Monday, 9 June 2025
POLITICS TEAM

‘แรมโบ้’ โดดป้อง ‘ลุงตู่’ ยืนยันไม่เคยโทษใคร และรัฐบาลได้พยายามหยุดการระบาดเชื้อโควิดเต็มที่ พร้อมสวน ‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ หยุดปั้นน้ำเป็นตัว อย่าหวังตีกินทางการเมือง

สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองว่าคำพูดนายกรัฐมนตรี ที่วอนนักการเมืองอย่าฉวยโอกาสใช้โควิด-19 เล่นเกมการเมืองเป็นการโยนบาป นั้น ตนมองว่า นายกฯพูดถูกที่สุดแล้ว โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่นอกจากไม่เคยมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ในสถานการณ์เช่นนี้ กลับนำเอาโอกาสนี้มาหากินทางการเมืองให้ตัวเองดูดี และให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิดในตัวนายกฯและรัฐบาล ทั้งที่เข้าใจดี แต่เสแสร้งไม่เข้าใจ ปั้นน้ำเป็นตัว ใส่ความเป็นเท็จเพื่อให้ประชาชนเข้าใจในคำพูดของนายกฯในทางผิด ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายกฯไม่เคยกล่าวโทษใคร เพราะที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาต่างๆได้รับความช่วยเหลือและร่วมมือกับคนทุกภาคส่วน ขณะนี้นายกฯ และรัฐบาลได้พยายามหามาตรการต่างๆ เพื่อยังยั้งการระบาดเชื้อโควิด-19 มั่นใจว่านายกฯและรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วจนเป็นที่ยอมรับ 

"มองเห็นว่านักการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน และนายอนุสรณ์ ที่ไม่เคยช่วยอะไรประเทศชาติ มีแต่ใช้ปากเสียพูดมากไปวันๆ พูดแต่เรื่องที่ไม่มีสาระ น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง หาประโยชน์อะไรไม่ได้ หวังดิสเครดิตนายกฯและรัฐบาล คนเช่นนี้มักจะมีสมองทึบปัญญานิ่ม พูดอะไรไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวนายกฯ และอาจทำให้บ้านเมืองเสียหาย สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายค้านก็ควรคิดทบทวนให้ดีว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ และหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ผมมองว่า ระวังประชาชนจะออกมาขับไล่พรรคฝ่ายค้านเช่นเดียวกัน"

นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ตนเคยย้ำหลายครั้ง ถ้ายิ่งปล่อยให้นายอนุสรณ์ ออกมาพูดยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยยิ่งตกต่ำ และก็เป็นจริง ดูได้จากการแตกแยกทยอยลาออกของแกนนำในพรรค และผลการเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ.เมื่อ 20 ธันวาคมที่ผ่าน แพ้เกือบราบคาบไม่เข้าเป้าที่ตั้งไว้ แถมพอคนของตัวเองแพ้แล้ว แกนนำ และบรรดา ส.ส.ก็ทะเลาะกัน ในพรรคจนวุ่นวายไปหมด นี่คือความเสื่อมของพรรคเพื่อไทย ที่ยังปล่อยนายอนุสรณ์ คนปากตลาดออกมาแสดงความโง่อ่อนเขลาเบาปัญญา ในที่สุดอาจทำให้พรรคเพื่อไทยถึงจุดล่มสลายไปเรื่อยๆ เพราะประชาชนเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมนักการเมืองปากตลาดพูดจ้อๆรายวันและพูดจาเหมือนเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งประชาชนคนไทยไม่ได้โง่ตามนายอนุสรณ์และพรรคเพื่อไทย อย่าหวังตีกินทางการเมือง

‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ อัด ‘ลุงตู่’ เอาแต่โหนผลโพลที่เชียร์ตัวเอง จี้ลาออกรับผิดชอบ บริหารพลาดทำโควิดระบาดรอบใหม่

