คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
✏️มองทุกปัญหาเป็นครู เรียนรู้ แก้ไข เพื่อไปสู่ความสำเร็จ

#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
✏️มองทุกปัญหาเป็นครู เรียนรู้ แก้ไข เพื่อไปสู่ความสำเร็จ
ครูพิม ณัฏฐณี สุขปรีดี นักจิตวิทยาพัฒนาการ ผู้ซึ่งมีความสนใจพิเศษในเรื่องพัฒนาการเด็กวัยแรกเกิดจนถึงวัยรุ่นตอนต้น ให้ข้อมูลว่า ในทางพัฒนาการมอง ‘ความฉลาด’ คือ ทักษะ หรือความสามารถที่เด็กทำได้ดีเป็นพิเศษ หรือมีแนวโน้มที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ง่ายกว่าทักษะอื่นๆ ในความเป็นจริงทุกคนจะมีความฉลาด สิ่งที่ถนัด สิ่งที่เรียนรู้ได้เร็วเฉพาะด้านของตัวเอง
แต่ในปัจจุบัน พ่อแม่ส่วนใหญ่ให้นิยามความฉลาดมาจากการพูดเป็นหลัก โดยมองว่า เด็กที่สามารถพูดคุย ตอบโต้สื่อสารได้ เป็นเด็กฉลาด หรือเด็กที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เป็นเด็กฉลาด ซึ่งเป็นความเข้าใจไปเองของผู้ปกครอง ไม่ใช่ความฉลาดตามช่วงวัย หรือสะท้อนศักยภาพของสมองที่แท้จริง เนื่องจากสื่อเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันออกแบบมาให้ง่าย สะดวกต่อการใช้งาน การที่เด็กเล็กใช้งาน Smartphone หรือ Tablet ได้จึงเป็นเรื่องปกติ ความเข้าใจผิดในนิยามความฉลาดรูปแบบนี้ทำให้ผู้ปกครองมองข้ามความฉลาดและพัฒนาการที่แท้จริงที่ควรจะเกิดขึ้นกับเด็กในแต่ละช่วงวัยไป
การสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย
• ช่วงประมาณ 1 ขวบ เด็กควรมีการสื่อสารแบบ specific ในการเรียกคุณพ่อคุณแม่ คนใกล้ชิด ด้วยคำเฉพาะ หรือเสียงเฉพาะ เช่น พ่อแม่ ป๊าม๊า
• ช่วงประมาณ 1 ขวบครึ่ง เด็กควรจะพูดคำศัพท์เดี่ยวๆ ได้ คือ คำที่มีความหมายและเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น เด็กมองเห็นลูกบอลแล้วพูดว่า บอลๆ อยากกินนมแล้วพูด นมๆ เป็นคำที่หมายถึงสิ่งนั้นจริงๆ จึงจะเรียกว่าการสื่อสาร ซึ่งการที่เด็กไม่รู้จะพูดอะไรกับผู้ใหญ่ คิดคำไม่ออก อาจทำให้พูดออกมาเป็นภาษาต่างดาวหรือผสมภาษาใหม่ขึ้นมาเอง สิ่งนี้เป็นสัญญาณว่าเด็กกำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือมีปัญหาในเรื่องของการสื่อสาร
• ช่วงประมาณ 2-3 ขวบ เด็กต้องพูดเป็นประโยคได้ มีประธาน กิริยา กรรม สามารถเข้าใจได้
กรณีต่อมาคือ เด็กพูดได้ตามช่วงวัยและพัฒนาการแล้ว แต่ไม่ชอบสื่อสารกับคนอื่น เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ บุคลิกภาพ ที่เป็นคนพูดน้อย เก็บตัว หรืออีกแบบคือ อยากสื่อสาร แต่ขาดทักษะเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอื่น ซึ่งหากเป็นรูปแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะมีส่วนช่วยเหลือได้เยอะมาก โดยใช้เวลาที่อยู่บ้านทำการฝึกพูดกับลูกก่อน
สิ่งที่จะช่วยเสริมทักษะการสื่อสารต่อมาคือ การอ่าน เด็กที่ชอบอ่านหนังสือมีแนวโน้มจะสื่อสารได้ดี เนื่องจากมีคลังคำศัพท์ในหัวเยอะ ภาษาทางวรรณกรรมหรือการเขียนเป็นภาษาที่สวยงาม เด็กจะได้รับการปลูกฝังทางภาษาที่ดีไปด้วย หนังสือที่เด็กอ่านได้มีหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน วรรณกรรมเยาวชน สารคดี นิตยสาร การ์ตูนที่มีคุณภาพ
สิ่งสำคัญในการสื่อสาร คือ เด็กต้องรู้จักเข้าใจตัวเองก่อน ถึงจะกล้าสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมั่นใจ การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเด็กเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เขากล้าที่จะพูดและแสดงออก วิธีที่สามารถทำได้คือ เวลาที่ลูกแสดงความคิดเห็นที่บ้าน ผู้ปกครองอย่าเพิ่งตัดสินว่าเขาเถียง เพราะเมื่อเด็กโดนเบรคบ่อยๆ จากในบ้านจะทำให้รู้สึกว่าการไปพูดกับคนอื่นนอกบ้าน เป็นการไม่ดีต่อตัวเองหรือไม่
