Sunday, 15 June 2025
POLITICS TEAM

รมว. คมนาคม ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เร่งเดินหน้าระบบตั๋วร่วมรถไฟฟ้า แบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ คาดใช้ได้เต็มรูปแบบ ม.ค. 65

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม (คนต.) ครั้งที่ 1/2564 วันนี้ (28 ม.ค. 2564) ว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานระบบตั๋วร่วม โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย

1.ระยะสั้น ให้เร่งจัดทำระบบให้บัตรโดยสารที่ประชาชนมีอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้บัตรข้ามระบบได้ ซึ่งเมื่อสามารถใช้บัตรข้ามระบบระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการใช้บริการระบบขนส่งมวลชน และส่งผลให้มีปริมาณผู้โดยสารที่เดินทางข้ามระบบสูงขึ้น ทั้งนี้ ให้ รฟม. สนับสนุนข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำให้ระบบดังกล่าวแล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ระยะยาว มีการพิจารณาความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำระบบตั๋วร่วมแบบ Account Based Ticketing (ABT) โดยใช้บัตร EMV Contacless (Europay Mastercard and Visa) มาใช้กับระบบตั๋วร่วม โดย รฟม. มีความพร้อมที่จะร่วมมือกับสถาบันการเงินที่มีระบบ EMV ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีความพร้อมที่จะลงทุนในระบ EMV ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ประกอบการมาใช้บริการของธนาคารกรุงไทย สำหรับสายสีม่วง และสายสีน้ำเงิน โดยใน ต.ค. 2564 จะใช้ได้ประมาณ 50% และจะใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบภายใน ม.ค. 2565

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุม คนต. ยังมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม 2 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานทางเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมองค์กร โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีการออกตั๋วร่วม มาตรฐานเทคโนโลยีระบบงาน มาตรฐานโครงสร้างข้อมูล มาตรฐานความปลอดภัยทางเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำเนินงานของระบบงาน

และ 2.คณะอนุกรรมการด้านการกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสารและจัดสรรรายได้ โดยจะทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการจัดเก็บค่าธรรมเนียม มาตรฐานการจัดสรรรายได้ มาตรฐานอัตราค่าโดยสารในกรณีใช้อัตราค่าโดยสารร่วม และกรอบมาตรฐานค่าธรรมเนียมการชำระเงิน และการเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ

ขณะเดียวกัน ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมบูรณาการความร่วมมือและความต้องการของประชาชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนระบบตั๋วร่วมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดและการพัฒนาระบบการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความถูกต้อง ตามหลักธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับระบบตัวร่วมทั้งหมดที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้พิจารณาถึงการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์เข้ามาร่วมพัฒนาระบบตั๋วร่วมได้ รวมถึงการพัฒนาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติในรูปแบบ M-Flow ตลอดจนดำเนินการกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ ให้แล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือน ก.พ. 2564

‘แรมโบ้’ เตือน ผู้นำฝ่ายค้าน ไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้อาจตกหลุมพราง-ร่วมทฤษฎีสมคบคิด หวั่นประชาชนเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า แม้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ จะบอกว่าไม่ได้เป็นการบังคับ อยู่ที่การตัดสินใจของฝ่ายค้าน แต่นายสมพงษ์ก็ไม่ควรที่จะยื่นญัตตินี้มาอภิปรายฯ

และหากนายสมพงษ์และฝ่ายค้านไม่ยอมถอน และแก้ญัตติเรื่องนี้ เป็นการทำให้เห็นว่านายสมพงษ์ไม่มีความห่วงใยบ้านเมือง คาดการณ์ได้เลยอาจจะมีเหตุการณ์วุ่นวายในสภาฯและนอกสภาฯได้

นายสมพงษ์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพราะตัดสินใจไม่เป็นว่าญัตตินี้ไม่ควรยื่นอย่างยิ่ง และสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าตัดสินใจ กลายเป็นเครื่องมือให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ยืมพรรคเพื่อไทยมาเป็นเครื่องมือในการที่จะนำมาอภิปรายเสียดสีสถาบัน คิดได้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะใช้ "ทฤษฎีสมคบคิด" นั้นด้วย

ตนไม่เคยมั่นใจเลยว่าฝ่ายค้านจะระมัดระวังคำพูดของตนเองในการอภิปรายฯ ที่จะไม่ให้กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่บังควร เพราะเห็นจากพฤติกรรมของ ส.ส. บางคนหรือบางพรรคการเมืองที่มีความคิดคอยแต่จาบจ้วงสถาบันและสนับสนุนคนออกมาบนท้องถนน มีพฤติกรรมที่ทำผิดมาตรา112 ตลอดมา ซึ่งผู้นำฝ่ายค้านและพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ทราบดี

