลาดช่วงเวลา 9.07 น. ราคาอยู่ที่ 47,500 บาทต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 500 บาท จากราคาปิดตลาดเมื่อวานนี้

Update เศรษฐกิจฉบับนี้ ยังคงไม่มีข่าวคราว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จากรัฐบาล การคว้ารางวัลของ ธปท. ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า องค์กรอิสระ ที่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ทำได้ถูกทาง หวังว่า อีกหลายๆ หน่วยงาน จะช่วยกันรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ประเทศไทย

‘รัฐบาล’ จะเอาเศรษฐกิจอยู่ไหม ?? คำถาม ที่ต้องการคำตอบ อย่างเร่งด่วน

(2 มี.ค. 68) เศรษฐกิจโลก น่าจะไม่สงบไปอีกพักใหญ่ หลังการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน ประสบความล้มเหลว ล่มไม่เป็นท่า สองผู้นำปะทะคารมดุเดือด ฟากสหรัฐ อยากให้ยุติสงคราม พร้อมให้ยูเครน รับภาระเป็นลูกหนี้ กว่า 500,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ฝ่ายยูเครน ต้องการให้สหรัฐสนับสนุน เพื่อต่อสู้กับรัฐเซีย ต่อ... เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่สงบ ราคาพลังงาน ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 2.00% ถือเป็นข่าวดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ อย่างน้อยการลดดอกเบี้ยนโยบาบ ก็สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะ SMEs ที่มีหนี้สะสมกว่า 3.15 ล้านล้านบาท จะได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ย ช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินและเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการ 

การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่ภาคธุรกิจรอคอยอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดและส่งผลดีต่อการส่งออก ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังต้องการการฟื้นตัวและการสนับสนุนจากภาครัฐ

ซึ่งปัจจุบัน สินค้าเกษตรส่งออก โดยเฉพาะข้าวไทย ประสบปัญหา ยอดส่งออกลดลงกว่า 32% ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 อินเดียกลับมาเป็นผู้นำในการส่งออกข้าว ประสิทธิภาพในเชิงผลผลิตต่อไร่ ไทยสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว 

ตลาดโลกแข่งขันสูง ผลผลิตข้าวไทยลดลงเรื่อยๆ จนสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามไม่ได้แล้ว ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามแซงหน้าไทยไปมากถึง 1.6 เท่า ที่สำคัญประสิทธิภาพในเชิงผลผลิตต่อไร่ เวียดนามก็สร้างผลผลิตต่อไร่ได้ดีกว่า พร้อมกับเตรียมตัวเจออุปสรรคการส่งออก สหรัฐอเมริกา จ่อขึ้นภาษีนำเข้าข้าว และสินค้าเกษตร อีก 10% 

ส่งออกได้ลดลง เพราะ ‘ข้าวไทย ราคาแพงขึ้น’ เหมือนจะเป็นข่าวดี สำหรับ เกษตรกรชาวนาไทย ที่จะลืมตาอ้าปาก มีกิน มีใช้ แต่กลไกข้าวไทยในปัจจุบัน ชาวนาขายข้าวได้ราคาสูง จริงหรือ? หรือแพงขึ้น จากอะไร? และใคร? ที่ได้ประโยชน์จากข้าวแพง กันแน่ !! 

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับลงอีก 22 จุด หลุด 1,200 จุด โดยหุ้นใน SET100 แดงเกือบยกแผง นับจากต้นปี SET ร่วงลงมาแล้วเกือบ 190 จุด หรือเศรษฐกิจไทย จะกู่ไม่กลับแล้ว นักลงทุนไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี กังวลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อการส่งออกสินค้า

‘รัฐบาล’ จะเอาเศรษฐกิจอยู่ไหม ? เป็นคำถาม ที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เศรษฐกิจไทย จะพังทลายมากไปกว่านี้.. 

