Wednesday, 8 May 2024
COLUMNIST

‘Vasily Arkhipov’ ทหารเรือชาวโซเวียตแห่งวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ผู้ใช้สติยับยั้งสงครามนิวเคลียร์ และช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก

‘Vasily Arkhipov’ ผู้ที่ช่วยให้โลกใบนี้รอดพ้นจากสงครามนิวเคลียร์

‘มนุษย์’ หรือ ‘Homo sapiens’ ดำรงอยู่เผ่าพันธุ์บนโลกมาประมาณ 300,000 ปี หรือมากกว่า 109 ล้านวัน แต่วันที่อันตรายที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นวันที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์น่าจะเข้าใกล้ความหายนะยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ชนิดที่เรียกว่า ‘เกือบล้างโลก’ นั้น เกิดขึ้นเมื่อ 61 ปีที่แล้ว ในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 และบุคคลที่น่าจะทำหน้าที่ช่วยโลกให้รอดพ้นจากหายนะมากกว่าใคร ๆ ก็คือ ‘Vasily Aleksandrovich Arkhipov’ นายทหารเรือโซเวียตผู้ที่มีชีวิตอย่างเงียบสงบและเรียบง่าย

Arkhipov เกิดในครอบครัวชาวนาในเมือง Staraya Kupavna ใกล้กับกรุงมอสโก เขาได้รับการศึกษาในโรงเรียนทหารเรือชั้นสูง ‘Pacific Higher’ และเข้าร่วมสงครามโซเวียต–ญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคม 1945 โดยปฏิบัติหน้าที่บนเรือกวาดทุ่นระเบิด จากนั้นเขาไปเรียนที่โรงเรียนทหารเรือชั้นสูง ‘Azerbaijan’ และสำเร็จการศึกษาในปี 1947

รัศมีการยิงของขีปนาวุธสหภาพโซเวียตจากคิวบา

ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ชายผู้นี้เป็นผู้หยุดยั้งวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาไม่ให้กลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ อันที่จริงแล้ว Vasily Arkhipov น่าจะเป็น ‘บุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่’ เขาเป็นต้นเรือ (Executive officer) แห่งเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของโซเวียต (Hotel-class ballistic missile submarine K-19) ปฏิเสธที่จะเห็นชอบกับคำสั่งของกัปตันที่ให้ยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ใส่เรือรบสหรัฐฯ อันจะเป็นการจุดชนวนสิ่งที่อาจก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างมหาอำนาจได้

ในวันนั้น Arkhipov ต้นเรือประจำเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของสหภาพโซเวียตแล่นอยู่ในน่านน้ำสากลใกล้คิวบา ในช่วงที่ความตึงเครียดของวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาถึงจุดสูงสุด ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเครื่องบินสอดแนม U-2 ของสหรัฐฯ ถ่ายภาพหลักฐานการสร้างฐานขีปนาวุธขึ้นใหม่ในคิวบา ปรากฏว่า ที่ปรึกษาทางทหารโซเวียตกำลังช่วยสร้างฐานยิงดังกล่าว ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ไปยังแผ่นดินสหรัฐอเมริกาที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 100 ไมล์ได้อย่างง่ายดาย และสหรัฐฯ อาจไม่สามารถป้องกันได้

เรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ B-59 ของสหภาพโซเวียต

นั่นจึงนำไปสู่การเผชิญหน้าที่ร้ายแรงที่สุดของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต เป็นเวลา 13 วันแห่งความเสี่ยงสูงระหว่าง 2 มหาอำนาจนิวเคลียร์ ที่ดูเหมือนกำลังจะกลายเป็นก้าวที่ย่างพลาด

เริ่มต้นจาก ‘John F. Kennedy’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น ออกคำสั่งในสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘การปิดล้อมคิวบา’ โดยตั้งกองเรือรบนอกชายฝั่งของเกาะ เพื่อป้องกันไม่ให้เรือสินค้าโซเวียต ซึ่งบรรทุกขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ไปยังคิวบา และเรียกร้องให้สหภาพโซเวียตถอนขีปนาวุธที่ติดตั้งในคิวบา

ในวันที่ 27 ตุลาคม 1962 เรือดำน้ำ B-59 ของโซเวียตซึ่งดำอยู่ใต้น้ำมาหลายวัน ถูกไล่ต้อนโดยเรือพิฆาตสหรัฐฯ 11 ลำ และ ‘USS Randolph’ เรือบรรทุกเครื่องบิน โดยเรือรบของสหรัฐฯ ได้เริ่มทิ้งระเบิดน้ำลึกรอบ ๆ เรือดำน้ำ

จุดจบในกรณีนี้ ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของเรือดำน้ำและลูกเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโลกทั้งใบด้วย ด้วยพวกเขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จึงขาดการติดต่อทางวิทยุกับมอสโก ตัวเรือถูกกระแทกด้วยแรงอัดจากการระเบิดของระเบิดน้ำลึก เครื่องปรับอากาศพังเสียหาย อุณหภูมิและระดับคาร์บอนไดออกไซด์ของเรือที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และข้อสรุปที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่ประจำเรือดำน้ำ B-59 ก็คือ ‘สงครามโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’ แต่สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายสหรัฐฯ ไม่รู้ คือ เรือดำน้ำ B-59 มีอาวุธ คือ ‘ตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์’ ขนาด 10 กิโลตัน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือได้รับอนุญาตจากมอสโกให้ยิงมันได้โดยไม่ต้องได้รับการยืนยัน

เรือรบสหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดน้ำลึกใกล้เรือดำน้ำ B-59 เพื่อพยายามบังคับให้มันขึ้นสู่ผิวน้ำ และนายทหารระดับสูงของเรือ 2 คน ตกลงตัดสินใจที่จะใช้ ‘ตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์’ ทำลายเรือรบสหรัฐฯ แต่ Arkhipov ต้นเรือปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับคำสั่งใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมเป็นเอกฉันท์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำเรือ 3 คน แม้ว่าเหตุผลทุกประการที่เชื่อได้ว่า เรือรบสหรัฐฯ กำลังพยายามจะจมพวกเขา

“พวกเราต่างพากันคิดว่า จุดจบมันก็คงแค่นี้แหละ” ‘Vadim Orov’ ลูกเรือของเรือดำน้ำ B-59 ให้สัมภาษณ์กับทาง ‘National Geographic’ ในปี 2016 “เรารู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในถังโลหะซึ่งมีคนใช้ค้อนทุบอยู่ตลอดเวลา”

แม้กระทั่ง ‘Valentin Savitsky’ กัปตันเรือ ซึ่งตามรายงานจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ บอกว่า เขาพูดออกมาว่า “เราจะต้องระเบิดพวกมันเดี๋ยวนี้!! ไม่งั้นเราจะตาย แต่เราจะจมพวกมันทั้งหมด เราจะไม่ยอมกลายเป็นความอับอายของกองทัพเรือแห่งสหภาพโซเวียต”

เรือดำน้ำ B-59 กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ มุ่งหน้าออกจากคิวบา และแล่นกลับไปยังสหภาพโซเวียต

โชคดีที่ไม่ใช่เพียงแค่ดุลยพินิจของกัปตันแต่เพียงผู้เดียว ในการยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ แต่เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำเรือดำน้ำทั้ง 3 คน ต้องเห็นด้วยทั้งหมด และ Vasily Arkhipov ต้นเรือวัย 36 ปี ได้ปฏิเสธที่จะให้ความยินยอม เขาโน้มน้าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือดำน้ำอีก 2 คนว่า แท้จริงแล้วการทิ้งระเบิดน้ำลึกของเรือรบสหรัฐฯ เป็นการกระทำเพื่อส่งสัญญาณให้เรือดำน้ำ B-59 ขึ้นสู่ผิวน้ำ เพราะเรือรบของสหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะติดต่อสื่อสารกับเรือดำน้ำโซเวียตได้

ดังนั้น หากพวกเขายิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ จะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุด ในที่สุดแล้วเรือดำน้ำ B-59 ต้องกลับขึ้นสู่ผิวน้ำและเดินทางมุ่งหน้าออกจากคิวบา เพื่อแล่นกลับไปยังสหภาพโซเวียต

นาวาอากาศตรี ‘Rudolf Anderson’ นักบิน U-2 ของสหรัฐฯ เป็นผู้เสียชีวิตเพียงรายเดียวในวิกฤติครั้งนั้น

ความกล้าหาญด้วยความเยือกเย็นของ Arkhipov ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุดของวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ในวันเดียวกันนั้นเอง นาวาอากาศตรี ‘Rudolf Anderson’ นักบิน U-2 ของสหรัฐฯ ก็ถูกยิงตกและเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเหนือคิวบา Anderson เป็นผู้เสียชีวิตรายแรกและรายเดียวในวิกฤติอันเป็นเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ได้ หากประธานาธิบดี Kennedy ไม่ได้สรุปว่า ‘Nikita Sergeyevich Khrushchev’ นายกรัฐมนตรีโซเวียต ไม่ได้เป็นผู้ออกคำสั่งให้ยิงเครื่องบิน U-2 ของสหรัฐฯ

‘John F. Kennedy’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ ‘Nikita Khrushchev’ นายกรัฐมนตรีโซเวียต

การติดต่อพูดคุยอย่างใกล้ชิดครั้งนั้น ทำให้ผู้นำทั้ง 2 ต่างสงบสติอารมณ์ลง พวกเขาเปิดการเจรจาแบบ Backchannel ซึ่งท้ายที่สุด จึงนำไปสู่การถอนขีปนาวุธในคิวบาของสหภาพโซเวียต และการถอนขีปนาวุธของสหรัฐฯ ในตุรกีในเวลาต่อมาเพื่อเป็นการตอบแทน และถือเป็นการสิ้นสุดของการเข้าใกล้จุดจบของโลก ด้วยสงครามนิวเคลียร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาจนถึงทุกวันนี้

การกระทำของ Arkhipov สมควรได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ เพราะ Arkhipov ติดอยู่ในเรือดำน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยดีเซล ซึ่งอยู่ห่างจากมาตุภูมิหลายพันไมล์ เขาถูกแรงกระแทกจากระเบิดลึกซึ่งอาจทำให้ลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมดได้ หากเขายอมรับการตัดสินใจยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ ก็อาจจะทำให้กองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ กลายเป็นจุล และคร่าชีวิตลูกเรืออเมริกันอีกหลายพันคน ซึ่งนั่นอาจทำให้ประธานาธิบดี Kennedy และนายกรัฐมนตรี Khrushchev ไม่สามารถถอยออกจากขอบเหวแห่งหายนะนี้ได้ และวันที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติ อาจเป็นวันสุดท้ายของพวกเราทุกคน

‘Elena’ ผู้เป็นลูกสาว และ ‘Sergei’ หลานชายของ Vasily Arkhipov กับรางวัล ‘The Future of Life Award’

สำหรับความกล้าหาญของเขา จึงทำให้ในปี 2017 Arkhipov เป็นคนแรกที่ได้รับรางวัล ‘Future of Life’ จาก ‘Future of Life Institute’ (FLI) องค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเคมบริดจ์ โดย Arkhipov เสียชีวิตลงเมื่อปี 2008 ก่อนที่จะมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวการกระทำของเขา จนกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