ขณะเดียวกันขอฝ่ายค้านอย่าโยนให้ประธานฯ ในที่ประชุมเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นผู้ดูแลการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย แต่จะต้องแก้ที่ต้นตอด้วย คือฝ่ายค้านไม่ควรนำมาอภิปรายแต่แรกจะดีกว่า เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปได้ด้วยดีและตรงประเด็น เชื่อว่า ส.ส. ฝ่ายค้านแท้จริงแล้วไม่ได้อยากใช้เวทีนี้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯหรือรัฐมนตรี เพราะไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงนำมาอภิปรายฯ

ขอถามว่าหากมีใครอภิปรายฯ จาบจ้วงสถาบัน นายสมพงษ์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่าบอก ว่าส.ส.ต้องควบคุมตนเอง เพราะมั่นใจว่าไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก ส.ส.บางคนรับงานมาพูดเรื่องสถาบันโดยเฉพาะ

ซึ่งจะไม่สนใจประธานในที่ประชุมอย่างแน่นอน หากมีการพูดพาดพิงสถาบัน แม้ประธานในที่ประชุมจะสั่งให้ถอนคำพูด ตนเองก็มองว่าแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะได้พูดไปแล้วประชาชนได้ยินทั่วประเทศแล้ว และคนทั้งประเทศที่ได้รับชมรับฟังจากการถ่ายทอดสดจะทำให้เกิดความรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก และเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายได้อีก

เปิดมาตรการผ่อนปรนศบค. คลายล็อกโควิด ร้านอาหารกทม.นั่งได้ถึง5ทุ่ม แต่ห้ามดื่มสุราผับบาร์ แต่สถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงปิดต่อไป ผ่อนผันตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงมติที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ถึงมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 1 ก.พ.นี้ ว่า…

ทางสมช.ได้เสนอที่ประชุมพิจารณาผ่อนคลายมาตรการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด กำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์ ออกเป็น 5 พื้นที่ ประกอบด้วย 1. พื้นที่เฝ้าระวัง 35 จังหวัด 2. พื้นที่เฝ้าระวังสูง 17 จังหวัด 3. พื้นที่ควบคุม 20 จังหวัด 4. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 4 จังหวัด และพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 1 จังหวัด

“สำหรับจังหวัดสมุทรสาคร ยังคงเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม หรือควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยกลุ่มสถานบริการ โรงเรียน ร้านนวด สนามเด็กเล่น ยังคงให้ปิดต่อไป ส่วนตลาด ตลาดนัด สามารถเปิดได้แต่ต้องจำกัดจำนวนคน และเว้นระยะห่าง ขณะที่ร้านอาหารเปิดได้ถึง 21.00 น. นั่งทานที่ร้านได้ โดยงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ในส่วนของ กทม.และปริมณฑล ยังคงอยู่ในพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด และยังคงให้ปิดผับบาร์คาราโอเกะ แต่จะคลายล็อคในส่วนของร้านอาหารให้นั่งรับประทานได้ ถึง เวลา 23.00 น. จากเดิมถึงแค่ 21.00 น. โดยจำกัดจำนวนคนต่อโต๊ะและให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้าน แต่สามารถซื้อกลับได้ดื่มที่บ้านได้” น.พ.ทวีศิลป์ ระบุ

ญี่ปุ่นประกาศพร้อมผลิตวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ถึง 90 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนในประเทศ เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมด

เมื่อทาง AstraZeneca ได้ยืนยันแล้วว่าเตรียมให้ License กับบริษัทยาญี่ปุ่นสามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ เป็นจำนวน 75% ของยอดจองวัคซีนทั้งหมดที่ทางญี่ปุ่นได้ทำสัญญาไว้กับทาง AstraZeneca จำนวน 120 ล้านโดส

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมที่จะเริ่มแผนการฉีดวัคซีน Covid-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ โดยจะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มบุคลากรแถวหน้าก่อน และจะเริ่มทยอยฉีดให้กับประชาชนทั่วไปได้ในเดือนเมษายน โดยได้สั่งซื้อวัคซีนจากบริษัท AstraZeneca ไปแล้วจำนวน 120 ล้านโดส และจาก Pfizer อีก 75 ล้านโดส ตั้งแต่ปลายปี 2020