สกัด!! ‘คอลเซ็นเตอร์’ มาช้า ยังดีกว่า ไม่มา แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องรีบมา เดี๋ยวนี้

(16 ก.พ.68) ตัดไฟ 5 จุด ชายแดนเมียนมา สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมข้ามชาติ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สำนักงานใหญ่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กดปุ่มตัดไฟฟ้า 5 จุด ที่พบข้อมูลว่ามีการนำไฟฟ้าไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา ส่งผลกระทบต่อความเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ 

ปัญหาเรื้อรัง ที่กลุ่มมิจฉาชีพ ที่เราเรียกว่า ‘กลุ่มจีนเทา’ ไปตั้งสำนักงาน หลอกคนไทยไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ และโทรกลับมาหลอกลวงคนในบ้านตนเอง 

ใน ปี 2566 คาดการณ์ว่าสร้างความเสียหายมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท ในปี 2567 คาดการณ์ว่า คนไทยสูญเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มากกว่า 80 ล้านบาท ต่อวัน !! 

วันที่ 7 ม.ค. 68 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 2567 ได้รับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,361 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท สถิติการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย อันดับ 1 คือ ภัยทางการเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (เสียหายกว่า 70 ล้านบาท) 

ผู้เสียหายอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่ได้ร้องเรียนไปยังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีการแจ้งความ ลงบันทึกประจำวัน และคงมีอีกหลาย ๆ คน ที่ไม่ไปแจ้งความ ด้วยอาจเพราะอับอาย ถ้ามีคนอื่นรับรู้ว่าตนถูกหลอกลวง

เศรษฐกิจไทย เสียหายไปเท่าไหร่ กับภัยจากมิจฉาชีพ ทั้งความเสียหายโดยตรงของผู้ถูกหลอกลวง และความเสียหายทางอ้อม ต่อธุรกิจต่างๆ ที่ติดต่อประสานงาน สมัครงานผ่านทาง Social 

ราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้น 5.3% หลัง 'โดนัลด์ ทรัมป์' รับตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ สมัยที่ 2 และธนาคารกลางทั่วโลกเร่งสะสมทองคำ จีนซื้อเพิ่ม 10.26 ตัน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ 

นโยบายรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารของ 'โดนัลด์ ทรัมป์' สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก และทุกอุตสาหกรรม ล่าสุด อุตสาหกรรมเหล็ก กำลังจะโดนกำแพงภาษี รอบ 2 จะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด 25% ซึ่ง นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเหล็กจีนได้รับผลกระทบตั้งแต่นโยบายทรัมป์ 1.0 ซึ่งทำให้สินค้าจีนที่ผลิตปริมาณมากและราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดในไทยและอาเซียนมากขึ้น โดยจีนผลิตเหล็กสัดส่วนสูงกว่า 50% ของการผลิตเหล็กของทั้งโลกรวมกัน

หากจีนส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐไม่ได้ ย่อมต้องเบนเป้าหมายการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นๆ อุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย อาจโดนดัพท์ราคาอีกรอบ จะมีโรงงานเหล็ก ต้องปิดตัวลงอีกกี่แห่ง!! บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น Nissan หลังดีลควบรวมกับ Honda ยุติไปแล้ว ปรับแผนควบรวมไลน์การผลิต เพื่อลดต้นทุน โรงงานในไทย จะควบรวมการผลิตโรงงาน 2 แห่ง โรงงานแห่งที่ 1 จะมีการปรับเปลี่ยนไปเป็นโรงงานขึ้นรูปและประกอบตัวถังและโลจิสติกส์ และนำเอาไลน์ผลิตรถยนต์ไปรวมกับโรงงานแห่งที่ 2 

ธุรกิจของอดีตยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมหลักของโลก ดิ้นปรับตัว ลดการจ้างแรงงาน ลดต้นทุนการผลิต หนีตายกันอย่างเร่งด่วน แล้วธุรกิจน้องเล็กในไทย เหล่าผู้ประกอบการ SME ที่มีกำลังน้อย จะล้มหายไปอีกกี่แห่ง รัฐบาลไทย รีบคลอดนโยบายทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมสักทีเถอะ ก่อนปัญหาจะลุกลามมากไปกว่านี้

งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่เป็นผล!! ประชาชนเริ่ม ส่ายหน้า เสื่อมศรัทธา รัฐบาล ไทยเดินหน้า ‘คาสิโน’ แต่ ‘เวียดนาม’ เตรียมเป็นผู้ผลิต ‘เซมิคอนดักเตอร์ชิป’ รายใหญ่

(2 ก.พ. 68) ผลการเลือกตั้ง นายก อบจ. 47 จังหวัด ประกาศครบถ้วนไปแล้ว พรรคการเมืองครอบครองพื้นที่ไหน คงมีหลายๆ สื่อนำเสนอไปแล้ว แต่คงพอให้เห็นความนิยมบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงจากเวทีใหญ่

ภาพใหญ่จากความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่แจกเฟส 2 ก่อนสนามการเมืองระดับท้องถิ่น เหมือนจะสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้มาก เพราะตั้งแต่แจกเงินเฟสแรก เศรษฐกิจไทย ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น แถมใช้เม็ดเงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนับรวมเฟส 3 ที่จะแจกประชาชนทั่วไปอายุ 16-60 ปี ประมาณ 16 ล้านคน จะใช้งบประมาณราว 334,500 ล้านบาท มากกว่างบประมาณรวมจากหลายๆ โครงการ ที่อาจเป็นรูปธรรมมากกว่า 

บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น เริ่มทยอยเพลี้ยงพล้ำ ถอนธุรกิจจากประเทศไทย ล่าสุด Z.Com ยุติให้บริการโบรกเกอร์ในไทย เริ่มปิดบัญชีลูกค้า 3 มีนาคม นี้  ทั้งค่ายรถยนต์ ที่เจอคู่แข่งรถไฟฟ้าสัญชาติจีน โรงงานผลิตชิ้นส่วนอีกหลายแห่ง ที่จำเป็นต้องซาโยนาระ (ลาก่อน) จากประเทศไทย

แถมมีข่าว 7-11 ญี่ปุ่น ทาบทาม 'เครือซีพี' ของไทย ร่วมลงทุนในดีลใหญ่ ซื้อหุ้นคืน 9 ล้านล้านเยน สู้ศึกเทกโอเวอร์จากกลุ่มแคนาดา ศักยภาพผู้นำเศรษฐกิจในไทยยังคงแข็งแกร่ง ส่วนผู้นำอุตสาหกรรมโลก เห็นภาพชัดว่าจีน แข็งแกร่งมากเพียงใด 

แต่รัฐบาลไทย กลับจะปั้นเศรษฐกิจประเทศด้วย “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ แทนที่จะเร่งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ที่ตอนนี้ กลายเป็น ‘เวียดนาม’ เตรียมขึ้นแท่นก้าวเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชิปรายใหญ่ของโลก

กำลังซื้อยังไม่ฟื้น ถึงจะแจกเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก เลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น อาจเป็นภาพเล็กๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชน เริ่มมีความไม่เชื่อมั่นทีมการเมืองจากพรรคแกนนำรัฐบาล

ฝุ่นพิษ PM 2.5 กรุงเทพ ก็ยังไม่ลด ผู้นำที่เคยขายภาพฝัน ‘ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่า’ ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ ปริมาณฝุ่นลดลง 2 วัน ฝ่ายรัฐบาลเคลมทันที ว่าเป็นเพราะนโยบายขึ้นรถไฟฟ้า-รถเมลล์ ฟรี โดยใช้งบประมาณ 140 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเพราะมีลมมรสุมพัดเข้ามา แถมเตรียมของบประมาณเพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ดันนโยบายต่อ!!  