ซึ่ง ‘Max Tegmark’ ประธาน FLI กล่าวในพิธีมอบรางวัลนี้ ว่า “Vasily Arkhipov อาจเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่”

ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945

นับตั้งแต่การทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 ก็ไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามอีกเลย แต่ในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียทวีความรุนแรงขึ้นจากสงครามในยูเครน จนเริ่มมีการนำประเด็นการใช้อาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมากล่าวถึง

มนุษยชาติจะต้องตระหนักรู้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของ ‘วันสิ้นโลก’ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากอาวุธเหล่านี้ให้ดี ดังเช่น ‘Vasily Arkhipov’ ผู้ซึ่งในช่วงเวลาของการตัดสินใจ ในความเป็นและความตายนั้น เขาตัดสินใจเลือกให้มนุษยชาติ มีชีวิตอยู่มากกว่าการสูญสลายไปจนหมดสิ้น

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

กล่าวหา ‘กรมขุนชัยนาทฯ’ รับรองรัฐประหารอย่างแข็งขัน 10 ข้อบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมายล้มล้างสถาบันฯ

อาจารย์สมศักดิ์ เจียมฯ -  ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’

จากที่ได้โพสต์การตรวจสอบงานเขียนของ ผศ.ดร. ณัฐพล ใจจริง โดย ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’ ไปเมื่อโพสต์ก่อนหน้าแล้ว

ต่อกรณีที่ ณัฐพลเขียนบิดเบือนให้ ‘กรมขุนชัยนาทนเรนทรรับรองรัฐประหารอย่างแข็งขันและรวดเร็ว’ นั้น

ด้านอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์ให้ความเห็นต่อข้อความของ Edwin F. Stanton ที่ว่า…

“Later the Prince Regent told me it seemed to be in the best interest of the country to acquiesce in what had been done in order to avoid bloodshed. “As you know,” he told me, “bloodshed is abhorrent to us as Buddhist”

ที่ ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’ แปลว่า “ต่อมา The Prince (กรมขุนชัยนาทฯ) ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า มันน่าจะเป็นผลดีแก่ประเทศชาติที่สุด หากจำใจต้องยอมรับในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด ‘อย่างที่คุณก็ทราบดี’ และพระองค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่าอีกว่า ‘การนองเลือดเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับเราในฐานะชาวพุทธ’”

ซึ่งย่อมไม่สามารถสื่อว่า กรมขุนชัยนาทฯ รับรองรัฐประหารอย่างแข็งขันได้

แต่อาจารย์สมศักดิ์ ให้ความเห็นแย้ง ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’ ว่า “บทบาทของกรมขุนชัยนาทในการรับรองรัฐประหารนั้น เท่าที่ ‘โต้แย้ง’ มา ผมว่ายังอ่อนนะ"

โดยอาจารย์สมศักดิ์เห็นว่าข้อความที่ Edwin Stanton กล่าวว่า กรมขุนชัยนาทฯ ตรัสให้เหตุผลในการจำใจยอมรับรัฐประหารนั้น 

“เป็นการแก้ตัวตามสไตล์ที่เราเห็นกันอยู่”

หลังจากที่ ‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’ ได้อ่านความเห็นดังกล่าวของอาจารย์สมศักดิ์ ก็ได้ส่งข้อความมาถึงผมว่า…

“ทุ่นดำทุ่นแดงได้ฝากมาบอกว่า ให้อาจารย์สมศักดิ์ลองไปอ่านหนังสือ The November 1947 Coup: Britain, Pibul Songgram and the Coup ของ Nik Mahmud ดู (ได้แนบเอกสารหน้าที่อยากให้อาจารย์ดูมา) หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มเดียวกับที่ณัฐพลใช้ แต่เขาดันตัดวลี ‘โดนจี้’ ออก ลองอ่านนะครับ

“[Prince Rangsit] had been forced practically at the point of a tommy gun”

อาจารย์คิดว่า ประโยคข้างต้น แปลหรือสื่ออะไรครับ ?

แล้วดูประโยคที่ยกมาเองนะครับ ‘acquiesce’ ตาม Cambridge หมายความว่า “to accept or agree to something, often unwillingly”

ถ้าอาจารย์มีอะไรที่มีน้ำหนักและน่าสนใจกว่า ก็โพสต์มาได้เลยครับ 
และพวกเราจะโพสต์แยกถึงอาจารย์อีกอันนะครับ 

ขอบคุณครับ ที่มาร่วมวง

ทุ่นดำ-ทุ่นแดง

กล่าวหา ‘รัชกาลที่ 9’ ทราบแผนรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน 10 ข้อบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมายล้มล้างสถาบันฯ

‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’

กรณีการกล่าวว่า ‘ในหลวงทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน’ ของ ณัฐพล ใจจริง
ประเด็นสำคัญอีกประเด็น คือ

‘ในหลวง ร.9 ทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน’

ซึ่งณัฐพล กล่าวว่า “โดยหนังสือพิมพ์ไทยร่วมสมัยได้พาดหัวข่าวขณะนั้นว่า ‘ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว’ ทั้งนี้ พล ท.กาจ กาจสงครามให้คำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ต่อมาว่า เขาได้เคยส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร”

โดย ณัฐพล อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เอกราชวันที่ 10 พฤศจิกายน 1947

อย่างไรก็ดี สิ่งที่พวกเราต้องการบอกทุกท่านเป็นอย่างแรกคือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่หนังสือพิมพ์เอกราชจะลงข่าวในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ.1947) ?

เนื่องจากว่า “หนังสือพิมพ์เอกราชถือกำเนิดขึ้นโดยโรงพิมพ์เอกราชได้ก่อตั้งเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน 2500”!

กล่าวคือ หนังสือพิมพ์ที่ก่อตั้งปี พ.ศ. 2500 จะนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปลงข่าว 10 ปีที่แล้วก่อนการก่อตั้งได้อย่างไร!? 

(ดูประวัติการก่อตั้งจาก พัชราภรณ์ ครุฑเมือง, การดำรงอยู่ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกราช ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม วิทยานิพนธ์นิเทศนศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวารสารสนเทศ ภาควิชาสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552) 

มิหนำซ้ำ เรายังรู้สึกแปลกใจที่ ณัฐพล ใช้ปี ค.ศ. 1947 ในการระบุปี ขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ เขากลับใช้ พ.ศ. ทั้งหมด 

ดังนั้น การอ้างถึง ‘หนังสือพิมพ์เอกราชวันที่ 10 พฤศจิกายน 1947’ ของ ณัฐพลจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีที่มาจากไหนกันแน่ ?  

เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า ไม่เคยปรากฏหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ขึ้นในบรรณพิภพในเวลานั้น ประกอบทั้งการใช้ปี ค.ศ. ที่ไม่ปรากฏความต่อเนื่องสม่ำเสมอ (consistency) กับการเขียนวิทยานิพนธ์ในส่วนอื่น ๆ ของ ณัฐพล

เราจึงสงสัยว่าณัฐพลเอาข้อมูลในส่วนนี้มาจากไหนกันแน่ ? 
หรือถ้ามีจริงทำไมเขาไม่อ้างจากหลักฐานชั้นต้นเช่นในจุดอื่น ๆ ?  

นอกจากนี้ ก่อนการรัฐประหาร 2490 บรรยากาศขณะนั้นก็เป็นที่รับรู้ทั่วไป ดังปรากฏข่าวลือว่าจะต้องมีการรัฐประหารเกิดขึ้นแน่ ๆ ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง 

เนื่องจากสถานภาพของรัฐบาลปรีดี-หลวงธำรงฯ นั้นง่อนแง่นเต็มที่ ประชาชนไม่ให้ความเชื่อถือเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่คอร์รัปชันอย่างรุนแรง 

กระแสการรัฐประหารนั้นรุนแรงกระทั่งว่า หลวงธำรงฯ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นถึงกับให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ว่า ‘นอนรอคอยอยู่ที่บ้านก็ไม่เห็นมีปฏิวัติ’

ดังนั้น ไม่ว่าจะใครก็ตามในประเทศไทยหรือนอกประเทศในเวลานั้นก็ย่อมต้องคุ้นเคยกับข่าวรัฐประหารอยู่แล้ว เพราะข่าวนี้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปไม่ใช่แค่เฉพาะในแวดวงชนชั้นสูง

เมื่อประมวลทั้งหมดแล้ว เราจึงขอถามกลับไปยัง ณัฐพล ว่า ในหนังสือขุนศึกฯ ที่เขาได้ตัดประเด็นทั้งส่วนทั้งสองนี้ออกไป ย่อมแสดงว่าณัฐพลรู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่ว่าไม่มีน้ำหนักใช่หรือไม่ ? 

ทั้งในประเด็นแรกที่ณัฐพลเชื่ออย่างสนิทใจว่า ‘สมเด็จย่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร’

ซึ่งหากณัฐพลต้องการจะให้น้ำหนักแก่สมมติฐานพวกเจ้าสนับสนุนการรัฐประหาร เขาก็ต้องคงเนื้อหาในส่วนนี้ไว้ เพราะได้จะสอดคล้องกับการให้ภาพที่ชัดขึ้นของพวกฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนคณะรัฐประหารโดยดุษฎี (ไม่ใช่มาพบความจริงตอนหลังว่าไม่ได้สนับสนุนแต่ต้น แต่เพราะถูกคณะรัฐประหารใช้ปืนจี้บังคับให้เซนแบบกรมขุนชัยนาทฯ เช่นที่พวกเราได้นำเสนอไปแล้ว) 

อีกทั้งในประเด็นหนังสือพิมพ์เอกราชที่ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2500 ซึ่งสามารถสาวโยงถึงในหลวงได้โดยตรง แต่ ณัฐพล ก็กลับตัดข้อเสนอสำคัญนี้ทิ้งเสียอย่างน่าแปลกใจ

อย่างไรก็ดี พวกเรามีความกังวลใจว่า สิ่งที่ณัฐพลกระทำไว้ในวิทยานิพนธ์นั้นได้แผ่ขยายออกไปไกลจนมีการอ้างอิงในวิกิพีเดียไปเสียแล้ว ควรบันทึกไว้ด้วยว่าไม่มีใครสามารถแก้ไขข้อมูลในประเด็นสมเด็จย่าสนับสนุนการัรฐประหารนี้ในวิกิพีเดียได้เลยจนบัดนี้ 

เพราะหากเมื่อทำการแก้ไขทีไร ก็มักจะมี ‘มือที่มองไม่เห็น’ แก้กลับให้เป็นข้อมูลของณัฐพลทุกครั้ง 
เราหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าการกระทำของพวกเรา ทุ่นดำ-ทุ่นแดง ในครั้งนี้ จะทำให้ทุก ๆ ท่านได้เห็นถึงการใช้หลักฐานและการพิจารณาบริบทแวดล้อมที่รายล้อมอยู่มากขึ้น 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เขียนข้อมูลวิชาการในฐานะผู้ต้องรับผิดชอบในความผิดพลาดที่ปรากฏขึ้นนี้ด้วย ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม

กล่าวหา 'สมเด็จย่า' ทรงอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร 10 ข้อบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมายล้มล้างสถาบันฯ

‘ทุ่นดำ-ทุ่นแดง’

กรณีการกล่าวว่า ‘สมเด็จย่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 2490’ และ ‘ในหลวงทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน’ ของ ณัฐพล ใจจริง