แต่เนื่องจากบริษัท AstraZenenca กำลังประสบปัญหาในการผลิตที่อาจทำให้การจัดส่งวัคซีนล่าช้ากว่ากำหนด ทาง AstraZeneca จึงเปลี่ยนเป้าหมาย ให้ License แก่บริษัทยาในญี่ปุ่นผลิตวัคซีนของบริษัทแทนจำนวน 90 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 30 ล้านโดส จะเป็นวัคซีนที่ผลิตจากโรงงานในอังกฤษ

ซึ่งข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากนาย คาโต้ คัทสึโนบุ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี หลังจากที่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากบริษัท AstraZeneca ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งจะสามารถผลิตวัคซีนได้เองในประเทศ

และทาง AstraZeneca ได้พิจารณาบริษัทยาในญี่ปุ่นหลายแห่ง และมีข่าวออกมาแล้วว่าได้เลือกบริษัท JCR Pharmaceutical ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเฮียวโงะ เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมผลิตวัคซีน 90 ล้านโดสให้กับญี่ปุ่น

สำหรับญี่ปุ่น นี่ถือเป็นข่าวดีที่จะการันตีได้ว่าญี่ปุ่นจะได้วัคซีนตามจำนวนที่ต้องการอย่างเร็วที่สุด เพราะนอกเหนือจากความจำเป็นที่ต้องรีบสกัดการแพร่ระบาด เนื่องด้วยญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มักเป็นกลุ่มมีอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อ Covid-19 และญี่ปุ่นยังมีภารกิจเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ที่ได้ลงทุนล่วงหน้าไปแล้วถึง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่จะล้มเลิกไม่ได้เป็นอันขาดนั่นเอง

และนอกจากที่ญี่ปุ่นแล้ว AstraZeneca ยังมีพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/healthcoronavirus-japan-vaccine/update-2-japan-to-source-most-astrazeneca-vaccines-locally-amid-global-snags-idUSL1N2K306N

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/astrazeneca-produce-90-million-covid-19-vaccine-shots-in-japan-14059478

https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/covid-19-japan-to-locally-produce-astrazeneca-vaccine/2125920

https://www.theguardian.pe.ca/news/world/astrazeneca-to-ask-japans-jcr-pharmaceutical-to-produce-covid-19-vaccine-nikkei-545476/

https://apnews.com/article/eu-oxford-astrazeneca-covid-19-vaccine-d1b45f09b97ce528adad654045c72948

.

‘รมว.แรงงาน’ มอบ ผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่จังหวัดระยอง ติดตามการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบการ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในวงกว้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อตรวจติดตามการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการให้แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน มาตรา 33

ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม

จึงได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ตามรัฐบาลกำหนดมาอย่างต่อเนื่อง ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้บูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ

นายสุรชัย ยังกล่าวต่อว่า การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการเป็นนโยบายของท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ที่จะป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค

ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดระยองได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด - 19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด - 19 ในทุกมิติ

“การตรวจคัดกรองโควิด - 19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการ ซึ่งถือเป็นการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง และโรงพยาบาลในเครือข่าย ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน มาตรา 33 ประมาณ 530 คน ซึ่งหากพบเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดต่อไป” นายสุรชัย กล่าวในท้ายสุด

ที่รัฐสภา นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการพิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3

“พรรคพลังประชารัฐ ยังไม่ได้พิจารณาตัวบุคคลว่าจะส่งใครลงสู้ศึกครั้งนี้ โดยต้องรอประชุมกรรมการบริหารพรรคก่อนซึ่งยังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุมเมื่อใดแต่คงเร็วๆ นี้”

ไทยเบฟ ร่อนแถลงการณ์ชี้แจงข่าว เตรียมแยก ‘ธุรกิจเบียร์’ มูลค่า 3 แสนล้านบาท IPO ตลาดหุ้นสิงคโปร์สัปดาห์ ยืนยันยังไม่มีการตัดสินใจใด ๆ หลังมีข่าวลือถึงกรณีดังกล่าวหลายครั้ง

จากกรณีที่ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด”(มหาชน) หรือ “ไทยเบฟ” ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” วางแผนแยก “ธุรกิจเบียร์” ยื่นแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) เพื่อเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ภายในอาทิตย์หน้า โดยคาดว่ามูลค่าธุรกิจเบียร์ที่จะนำเข้าจดทะเบียนมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-28/thaibev-said-to-near-singapore-ipo-filing-for-10-billion-unit

ล่าสุด ไทยเบฟ ได้ออกแถลงการ ชี้แจงกระแสข่าวดังกล่าว โดยในเอกสารแถลงการณ์ระบุว่า การนำธุรกิจเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เป็นตัวเลือกหนึ่งของแผนเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ขณะนี้ยังเป็นเพียงการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาเท่านั้น