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งศึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 3 แสนล้านบาท ซื้อคืนทรัพย์สินเดินรถของเอกชน ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์การเดินรถในส่วนที่เอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้

เม็ดเงินที่จะใช้เพื่อตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้า ก็น่าจะใช้งบประมาณอุดหนุนใส่กองทุนค่อนข้างมาก เอกชนหรือประชาชน จะสนใจการลงทุนนี้ไหม เพราะหากมีเพียงโครงการรถไฟฟ้า ภาพขาดทุนแทบจะชัดเจน เพราะกว่าที่จะเพิ่มยอดผู้โดยสารได้ถึงจุดคุ้มทุน ก็น่าจะอีกหลายปี 

แต่ละนโยบาย แต่ละโครงการ ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก คงได้แต่หวังว่า งบประมาณที่จัดเก็บภาษีในแต่ละปีจะเพียงพอ หวังว่าประชาชนผู้เสียภาษีรายได้ส่วนบุคคล จะไม่ท้อไปซะก่อน 

คาสิโนถูกกฎหมาย สร้างรายได้ภาษี บนความล้มเหลวทางสังคม ดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ

(19 ม.ค. 68) รัฐบาลเดินเครื่องอนุมัติหลักการร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แผนพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย จะมีการเปิดใบอนุญาตในกรุงเทพฯ 2 แห่ง พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

ประเทศไทย อาจอยู่คู่กับการพนันเสี่ยงโชคมาโดยตลอด ที่ถูกกฎหมายในปัจจุบัน มีเพียงแต่การลุ้นรางวัลลอตเตอรี่ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังคงมีการเสี่ยงโชคกับหวยใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้จะมีการออกสลาก N3 หรือ สลากตัวเลขสามหลัก เพื่อแก้ปัญหาการขายหวยใต้ดิน แต่ผลตอบรับในปัจจุบัน ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก 

มาครานี้ จะเป็นของใหญ่ อย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘คาสิโน’ ที่จะดึงการเสี่ยงโชคนอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มรายได้การจัดเก็บภาษีให้รัฐ

สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประชาชนยังคงมีรายได้จำกัด ยังตกงานอีกเป็นจำนวนมาก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ส่วนใหญ่ มาจากการรับจ้าง รับค่าแรงรายวัน หาเช้ากินค่ำ ซึ่งคนกลุ่มนี้ ก็นิยมเสี่ยงโชค ลุ้นเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตไปในแต่ละวันมากกว่า

หวยไม่ถูกกฎหมาย อย่างน้อย ก็ยังพอให้คนเล่น เล่นแบบเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ เล่นเยอะถูกรางวัล เจ้ามือไม่จ่าย คนเล่นชักดาบ ก็แจ้งความไม่ได้ ในมุมมองผู้เขียน ก็เหมือนเป็นการป้องกันการทุ่มเล่นจนหมดตัว

พอถูกกฎหมายแล้ว จะควบคุมคนเล่นอย่างไร ไม่ทำการทำงาน ไปอยู่แต่บ่อนถูกกฎหมาย เล่นเสีย ขอแก้มือ ทุ่มเล่นจนหมดตัว... คือสิ่งที่น่ากังวล

‘ไม่เคยมีใครรวยจากการพนัน’ คนรวย คงไม่พ้น เจ้ามือ หรือผู้ลงทุนในธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ซี่งก็คงไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ได้ไปถือหุ้นในธุรกิจนี้

‘คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น’ คำนี้ อาจจะถูกเพียงท่อนแรก เพราะตลาดหุ้นในปัจจุบัน ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นสภาวะเศรษฐกิจไทย ลองย้อนกลับไปดูได้ว่าช่วงปีใด ที่มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และในปัจจุบัน ถูกเทขายจนดัชนี SET ไทย ตกมาต่ำกว่าระดับ 1,350 มูลค่าหุ้นหลายๆ คน น่าจะหายไป 30-40% ยังไม่นับรวมผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ถูก Forced Sell (การบังคับขาย)  

อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็เริ่มได้เห็น ดันคาสิโนถูกกฎหมาย บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีการทุจริตเป็นหมื่นล้าน ผู้แทนประชาชนบางพรรคพยายามผลักดัน บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย สุราเสรี อาชีพ Sex worker ถูกกฎหมาย ตัดงบประมาณบรรเทาสาธารภัย เพิ่มงบใส่นโยบายประชานิยม โครงสร้างพื้นฐานเริ่มชะลอ สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร... ไม่ขอลุ้นละกันครับ 