‘อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด’ อัด ‘ลุงตู่’ เอาแต่โหนผลโพลที่เชียร์ตัวเอง จี้ลาออกรับผิดชอบ บริหารพลาดทำโควิดระบาดรอบใหม่ ปล่อยประชาชนเผชิญชะตากรรม ทั้งที่เป็นความผิดพลาดจากมาตรการรัฐ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ให้เครือข่ายออกมาโหนผลโพล ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุดว่า ถ้าโพลไหนรัฐบาลได้ประโยชน์ รีบกระโดดเข้าใส่ ถ้าโพลไหนเข้าเนื้อ ติดลบ รีบออกมาปฏิเสธ กล่าวโทษคนอื่น ตั้งท่าจะตรวจสอบ ประชาชนตั้งคำถามว่าโพลสนับสนุนรัฐบาลไปถามประชาชนแถวไหนบ้าง กลุ่มตัวอย่างเพียงพอหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์จะอ้างโควิด หลบหลังผลโพลที่อวยรัฐบาล โดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ 

มีประชาชนเข้าไปแสดงความเห็นสวนทางกับผลโพลอย่างกว้างขวางในช่องทางต่างๆ เฉพาะป้ายปริศนาที่ไปโผล่ในกระทรวงสาธารสุข  อาทิ COVID มาอีกรอบ แต่ประยุทธ์ยังอยู่ หนูการ์ดตก คุมเชื้อให้ดีเหมือนคุมม็อบ ปัญหาที่ใหญ่กว่าโควิดก็คือประยุทธ์ ล้วนเป็นภาพสะท้อนอรรถาธิบายผลงานพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีโควิดมาให้อ้าง ป่านนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อาจอยู่ไม่ได้แล้ว ระหว่างการปราบม็อบกับปราบโควิด รัฐบาลยังตัดสินใจเลือกเครื่องมือไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะปราบอันไหนก่อน ความจริงระบบสาธารณสุขพร้อม ประชาชนให้ความร่วมมือมากขนาดนี้ ยังปล่อยให้โควิดมาระบาดระลอกใหม่ ถ้าเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำ ต้องประกาศลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไปแล้ว

"โควิดกระจอก หากคิดจะใช้เป็นเพียงข้ออ้างในการกู้เงิน มาเยียวยาเพิ่มคะแนน จัดซื้อจัดจ้างอย่างเร่งรีบขาดการตรวจสอบ สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน โควิดไม่กระจอก เพราะกระทบต่อสุขภาพความเป็นความตายของประชาชน ที่ถูกลอยแพให้เผชิญชะตากรรมจากมาตรการรัฐที่ผิดพลาด" นายอนุสรณ์ กล่าว 

สื่อรัฐสภา ตั้งฉายารัฐสภา ปี 63 แบบเจ็บๆ คันๆ เหมือนเคย ส่วนปีนี้ใครจะรับฉายาใด ลองไปตามดู!!

ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภา เพื่อเป็นการเป็นการสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีข้อสรุปดังนี้

ปลวกจมปลัก1.สภาผู้แทนราษฎร : ปลวกจมปลัก
ปลวกเป็นสัตว์ที่มีการแบ่งงานกันทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด สำหรับสภาผู้แทนราษฎรแล้วมีส.ส.ที่ทำงานดุจปลวกที่ทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองด้วยการใช้สภาเป็นเครื่องมือเพื่อชิงอำนาจและทำลายล้างฝั่งตรงข้าม ยิ่งนานวันก็จมปลักกลับการทำงานแบบเดิม ไม่ใช้สภาเพื่อประโยชน์ในการระดมสมองและแก้ปัญหาให้กับประชาชน หนำซ้ำตลอดปีมานี้การประชุมสภาฯล่มกลางคันหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส.ส.ชุดนี้ไม่ให้ความสำคัญกับการประชุมสภาฯทั้งที่เป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เช่นนี้ ส.ส.ในฐานะคนทำงานจึงเปรียบเป็นปลวกที่จมปลักไม่พัฒนาและจะยิ่งกัดกินหลักการของประชาธิปไตยให้พุกร่อนเข้าไปทุกที  