กรณีที่เด็กเคยสื่อสารกับเพื่อนและมีความผิดพลาดบางอย่าง เช่น พูดแล้วทะเลาะกัน เพื่อนไม่เข้าใจ คุยกันคนละภาษา พัฒนาการไม่ตรงกัน ต้องอาศัยพ่อแม่เข้ามาช่วยซักถาม ต้องหาก่อนว่าปัญหาคืออะไร กรณีที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กที่ไม่พูดอะไรจนเหมือนไม่มีเพื่อน กรณีนี้อาจแปลว่าต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากขาดทักษะทางสังคม ต้องการการกระตุ้นและการแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
กรณีที่เด็กมีข้อมูลอยู่ในหัวแต่ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ ครูพิมพ์กล่าวว่า ในเรื่องของการสื่อสารอาจไม่ได้มองเรื่องของการพูดเพียงอย่างเดียว การสื่อสารสามารถถ่ายทอดออกมาในรูปแบบอื่นได้ เช่น อาจลองให้ลูกเขียน วาดรูป ทำท่าทาง ฝึกให้คุ้นเคยกับการแสดงออกก่อน จากนั้นค่อยนำมาปรับว่าจะแสดงออกในเรื่องของการพูดอย่างไร ตัวอย่างคือ ระหว่างที่ลูกเขียนให้ดู เราอาจจะพูดไปกับเขาด้วย บางครั้งพ่อแม่ต้องเป็นคนที่นำลูกก่อน ทำให้ลูกรู้วิธีการพูด เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลากับลูกพอสมควร เพราะบางเรื่องลูกไม่สามารถที่จะฝึกได้ด้วยตัวเอง
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สื่อสารเก่ง สื่อสารเป็น รู้วิธีที่จะสื่อสารออกไป พ่อแม่จะช่วยลูกได้โดยการลดเวลาเรียนรู้ เพิ่มเวลาเล่น คุมตารางเวลาของลูกที่เหลือให้เป็นโอกาสที่เขาได้ฝึกตัวเอง การไปเที่ยว ทำกิจกรรมร่วมกัน คำถามง่ายๆ ที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน จะทำให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารโดยธรรมชาติ
ครูพิมพ์ฝากไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของลูก สิ่งที่ได้จากการฟังข้อมูลเป็นแนวทางอย่างหนึ่ง แต่จะไปถึงตัวเด็กได้ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ บางครั้งอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือความรู้สึกของตัวเราเอง ที่อยากเปลี่ยนแปลง ซัพพอร์ต หรือสงสารลูก พยายามทำให้ความรู้สึกชัดเจนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความต่อเนื่องมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง วิธีการแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องมีคือการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงทั้งตัวลูกและตัวเอง
สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก
หัวข้อ : ลูกฉลาด...แต่ไม่สามารถสื่อสารได้
Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/470271574330379
เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: ภารวี สุภามาลา
THE STUDY TIMES X ClassOnline
????วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม
วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาอังกฤษ)
โดย ครูพี่ทาม์ย ฐานุวัชร์ รินนานนท์
ศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (เรียนเน้นภาษาสเปน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, อาจารย์ผู้สอนอบรม TOEIC ให้องค์กรภาครัฐและเอกชนระดับประเทศ
#สอนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย
#ClassOnline
https://www.classonline.co.th/
.