กรณีที่พวกเราทุ่นดำทุ่นแดงจะกล่าวถึงในตอนนี้ น่าจะเป็นประเด็นหลักสุดท้ายที่พวกเราจะกล่าวถึง (หากยังไม่มีการตรวจสอบและพบจุดผิดพลาดเพิ่มเติมอีก) ซึ่งประเด็นนี้สำคัญไม่น้อยต่อการวิเคราะห์และประเมินการใช้หลักฐานในการอธิบายประวัติศาสตร์ซึ่งได้ส่งผลมาสู่การพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์และสร้างกระแสความรู้สึกเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์มาจนถึงปัจจุบัน 

ซึ่งต้นเรื่องดังกล่าวพบว่ามีที่มาจากการที่ณัฐพล ใจจริง ได้กล่าวในวิทยานิพนธ์และหนังสือของเขาเรื่อง ‘สมเด็จย่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 2490’ และ ‘ในหลวง ร.9 ทรงทราบแผนการรัฐประหาร 2490 ล่วงหน้า 2 เดือน’ จนเกิดการนำไปสู่การอ้างอิงต่อ ๆ กันอย่างกว้างขวาง โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน โดยพวกเราจะแยกโพสต์ออกเป็นสองโพสต์ โพสต์แรกคือกรณีสมเด็จย่า และโพสต์ที่สองคือกรณีในหลวงทรงรู้การรัฐประหารก่อนล่วงหน้า 2 เดือน

1. ข้อความของณัฐพลในวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ.2491-2500) หน้า 64 

ณัฐพล ได้ระบุข้อความว่า “สถานทูตอังกฤษได้รายงานผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหารครั้งนี้ [พ.ศ. 2490] ว่า คือ พระราชชนนีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล” (โดยส่วนนี้ ณัฐพล อ้างอิงจาก Nicholas Tarling, “Britain and the Coup 1947 in Siam,” Paper presented to International Association of Historians of Asia, Chulalongkorn University, Bangkok 20-24 May 1996, p. 3.) 

และได้ระบุข้อความต่อจากประโยคข้างต้นว่า “โดยหนังสือพิมพ์ไทยร่วมสมัยได้พาดหัวข่าวขณะนั้นว่า ‘ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว’ ทั้งนี้ พล ท.กาจ กาจสงคราม ให้คำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ต่อมาว่า เขาได้เคยส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร” (ณัฐพล อ้างจาก หนังสือพิมพ์เอกราช, 10 พฤศจิกายน 1947)

ส่วนในหนังสือ ขุนศักดินา และพญาอินทรี (2563) ซึ่งหากพิจารณาจากเนื้อหาแล้วก็ควรไปปรากฏอยู่ที่หน้า 61 ซึ่งมีเนื้อหาส่วนเดียวกันกับในวิทยานิพนธ์ แต่ ณัฐพล กลับได้ตัดทิ้งข้อความในทั้ง 2 ประเด็นนี้ออกไป! ซึ่งพวกเราขอให้จำส่วนนี้ไว้ให้ดีเพราะมันจะกลับมามัดการใช้หลักฐานของณัฐพลเสียเอง

2. ข้อค้นพบในหลักฐานชิ้นแรกที่ณัฐพลอ้าง คือ Nicholas Tarling, “Britain and the Coup 1947 in Siam,” หน้าที่ 3 พวกเราได้ตรวจสอบงานชิ้นดังกล่าว โดยในงานชิ้นนี้ได้ระบุข้อความว่า…

“If, as it appeared, the coup was backed by the Princess Mother, Allen noted, ‘it behaves us to be doubly careful in condemning it – since one of its consequences may be something we have all along hoped for, namely the return of the young king […] his absence having been a serious factor in the instability of the country during the last eighteen months’.”

ซึ่งแปลได้ว่า “อย่างไรเสีย, มันดูเหมือนว่า, การรัฐประหารได้รับการสนับสนุนโดยพระราชชนนี, อัลเลนได้บันทึกไว้ว่า, ‘เราเองก็ควรจะระมัดระวังในการประณามการรัฐประหาร เพราะอาจจะทำให้สิ่งที่เราคาดหวังมาตลอด, คือการเสด็จนิวัตพระนครของยุวกษัตริย์ […] การที่พระองค์ไม่ได้ทรงประทับอยู่ในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อที่ความไร้เสถียรภาพตลอด 18 เดือนที่ผ่านมา” โดยในข้อความนี้ Tarling อ้างมาจากเอกสาร F.O.371/65911 [F15065/1565/40] 

พวกเราจึงได้ไปตามเอกสารต้นฉบับดังกล่าวซึ่งเก็บไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติประเทศอังกฤษ และพบข้อความในเอกสารชิ้นนี้ ซึ่งระบุว่า…

“Siamese revolution, which appears to be not merely a stroke of ambition [of] … Pibul, but a concerted move supported by the more conservative members of the Royal Family (including no doubt the Princess Mother who controls the King).”

แปลได้ว่า “การปฏิวัติในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะมิใช่เป็นเพียงความทะเยอทะยานของหลวงพิบูลอย่างเดียว แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่าด้วย (ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าหมายรวมถึงพระราชชนนี ซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลยุวกษัตริย์ด้วย)”

เมื่อได้ทำการประมวลพร้อมกับหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้ไปสืบค้นเพิ่มเติมมา พวกเราจึงตั้งข้อสังเกตต่อการกล่าวอ้างของญัฐพล ดังนี้

1. ในรายงานของอังกฤษฉบับดังกล่าวเป็นรายงานลงวันที่ 8 Jan 1948 (8 มกราคม 2491) โดย Allen ซึ่งทราบจาก Thompson ทูตอังกฤษ

ซึ่งเป็นการรายงานย้อนหลังหลังการเกิดรัฐประหารได้ 2 เดือนแล้ว และหากสมเด็จย่าทรง ‘อยู่เบื้องหลัง’ ดังที่ณัฐพลกล่าวอ้างจากรายงานฉบับนี้ ก็ควรจะปรากฏรายงานเช่นนี้ออกมาให้เร็วกว่านี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันรัฐประหารหรือหลังจากนั้นไม่นานนัก) 

อีกทั้ง การ ‘support’ ในที่นี้ยังหมายถึงการ ‘ยอมรับ’ ในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้อีกด้วย (de facto) เพราะลองนึกภาพตามจะพบว่าเพียงพระราชชนนีลำพังทำอะไรได้ ในขณะที่อีกฝ่ายของจอมพล ป. มีทั้งปืนและทรัพยากรต่างๆ ? 

อีกทั้งยังพบข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ก่อนหน้านี้แม้แต่ Thompson ยังเคยได้รายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษในลอนดอนเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2490 (ก่อนการรัฐประหารหลายเดือน) ว่าการกลับมาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตอาชญากรสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น “ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้เลย” (Geoffrey F. Thompson, The British Minister in Bangkok, believed that the prospect of Pibul’s return was by no means unlikely.) 

และทูตอังกฤษยังได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า “พวกรอยัลลิสต์ยังคงหวาดกลัวจอมพล ป. มิเสื่อมคลาย” (The very fear of him still endures in influential [including Royalists] circles here.) จากเอกสาร F.O. 371/63910, Thompson to Bevin 6 April 1947 อ้างใน Nik Mahmud, The November 1947 Coup: Britain, Pibul Songgram and The Coup, p. 9.

นั่นหมายความว่า การกลับมาของจอมพล ป. (ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม) “ไม่ใช่สิ่งที่พวกรอยัลลิสต์ไทยพอใจนัก” สอดคล้องกับพฤติกรรมของคณะรัฐประหารที่ได้กระทำการบีบบังคับด้วยกำลังแก่กรมขุมชัยนาทฯ ให้ลงพระนามในรัฐธรรมนูญฉบับ 2490 (ที่พวกเรา ทุ่นดำ-ทุ่นแดง ได้ชี้ให้เห็นในการตรวจสอบประเด็นดังกล่าวนี้ที่อาจารย์ไชยันต์ได้โพสต์ไปก่อนหน้านี้แล้ว) 

2. เมื่อได้ทำการตรวจสอบเอกสารชิ้นอื่น ๆ ที่เป็นรายงานทั้งของสหรัฐอเมริกาและของอังกฤษ 

พวกเรากลับไม่พบรายงานอื่น ๆ ที่ระบุว่าพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า ‘อยู่เบื้องหลัง’ การรัฐประหารที่จะมาให้น้ำหนักหรือสอดคล้องกับเอกสารชิ้นนี้เลย 

โดยปกติแล้วการทดสอบหลักฐานด้วยการทดสอบไขว้เพื่อยืนยันความถูกต้อง (crossed check) มักย่อมถูกใช้เพื่อวิเคราะห์ว่ามีเอกสารใดบ้างกล่าวตรงกัน และได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข่าวเดียวกันหรือไม่ มีการประเมินความน่าเชื่อถืออย่างไร เช่น กรณีที่กรมขุนชัยนาทฯถูกบังคับให้ลงนามรับรองการรัฐประหารที่พวกเรา (ทุ่นดำ-ทุ่นแดง) ได้เอาหลักฐานชั้นต้นของทั้งของไทย อังกฤษและอเมริกามาให้ดูเป็นขวัญตาว่ากล่าวตรงกันว่าทรงถูกบังคับจริง ๆ 

จึงกล่าวได้ว่า รายงานนี้เป็นรายงานฉบับเดียวที่ระบุข้อความที่ว่าสมเด็จย่ามีส่วนเกี่ยวข้อง 

ดังนั้น ผู้ใดมีใจเป็นนักวิชาการก็ควรจะชั่งน้ำหนักให้มาก เพราะหากหากสมเด็จย่าอยู่เบื้องหลังจริง ก็ควรจะมีรายงานฉบับอื่น ๆ ให้รายละเอียดมาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น 

แต่เรากลับไม่พบหลักฐานต่อเนื่องเหล่านั้นแม้แต่ชิ้นเดียว นอกจากเอกสารในช่วงหลังวันปฏิวัติ/รัฐประหาร สด ๆ ร้อน ๆ ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2490 ที่ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้จัดทำรายงานสรุปสถานการณ์การรัฐประหารของไทยในปี 2490 อย่างเป็นภาพรวม โดยระบุว่า “ในความเห็นเบื้องต้น [ของเอกอัครราชทูตอังกฤษในไทย - Thompson] เชื่อว่า การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นการเคลื่อนไหวของพวกฝ่ายขวาที่ได้รับการสนับสนุนจากพระบรมวงศานุวงศ์” (His preliminary opinion is that coup d’etat is a right-wing movement supported by Royal Family)  (ที่มา F15065/1565/40, 15 November 1947)

จึงกล่าวได้ว่า ข้อมูลชุดที่ทางกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้รับมานี้ ล้วนแล้วแต่มาจาก Thompson เพียงคนเดียวนั่นเอง และข้อมูลในชุดเดียวกันนี้ก็ได้ไปปรากฏซ้ำในรายงาน F.O.371/65911 [F15065/1565/40] ของ Thompson ในวันที่ 8 มกราคม 2491 หรือเกือบ 2 เดือนหลังจากเอกสารวันที่ 15 พฤศจิกายน 2490 นั้นเอง กล่าวคือ เป็นเอกสารคำพูดแทบจะ copy เลยทีเดียว หากแต่รอบหลังมีการอ้างถึงสมเด็จย่ามาด้วยเท่านั้น!