สภาปรสิต2.วุฒิสภา : สภาปรสิต
ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายถึง 'ปรสิต' ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นหรือเซลล์ชนิดอื่นเป็นที่พักอาศัยและแหล่งอาหาร และบางครั้งทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประโยชน์นั้นหรือเซลล์ภายในจนเจ็บป่วยหรือถึงกับเสียชีวิต เมื่อกลับมามองในมิติทางการเมืองแล้วจะพบว่าวุฒิสภาชุดนี้ก็มีสภาพไม่ต่างปรสิตที่อาศัยอยู่ในรัฐสภา นอกจากไม่มีผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนปรสิตแล้วยังนำมาซึ่งพิษภัยแก่การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยเฉพาะการพยายามใช้เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมาเป็นข้ออ้างเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาพิจารณาก่อนรับหลักการไปจนถึงการลงชื่อเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ฉายา 'ปรสิต' จึงเหมาะกับวุฒิสภาชุดนี้

ครูใหญ่ไม้เรียวหัก3. 'ชวน หลีกภัย' ประธานสภาผู้แทนราษฎร: ครูใหญ่ไม้เรียวหัก
ทุกครั้งที่ 'ชวน หลีกภัย' ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาไม่เคยถูกกังขาถึงความเป็นกลางแม้แต่ครั้งเดียว และตลอดปีที่ผ่านมาก็ยังยึดแนวทางดังกล่าวไว้ได้อย่างมั่นคง นอกเหนือไปจากการพยายามควบคุมการประชุมสภาแล้ว ประธานสภายังสวมบท 'ครูใหญ่' ที่ถือไม้เรียวคอยกวดขันวินัยของส.ส.ที่หย่อนยานอีกด้วย เช่น การตักเตือนส.ส.ให้สวมหน้ากากในห้องประชุมสภา เพื่อคุมการระบาดของโควิด 19 หรือการขอความร่วมมือส.ส.ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา เป็นต้น แต่ปรากฎว่าส.ส.การ์ดตกทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการละเลยการสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่อเรื่องเล็กๆอย่างขอความร่วมมือส.ส.งดนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามารับประทานในห้องประชุมก็ไม่เป็นผล และที่ร้ายแรงที่สุด คือ เหตุการณ์สภาล่ม ซึ่งเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าต่อให้ประธานสภาจะยึดมั่นหลักการแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสร้างเปลี่ยนแปลงได้เพราะส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนกับครูใหญ่ที่มีไม้เรียวและต่อให้ฟาดแรงจนไม้เรียวหักคามือ ส.ส.ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

หัวตอ รอออเดอร์4. 'พรเพชร วิชิตชลชัย' ประธานวุฒิสภา: "หัวตอ รอออเดอร์"
ถ้าเทียบบารมีทางการเมืองระหว่างเมื่อครั้งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติกับประธานวุฒิสภา ถือว่านับตั้งแต่มาเป็นประมุขสภาสูงบารมีของ 'พรเพชร' ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำด้วยทุกครั้งที่ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในฐานะรองประธานรัฐสภา พบว่าไม่สามารถควบคุมการประชุมให้เป็นที่เรียบร้อยได้เมื่อเทียบกับ 'ชวน หลีกภัย' หลายครั้งที่รับมือกับความเขี้ยวทางการเมืองของส.ส.ฝ่ายค้านไม่ไหว ทำให้การประชุมเกิดความปั่นป่วนเป็นระยะ กลายเป็นหัวหลักหัวตอที่สมาชิกรัฐสภาไม่ค่อยให้ความยำเกรง ไม่เพียงเท่านี้ การทำหน้าที่ของประธานวุฒิสภายังไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะหลายเรื่องในวุฒิสภากลับปล่อยให้ส.ว.เป็นผู้ชี้นำประธานวุฒิสภาแทน ภาพรวมแบบนี้ทำให้ประธานวุฒิสภาเสมือนหัวหลักหัวตอที่ไม่มีใครสนใจแต่มีหน้าที่แค่รับคำสั่งทำงานเท่านั้น