.
หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยิน ”โครงการ Work & Travel” ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เด็กไทยได้ไปสัมผัสบรรยากาศการทำงานและการไปเที่ยวพร้อม ๆ กัน แล้วถ้าเปลี่ยนจาก “การไปเที่ยว” เป็น “การเรียนภาษา” แถมได้ทำงานอีกด้วย จะเป็นยังไงกันนะ!?
จริง ๆ แล้วโครงการนี้มีชื่อว่า “โครงการ Work & Study” โดยหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ ของตัวเองสักเท่าไร อาจจะยังไม่มั่นใจว่าถ้าเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ถ้าเราไปทำงานแล้วเราจะกล้าพูดภาษาต่างประเทศได้ไหม โครงการนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์สำหรับใครหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ ในวันนี้ THE STUDY TIMES ขอนำเสนอโครงการนี้ให้เพื่อน ๆ ผู้ปกครอง หรือผู้ที่สนใจอยากพัฒนาทางด้านภาษาได้ทราบกันว่ามีความน่าสนใจยังไง ถ้าพร้อมแล้ว…ลุย!
โครงการ Work & Study เป็นโครงการสำหรับผู้ที่ต้องการไปเรียนภาษาเพิ่มเติมในดินแดนต่างประเทศ โดยสามารถเลือกประเทศและระยะเวลาการเรียนได้ แถมยังสามารถทำงานพาร์ทไทม์เพื่อหารายได้เข้าตัวเองอีกด้วย โดยโครงการนี้ไม่กำหนดอายุขั้นต่ำ ไม่ว่าคุณจะจบมหาวิทยาลัยหรืออยู่ในช่วงวัยทำงานตอนปลายก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะแตกต่างจากโครงการ Work & Travel เพราะจะมีการกำหนดให้แค่เด็กที่เรียนอยู่ในช่วงระดับมหาวิทยาลัย (ปี 1 - ปี 4) และนักศึกษาที่ศึกษาระดับปริญญาโทอายุไม่เกิน 27 ปีสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้เท่านั้น โครงการ Work & Travel เลยตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการไปศึกษาต่อในด้านภาษาที่ต่างประเทศแต่อายุเกินได้
โครงการ Work & Study สามารถกำหนดช่วงระยะเวลาการเรียนภาษาของคุณได้ อยากเรียนคอร์สระยะสั้น 3 เดือน หรือ คอร์สระยะยาว 1 ปีเต็มก็ได้ ทางผู้เรียนสามารถกำหนดเองได้เลย โดยส่วนใหญ่พอไปถึงที่สถาบันการเรียนภาษา ทางสถาบันก็จะมีการให้สอบวัดระดับกันก่อน เพื่อที่ทางสถาบันจะได้จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียน มีตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจนไปถึงขั้นสูงสุด ขึ้นอยู่กับทักษาะทางด้านภาษาของผู้เรียนด้วย
โดยประเทศที่คนไทยส่วนใหญ่สนใจ คือ การเรียนภาษาที่ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดย 2 ประเทศนี้ใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนากัน ทำให้เด็กไทยส่วนใหญ่อยากที่จะฝึกและเรียนภาษา นอกจากการเรียน ด้วยบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ผู้คนเป็นมิตรแถมยังใจดี และค่าครองชีพที่ไม่ค่อยสูงมาก ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับคนที่อยากจะเรียนภาษาไปด้วยและทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย
ส่วนในเรื่องของการทำงานของผู้ที่เข้าร่วมโครงการ Work & Study จะได้วีซ่านักเรียน สามารถใช้ทำงานพาร์ทไทม์ที่ต่างประเทศได้ อย่างประเทศออสเตรเลียจะให้ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียนต่างประเทศสามารถทำงานพาร์ทไทม์ได้ 20 ชั่วโมง / สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่นักเรียนไทยที่ไปเรียนภาษาในช่วงแรกทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารไทย (ซึ่งในต่างประเทศเดี๋ยวนี้ร้านอาหารไทยเยอะมาก) พอฝึกภาษาได้ระยะหนึ่งก็สามารถที่จะทำงานที่ร้านของคนต่างประเทศได้ แถมค่าจ้างอาจจะได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ซึ่งขั้นตอนการสมัครเข้าร่วมโครงการ Work & Study สามารถสมัครได้กับทางเอเจนซี่ที่เปิดรับสมัคร โดยค่าสมัครส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับประเทศและสถาบันที่ผู้เรียนสนใจ ซึ่งในต่างประเทศมีสถาบันการเรียนภาษาให้ผู้เรียนได้เลือกเยอะแยะมากมาย ขึ้นอยู่กับความชอบในรูปแบบการสอนของแต่ละบุคคล บางคนชอบการเรียนภาษาในรูปแบบเรียนในห้องเรียน หรือบางคนอาจจะชอบการเรียนภาษาแบบเน้นกิจกรรมนอกห้องเรียน ทางเอเจนซี่ก็จะคอยช่วยเหลือ เลือกสถาบันการเรียนที่ตอบโจทย์และเหมาะสมให้ นอกจากนี้ทางเอเจนซี่จะคอยช่วยดำเนินการในเรื่องของการสมัครเรียนที่ต่างประเทศ วีซ่า และเอกสารต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนสะดวกมากขึ้นอีกด้วย