3. จะเห็นได้ว่าในงานเขียน Tarling ซึ่งได้อ้างอิงจากเอกสารอังกฤษชิ้นเดียวกันนั้น ทาง Tarling เองก็ได้จงใจใส่อนุประโยคว่า “as it appeared” ซึ่งแปลได้ว่า 

“มันดูเหมือนว่า/ดูราวกับว่า” เข้ามาด้วย ซึ่งถ้าหาก Tarling มั่นใจว่าสมเด็จย่ายู่เบื้องหลังจริง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเติมประโยคนี้เข้ามาเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือในข้อมูลนี้เลย 

ทั้งนี้ น่าเชื่อว่า Tarling ก็น่าจะเห็นข้อความจากเอกสารชิ้นเดียวกับเรา ที่ระบุเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวของ Thompson (ทูตอังกฤษผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ที่ Tarling นำมาอ้าง และณัฐพลเอามาอ้างต่อ ) ที่สันนิษฐานว่าพระราชชนนีทรงมีส่วนสนับสนุน ด้วยการเลือกใช้คำว่า ‘no doubt’ ที่แปลได้ว่า ‘ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่า…’

4. ควรต้องกล่าวด้วยว่าในเอกสารของอังกฤษเองก็ได้บอกถึงการสนับสนุนหรือการ ‘รับรอง’ ของพระบรมวงศานุวงศ์ไม่ใช่แค่พระราชชนนีเพียงพระองค์เดียว แต่ทำไม ณัฐพล จึงเจาะไปที่พระองค์ (ซึ่งรวมไปถึง Tarling ด้วย)

ซึ่งหากติดตามการอธิบายของณัฐพลให้ดี ก่อนหน้านี้เขาพยายามโยนความผิดในการรับรองรัฐประหารไปให้กรมขุนชัยนาทฯ มาโดยตลอด แต่ในประเด็นนี้ณัฐพลกลับจงใจเลือกที่จะพูดถึงสมเด็จย่าเท่านั้น 

5. ในความเป็นจริงแล้ว พระราชชนนีหรือสมเด็จย่าในขณะนั้น ทรงประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไร้อำนาจและเครือข่ายทางการเมืองใด ๆ (เดิมทรงเป็นสามัญชน) จะให้พระองค์สนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังการรัฐประหารอย่างไร? 

และข้อมูลการสนับสนุนให้พระราชวงศ์เกี่ยวข้องกับการเมืองนี้ กลับย้อนแย้งกับความพยายามของสมเด็จย่าที่พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเมืองมาตลอด (โปรดอ่าน ‘เจ้านายเล็ก ๆ ยุวกษัตริย์’ ประกอบ)

กรณีในหลวงทรงรู้การรัฐประหาร อ่านต่อไปในโพสต์ถัดไป!!

บทเพลงพระราชนิพนธ์แห่งความสุข  จากองค์พระมหากษัตริย์สู่พสกนิกรชาวไทย 

ประเทศไทยของเราเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่จากเดิมที่นับเอาวันที่ ๑ เมษายนของทุกปีเป็นวันปีใหม่แบบของไทยเรา โดยนับเนื่องกันมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเรามีเพลงประจำปีใหม่ไทยของเราหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ซึ่งแต่งทำนองและเรียบเรียงโดย 'พระเจนดุริยางค์' (ปิติ วาทยะกร) แต่งคำร้องโดย 'ขุนวิจิตรมาตรา' (สง่า กาญจนพันธุ์) โดยมีชื่อเพลงว่า 'เถลิงศก' และเริ่มใช้ขับร้องต้อนรับปีใหม่แบบไทยในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ โดยระบุชัดในเนื้อร้องท่อนนึงว่า...

“วันที่หนึ่งเมษายน ตั้งต้นปีใหม่
แสงตะวันพร่างพรายใส สว่างแจ่มจ้า
เสียงระฆังเหง่งหง่างก้อง ร้องทักทายมา
ไตรรงค์ร่าระเริงปลิว พลิ้วพลิ้วเล่นลม.....” 

แต่ร้องกันได้เพียงแค่ ๖ ปีก็มาถึงยุค ‘เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย’ … ‘จอมพล ป.พิบูลสงคราม’ ที่มีความต้องการให้ประเทศไทยมีความเป็นสากลเหมือนอารยประเทศในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะ ‘วันปีใหม่’ ซึ่งน่าจะนับเอาตามหลักสากล จึงได้ออกกฎหมายและประกาศ ‘พระราชบัญญัติ ปีปฏิทินพุทธศักราช ๒๔๘๓’ โดยยกเลิกปีใหม่แบบเดิมและให้เริ่มนับเอาวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นปีแรกแห่งการนับปีใหม่ตามหลักสากล เพลง 'เถลิงศก' เพลงปีใหม่เดิมก็เป็นอันเลิกใช้ โดยมีเพลงที่อาจจะอนุมานในการร้องหรือเปิดในช่วงปีใหม่ในช่วงของท่านจอมพลก็คือเพลงประกอบการเต้นลีลาศหรือรำวงมาตรฐานโดยวงสุนทราภรณ์ เช่น ‘รื่นเริงเถลิงศก’ / ‘รำวงปีใหม่’

ส่วนบทเพลงสำคัญที่เปรียบเสมือนพรจากฟ้า เป็นของขวัญของปวงชนชาวไทยในทุกวันขึ้นปีใหม่ เกิดขึ้นเมื่อวันส่งท้ายปี พ.ศ. ๒๔๙๔ นั่นก็คือบทเพลงพระราชนิพนธ์ ‘พรปีใหม่’

‘พรปีใหม่’ เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๑๓ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นบทเพลงที่ส่งต่อความสุขใจ ความปรารถนาดี จากพระองค์ท่าน สู่พสกนิกรชาวไทยของพระองค์ 

หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จนิวัตประเทศไทยและประทับในประเทศไทยเป็นการถาวร ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ จนถึงวาระขึ้นปีใหม่ครั้งนั้น พระองค์มีพระราชประสงค์จะพระราชทานพรปีใหม่แก่พสกนิกรด้วยเพลง 

สำหรับบทเพลง ‘พรปีใหม่’ นี้ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่ได้เริ่มต้นแต่งใหม่ทั้งหมดในคืนวันก่อนปีใหม่ปี ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕ แล้วนำไปบรรเลงเลยอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองมานานก่อนหน้านั้นแล้วบางส่วน ก่อนจะมาปรับปรุง เพิ่มเติมจนจบ จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทยซึ่งเป็นคำอวยพรปีใหม่ ลงไปจนครบซึ่งก็พอดีกับการจะพระราชทานในค่ำคืนวันนั้นพอดี ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำรัสเล่าเบื้องหลังการพระราชนิพนธ์เพลง ‘พรปีใหม่’ พระราชทานแก่คณะกรรมการโครงการ ‘ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์’ ที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๒ ความว่า...

“...เพลงพรปีใหม่ คนก็ว่าแต่งในวันปีใหม่ หรือวันก่อนวันปีใหม่ แท้จริงแต่งมานาน ก่อนที่จะออกปีใหม่เป็นปีหรือสองปี แล้วก็แต่งแบบทุลักทุเล ตอนนั้นไม่สบาย คืออยู่ที่เมืองนอก ไปมีอุบัติเหตุ หมอบอกว่าห้ามเล่นแซกโซโฟน แต่ว่าท่านจักรพันธ์อยู่ด้วย ก็ให้ท่านเป่าแซกโซโฟน ท่านก็เป่ามีเสียงออกมาได้ แต่ท่านไม่รู้ว่านิ้วจะวางอย่างไร ลงท้ายก็เอานิ้วของเราใส่บนแซกโซโฟน แล้วท่านก็เป่า ลงท้ายท่านก็เล่นแซกโซโฟนได้ และเมื่อหมออนุญาตให้เป่าแซกโซโฟน ก็เลยเริ่มเล่นเป็นเพลงที่แต่งเอาเอง คนหนึ่งเล่นส่วนหลัก แล้วอีกคนก็เล่นต่อสลับกันไปอย่างนี้แล้วจดเอาไว้มาถึงปลายปี ก็เลยนึกว่าเอ๊ะ...เราแต่งเพลงสำหรับให้พรปีใหม่ ก็เอาอันนี้ที่แต่งไว้แล้วมีคนแต่งสองคนไม่รู้ว่าเป็นเพลง ก็มาปรับปรุงให้เป็นเพลงได้…”

เพลงพระราชนิพนธ์เพลงใหม่ที่ได้รับพระราชทานชื่อว่า ‘พรปีใหม่’ เดินทางไปถึงวงดนตรี ๒ วง ในคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งทั้ง ๒ วงกำลังบรรเลงดนตรีส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่อยู่ ๒ แห่ง โดยวงแรกคือวงดนตรีของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งแสดงอยู่ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

อีกวงคือวงสุนทราภรณ์ ซึ่งกำลังแสดงอยู่ที่ศาลาเฉลิมไทย เมื่อทั้ง ๒ วงได้รับบทเพลงพระราชนิพนธ์ ก็ได้นำไปเรียบเรียงเพื่อใช้สำหรับการบรรเลงเป็นวงและเตรียมการขับร้องอยู่สักพักก่อนที่จะนำไปบรรเลงและขับร้องเมื่อเข้าสู่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งนอกจากจะสร้างความประหลาดใจจากบทเพลงใหม่ที่ได้รับพระราชทานมาแล้วนั้น ผู้ที่ได้รับชม รับฟัง บทเพลงพระราชนิพนธ์ ‘พรปีใหม่’ ในครั้งนั้น ล้วน ตื่นเต้น ตื้นตัน และปลาบปลื้มไปกับความสุขที่ได้รับพรจากฟ้า จากพระเจ้าแผ่นดินผู้รักผสกนิกรของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง (ผมพิมพ์ไปนึกภาพตามไปยังขนลุกเลย) 

“สวัสดีปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาเราท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาเราท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมหฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ”

นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕ มาถึงปัจจุบัน กว่า ๗๑ ปี ที่ชาวไทยได้ร้องเพลง ‘พรปีใหม่’ ในทุกช่วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและการเดินหน้าต่อไปในทุก ๆ ปีแล้วนั้น เพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ยังแสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ไทยของเรา ที่อยากเห็นปวงชนชาวไทยมีความสุข อยู่ดีกินดี มีความสุขในบ้าน ในเมือง ที่ร่มเย็นด้วยพระบารมี ตลอดทั้งปีใหม่และตลอดไป

‘ยุทธการใต้พิภพ’ ปฏิบัติการลับทางทหาร ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ‘กองทัพสหรัฐฯ’ ต้องร่วมมือกับ ‘มาเฟีย’ เพื่อต่อกรกับฝ่ายอักษะ

‘ยุทธการใต้พิภพ’ (Operation Underworld)
เมื่อกองทัพสหรัฐฯ ต้องร่วมมือกับมาเฟียในการทำสงคราม

‘ยุทธการใต้พิภพ’ (Operation Underworld) เป็นชื่อรหัสลับของปฏิบัติการทางทหาร โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับกลุ่มมาเฟีย (อิตาเลียน-อเมริกัน) และกลุ่มอาชญากรชาวยิว ตั้งแต่ปี 1942 – 1945 ปฏิบัติการนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโต้สายลับและนักก่อวินาศกรรมของฝ่ายอักษะ ที่ปฏิบัติการตามท่าเรือชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา เพื่อหลีกเลี่ยงการนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานในภาวะสงคราม และเพื่อจำกัดการขโมยเสบียงและอุปกรณ์สงครามที่สำคัญโดยกลุ่มพ่อค้าในตลาดมืด

ความสงสัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการก่อวินาศกรรมของกลุ่มมาเฟีย นำไปสู่ปฏิบัติการ ‘Underworld’ ด้วยในช่วง 3 เดือนแรกหลังการโจมตีของญี่ปุ่นที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 สหรัฐฯ ต้องสูญเสียเรือสินค้า 120 ลำ จากเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำของเยอรมันในสมรภูมิทางทะเล ในมหาสมุทรแอตแลนติก

ต่อมา ในช่วงบ่ายของวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1942 เรือเดินสมุทร ‘SS Normandie’ ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรของ ‘ฝรั่งเศส’ ที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดได้และดัดแปลงเป็นเรือลำเลียงทหารอเมริกัน ซึ่งถูกระบุว่า มีการวินาศกรรมและจมลงด้วยการลอบวางเพลิงในท่าเรือนิวยอร์ก โดย Albert ‘Mad Hatter’ Anastasia หัวหน้ามาเฟีย เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการก่อวินาศกรรมครั้งนี้

สภาพของเรือเดินสมุทร ‘SS Normandie’ หลังจากไฟไหม้และจมลง

รัฐบาลสหรัฐฯ ออกข่าวว่า การสูญเสียเรือเดินสมุทร SS Normandie เป็นอุบัติเหตุ และไม่มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงสายลับฝ่ายอักษะกับการสูญเสียเรือเดินสมุทร SS Normandie บันทึกของฝ่ายอักษะหลังสงครามอ้างว่า “ไม่เคยมีปฏิบัติการก่อวินาศกรรมเรือเดินสมุทร SS Normandie เกิดขึ้น และฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็ไม่เคยมีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า มีการก่อวินาศกรรมเรือเดินสมุทร SS Normandie ในปี 1954” รายงานการติดต่อระหว่างหน่วยข่าวกรองกองทัพเรือสหรัฐฯ และกลุ่มมาเฟียนิวยอร์ก โดย ‘William B. Herlands’ ก็ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของ Anastasia ในการก่อวินาศกรรมครั้งนั้นแต่อย่างใด

ตลาดปลา Fulton นครนิวยอร์ก ในปี 1936

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการก่อวินาศกรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ หรือการหยุดชะงักของการทำงานในพื้นที่ท่าเรือ ทำให้นาวาเอก ‘Charles R. Haffenden’ จากสำนักงานข่าวกรองของกองทัพเรือสหรัฐฯ (ONI) เขตกองทัพเรือที่ 3 ในมหานครนิวยอร์ก ต้องจัดตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ เขาจึงได้ขอความช่วยเหลือจาก ‘Joseph Lanza’ ผู้ดูแลตลาดปลา Fulton เพื่อขอรับข่าวกรองต่างๆ เกี่ยวกับบริเวณพื้นที่ท่าเรือนิวยอร์ก เพราะ Lanza ต้องการควบคุมสหภาพแรงงาน และสามารถระบุการดำเนินการเติมเชื้อเพลิงรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการแอบสนับสนุนเรือดำน้ำเยอรมันด้วยความช่วยเหลือจากอุตสาหกรรมประมงตามแนวชายฝั่งแอตแลนติก

‘Meyer Lansky’

เพื่อให้ครอบคลุมกิจกรรมของ Lanza นาวาเอก Haffenden ยังได้เข้าไปพบ ‘Meyer Lansky’ เจ้าของฉายา ‘Mob's Accountant’ หนึ่งในแกนนำของกลุ่ม ‘Jewish Mob’ กลุ่มอาชญากรอเมริกันเชื้อสายยิวของนครนิวยอร์ก ซึ่งก่อนหน้านี้ Lansky เป็นผู้นำการต่อต้านกระทั่งเกิดการปะทะจนสามารถสลายการชุมนุมของ ‘สมาพันธ์เยอรมัน-อเมริกัน’ (German American Bund) ที่สนับสนุนนาซีได้สำเร็จ ซึ่งรวมถึงการชุมนุมครั้งหนึ่งในย่าน Yorkville ถิ่นที่อยู่ของชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันในเขตแมนฮัตตัน ที่เขาดำเนินการก่อกวนด้วยตัวเอง ร่วมกับผู้ร่วมอุดมการณ์อีก 14 คน

นาวาเอก Haffenden ขอความช่วยเหลือจาก Lansky ในการเข้าถึงตัว ‘Charles ‘Lucky’ Luciano’ แกนนำกลุ่มมาเฟียคนสำคัญ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Lansky อีกด้วย โดย ‘Lucky’ Luciano ถูกพิจารณาและตัดสินลงโทษในปี 1936 ในข้อหาบังคับหญิงให้ค้าประเวณีและจัดให้มีการค้าประเวณี หลังจากที่ ‘Thomas E. Dewey’ อัยการเขตได้ติดตามและสอบสวนคดีของ Luciano มาหลายปี ทำให้ Luciano ต้องได้รับโทษจำคุก 30 – 50 ปี ในเรือนจำที่เมือง Dannemora

‘Lucky’ Luciano ตกลงที่จะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วยความหวังว่า จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำก่อนกำหนด นอกจาก Lansky และพวกแก๊งชาวยิวที่ต้องการแก้แค้นการกดขี่ชาวยิวของนาซีแล้ว ‘Lucky’ Luciano และกลุ่มมาเฟียยังต้องการแก้แค้น ‘Benito Mussolini’ และระบอบฟาสซิสต์ในอิตาลี หลังจากที่ Mussolini สั่งการให้ ‘Cesare Mori’ ผู้ว่าการเมืองปาแลร์โม กำจัดกลุ่มมาเฟียซิซิลีให้สิ้นซาก ภายในปี 1928 พวกฟาสซิสต์ได้จับกุมสมาชิกกลุ่มมาเฟียที่ต้องสงสัยได้กว่า 11,000 คน และขับไล่กลุ่มมาเฟียให้ออกจากซิซิลีอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึง ‘Joseph Bonnano’ และ ‘Carlo Gambino’ 2 นายใหญ่ของ 5 ตระกูลมาเฟียด้วย

‘ปฏิบัติการ Husky’ (Operation Husky) ยกพลขึ้นบกซิซิลีของกองกำลังพันธมิตร ในปี 1943

‘Lucky’ Luciano มีส่วนช่วยใน ‘ปฏิบัติการ Husky’ (Operation Husky) การยกพลขึ้นบกซิซิลีของกองกำลังพันธมิตร ในคืนวันที่ 9 กรกฎาคม 1943 โดยกลุ่มมาเฟียซิซิลีได้มีการจัดทำแผนที่ท่าเรือของเกาะ ภาพถ่ายแนวชายฝั่ง และรายชื่อของผู้ติดต่อที่เชื่อถือได้ ภายในกลุ่มมาเฟียซิซิลี ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการจะเห็น Mussolini ถูกโค่นล้ม ‘Lucky’ Luciano จึงสั่งให้ ‘Calogero Vizzini’ ช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตรในการบุกอิตาลีอย่างเต็มที่

Calogero Vizzini จึงกลายเป็นตัวหลักในประวัติศาสตร์ของการสนับสนุนมาเฟียโดยตรงต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ระหว่างปฏิบัติการ Husky นั้น Vizzini ใช้เวลา 6 วันบนรถถังอเมริกัน เพื่อนำทางกองกำลังพันธมิตรผ่านภูเขา และสั่งการให้บรรดากลุ่มมาเฟียซิซิลีของเขาจัดการกำจัดสไนเปอร์ทหารอิตาลีบนภูเขา เพียง 2 สัปดาห์หลังจากปฏิบัติการ Husky เริ่มขึ้น Mussolini ก็ถูกขับออกจากตำแหน่งในวันที่ 25 กรกฎาคม 1943

Charles ‘Lucky’ Luciano ถูกเนรเทศกลับไปยังอิตาลี

และสำหรับความร่วมมือของ ‘Lucky’ Luciano เขาถูกย้ายไปที่เรือนจำ Great Meadow ที่สะดวกและสะดวกสบายมากขึ้น ในเดือนพฤษภาคม 1942 แม้ว่าอิทธิพลของ ‘Lucky’ Luciano ในการหยุดการก่อวินาศกรรมยังไม่มีความชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่ของ ONI สังเกตว่า การนัดหยุดงานที่ท่าเทียบเรือหยุดลงหลังจากที่ ‘Moses Polakoff’ ทนายความของ ‘Lucky’ Luciano ได้ติดต่อกับบุคคลลึกลับบางคนที่เชื่อว่า มีอิทธิพลเหนือสหภาพแรงงาน

แม้ว่า Charles ‘Lucky’ Luciano และเหล่ามาเฟียให้การสนับสนุนกองทัพสหรัฐฯ แต่ผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ กลับทำให้นักประวัติศาสตร์บางส่วนต้องละทิ้งตำนานบทบาทของ ‘Lucky’ Luciano ในการบุกซิซิลี ตามที่นักประวัติศาสตร์ ‘Salvatore Lupo’ สรุปว่า…

“เรื่องราวเกี่ยวกับมาเฟียที่สนับสนุนกองทัพสัมพันธมิตรในการรุกรานซิซิลี เป็นเพียงตำนานที่ไม่มีรากฐานใด ๆ ในทางตรงกันข้ามมีเอกสารของอังกฤษและอเมริกา เกี่ยวกับการเตรียมการบุกที่สามารถหักล้างการคาดเดานี้ ด้วยอำนาจทางการทหารของกองทัพสัมพันธมิตร ที่มากจนไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการดังกล่าว” นั้นก็เพราะว่า กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ทำการเผาทำลายหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความร่วมมือกับกลุ่มอาชญากรทันที

และในวันเดียวกับวันที่สงครามยุติลง Charles ‘Lucky’ Luciano ได้ยื่นขอผ่อนผันโทษต่อรัฐบาลสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากความร่วมมือของเขากับกองทัพเรือสหรัฐฯ และคำขอของเขาได้รับอนุมัติ และในวันที่ 9 มกราคม 1946 อาชญากรวัยชราคนนี้ ก็ได้รับการปล่อยตัวและถูกเนรเทศออกสหรัฐฯ กลับไปยังอิตาลี และเสียชีวิตลงในปี 1962 ที่เมืองเนเปิลส์

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

‘Akku Yadav’ ชายโฉดชั่วผู้ถูกสตรีนับร้อยรุมประชาทัณฑ์ จนเสียชีวิตคาศาล ผลจากความล้มเหลวของกฎหมาย สู่การแก้แค้นที่โหดที่สุดของอินเดีย


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน ‘ประเทศอินเดีย’ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยอินเดียเป็นประเทศที่มีปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากวิถีชีวิตผู้คนในประเทศนี้ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาฮินดู โดยจะยึดถือระบบวรรณะอย่างเคร่งครัด และจะไม่มีการข้ามวรรณะกันเด็ดขาด วรรณะทั้ง 4 นั้นได้แก่ พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์ และศูทร นอกจากนี้ ยังมีคนนอกวรรณะ ซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม นั่นคือ ‘จัณฑาล’