‘จีน’ ส่ง BYD ตีชนะ!! Tesla ‘เวียดนาม’ เดินหน้า พัฒนาอุตสาหกรรม ‘เซมิคอนดักเตอร์’ ‘รัฐบาลไทย’ มุ่งสร้าง!! ฐานประชานิยม เน้นแค่หาเสียง เพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล

(5 ม.ค. 68) ข่าวส่งท้ายปี 2567 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะการเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากการเปิดเผยของ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง (24 ธ.ค.2567)

ซึ่งคงต้องมีการสรรหากันใหม่ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2568

แรงกดดันจากฝ่ายการเมือง ที่จะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดนโยบายทางการเงิน การคลัง รวมทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศ ก็คงซาไปอีกระยะ จนกว่าจะมีการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหากันอีกครั้ง

และข่าวเริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 กับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า บีวายดี (BYD) ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก โดยในไตรมาส 4 ของปี 2024 บีวายดีแซงหน้าเทสลา (Tesla) เป็นครั้งที่สอง

จากรายงานระบุว่า บีวายดี ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ที่สุดของจีน ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (All-Electric Vehicles) จำนวน 207,734 คันในเดือนธันวาคม 2024 เพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ในไตรมาส 4 ปี 2024 บีวายดีส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบรวมประมาณ 595,000 คัน มากกว่าเทสลาที่ส่งมอบได้ 496,000 คัน แม้ตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสถิติใหม่ของเทสลา แต่ยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 507,000 คัน

สำหรับยอดขายทั้งปี 2024 บีวายดีสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าได้รวม 1.768 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราว 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่เทสลามียอดขายรวม 1.79 ล้านคัน ลดลงประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปี 2023

ตามด้วยข่าว รัฐบาลเวียดนามเสนอเงินอุดหนุน 50% ของมูลค่าลงทุนให้กับโครงการวิจัยและพัฒนาหลักในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI)

โครงการที่มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุนดังกล่าวซึ่งระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาที่ออกเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2024 จะต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านล้านดอง (4.07 พันล้านบาท), ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศนวัตกรรม (innovation ecosystem), ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำ และผู้พัฒนาโครงการจะต้องไม่มีภาษีค้างชำระหรือหนี้กับรัฐบาล โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องชำระทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอง (1.35 พันล้านบาท) ภายใน 3 ปีนับจากได้รับการอนุมัติการลงทุน

รัฐบาลเวียดนาม ยังคงเดินนโยบายด้านเศรษฐกิจ ดึงนักลงทุน และส่งเสริมการลงทุน ในส่วนโครงการเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อผลักดันการเติบโตของประเทศ ที่มั่นคง ยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนา การลงทุนในสินทรัพย์ การผลิต และโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะสร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก

หันกลับมาดูการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย กลับเป็นนโยบายประชานิยม ที่แทบจะสร้างฐานสำหรับอนาคตของประเทศไม่ได้ ซ้ำยังส่งผลเสียต่อวินัยทางการเงินของประชาชนไปเรื่อยๆ เน้นแค่หาเสียงเพื่อให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาลในสมัยต่อไป 

มารอดูกันต่อว่า ประชาชนผู้เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ที่มีอยู่ 4 ล้านกว่าคน ที่เหมือนต้องแบกการใช้จ่ายงบประมาณ ไปกับนโยบายประชานิยม จะทนต่อได้มากน้อยแค่ไหน หากคนกลุ่มนี้เริ่มส่งเสียง เก้าอี้รัฐบาล จะเริ่มสั่นคลอน ... สวัสดีปีใหม่ 2568 ครับ 

‘แพทองธาร’ แถลงผลงาน!! 90 วัน แคมเปญ 2568 เพื่อให้คนไทย ‘มีกิน - มีใช้’ ในสังคมที่เท่าเทียม!!