พร้อมย้ำว่า บริษัทยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการจะเข้าตลาดหรือไม่ รวมไปถึงกำหนดการต่างๆ

ขณะเดียวกันยังเตือนให้ผู้ถือหุ้นตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนอย่างระมัดระวัง

สำหรับธุรกิจเบียร์ ที่จะแยกออกมาจากกลุ่มไทยเบฟ มีโรงงานในประเทศไทย รวมไปถึงส่วนของการถือหุ้นใน Sabeco ที่บริษัทได้ซื้อหุ้นไปในช่วงปี 2017 ด้วยมูลค่ากว่า 4,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการประเมินธุรกิจเบียร์ของเครือไทยเบฟ อาจมีมูลค่าสูงสุดถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นหุ้นของผู้ผลิตเบียร์ที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของภูมิภาคนี้ทันที ซึ่งนอกจากแบรนด์ ‘เบียร์ช้าง’ แล้ว ไทยเบฟยังเป็นผู้ผลิตเบียร์ภายใต้แบรนด์เฟเดอร์บรอย ,อาชา ,ฮันทส์แมน ,แบล็ค ดราก้อน ,แทปเปอร์ รวมถึงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเบียร์เวียดนาม ‘ไซ่ง่อนเบียร์’ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือเรื่องไทยเบฟ จะนำ ‘ธุรกิจเบียร์’ ทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ มีมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และทางไทยเบฟก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวทุกครั้ง

นอกจากนี้ ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาทาง ไทยเบฟ ได้เคยออกมาปฏิเสธข่าวของสำนักข่าว Reuters และสื่อในประเทศสิงคโปร์ถึงการนำธุรกิจธุรกิจเบียร์เข้า IPO มาแล้ว โดยกล่าวว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ มีการประเมินว่า หากไทยเบฟ นำ ‘ธุรกิจเบียร์’ ระดมทุนครั้งใหม่ จะเป็นการเสนอขายหุ้นที่มีมูลค่ามากที่สุดของสิงคโปร์ ในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ที่บริษัท “ฮัทชิสัน พอร์ต โฮลดิงส์” (Hutchison Port Holdings) มีการขายหุ้นไอพีโอ 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.7 แสนล้านบาท) เมื่อปี 2554

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค และชาวศรีราชา กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนามพรรคอนาคตใหม่

กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว

พรรคอนาคตใหม่ หรือ ก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา สุดท้ายนี้กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ครับ

นอกจากนี้ยังโพสต์อีกเรื่องคือการประชาสัมพันธ์ รถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ให้บริการตรวจเชิงรุกฟรีแก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.- 2 ก.พ. อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ในช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ตอนหนึ่งจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารมประกาศไม่เซ็นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมระบุว่าความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไม่ใช่ความเห็นของตน ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลบางเรื่องก็ไม่ใช่จุดยืนของตน

"บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ผมเป็นตัวของตัวเอง อายุเยอะแล้ว ผมรู้ว่าสถาบันบางสถาบัน ท่านก็ Disrupt อยู่ พัฒนาการทางการเมืองของน้อง ๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ ใครทำอะไรก็ทำไป แต่ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ การเมืองก็เหมือนอาหาร ใครชอบกินอะไรก็กินไป จะมาบอกว่าอยู่บริษัทเดียวกันแล้วชอบเหมือนกันไม่ได้" คารม กล่าว

เมื่อถามว่าในขณะที่มี ส.ส. ก้าวไกล ลงชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังเสนอชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 คารมกล่าวว่า "ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อเลยครับผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็นแล้วมาบังคับผมไม่ได้ด้วย ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฎหมายโอนอัตรากำลังพล แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับของความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ผมมาสาบานตน ผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้มาตรา 112 ความคิดในทางกฎหมายผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่ามุมมองอะไรอย่างไร แต่สรุปว่าผมไม่เซ็น"


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/91293

‘หมอธีระ’ แนะวิธีปฏิบัติเมื่อเปิดเรียนอีกครั้ง เน้นผู้ปกครองย้ำเด็กถึงอันตรายของโควิด-19 ต้องชินกับการรักษาความสะอาด, เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ปฏิบัติให้คุ้นเคยจนกลายเป็น New Normal ของทุกคนในครอบครัว

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ถึงการรับมือกับโควิด-19 ในช่วงใกล้เปิดเรียนอีกครั้งให้แก่ผู้ปกครองและเด็กๆ ได้ทราบว่า...