ระบบวรรณะในสังคมของอินเดียนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหลื่อมล้ำของลำดับชนชั้น โดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับอาชีพ ซึ่งบางอาชีพจะถือว่าต่ำต้อยมาตั้งแต่ดั้งเดิม เช่น คนกวาดถนนหรือคนเก็บขยะ ซึ่งจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุดทางสังคม ตามคำสอนเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาในอินเดีย ถ้าชาวฮินดูแต่งงานกับคนนอกวรรณะ หรือกินอาหารร่วมกับคนที่วรรณะต่างจากตัวเองจะถือว่าเป็นเรื่องที่บาป ดังนั้น คนอินเดียจึงปฏิบัติและยึดถือเรื่องของวรรณะอย่างเคร่งครัด


ในสลัม ‘Kasturba Nagar’ ซึ่งอยู่นอกเมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระทางตอนกลางของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่อยู่ของ ‘ครอบครัวชาวทลิต’ (Dalit) วรรณะที่ต่ำที่สุดในอินเดีย (ต่ำกว่าจัณฑาล) เป็นชนชั้นของอินเดียที่ถูกตีตราชนิดที่ว่า ‘ห้ามเข้าไปจับต้องยุ่งเกี่ยว’ (Untouchable) โดยชาวทลิตเป็นกลุ่มที่ถูกแยกออกจากวรรณะทั้ง 4 ในศาสนาฮินดู และถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอวรรณะ หรือ ‘วรรณะที่ 5’ ที่เรียกว่า ‘ปัญจม’ (Panchama)

และในสลัมแห่งนี้ที่มีทรชนขาใหญ่ที่ชื่อ ‘Akku Yadav’ (Bharat Kalicharan) เป็นนักเลง ขโมย โจร นักลักพาตัว นักข่มขืนต่อเนื่อง นักกรรโชกทรัพย์ และเป็นฆาตกรต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งเคยทำร้ายและข่มขืนผู้หญิงมากกว่า 200 คนในสลัมดังกล่าว โดยผู้หญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชาวทลิต Dalit จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิกเฉยละเลย


ตัว Akku Yadav เองก็เกิดและเติบโตขึ้นมาในสลัม Kasturba Nagar แห่งนี้ เป็นลูกชายของคนส่งนม ซึ่งต่อมาเขาได้ก้าวไปสู่ภัยคุกคามในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากการเป็นอันธพาลตัวเล็ก ๆ มาเป็นมาเฟีย จนในที่สุดก็ได้เป็น ‘ราชาแห่งสลัม’

Yadav ปกครองกลุ่มอาชญากรที่ควบคุมสลัม Kasturba Nagar ด้วยการ ปล้น ทรมาน และฆ่าผู้คนโดยไม่ต้องรับโทษ Yadav ก่ออาชญากรรมเป็นเวลาหลายปีด้วยการสร้างอาณาจักรธุรกิจมืดขนาดเล็ก เขาและสมาชิกแก๊งมักคุกคามและข่มขู่ผู้คนเพื่อกรรโชกทรัพย์ และการขู่กรรโชก รีดไถ รีดไถเงิน ทำร้าย และข่มขู่ผู้ที่ต่อต้านเขา จนกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของ Yadav และสมุน ซึ่งมักจะทำร้ายผู้คนหากพวกเขาไม่ได้จ่ายเงินให้แก่เขา

ในช่วงชีวิตของเขาในฐานะอาชญากร Yadav ได้สังหารบุคคลอย่างน้อย 3 คน ได้ทรมานและลักพาตัวผู้คน บุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้คน และข่มขืนหญิงสาวและเด็กผู้หญิงนับร้อยคน หรือหากพวกเขาทำให้ Yadav โกรธในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาก็จะขู่ว่า จะข่มขืนใครก็ตามที่ต่อต้านเขาเป็นพิเศษ

เป็นที่ทราบกันดีว่าเหยื่อข่มขืนของ Yadav จำนวนมากคือ ชาวทลิตซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบาก จากความอยุติธรรมสำหรับคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดย Akku Yadav ได้ติดสินบนเพื่อจูงใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นจะปกป้องเขา Yadav ยังคงทำร้ายผู้หญิงต่อไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการกระทำที่ชั่วร้ายและป่าเถื่อนเลย แม้ว่าเหยื่อจะแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะถูกข่มขู่ และ Yadav ก็สามารถรอดพ้นจากการจับกุมได้เสมอ


‘Usha Narayane’ หญิงผู้กล้าหาญคนหนึ่ง รายงานพฤติการณ์และพฤติกรรมของ Yadav ต่อรองผู้บัญชาการตำรวจของเมืองนาคปุระ ด้วยหวังว่าจะได้รับความยุติธรรม แต่กลับมีข่าวที่ชี้ให้เห็นว่า Yadav อาจหลบหนีการลงโทษได้อีกครั้ง วันที่ 6 สิงหาคม 2004 ฝูงชนก็พากันไปที่บ้านของ Yadav แล้วเผาบ้านทิ้ง จนทำให้ Yadav ต้องรีบไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอความคุ้มครอง หลังจากที่ตำรวจจับกุม Yadav เพื่อปกป้องตัวเขาเอง ก็มีกำหนดการพิจารณาคดีของเขาในวันที่ 13 สิงหาคม 2004 ในศาลแขวง Nagpur ของอินเดีย ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วละแวกใกล้เคียง ว่าเขาจะได้รับการปล่อยตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวางแผนที่จะควบคุมตัวเขาไว้ จนกว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้วจึงจะปล่อยตัวเขาไป


วันที่ 13 สิงหาคม 2004 เมื่อการพิจารณาคดีเกิดขึ้นในศาลแขวงนาคปุระหมายเลข 7 ในใจกลางเมืองนาคปุระ ห่างออกไปจากสลัม Kasturba Nagar หลายกิโลเมตร มีผู้หญิงหลายร้อยคนเดินขบวนจากสลัมไปยังศาลโดยถือมีดหันผักและพริกป่น เดินเข้าไปในห้องพิจารณาคดี และนั่งเก้าอี้แถวหน้า Yadav เดินเข้าสู่ศาลอย่างมั่นใจและไม่หวาดหวั่น

เวลาประมาณ 14.30-15.00 น. เมื่อ Yadav ปรากฏตัว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาข่มขืน Yadav ก็แสดงท่าทีเยาะเย้ยเธอ แล้วเรียกเธอว่า ‘โสเภณี’ และบอกว่าเขาจะข่มขืนเธออีกครั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พากันหัวเราะ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เอารองเท้าของเธอตี Yadav เข้าที่ศีรษะ เธอบอก Yadav ว่าเธอจะฆ่าเขา หรือไม่เขาก็จะต้องฆ่าเธอ โดยพูดว่า “เราทั้งคู่ไม่สามารถอยู่บนโลกนี้ด้วยกันได้ ถ้าไม่เป็นฉัน ก็ต้องเป็นตัวแกเอง” และผลการพิจารณาคดีคือ ‘การยกฟ้อง Yadav’


จากนั้น Yadav ก็ถูกรุมประชาทัณฑ์ทันที่ โดยกลุ่มผู้หญิงหลายร้อยคนที่ปรากฏตัวขึ้นในห้องพิจารณาคดี เขาถูกแทงไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง พริกป่นและก้อนหินถูกปาใส่หน้า อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ก็ถูกปาพริกป่นใส่หน้าด้วย บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างพากันตกใจกลัวจึงรีบหนีไปจนหมดในทันที หนึ่งในเหยื่อของเขายังตัดอวัยวะเพศของเขาจนขาดด้วย

การรุมประชาทัณฑ์เกิดขึ้นบนพื้นหินอ่อนของห้องพิจารณาคดี ขณะที่เขาเริ่มถูกประชาทัณฑ์ Yadav ซึ่งถูกผงพริกปาใส่หน้าก็ตกใจกลัวมากและตะโกนขึ้นว่า “ยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก!!” พวกผู้หญิงส่งมีดต่อกันไปรอบ ๆ เพื่อผลัดกันแทงเขา ผู้หญิงแต่ละคนตกลงที่จะแทง Yadav อย่างน้อยคนละ 1 แผล เลือดของเขานองอยู่บนพื้นและกระเซ็นไปทั่วผนังห้องพิจารณาคดี ภายใน 15 นาที Yadav วัย 32 ปี ก็ถึงแก่ความตาย หลังการชันสูตรพลิกศพพบว่า กลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ยังคงทำร้ายศพของเขาต่อ


กลุ่มผู้หญิงเหล่านั้นอ้างว่า การฆาตกรรมนั้นไม่ได้วางแผนไว้ ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “เราไม่เคยมีการประชุมพูดคุยอย่างเป็นทางการใด ๆ แต่เป็นการบอกปากต่อปาก ว่าเราจะต้องจัดการร่วมกัน” และอวัยวะเพศของเขาก็ถูกตัดออก ผู้หญิงทุกคนอ้างว่าจะรับผิดชอบต่อการฆาตกรรมนี้ และถึงแม้บางคนจะถูกจับกุม แต่ในที่สุดพวกเขาก็พ้นผิด แม้ว่าผู้หญิงหลายร้อยคนจะมีส่วนร่วมในการรุมประชาทัณฑ์

Usha Narayane และคนอื่นๆ ถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ต่อมาได้รับการปล่อยตัวเนื่องจากขาดหลักฐาน ผู้พิพากษา ‘Bhau Vahane’ ยอมรับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ผู้หญิงต้องเผชิญ และความล้มเหลวของตำรวจในการปกป้องพวกเธอ

การตายของ Akku Yadav กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวการแก้แค้นที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย และมีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ Netflix ในชื่อ ‘Murder In a court room’

เมื่อ ‘กม.สูงสุด’ ถูกคณะราษฎรเสกเป็น ‘ของขลัง’ แห่งยุคสมัย อุปโลกน์ให้สูงส่งกว่ากษัตริย์ ทั้งที่สถานะเป็นเพียง ‘กฎหมาย’

การเกิด ‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ นั้นเกิดขึ้นโดยการรังสรรค์ของคณะราษฎร ด้วยการสร้างรัฐธรรมนูญให้มีรูปลักษณ์จับต้องได้ กลายเป็นของขลัง มีพิธีกรรมประกอบ มีพิธีรีตองเฉพาะ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรบูชา มีสถานะที่สูงส่งกว่ากษัตริย์ เพื่อรองรับฐานอำนาจของระบอบใหม่ ทำทุกๆ อย่าง เพื่อให้ประชาชนได้รู้จักรัฐธรรมนูญ

แต่ไม่ทำอย่างเดียวคือ ทำให้ประชาชนได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญคือ ‘กฎหมาย’ 

นับจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มาจนถึงวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ความพยายามต่างๆ ของคณะรัฐบาลและคณะราษฎรในการเผยแพร่ ให้ความรู้ เกี่ยวกับการปกครองในระบอบใหม่ โดยมีกฎหมายสูงสุดคือ “รัฐธรรมนูญ” ยังเป็นไปอย่างอิหลักอิเหลื่อ ทั้งนี้เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั้งภายในคณะราษฎร และระหว่างคณะราษฎรกับคณะรัฐบาล จนนำมาสู่การยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลจาก ‘พระยามโนปกรณ์นิติธาดา’ มาเป็น ‘พระยาพหลพลพยุหเสนา’ 