(22 ธ.ค. 67) นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ประกาศความพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ ‘ปีแห่งโอกาส’ หลังบริหารประเทศครบ 90 วัน พร้อมเปิดตัวแคมเปญ ‘2568 โอกาสไทย ทำได้จริง’ มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ผ่าน 5 นโยบายหลักและ 6 แผนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อวางรากฐานประเทศในทศวรรษหน้า

ในการแถลงผลงานที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานภายใต้แนวคิด ‘ทุกคนคือทีมเดียวกัน’ โดยระบุว่าการดำเนินนโยบายต่างๆ ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การแก้หนี้ครัวเรือน การสร้างที่อยู่อาศัย การให้ทุนการศึกษา ไปจนถึงการลดค่าครองชีพและการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัล เพื่อให้คนไทยทุกคน ‘มีกิน-มีใช้-มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี’ ในสังคมที่เท่าเทียม

อาจจะงงๆ กับการหยิบยกตัวเลขบางอย่างมานำเสนอ ในเรื่อง ตลาดเครื่องดื่มของไทย พวกซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำแร่ น้ำหวาน มีการส่งออก มากกว่าปีละ 7 หมื่นล้านบาท รัฐสามารถเก็บภาษีได้ แสนแปดหมื่นห้าพันล้านบาท ต่อปี 

รัฐบาลไทยเก่งมากในเรื่องการจัดเก็บภาษี ที่สามารถเก็บภาษี ได้มากกว่า มูลค่าส่งออก ถึง 2.5 เท่า !!!

ซึ่งก็เคยมีการหยิบยกคำให้สัมภาษณ์ บางประเด็น ที่เหมือนทีมงานเศรษฐกิจอาจไม่ได้จัดเตรียมข้อมูลให้ เลยทำให้การสื่อสาร มีผิดพลาด เช่น ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปัจจุบัน (24 ก.ย. 67) ว่า เรื่องของเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นในข้อเท็จจริงแล้วทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลเองเราสามารถทำได้ในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อดีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ให้ได้

การที่ค่าเงินบาทแข็ง คงไม่ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกเป็นแน่ ถึงแม้จะมีการให้สัมภาษณ์ ในเวลาถัดมาแก้ประเด็นการสื่อสาร ที่อาจผิดพลาด แต่มันทำลายความน่าเชื่อถือต่อภาพการบริหารเศรษฐกิจ ของหัวเรือใหญ่ทีมรัฐบาล

สำหรับประเด็นในการแถลงผลงาน 90 วัน ก็มีการนำเสนอแผนงานในปี 2568 ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่พ้นนโยบายประชานิยม รัฐบาลเดินหน้า 5 นโยบายหลัก ‘ล้างหนี้ประชาชน-บ้านเพื่อคนไทย-ทุนการศึกษา-รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย-ดิจิทัลวอลเล็ต’

บ้านเพื่อคนไทย ทำให้นึกถึงภาพโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563 ลอยเข้ามาในหัว

ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 1 ที่แจกไปแล้วกว่า 1.45 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงพอประเมินได้

รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ลำพัง การชำระหนี้ ‘รถไฟฟ้าสายสีเขียว’ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน โดยมีมูลค่าหนี้สินสูงระดับแสนล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นภาระหนี้สินทั้งในส่วนของค่าจ้างงานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M Electrical and Mechanical) ประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท

รวมถึงหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา (O&M Operation and Maintenance) แตะ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 จากการว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ก็เพิ่งเริ่มได้ชำระหนี้บางส่วนตามแผน และยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องอีก

ล้างหนี้ประชาชน การเสพติดนโยบายประชานิยม ย่อมส่งผลต่อวินัยทางการเงินของภาคประชาชน ซึ่งจะทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ เป็นเหมือนฟองสบู่ที่ใกล้จะแตก ธนาคารแห่งประเทศไทย เอง ก็พยายามสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การคลัง แต่ไม่รู้ว่าจะทานไว้ได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มมีเสียงจากฝั่งการเมือง เกี่ยวกับการจะนำเงินสำรองของประเทศ ออกมาใช้