สุทิน คลังแสง (ประชด)5. สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : สุทิน คลังแสง?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉายาของผู้นำฝ่ายค้านฯที่ปรากฎออกมานั้นเป็นฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เขียนผิดแต่อย่างใด เนื่องจากต่างเห็นตรงกันว่าบทบาทการเป็นผู้นำฝ่ายค้านฯนั้น 'สมพงษ์' ไม่ได้โดดเด่นสมกับตำแหน่งเท่าใดนัก ตรงกันข้ามกลับเป็น 'สุทิน คลังแสง' ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่น หลายต่อหลายครั้งเป็นตัวแทนของฝ่ายค้านไปร่วมประชุมกับฝ่ายรัฐบาลจนทำให้ฝ่ายค้านได้เวลาอภิปรายในสภาอย่างสมน้ำสมเนื้อและสามารถชี้นำสภาในที่ประชุมได้ ผิดกับผู้นำฝ่ายค้านฯตัวจริงที่ยังไม่ทำงานเชิงรุกมากนัก ด้วยเหตุนี้ทำให้อดไม่ได้ว่า 'สุทิน คลังแสง' คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่ใช่ 'สมพงษ์ อมรวิวัฒน์'

ดาวเด่นแห่งปี6.ดาวเด่นแห่งปี : สุทิน คลังแสง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ตลอดทั้งปี 'สุทิน คลังแสง' ในฐานประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ได้อย่างท็อปฟอร์ม หลายครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องสำคัญและส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยที่อภิปรายนอกประเด็นไปไกลและใช้แต่วาทะศิลป์ในการโจมตี แต่ทุกอย่างก็กลับเข้ารูปเข้ารอยเมื่อ 'สุทิน' ได้ขึ้นอภิปรายสรุปประเด็น การอภิปรายสรุปของประธานวิปฝ่ายค้านไม่ใช่แค่การอภิปรายสรุปเพื่อให้จบตามหน้าที่เท่านั้น เพรายังหยิบจับประเด็นสำคัญบางเรืองที่ส.ส.ฝ่ายค้านอาจไม่ได้พูดถึงหรือพูดถึงแต่ยังไม่มีความชัดเจน มาขยายความเพื่อให้สภาได้ข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ตำแหน่งดาวสภาประจำปี 2563  จึงตกเป็นของ 'สุทิน คลังแสง' ไปอย่างเอกฉันท์

ดาวดับแห่งปี7.ดาวดับแห่งปี : วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย
การตัดสินตำแหน่งดาวดับแห่งปีในครั้งนี้ถือว่ามีความลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีข้อเสนอควรให้ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน ภายหลังมงคลกิตติ์แสดงจุดยืนทางการเมืองที่กลับไปกลับมา นึกอยากจะร่วมรัฐบาลก็ประกาศสนับสนุน แต่วันใดไม่อยากสนับสนุนก็ประกาศขอเป็นฝ่ายค้านอิสระ ซึ่งอาจบอกว่าเป็นส.ส.ไร้จุดยืนก็คงไม่ผิดนัก แต่ถึงที่สุดแล้วสื่อมวลชนรัฐสภามีความเห็นว่าควรให้ตำแหน่งดาวดับเพียงคนเดียว และตำแหน่งนั้นเป็นของ 'วิสาร เตชะธีราวัฒน์' ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ใช้มีดปลอกผลไม้กรีดแขนกลางที่ประชุมสภา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมือง ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเป็นการชี้นำให้ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเป็นส.ส.หลายสมัยและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนที่สมควรเป็นแบบอย่างที่ดี แต่กลับแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพื่อหวังผลทางการเมือง จึงหวังว่าตำแหน่งดาวดับที่สื่อมวลชนมอบให้จะทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก

คู่กัดแห่งปี8.คู่กัดแห่งปี : 'สิระ เจนจาคะ' และ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์'
เกือบได้เห็นการวางมวยกลางสภา ภายหลังปฐมบทแห่งความเดือดมาจากกรณีที่ 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยศรีวิไลย์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถควบคุมความสงบได้ ต่อมา 'สิระ เจนจาคะ' ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวตอบโต้ว่า "การออกมาเรียกร้องเช่นนี้ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ หรือเงินหมด เพราะบริจาคเงินเดือนส.ส.ให้ในสถานการณ์โควิดไปแล้ว ซึ่งหากเงินหมดจริงติดต่อผมได้" เรื่องไม่ได้จบแค่นั้นเพราะ 'มงคลลกิตติ์' โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กระบุว่า "เจอสิระที่ไหนจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก" และในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เจอหน้ากันจริง โดยเป็นเหตุการณ์ระหว่างที่ 'มงคลกิตติ์' กำลังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบริเวณรัฐสภา และได้พบกับ 'สิระ' ทำให้เดินเข้าไปจับแขนสิระแต่สิระสะบัดออก ปรากฎว่า 'มงคลกิตติ์' พยายามเดินตามแต่สิระเดินหนี ที่สุดแล้วต้องถึงมือ 'ชวน หลีกภัย' ที่ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ปรามทั้งสองฝ่ายว่าต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของสภาด้วย  

เหตุการณ์แห่งปี9.เหตุการณ์แห่งปี : การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุด โดยเฉพาะการต้องมีเสียงส.ว.สนับสนุนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดือนก.ย.ไม่สามารถลงมติได้ แต่กลับต้องมาตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ และเมื่อกลับมาประชุมรัฐสภาอีกครั้งในเดือนพ.ย. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนนำโดยกลุ่มไอลอว์ได้เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนครั้งแรก การประชุมรัฐสภาเวลานั้นไม่ได้เข้มข้นเฉพาะในสภาเท่านั้น แต่นอกสภาก็เดือดไม่แพ้กัน ภายหลังกลุ่มสนับสนุนและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา และเกิดการปะทะกันเป็นระยะ อีกด้านหนึ่งตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร จนกระทั่งที่สุดแล้วเหตุการณ์นอกสภาสงบลงพร้อมด้วยการลงมติของรัฐสภาที่ไม่เห็นด้วยกับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคประชาชน ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ด้วยเหตุนี้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาจึงเป็นเหตุการณ์แห่งปีไปอย่างไม่ต้องสงสัย  

วาทะแห่งปี (มันคือแป้ง)10.วาทะแห่งปี : "มันคือแป้ง"
"สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2กิโลกรัม มันคือแป้ง" เป็นการชี้แจงของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 27 ก.พ. เวลานั้น ร.อ.ธรรมนัส ถูกกังขาถึงความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนนำมาสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่าการดำรงตำแหน่งของตนเองถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ อย่างไรก็ตาม ร.อ.ธรรมนัส กลับเป็นรัฐมนตรีที่ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯน้อยที่สุดเพียง 269 เสียง โดยที่ร.อ.ธรรมนัส ได้ลงคะแนนไว้วางใจตัวเอง จากเหตุการณ์นี้เองทำให้คะแนนความนิยมของรัฐบาลลดลงและสื่อต่างประเทศก็ได้มีการเปิดเผยข้อมูลการจับกุมร.อ.ธรรมนัสในอดีตด้วย

คนดีศรีสภา11.คนดีศรีสภา : ยกเลิกตำแหน่งนี้ถาวร
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาไม่ได้มอบตำแหน่งคนดีศรีสภาให้กับสมาชิกรัฐสภา เนื่องจากท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจ ไม่ปรากฎว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนใดที่จะเป็นแบบตัวอย่างที่ดีในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จึงมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรยกเลิกตำแหน่งนี้เป็นการถาวร จนกว่าในอนาคตจะมีสมาชิกรัฐสภาที่มีความประพฤติที่เหมาะสม