รัฐบาลคณะนี้โดยการผลักดันของ ‘หลวงวิจิตรวาทการ’ ที่ต้องการเผยแพร่รัฐธรรมนูญจึงเกิดขึ้นมาอีกครั้ง

คณะทำงานนำโดย ‘หลวงประดิษฐ์มนูธรรม’ ได้ร่างแผนการที่จะเผยแพร่แนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ รวมถึงการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ การส่งหน่วยโฆษณาการลงพื้นที่ทุกตำบล เพื่อประชาสัมพันธ์ อย่างเป็นรูปธรรม ก่อนจะถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้นด้วย ‘กบฏบวรเดช’ 

เนื่องจากวิธีการให้ความรู้แบบเดิมก่อนเกิดกรณี ‘กบฏบวรเดช’ นั้น ไม่สามารถเข้าถึงและสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้ การนำเสนอรัฐธรรมนูญแบบใหม่ของคณะราษฎรจึงเกิดขึ้น 

การปรับให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ กลายเป็น ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ คุ้มบ้าน ป้องเมือง ควรค่าแก่การเคารพบูชามีสถานะไม่แตกต่างจาก ‘ของขลัง’ เอาง่ายๆ คือ ‘ความรู้ไม่ต้องมี’ เน้น ‘ความงมงาย’ เข้าไว้ จูงใจคนได้ง่ายกว่า และเมื่อมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง ไม่ให้ใครมาทำลาย 

สร้างให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ มีค่าเท่ากับ ‘พระมหากษัตริย์’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ และเป็นหน้าที่ของชาติและประชาชนที่ต้องปกป้อง

ในเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๔๗๖ รัฐบาลได้จัดตั้ง ‘สมาคมคณะรัฐธรรมนูญ’ โดยมีจุดประสงค์ดำเนินการในด้านการธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ สร้างความสามัคคี อบรมสมาชิก และดำเนินการด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการปกครองด้วยระบอบใหม่ ไม่ให้ใครมาโค่นล้มได้ 

โดย ‘สมาคม’ ประกอบด้วย ๒ องค์กรคือ ‘ชุมนุมใหญ่’ และ ‘คณะกรรมการกลาง’ ซึ่งสมาคมนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของ ‘รัฐธรรมนูญ’ !!! 

หลังจากงานงานฉลองรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งบรรดาสมาคมฯ ภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ยังต้องทรงเสด็จฯ ทอดพระเนตรงาน ซึ่งก็ตรงกับเจตนารมณ์ที่ชัดแจ้งว่าความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญนั้น แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังต้องทรงมาร่วมงานฉลองให้

‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ โดยเฉพาะการสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวเกิดขึ้นจากแนวความคิดของ จำรัส มหาวงศ์นันทน์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ด้วยการเสนอให้มีการสร้าง ‘รัฐธรรมนูญจำลอง’ เป็นสมุดข่อย อัญเชิญไปยังศาลากลางจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นการเผยแพร่รัฐธรรมนูญไปด้วย ซึ่งถ้าจบตรงแค่นี้ก็น่าจะไม่เป็นไรมาก 

แต่คุณจำรัส แกไปเพิ่มมูลค่าความศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเสนอให้ ‘รัฐธรรมนูญจำลอง’ นั้นต้องวางอยู่บน “พานแว่นฟ้า” ซึ่งใช้สำหรับวางของสูง แล้วคณะรัฐบาลขณะนั้นก็เอาด้วย เพราะอยากจะทำยังไงก็ได้ให้รัฐธรรมนูญคือสัญลักษณ์สำคัญแทนพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว

รัฐธรรมนูญจำลองจำนวน ๗๐ ชุด เป็นสมุดไทยลงรักปิดทองเป็น ‘รัฐธรรมนูญ’ วางบนพาน 2 ชั้น เป็น ‘พานรัฐธรรมนูญ’ โดยในวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ พระราชอุทยานสราญรมย์ ได้มีพิธีสมโภช ‘พานรัฐธรรมนูญ’ ก่อนที่จะการส่งมอบให้กับผู้แทนราษฎรแต่ละจังหวัด 

พิธีในครั้งนั้น มีสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการ เป็นประธานในพิธี ทรงเจิมพานรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ประกอบเสียงมโหรีปี่พาทย์ เสียงสวดอำนวยจากพระสงฆ์ ๗๐ รูป มีพิธีเวียนเทียนสมโภช ก่อนจะนำไปประดิษฐานร่วมกับพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ก่อนที่จะ ‘อัญเชิญ’ เพื่อไป ‘ประดิษฐาน’ ยังจังหวัดต่าง ๆ จำนวน ๖๙ ชุดและอีก ๑ ชุด จะประดิษฐานไว้ ณ ที่ทำการใหญ่ของ “สมาคมคณะรัฐธรรมนูญ” พระราชอุทยานสราญรมย์

การอัญเชิญ ‘พานรัฐธรรมนูญ’ ก็เป็นไปอย่างเอิกเกริก ราวกับเป็นสิ่งสำคัญของชาติบ้านเมือง พอไปถึงจังหวัดต่าง ๆ ก็มีการนำขึ้นบุษบกแห่แหนให้ชมกันรอบเมือง ก่อนจะนำไปประดิษฐาน ณ ศาลากลางของจังหวัดนั้นๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าสักการะบูชา ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และมีการปฏิญาณตนต่อหน้าพานรัฐธรรมนูญ 

จากความ ‘ขลัง’ ระดับจังหวัด ก็กระจายลงไปถึงความ ‘ขลัง’ ระดับอำเภอ ดังที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเห็นว่า “พานรัฐธรรมนูญนี้ถือว่าขลัง เผยแพร่ไปมากเก๊งตามจิตต์วิทยาว่าขลัง หรือสงวนไว้ขลัง ถ้าถือว่าแพร่หลายไปทำให้คนรู้จัก และเลื่อมใสยิ่งขึ้น ก็ควรทำให้แพร่หลายไป” 

‘พานรัฐธรรมนูญ’ ที่ได้รับไปนั้นจะต้องผ่านพิธีกรรม มีพิธีการที่สมเกียรติ เพราะถือเป็นของสูง เวลานำไปจัดงานหรือเพื่อให้ประชาชนสักการะก็ต้องมีพลับพลาสำหรับประดิษฐานอย่างโอ่โถง 

ทั้งหมดเพื่อหวังผลบั้นปลายให้ ‘รัฐธรรมนูญ’ กลายเป็นแหล่งที่มาของอำนาจอันชอบธรรมในระบอบใหม่ เทียบเคียงกับสถานะบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบเก่านั่นเอง 

นอกจากพานที่กล่าวมาแล้ว ‘ลัทธิบูชารัฐธรรมนูญ’ ยังมีมิติครอบคลุมออกไปอย่างหลากหลาย ลึกซึ้ง อย่างเช่น อนุสาวรีย์ก็ไม่ได้มีแค่ ‘อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย’ ถนนราชดำเนินกลาง ก็ยังมี ‘อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ’ ที่ก่อสร้างตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ ๖ แห่ง เช่นที่ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ฯลฯ อย่างวัด ก็มี ‘วัดประชาธิปไตย’ (ปัจจุบันคือวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน) 

ยังไม่รวมสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในงานปั้น งานเครื่องหมาย โดยเป็นศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ สื่อถึงระบอบใหม่ ควบคู่ไปกับงานฉลอง ‘รัฐธรรมนูญ’ ที่ยิ่งใหญ่กว่างานฉลองของระบอบเก่า 

จนกระทั่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นำบ้านเมืองของเราเข้าสู่ยุค ‘เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย’ การยึดเอา ‘รัฐธรรมนูญ’ เป็นของขลัง ของสำคัญ ของชาติจึงค่อยๆ มลายหายไป 

จาก ๑๐ ธันวาคม พ.ศ ๒๔๗๕ มาจนถึง ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ผ่านไปแล้ว ๙๑ ปี 

ปัจจุบันประชาชนได้รู้แล้วว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ คือ ‘กฎหมาย’ ไม่ใช่ ‘ของขลัง’ ไม่จำเป็นต้อง ‘บูชา’ แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ได้ฝังรากลึกให้ประชาชนได้ยึดถืออย่างมีสำนึกและเข้าใจอย่างที่มันควรจะเป็น นับเนื่องมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ 

ทำไมนะ ? 

‘เด็กหมาป่า’ เด็กกำพร้าเยอรมันที่ถูกลืม ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 2 กับชะตากรรมอันโหดร้ายจากความหิว ความหนาว และการสูญเสียตัวตน

‘เด็กหมาป่า’ (Wolf children) เด็กกำพร้าเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

‘เด็กหมาป่า’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเด็กที่เคยอาศัยอยู่กับฝูงหมาป่าตามที่ปรากฏเป็นข่าวอย่างในอินเดีย แต่เป็นเรื่องราวของเด็กกำพร้าเร่ร่อนชาวเยอรมันและชาวเยอรมันเชื้อสายลิทัวเนีย ซึ่งมีอยู่ใน ‘ปรัสเซียตะวันออก’ (‘ปรัสเซีย’ คือชื่อเดิมของ ‘เยอรมนี’ ซึ่งในอดีตมีพื้นที่กว้างขวางกว่าในปัจจุบัน) เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กหมาป่าส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังจากการอพยพของพลเมืองปรัสเซียตะวันออก เพื่อหลบหนีการบุกของ ‘กองทัพแดง’ (สหภาพโซเวียต) เมื่อต้นปี 1945 โดยหลายคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย จึงต้องไปอาศัยอยู่ในป่าของปรัสเซียตะวันออกหรือถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวลิทัวเนีย

การรุกปรัสเซียตะวันออกของกองทัพแดงในช่วงปลายปี 1944 ถึงต้นปี 1945 ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กหลายล้านคนต้องอพยพหลบหนี แต่เมื่อผู้ใหญ่จำนวนมากเสียชีวิตหรือบาดเจ็บระหว่างการโจมตีด้วยระเบิด หรือความหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวที่รุนแรงโดยไม่มีอาหารและที่พักพิง เด็กกำพร้าหลายพันคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และต้องหลบหนีเข้าไปในป่าโดยรอบ ถูกบังคับให้ดูแลตัวเองและต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่รุนแรง หากถูกทหารโซเวียตจับได้ โดยเด็กโตมักพยายามรวบรวมพี่น้องไว้ด้วยกัน และเอาชีวิตรอดด้วยการค้นหาอาหารและที่พักพิง กลายเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา

เด็กหมาป่าจำนวนมากเดินทางไปหาอาหารในป่าของลิทัวเนียที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งต่อมาเด็กส่วนหนึ่งได้รับการรับเลี้ยงโดยเกษตรกรชาวลิทัวเนียในชนบท และเรียกพวกเด็กหมาป่าเหล่านี้ว่า ‘Vokietukai’ (เยอรมันตัวน้อย) และมักจะแบ่งปันอาหารและที่พักให้พวกเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางไปกลับมาหลายครั้ง เพื่อหาอาหารให้แม่หรือพี่น้องที่ป่วย โดยเดินทางไปตามรางรถไฟ บางครั้งก็นั่งบนรถหรือระหว่างตู้รถไฟ และกระโดดลงก่อนถึงสถานีที่ควบคุมโดยโซเวียต หลังทศวรรษ 1990 เด็ก ๆ ถูกเรียกว่าเป็น ‘เด็กหมาป่า’ เพราะพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนหมาป่าที่เดินเตร่อยู่ในป่า