New Normal...New "Me" ของพ่อแม่ลูกเมื่อเปิดเรียน

1. ตื่นเช้ามา เช็คกันสักหน่อยว่าทุกคน"สบายดีไหม?" มีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอบ้างไหม? จมูกดมกลิ่นได้ดี ลิ้นรับรสได้ดีนะ?

ถ้าใครไม่สบาย...ให้อยู่กับบ้าน รับผิดชอบต่อตัวเองครอบครัวและสังคม เท่ห์มาก

2. ย้ำกันเสมอ "ออกจากบ้านมีความเสี่ยงต่อโรค COVID-19" นะ รีบไปรีบกลับ ไม่เถลไถล

3. ทบทวนกันว่า ถ้า"ใช้ห้องน้ำห้องส้วมข้างนอกต้องระวัง" ก็ต้องรักษาความสะอาดดีๆ พ่อแม่และเด็กโตควรใส่หน้ากากเสมอ เด็กเล็กใส่หน้ากากไม่สะดวก ดังนั้นต้องเน้นว่าใช้ห้องน้ำห้องส้วมแล้วต้องรีบไปล้างมือทุกครั้ง

4. แจ้งกันให้ทราบทั่วกันทั้งพ่อแม่ลูก ว่าให้หลีกเลี่ยงการไปใช้ของร่วมกับคนอื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ตะเกียบ โทรศัพท์ ปากกา ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลบ หรือแม้แต่ขนมอมยิ้มก็ตามแต่

5. เน้นเด็กๆ ว่า "เจอเพื่อนฝูง ทักทายกันได้ตามสมควร แต่ให้สังเกต" ว่าเพื่อนคนไหนที่มีอาการไม่สบาย ไอ จาม ต้องหลีกมาห่างๆ ไม่ไปคลุกคลี และบอกคุณครูให้ช่วยดูแลเพื่อน

6. เตือนเด็กๆ ว่า "อย่าเอามือขยี้ ล้วง แคะ แกะ เกา บริเวณตา จมูก และปาก"

7. "เช็คอาวุธ"ประจำตัวของทุกคนก่อนออกจากบ้าน

• 1) หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ใส่ไว้เสมอเวลาอยู่ข้างนอก

• 2) เจลแอลกอฮอล์แบบพกพา หากลูกๆ ยังเล็ก ไม่สะดวกในการพกหรือใช้ลำบาก ก็เน้นย้ำให้ไปล้างมือบ่อยๆ และล้างทุกครั้งที่ไปจับสิ่งของสาธารณะ

8. ตอนเย็น ไปรับที่โรงเรียน เจอกันพ่อแม่ลูก อย่าเพิ่งดีใจไปกอดหอมกันให้หายคิดถึง

เจอปุ๊บ ทักทายกันก่อนว่า สบายดีไหม? ถ้าดีก็โอเค ถ้าไม่สบายก็ไถ่ถามต่อ และจัดการไปตามระเบียบ

ยัง...อย่าเพิ่งไปกอดหอมกัน ให้คุณพ่อคุณแม่ควักเจลแอลกอฮอล์มาหยดให้ทุกคนล้างมือกันก่อน หรือพากันไปล้างมือที่ห้องน้ำ

จะกอดจะหอมกันได้ เมื่อตอนกลับถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วค่อยทำครับ

เหล่านี้คือ New Normal = New "Me" ที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกควรนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันหลังจากเปิดเรียนนะครับ

อยากให้ทุกคนสุขภาพดี ปลอดภัยจากโรค COVID-19 ครับ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?

'สุริยะ’ เร่งบังคับใช้กฎหมายโรงงานติดตั้งระบบตรวจมลพิษ จากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กำชับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ให้เร่งติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 โดยขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งบังคับใช้กฎหมาย

พร้อมทั้งปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ที่ให้โรงงานประเภทต่างๆ ต้องติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ พ.ศ. 2544 เพื่อให้สามารถตรวจสอบ ติดตามปริมาณการปลดปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ทันที

สำหรับปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ เพื่อขยายขอบเขตการบังคับติดตั้งระบบระบบตรวจสอบการระบายมลพิษอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติต่อเนื่องทั่วประเทศ คาดว่า จะประกาศใช้ได้ในต้นปี 65 โดยปัจจุบันมีโรงงานเพียง 79 แห่ง หรือ 228 ปล่อง ที่ติดตั้งระบบนี้ เบื้องต้นหากประกาศกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ คาดว่าจะมีโรงงานทั่วประเทศติดตั้งระบบไม่น้อยกว่า 600  แห่ง  จำนวน 1,200 ปล่อง เพิ่มเติมจากเดิมที่บังคับใช้ในจังหวัดระยองแห่งเดียวเท่านั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top