วิกฤต ต้มยำกุ้ง ปี 2540 จะมาโผล่ ในปี 2568 อีกหรือไม่ ... ขอส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 ด้วยคำอวยพรว่า ‘ประชาชนเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกกันให้ดีๆ’ ระมัดระวังดูแลสถานะการเงินของตนเอง

สุขสันต์วันปีใหม่ ต้อนรับปีมะเส็ง 2568 ขอให้สุขภาพดีกันทุกท่านครับ

Vat 15% เศรษฐกิจถึงทางตัน หรือรัฐบาลถังแตก กระแสต่อต้านรุนแรง นายกฯ แจง!! แค่กำลังศึกษา

(7 ธ.ค. 67) เป็นเรื่อง !!! หลัง รมว.คลัง ขึ้นเวทีกล่าวถึงแผนงานเตรียมปรับโครงสร้างภาษี ขึ้นภาษี VAT 15% ลดอัตราภาษีนิติบุคคลเหลือ15% จาก 20% เพื่อดึงดูดนักลงทุน และแข่งขันกับชาวโลกได้ เพิ่มจัดเก็บรายได้เข้ารัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Sustainability Forum 2025 : Synergizing for Driving Business ว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล

เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนในแวดวงเศรษฐกิจ และกระแสโจมตีจากประชาชนกับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังคงซบเซา รอคอยพายุหมุนทางเศรษฐกิจทั้ง 4 ลูก มากระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงแม้เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต (โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท) จะคลอดออกมาแล้วก็ตาม

คล้อยหลังไม่กี่วัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์กล่าวชี้แจงแนวความคิดการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรัฐบาล ยืนยันไม่ปรับ VAT 15% กระทรวงการคลังกำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษีให้ครบทุกมิติ ฟังทุกภาคส่วน นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นลดรายจ่ายประชาชน

สำทับด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาชี้แจงแนวคิดขึ้น ภาษี VAT จาก 7% เป็น 15% ยังไม่มีข้อสรุป กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยืนยันไม่ได้มาจากปัญหารัฐบาลถังแตก และไม่เกี่ยวกับการแจกเงินหมื่น เป็นแผนปรับภาษีเพื่อความยุติธรรม

เหมือนปล่อยลอยคอ รมว.คลัง ให้โดดเดี่ยวเดียวดายกลางทะเล...

หากมองย้อนกลับไปในอดีต สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยประกาศนโยบายเตรียมขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม คล้าย ๆ กับการโยนหินถามทาง หยั่งกระแสจากประชาชน เมื่อส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ก็ยกเลิกนโยบายดังกล่าว

รวมทั้งสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 % จาก 7% เป็น 8% กลับโดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากกลุ่มคนของรัฐบาลในปัจจุบัน ที่ก่นด่า และโจมตีมากที่สุด

แต่คราวนี้ เมื่อได้เป็นรัฐบาลเอง กลับมีแนวคิดจะปรับขึ้น 8% จาก 7% เป็น 15% มากกว่าเท่าตัวจากอัตราเดิม

บางทีคงต้องบอกว่า หากนโยบายยังไม่สะเด็ดน้ำ แนวทางยังไม่ชัดเจน การโยนหินถามทางแบบนี้ แทบจะสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่น่าจะถึงทางตัน คำปราศรัยที่เคยหาเสียงช่วงก่อนเลือกตั้ง การกล่าวโจมตีรัฐบาลชุดที่ผ่านมา กลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง

ประชาชนคงต้องแบกภาระหนักกันต่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ที่ต้องร่วมแบกหนี้ทางภาษีจากนโยบายประชานิยมของนักการเมือง ลากยาวไปอีกหลาย 10 ปี หนักหนาเอาการอยู่นะ รัฐบาลประชาธิปไตย

เศรษฐกิจไทย ช่วงปลายปี เลิกจ้างงาน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ลุ้น!! ให้มีงานทำในปีหน้า ดีกว่า ลุ้น!! โบนัสที่จะได้

(24 พ.ย. 67) โค้งสุดท้าย ปลายปี 2567 กับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย ที่ยังเข็นไม่ขึ้น ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ถึงแม้จะคลอดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ปี 2567) 10,000 บาท ออกมาได้ก็ตาม

เม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการนี้ เบิกจ่ายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 140,500 ล้านบาท แต่ผลสำรวจร้านค้าปลีก ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% !!!! 