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (27 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 121 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,141 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 9 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,161 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,920 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 121 ราย เป็นคนไทย 3 ราย สัญชาติรัสเซีย 1 ราย,สวีเดน 2 ราย,โครเอเชีย 1 ราย,เยเมน 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากรัสเซีย 1 ราย , เยอรมนี 1 ราย , สวีเดน 2 ราย,ฮังการี 1 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย , อียิปต์ 2 ราย

ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่เข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ สัญชาติเมียนมา 1 ราย มาจาก เมียนมา 1 ราย รักษาตัวที่เมียนมา

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 94 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 18 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 364 ราย รักษาหายแล้ว 356 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.07 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.77 แสน เสียชีวิต 20,994 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 83,414 ราย เสียชีวิต 451 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.02 ราย เสียชีวิต 2,579 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.69 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.31 แสน ราย เสียชีวิต 9,067 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,519 ราย รักษาหายแล้ว 58,362 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,440 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย

เกรียนคีย์บอร์ดมีหนาว! ตำรวจภูธรอุดรธานี ควบคุมตัวหนุ่มวัย 30 ปี ตามหมายจับคดีโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท “สนธิ ลิ้มทองกุล”

เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ควบคุมตัว นายนัฐพล ส่อนไชย อายุ 30 ปี จากจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อขออนุญาตฝากขัง หลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกไปที่บ้านแล้ว ไม่มาศาลตามกำหนดนัด มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งนายนัฐพลยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จากนั้นถูกตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ควบคุมตัวมาขึ้นศาลดังกล่าว นับเป็นผู้ต้องหาคนแรกจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่ถูกจับ

คดีนี้สืบเนื่องมาจากนายสนธิจัดรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ที่เพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ชีวิต เป็นแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน มีผู้ติดตามมากกว่า 1.7 ล้านคน ปรากฏว่า คลิปไฮไลต์รายการตอนที่ 13 (EP13) หัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจในยุค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Nattaphol Sonchai โพสต์ข้อความถึงนายสนธิด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย นายสนธิได้ดำเนินคดีกับผู้ที่คอมเมนต์ในลักษณะดังกล่าวตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้บทเรียนแก่ผู้ใช้สื่อโซเชียล และกวาดขยะโซเชียล

โดยที่ผ่านมา มีคนที่ใช้คำหยาบคายและพูดจาดูหมิ่น ติดต่อนายสนธิเพื่อขอขมาหลายครั้ง นายสนธิได้ให้อภัยตลอดมา โดยให้เหตุผลว่า บางรายอายุยังน้อย ไม่อยากให้มีคดีติดตัว บางรายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ สงสารครอบครัว จึงให้อภัยและถอนแจ้งความ แม้จะให้อภัยกับผู้ที่อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หลายครั้ง แต่เหมือนคนที่คอมเมนต์หยาบคายยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำให้นายสนธิกล่าวว่า จะไม่ให้อภัยใครอีกแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอขมา จะให้ศาลพิพากษาไปเลย นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายนัฐพลดังกล่าว และนับจากนี้จะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้สื่อโซเชียล ที่โพสต์ข้อความถึงนายสนธิ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายตามมา

สำหรับโทษของการด่าหรือประจานคนอื่นบนสื่อโซเชียลฯ จะถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ

กมธ. การพาณิชย์ แนะรัฐนำบทเรียนราคาหน้ากาก-เจล-แอลกอฮอล์ พุ่งเป็นบทเรียน หลังประชาชนเริ่มเป็นห่วงสินค้าขาดตลาด และราคาอาจพุ่งเว่อร์

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และ ถุงมือยาง ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตามที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเป็นห่วงมานั้น

เบื้องต้น กมธ.ได้ติดตามสถานการณ์โดยทั่วไปยังเป็นปกติ รัฐบาลดูแลได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าเหล่านี้ยังมีจำหน่ายภายในประเทศอย่างเพียงพอ ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คอยควบคุมปริมาณ รวมไปถึงราคาสินค้าทั้ง 3 อย่าง โดยนำประสบการณ์จากการแพร่ระบาดในรอบแรก ทั้งการเฝ้าติดตาม ลงโทษอย่างเฉียบขาด กับผู้กักตุน และขายเกินราคา เป็นต้น มาใช้สำหรับบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบปัญหาขาดแคลนสินค้า หรือขายเกินราคาควบคุม ก็สามารถร้องเรียนผ่านกรมการค้าภายใน หรือกมธ.พาณิชย์ ได้ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติเมื่อใด กมธ.ก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันที

รมช.แรงงาน มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ลุยแพร่ หารือร่วมรองผู้ว่าฯ เดินหน้าสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนพัฒนาประเทศ

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า มอบหมายให้ พิรัส ศิริขวัญชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านยุทธศาสตร์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบในการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อร่วมหารือแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ร่วมหารือด้วย

พิรัส กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าหม้อห้อม ‘ป้าเหงี่ยม’ โครงการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่สักจังหวัดแพร่ ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น และโครงการต้นแบบหมู่บ้านนาคูหา ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ร่วมถึงได้ร่วมประชุมหารือแนวทางการพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานแพร่ (สนพ.แพร่) ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ เพื่อรับฟังความต้องการช่วยเหลือในด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ รมช.แรงงาน โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีความรู้ในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เกิดการซื้อขายที่มากขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อไป

พิรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเยี่ยมชมโครงการต้นแบบหมูบ้านนาคูหา ซึ่งเป็นหมู่บ้านในโครงการส่งเสริมธุรกิจสินค้าเด่นของกลุ่มจังหวัดแพร่ เป็นโครงการภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ยอดดอยสูงใน ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ซึ่งชาวบ้านในชุมชนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ เช่น สัมผัสชีวิตค้างคาวในถ้ำห้วยต้นผึ้ง การเก็บเตาบนภูเขาหนึ่งเดียวในประเทศไทย การเดินป่าขึ้นผ้าสิงห์ชมวิวหมู่บ้าน การเยี่ยมสมสวนห้อม สาธิตการสกัดสีจากต้นห้อมธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดเพื่อนำไปสู่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดย สนพ.แพร่ จะจัดฝึกอมรมการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แก่แรงงานในชุมชน รวมถึงการฝึกอบรมด้านดิจิทัลด้วย อาทิ การขายสินค้าออนไลน์

“การผลักดันแนวนโยบายต้องบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาแรงงาน ด้วยการจัดหาหลักสูตรเพื่อพัฒนาแรงงานให้ทันต่อเทคโนโลยี เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในการสร้างรายได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สู่การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างนั่งยืนต่อไป” พิรัส กล่าวตอนท้าย

‘จอมขวัญ’ แยกทางไทยรัฐทีวี สถานีต่อไปคือที่ใด?

ถามตรงๆ จะไม่ตรงอีกแล้ว เมื่อพิธีกรข่าวคนดัง ‘จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์’ เจ้าของรายการ ‘ถามตรงๆ กับจอมขวัญ’ ประกาศไม่ต่อสัญญากับ ‘ไทยรัฐทีวี’ โดยเบื้องต้นจะทำรายการจนถึงสิ้นปีนี้

 

หลังข่าวฮือฮานี้เผยแพร่ออกไป มีการจับตากันว่า พิธีกรคนดังจะย้ายขั้ว สลับข้าง ไปทางค่ายทีวีช่องไหน เสียงลือแรกคาดว่าจะย้ายซบ ‘ทีวีช่องวาไรตี้เกมโชว์’ ที่กำลังรุกหนักเรื่องข่าวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่วนอีกกระแส ลือว่าอาจย้ายซบรังเดิม นั่นคือ เนชั่นทีวี ที่ในวันนี้ ‘ทางสะดวก’ และน่าจะเป็นทางที่พิธีกรคนดังน่าจะ ‘ออกอาวุธ’ ได้ถนัดถนี่

 