นับว่าโครงการ Work & Study เป็นอีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกภาษาและอยากที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ ศึกษาและเลือกเอเจนซี่ที่คุณไว้ใจได้ ดูรีวิวหรือบทความของนักเรียนไทยที่เคยไปโครงการ Work & Study จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หวังว่าบทความของเราจะทำให้คุณสนใจในตัวโครงการนี้นะคะ
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2564
✏️คนเก่ง ไม่ใช่คนที่ได้คะแนนดี แต่คือคนที่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
THE STUDY TIMES X ClassOnline
????วันพุธที่ 14 กรกฎาคม
วิชาภาษาไทย: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาสามัญ (ภาษาไทย)
โดย ครูต้นคูน ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์
ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (Ph.D. in Communication Arts) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
#สอนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคม ระดับ ม.ต้น-ม.ปลาย
#ClassOnline
https://www.classonline.co.th/
.
.
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หลาย ๆ คนพอได้ยินชื่อโรงเรียนแห่งนี้แล้วจะนึกถึงเด็กที่เป็นสุดยอดความเป็นเลิศทั้งด้านการเรียนและกิจกรรม ประวัติและชื่อเสียงมีมาอย่างยาวนาน และที่สำคัญมีการสอบเข้าแข่งขันเข้าเรียนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย วันนี้ THE STUDY TIMES จะมาเล่าประวัติ ความเป็นมาของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งนี้กัน
เดิมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีชื่อว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” โดยโรงเรียนนี้แต่ก่อนสังกัดอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480 โดยพันเอก หลวงพิบูลสงคราม อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขณะนั้น โดยแต่ก่อนใช้โรงเรียนมัธยมหอวัง ถนนพญาไทเป็นสถานศึกษา ในปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตั้งอยู่เลขที่ 227 ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยมี ม.ล. ปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการท่านแรกของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นโรงเรียนสหศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย (คือโรงเรียนที่สามารถเรียนได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง)
โดยแต่ก่อนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นโรงเรียนที่เตรียมนักเรียนแผนกต่าง ๆ ไว้สำหรับเข้าศึกษาในคณะต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะในสมัยก่อนจะเรียกสั้น ๆ ว่าโรงเรียนเตรียมจุฬา
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นมีความเจริญอย่างมากต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2484 ทางโรงเรียนได้มีการจัดพิธีไหว้ครูและมีการแต่งคำประพันธ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้เกิดการมีพิธีไหว้ครูเกิดขึ้น เป็นแบบแผนให้โรงเรียนอื่น นอกจากนี้โรงเรียนยังถูกมรสุมจากสงครามโลกครั้งที่ 2 หนักมาก โดนทหารญี่ปุ่นมาตั้งกองทัพในโรงเรียน ทำให้นักเรียนต้องย้าย อพยพไปอยู่ตามแถวชานเมือง และพอสงครามทหารญี่ปุ่นจบลงเหล่าทหารอังกฤษก็เข้ามาพัก กว่าทุกอย่างจะสงบลงใช้เวลานานหลายปี