เกษตรกรชาวลิทัวเนียที่ขายผลิตภัณฑ์ของตนในเมืองเล็ก ๆ ของปรัสเซียตะวันออกในปี 1946 ได้พากันมองหาเด็กหมาป่าเพื่อให้มาช่วยพวกเขาในการทำงานประจำวัน และด้วยเหตุนี้ เด็กหมาป่าจำนวนมากจึงหลั่งไหลไปยังภูมิภาคบอลติกตะวันออกเป็นประจำ เพื่อรับอาหารแลกกับแรงงานหรือข้าวของต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถหามาได้ เกษตรกรชาวลิทัวเนียรับเลี้ยงเด็กที่อายุน้อยบางส่วน และเด็กหลายคนก็อยู่ในฟาร์มที่ลิทัวเนียเป็นการถาวร ตามการประมาณการคร่าว ๆ มีเด็กเยอรมันราว 45,000 คนอาศัยอยู่ในลิทัวเนียในปี 1948 แต่ไม่ปรากฏสถิติที่แน่นอน

ชาวลิทัวเนียที่ช่วยเหลือเด็ก ๆ ชาวเยอรมันต้องพยายามซ่อนเด็ก ๆ จากทางการโซเวียต เพราะการรับเลี้ยงเด็กเยอรมันนั้นเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอย่างรุนแรง หากถูกตรวจพบ โดยพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนชื่อของเด็กชาวเยอรมันจำนวนมาก และหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1990 พวกเขาจึงสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ เด็กหมาป่ามากมายได้รับชื่อและนามสกุลใหม่และกลายเป็นชาวลิทัวเนียโดยไม่มีทางเลือก เนื่องจากถูกห้ามไม่ให้เลือกเป็นเยอรมัน ไม่มีรายงานเหตุการณ์ของเด็กหมาป่าในสื่อเลย และเหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนเมื่อปี 1990 หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก

คำแถลงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลโซเวียตและโปแลนด์ในขณะนั้นคือ “ไม่มีชาวเยอรมันในพื้นที่เหล่านี้ และนี่เป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของพวกเขาตั้งแต่ต้นตาม ‘ข้อตกลงพ็อทซ์ดัม’ (Potsdam Declaration) ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488”

ต่อมา ‘Ruth Kibelka’ เด็กหมาป่าคนหนึ่งได้ทำการค้นคว้าและตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ ‘Wolfkinder’ ซึ่งมีบันทึกทางประวัติศาสตร์บางส่วนที่เด็กหมาป่าหลายคนจากปรัสเซียตะวันออกได้มอบให้ โดยบรรยายว่า ครอบครัวของพวกเขาถูกกดดันโดยกองกำลังโซเวียตที่กำลังรุกคืบในขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนี พวกเขาถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดในปรัสเซียตะวันออก และพบว่าบ้านของพวกเขาถูกทำลายจนเสียหายหมด บางคนถูกไล่ออกจากบ้าน และบางคนก็เสียชีวิตจากความอดอยาก เจ็บป่วย และเป็นไข้ไทฟอยด์ เด็กกำพร้าต้องหาทางเอาชีวิตรอดจนกลายเป็นเด็กหมาป่า

เด็กหมาป่าหลายร้อยคนถูกค้นพบในลิทัวเนียหลังจากที่แยกตัวออกจากรัสเซีย ปัจจุบันมีเด็กหมาป่าเกือบ 100 คนที่ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เหล่าเด็กหมาป่าได้ต่อสู้เพื่อสัญชาติเยอรมันของพวกเขา โดยพวกเขามีสมาคมของตัวเอง แต่สำนักงานบริหารกลางภายในกระทรวงมหาดไทยของเยอรมนี ยึดถือแนวคิดที่ว่า “บุคคลที่ออกจากดินแดน ‘Königsberg’ (ปรัสเซียตะวันออกเดิม ปัจจุบันคือ ‘Kaliningrád’ ของรัสเซีย) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้สละสัญชาติเยอรมันของตนแล้ว”

นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต บรรดาเด็กหมาป่าได้เดินทางไปค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขา เพื่อกลับคืนมาเป็นชาวเยอรมันอีกครั้ง สภากาชาดเยอรมันช่วยค้นหาและระบุสมาชิกในครอบครัวของเด็กหมาป่าที่ขาดการติดต่อระหว่างกัน นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ชะตากรรมของผู้สูญหายอีกประมาณ 200,000 คนได้รับการชี้แจงแล้ว แต่ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวเยอรมันที่ถูกจับเข้าคุกและเสียชีวิตยังคงไม่ได้รับการเปิดเผย ปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันได้ให้ความสนใจและให้ความสนับสนุนในการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของเด็กหมาป่ามากขึ้น เพื่อให้คนเหล่านี้ได้รับสัญชาติเยอรมันกลับคืน

เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นที่ถูกทิ้งไว้ในจีน : หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เด็กกำพร้าชาวญี่ปุ่นในประเทศจีนส่วนใหญ่ถูกครอบครัวชาวญี่ปุ่นทิ้งไว้ หลังจากการส่งชาวญี่ปุ่นออกจากหูหลู่เต่า ตามตัวเลขของรัฐบาลจีนเด็กชาวญี่ปุ่นประมาณ 4,000 คนถูกทิ้งไว้ข้างหลังในจีน หลังสงคราม เด็กชาวญี่ปุ่น 90% ในมองโกเลียในและจีนตะวันออกเฉียงเหนือ (แมนจูกัวในขณะนั้น) ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวชาวจีนในชนบท

ในปี 1980 เด็กกำพร้าเริ่มเดินทางกลับไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่กลับต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติ เนื่องจากพวกเขาขาดทักษะภาษาญี่ปุ่น และประสบปัญหาในการหางานที่มั่นคงทำ

ณ เดือนสิงหาคม 2004 มีเด็กกำพร้าญี่ปุ่นที่เติบโตในจีนจำนวน 2,476 คน ได้ตั้งถิ่นฐานในญี่ปุ่น ตามตัวเลขของกระทรวงแรงงานของญี่ปุ่น พวกเขาได้รับเงินรายเดือนจำนวน 20,000-30,000 เยนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ในปี 2003 มีเด็กกำพร้า 612 คนยื่นฟ้องรัฐบาลญี่ปุ่น โดยอ้างว่ารัฐบาลญี่ปุ่นต้องรับผิดชอบต่อการที่พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โจทก์แต่ละคนขอเงินจำนวน 33 ล้านเยน

นอกจากเด็กกำพร้าแล้ว ยังมีผู้หญิงชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็ถูกทิ้งไว้ในจีนอีกด้วย ผู้หญิงญี่ปุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่อมาได้แต่งงานกับชายชาวจีน และกลายเป็นที่รู้จักในนาม ‘ภรรยาที่ตกค้างในสงคราม’ เนื่องจากพวกเขามีลูกกับผู้ชายชาวจีน ผู้หญิงเหล่านี้จึงไม่ได้รับอนุญาตให้พาครอบครัวชาวจีนของพวกเธอ กลับมาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนผู้ชายญี่ปุ่นที่สามารถพาภรรยาต่างชาติกลับญี่ปุ่นพร้อมกับพวกเขาได้ ทำให้ส่วนใหญ่ยังคงต้องตกค้างอยู่ในจีน เนื่องจากญี่ปุ่นมีกฎหมายที่อนุญาตให้เฉพาะเด็กที่มีพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะสามารถขอสมัครเพื่อเป็นพลเมืองของญี่ปุ่นได้

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

ปิดทาง ‘มรดกเลือด’ คงสัมพันธ์ครอบครัวให้เหนียวแน่น แค่ทายาททุกฝ่าย หันหน้ามาคุยกันด้วยความเข้าใจ

ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว มักจะมีที่มาจากเรื่องของทรัพย์สินหรือปัญหาการแบ่งมรดก ไม่ลงตัว 

ปัญหาเล็ก ๆ ที่อาจลุกลามไปเป็นปัญหาใหญ่ จนไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา หากทุกคนเข้าใจและยอมรับกติกาที่กฎหมายได้ระบุไว้ ปัญหาดังกล่าวอาจจะสามารถคลี่คลายลงได้

โดยเมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นจะตกทอดแก่ทายาท

หากผู้ตายมีหนี้ ผู้รับมรดกไม่ต้องรับผิดชอบหนี้เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนเองได้รับ

ทายาทที่มีสิทธิรับมรดก มี 2 ประเภทคือ ทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรมเรียกว่า ‘ผู้รับพินัยกรรม’

ทายาทโดยธรรมมี 6 ชั้น ได้แก่ 1.ผู้สืบสันดาน 2.บิดามารดา 3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5.ปู่ ย่า ตา ยาย 6.ลุง ป้า น้า อา 

คู่สมรสของเจ้ามรดกก็ถือเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิได้รับมรดก

พินัยกรรม คือ การแสดงเจตนาของบุคคลในเรื่องทรัพย์สินของตน ว่าหากตายไปแล้วทรัพย์สินนั้นจะยกให้ใคร อาจเป็นทายาทโดยธรรม หรือบุคคลที่ไม่ใช่ทายาทก็ได้

ผู้ทำพินัยกรรมต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไปและเป็นบุคคลที่มีความสามารถตามกฎหมาย

พินัยกรรมต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด เช่น ทำเป็นหนังสือลงวัน เดือน ปี และลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน, พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ, พินัยกรรมฝ่ายเมืองซึ่งต้องไปทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ, พินัยกรรมแบบเอกสารลับ 

ผู้ทำพินัยกรรมจะเพิกถอนพินัยกรรมทั้งหมดหรือบางส่วนในเวลาใดก็ได้

การแบ่งทรัพย์มรดกนั้น หากผู้ตายทำพินัยกรรมไว้ก็ให้แบ่งตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในพินัยกรรม หากไม่มีพินัยกรรมก็แบ่งให้ทายาทโดยธรรม ตามลำดับชั้น หากทายาทลำดับก่อนยังอยู่ ลำดับถัดมาจะไม่มีสิทธิได้รับมรดก เรียกว่า ญาติสนิทตัดญาติห่าง เช่น หากผู้ตายยังมีบุตรและพ่อแม่ที่มีชีวิตอยู่ พี่น้องของผู้ตายจะไม่มีสิทธิรับมรดก 

การแบ่งมรดกให้ทายาทแต่ละคนที่มีสิทธิได้รับมรดกในสัดส่วนที่เท่ากัน โดยพิจารณาจากมูลค่าของทรัพย์มรดกทั้งหมด แต่ทายาทอาจตกลงกันเองในการแบ่งมรดกได้ โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งมรดกให้เท่าเทียมกันทุกประการ

ถ้าบุคคลใดตายโดยไม่มีทายาทรับมรดก ให้ทรัพย์มรดกนั้นตกเป็นของแผ่นดิน

ในการแบ่งปันทรัพย์มรดก แม้อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากทายาททุกฝ่าย หันหน้ามาคุยกัน โดยยึดถือความสัมพันธ์อันดีในสถาบันครอบครัวเป็นสำคัญ ปัญหามรดกเลือดจะไม่มีทางเกิดขึ้น และจะยังสามารถรักษาครอบครัวไว้ได้ต่อไปอีกยาวนาน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top