หรือแม้แต่ทางเลือกที่เป็นไปได้อีกทาง นั่นคือ สร้างแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ซึ่งโมเดลแบบนี้ นักข่าวคนดังอย่าง ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ เคยทำมาแล้วกับสถานีข่าวออนไลน์ The Reporters นั่นเอง ซึ่งด้วยกระดูกงานที่แข็งโป้ก แถมด้วยพลังชื่อเสียงของจอมวัญเอง การตัดสินใจเลือกงานที่เรียกว่า ‘ทำเอง กินเอง’ ก็มีความเป็นไปได้สูง

 

โปรดจับตาดูการขยับตัวของพิธีกรข่าวคนดัง เพราะนี่คือทิศทางที่เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ อีกไม่นานได้รู้กัน

เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ เปิดศึก (การเมือง) บนทวิตเตอร์

จากกรณีที่นักแสดงหนุ่ม “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นบนทวิตเตอร์บัญชี Petchkaroonpon@petchy66 ในประเด็นที่มีการตรวจพบข้าราชการทำเนียบฯ มีความเสี่ยงเป็นโรคโควิด-19 จำนวน 6 ราย

 

โดยระบุว่า... “ข้าราชการทำเนียบติดโควิด 6 คน...สาธุ ขอให้ได้ให้โดนทีเถอะจะทานมังให้ปีนึงเลย”

 

และหลังจากนั้นก็มีการเข้าไปต่อความในทวิตเตอร์ของนักแสดงหนุ่มอีกมากมาย อาทิ

 

"โอ้โห นี้ความคิดคนเหรอนี่?"

"พยายามจะเป็นควายละครับ พอดีฉลาดไปหน่อยเลยต้องยอมเป็นคนนี่ยังแอบเสียใจอยู่เลย"

“ต้องใจร้ายแค่ไหนถึงได้อยากให้คนติดโรคนี้ คุณไม่ชอบการเมืองได้ แต่มวลมนุษย์ชาติไม่ใช้ของที่จะมาสะใจที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นต้องมาติดโรคนี้ กรรมมันไวกว่าโรคร้ายน่ะจิตคุณไม่ดีระวังคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวคุณเอง แต่ก็ขออย่าให้เป็นน่ะงัยคุณก็คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย”

 

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง กระทั่งภายหลังกลุ่มข้าราชการทำเนียบฯ ดังกล่าวก็มีผลตรวจซ้ำว่าเป็นลบ แจ้งผลยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 แน่นอน นายเพชรก็มีโพสต์ทวิตเตอร์ออกมาอีกครั้ง

 

“สำหรับข้อความที่สื่อให้เข้าใจผิดว่าผมดีใจที่มีคนป่วยในทำเนียบ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ใจเร็วเขียนไปแบบนั้น ตั้งใจเขียนระบายแหละ ไม่ใช่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำผิดก็ขอยอมรับและขอโทษสำหรับอคติที่ไม่ดีครับ ทวิตเก่าจะยังไม่ลบนะครับใครอยากตำหนิสั่งสอนอบรมเต็มที่ครับ”

 

ทั้งนี้มีคอมเม้นทั้งชื่นชมที่ออกมายอมรับผิด และบางส่วนบอกว่า เจ้าตัวรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำมาตลอด

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (26 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 110 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,020 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 15 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,152 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,808 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 110 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติไอร์แลนด์ 2 ราย
รัสเซีย 2 ราย เยอรมัน 1 ราย
เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา 2 ราย , รัสเซีย 4 ราย ,อินเดีย 1 ราย,ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,โมซัมบิก 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,ฝรั่งเศส 1 ราย
ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (อยู่ระหว่างการสอบสวน)
จำนวน 64 ราย จาก เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดสมุทรสาคร 60 ราย
สัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า 3 ราย และรอสอบสวน 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 30 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 355 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.7 แสน เสียชีวิต 20,847 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.02 แสน ราย รักษาหายแล้ว 82,540 ราย เสียชีวิต 449 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.01  ราย เสียชีวิต 2,552 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.68 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.31 แสน ราย เสียชีวิต 9,062 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,509 ราย รักษาหายแล้ว 58,352 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,439 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top