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2490 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โอนไปสังกัดกรมวิสามัญศึกษา และมีระเบียบกำหนดให้นักเรียนที่เรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้ สอบคัดเลือกเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับนักเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาของโรงเรียนทั่วไป ทั้งยังตัดคำว่า”แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย” ออก คงเหลือคำว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา” เท่านั้น ม.ล.ปิ่น มาลากุล ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ช่วงนี้ตอนหนึ่งว่า “โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อยาวนัก จึงได้เปลี่ยนเป็น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เฉยๆ แต่ พระเกี้ยวนั้นเป็นของสูง จะทิ้งกันได้อย่างไร โรงเรียนได้เก็บไว้เป็นเครื่องหมายรวมจิตใจของอาจารย์และนักเรียนจนกระทั่งทุกวันนี้”
คำขวัญของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นก็คือ “ความเป็นเลิศทางวิชาการและคุณธรรม” นิมิตฺตํ สาธุ รูปานํ กตญฺญู กตเวทิตา (ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี)
และนี้ก็เป็นประวัติส่วนหนึ่งของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่มีประวัติและชื่อเสียงกันมาอย่างยาวนาน สำหรับสายการเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นมี
- สายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์
- สายภาษา – คณิตศาสตร์
- สายภาษา - ภาษา ซึ่งภาษาที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามีสายภาษาดังนี้ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาสเปน ภาษาจีน ภาษาเกาหลี
ในแต่ละปีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะมีการสอบเข้าโรงเรียนโดยการสมัครสอบของโรงเรียนจะสมัครสอบผ่านออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://admission.triamudom.ac.th โดยวิชาในแต่ละสายที่มีการจัดสอบจะมีดังต่อไปนี้
ผู้ที่ต้องการสอบสายวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - คณิตศาสตร์ จะต้องสอบวิชาคณิตศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
ผู้ที่ต้องการสอบสายภาษา - ภาษา จะต้องสอบวิชา สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
โดยการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจะสอบที่ อิมแพคอารีนา เมืองทองธานี โดยในปีที่ผ่านมามีนักเรียนจากทั่วประเทศกว่า 12,765 คนมาสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาโดยโรงเรียน เปิดรับนักเรียน 1,520 คน ใน 8 แผนการเรียน นักได้ว่าเป็นการแข่งขันที่สูงมากจริง ๆ สำหรับนักเรียนคนไหนที่อยากจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแห่งนี้ก็ขอให้เตรียมตัว อ่านหนังสือ ตั้งใจเรียนและเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้ ทุกอย่างที่เราตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จแน่นอนค่ะ THE STUDY TIMES เป็นกำลังใจให้นะคะ
แหล่งที่มา
https://www.triamudom.ac.th/website/index.php/2016-07-13-03-51-27/2016-07-13-07-27-57
https://tuemaster.com/blog/ประวัติโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
https://www.thairath.co.th/content/234067
https://www.webythebrain.com/article/6-questions-for-triamudom
#คำคมการศึกษา ประจำวันที่ 14 กรกฎาคม 2564
.
✏️ถึงการเรียนจะแย่ แต่เพื่อพ่อแม่หนูจะสู้
THE STUDY TIMES X DekThai Online
????วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม
วิชาฟิสิกส์: เรื่อง วงจรไฟฟ้าสำหรับ ม.ต้น
โดย คุณน้ำหวาน ภิรมณ กำเนิดมณี
นักเรียนทุน พสวท. (ฟิสิกส์) ปริญญาตรี-ปริญญาเอก สหรัฐอเมริกา
#สอนวิชาฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เตรียมเข้าม.4
#DekThaiOnline
https://dekthai-online.com/instructor/P'NAMWAN
.