พร้อมข่าวการปิดกิจการ เลิกจ้างแรงงานในไทย ที่ยังมีมาต่อเนื่อง วันที่ 22 พ.ย. สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นิสสัน (Nissan) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น จะตัดลดพนักงานในโรงงานผลิตในไทยลงราว 1,000 คน หรือทำการโอนย้ายไปอีกแห่งในไทย เนื่องจากจะลดกำลังการผลิตลงในประเทศไทย 

บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด จ.นครราชสีมา สำนักงานใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นล้มละลาย ทำให้ บริษัท ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเครื่องรับวิทยุ เครื่องบันทึกและทำสำเนาเสียงและภาพ ต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด โดยบริษัทมีลูกจ้างทั้งสิ้น 862 คน แบ่งเป็นเพศชาย 310 คน และหญิง 552 คน

ข้อมูลจาก ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ค่าเฉลี่ยยอดปิดโรงงานปี 66 เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 67 พบอัตราเร่งการปิดกิจการสูงกว่า 86% คาดปีนี้ เอสเอ็มอีทยอยปิดเหมือน 'ใบไม้ร่วง' ส่วนโรงงานไหนที่ยังพยุงไปต้องลดจำนวนทำงานเหลือ 3 วันต่อสัปดาห์ ไม่มีแม้แต่ OT

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเวที Forbes CEO เมื่อวันที่ 21 พ.ย. เพื่อโชว์วิสัยทัศน์ เชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ มาลงทุนในประเทศไทย สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน ลองไปหาฟังกันดู

งาน Thailand International Motor Expo 2024 ครั้งที่ 41 (มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 29 พ.ย. 67 – 10 ธ.ค. 67 ณ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 - 3 เมืองทองธานี วัดภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงท้าย กำลังซื้อจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางสงครามรถ EV ที่หั่นราคา อัดโปรโมชั่น กระตุ้นยอดจอง รถสันดาป จะยอมแพ้หรือไม่ ค่ายแบรนด์จีน ญี่ปุ่น เกาหลี วัดอนาคตกันในศึกนี้ ท่ามกลางราคารถยนต์มือสองที่ตกลงอย่างน่าใจหาย ยอดปฏิเสธสินเชื่อ (Rejection Rate) สินเชื่อรถยนต์ เพิ่มขึ้นตามภาระหนี้ครัวเรือนของคนไทย ที่ยังอยู่ในระดับสูง

หนี้ครัวเรือนไทยยังสูง 16.32 ล้านล้านบาท การฟื้นตัวเศรษฐกิจแทบไม่ขยับ ข้อมูลจากเครดิตบูโร ภาวะหนี้เสียเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์ แตะ 1.2 ล้านล้านบาท สัดส่วนวิ่งจาก 7.7% สู่ 8.8% ด้านสินเชื่อแบงก์หดตัว 2 ไตรมาสติด เหตุเข้มปล่อยกู้ กังวลระดับหนี้เพิ่ม แถมคุณภาพสินเชื่อเสื่อมด้อยลง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แล้ว และเตรียมมาตรการแก้ไขหนี้ครัวเรือน ที่ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นเชิงรุกมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น

เดือนสุดท้าย ปี 2567 คนไทยเรา ก็คงต้องร่วมเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 พร้อมกับลุ้นให้คอยฟังข่าว ว่าจะมีโรงงาน บริษัทฯ ไหนบ้างที่จะปิดกิจการ หลังปีใหม่ ยังจะมีงานทำต่อไหม ส่วนเรื่องโบนัส คงไม่น่าลุ้นแล้วล่ะ ให้มีงานทำต่อ ก็พอแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top