.
ในปัจจุบันคนภาษาที่ 2 ที่นอกจากจะมีความสำคัญแล้ว ถ้าเราเก่งในภาษาที่ 3 อีกด้วยถือว่าเราจะก้าวประสบความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ “ภาษาจีน” ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในประเทศไทยเพราะนอกจากการทำงานแล้ว วัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างรวมไปถึงเศรษฐกิจอีกด้วย
ในช่วงโควิดแบบนี้ถ้าไปเรียนภาษาจีนข้างนอกก็คงจะไม่ดีหนัก แล้วถ้าเราเรียนรู้ภาษาจีนจากแอพลิเคชันในโทรศัพท์ น่าจะเป็นการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น THE STUDY TIMES ขอแนะนำ 10 แอปพลิเคชันที่คุณสามารถฝึกภาษาจีนได้ง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ChineseSkill – Learn Chinese
เป็นแอปพลิเคชันสอนภาษาจีนสำหรับผู้ที่เริ่มต้น โดยตัวแอปนี้จะเริ่มสอนตั้งแต่ทักษะการฟัง การอ่าน การเขียนและการพูด มีเนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน มีคำศัพท์พื้นฐานจนไปถึงขั้นสูงสุดเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้การเรียนจะเป็นการเล่นเกมเพื่อฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน ทั้งสนุกและได้ความรู้อีกด้วย
Written Chinese Dictionary
เป็นแอปพลิเคชันแปลคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาจีนที่ โดนผู้ใช้งานจะได้เรียนรู้ตัวอักษรจีนประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นคำหนึ่งคำ สำหรับบทเรียนก็มีตั้งแต่ในระดับ HSK 1 ถึง 6 สามารถเลือกบทเรียนอักษรภาษาจีนอย่างง่าย, จีนดั้งเดิมและแมนดาริน แถมยังมีเรื่องสั้นภาษาจีนให้เลือกอ่านเพื่อฝึกทักษะภาษาจีนอีกด้วย
HSK Online - HSK
แอปพลิเคชันที่ให้ผู้ใช้งานสามารถผ่านการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน HSK ได้อย่างง่ายดาย มีระบบการเรียนรู้แบบ AI ที่มีการโต้ตอบอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีคำแนะนำจากผู้เชียวชาญคอยแนะนำตลอด นอกจากนี้ยังมีแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัดมีให้เลือกอีกมากมายเพื่อพัฒนาทักษะภาษาจีนของผู้ใช้งาน
HSK Hero – Chinese Characters
เป็นแอปพลิเคชันที่สอนภาษาจีนในรูปแบบของเกม เป็นการทดสอบผู้ใช้งานในเรื่องของคำศัพท์ที่มีตั้งแต่ HSK ระดับ 1 ถึง 6 โดยตัวแอปพลิเคชันจะเน้นไปที่การจำคำศัพท์ภาษาจีน ทริคต่าง ๆ ในการจำคำศัพท์ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นในภาษาจีน
Word Match – learn Mandarin
แอปพลิเคชันที่เน้นไปที่การเรียนรู้อักษรจีนขั้นพื้นฐาน โดยแอปจะเป็นการสอนในรูปแบบมินิเกม เป็นการสอนโดยการใช้รูปภาพและคำศัพท์ภาษาจีนนั้น ๆ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถจำคำศัพท์ภาษาจีนได้ง่าย ๆ ผ่านการเล่นมินิเกมรวมไปถึงได้ความสนุกอีกด้วย
และนี้ก็เป็นการแนะนำแอปพลิเคชันสอนภาษาจีนตอนแรก ทาง THE STUDY TIMES หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้ฝึกภาษาจีนด้วยความเพลิดเพลินและได้พัฒนาทักษะการเรียนภาษาจีนให้เก่งขึ้นอีกด้วยนะคะ สัปดาห์หน้าเราจะมาแนะนำอีก 5 แอปพลิเคชันที่สอนภาษาจีนกัน อดใจรอกันนะคะ
ที่มา : https://www.iphonemod.net/10-application-practice-chinese-language.html