Sunday, 16 June 2024
NEWS

‘สามี-ภรรยา’ ชาวอุทัยฯ ขายข้าวแกง 10 บาท แถมเติมข้าวไม่อั้น หวังช่วยลดค่าใช้จ่ายคนหาเช้ากินค่ำ ในยุคข้าวยากหมากแพง

(10 มิ.ย. 67) ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจยุคข้าวยากหมากแพง ร้านนาย ก. ที่เปิดบริการขายข้าวแกงอยู่บริเวณวงเวียนข้างที่ว่าการอำเภอเมืองอุทัยธานี กลับขึ้นป้ายหน้าร้านว่า ขายข้าวราดแกงอย่างละ 10 บาท แต่ละวันจะมีเมนูกับข้าวให้เลือกมากกว่า 10 อย่าง ทำให้ผู้คนหลากหลายกลุ่มอาชีพพากันแวะเวียนมารับประทานข้าวราดแกงที่ร้านกันตั้งแต่เช้า และเพียงไม่กี่ชั่วโมงกับข้าวที่ร้านก็หมดเกลี้ยงก่อนถึงเที่ยงทุกวัน

นางสาวพิชชาพัชร หงษ์คำ อายุ 33 ปี เจ้าของร้าน นาย ก.ข้าวแกง 10 บาท เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนกับสามีไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด ก่อนกลับมาอยู่บ้านเกิดที่อุทัยธานี ตัดสินใจกันว่าจะลองเปิดร้านขายข้าวแกง แต่ด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ราคาข้าวแกงปกติก็จะอยู่ที่จานละ 30-60 บาท (ตามจำนวนอาหาร) ซึ่งตนมองว่าตอนนี้ทุกคนค่อนข้างที่จะแบกภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกันมากขึ้นทุกอย่าง จึงตัดสินใจลองขายข้าวแกงในราคา 10 บาทดู

ด้วยหวังว่าช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้คนหาเช้ากินค่ำ แบบมีเงิน 10 บาทก็กินเมนูข้าวแกงดีๆ ได้ แต่ละวันที่ร้านจะทำกับข้าวขายไม่ต่ำกว่า 10 เมนู โดยจะสลับสับเปลี่ยนกันไปทุกวัน ส่วนข้าวสวยนั้นก็จะคิดเป็นราคาบุฟเฟต์จานละ 10 บาท ตักได้ไม่อั้นจนกว่าจะอิ่ม

ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมาได้ประมาณเดือนเศษก็ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าดีมากๆ มีลูกค้ามารับประทานข้าวแกงที่ร้านกันตั้งแต่เช้า มีทั้งแบบมาคนเดียวและมากันแบบครอบครัว แต่ละคนนั้นรับประทานกันอิ่มท้องในราคาแพงสุดอยู่ที่ 70 บาท ทำให้ยังเหลือเงินเก็บไว้ในมื้อถัดไปได้อีก

นางสาวพิชชาพัชรบอกว่า ที่ร้านจะเปิดขายตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึงบ่ายโมง ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมากับข้าวที่ร้านจะหมดก่อนเที่ยงเกือบทุกวัน ตอนนี้เลยตัดสินใจทำกับข้าวเพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้พอลูกค้าที่จะมารับประทานในช่วงเที่ยงและช่วงบ่ายอีกด้วย

สังคมวอน!! ช่วยหญิงสาวหน้าตาดี เร่ร่อนใต้สะพานทางรถไฟ ด้านโซเชียลท้วง!! แล้วคนเร่ร่อนทั่วไป-หน้าตาไม่ดี ไม่ช่วยหรือ?

โซเชียลฯ ตั้งคำถาม หลังพบคลิปพลเมืองดีนำอาหารของใช้จำเป็นไปแจกคนเร่ร่อน กลับพบหญิงสาวหน้าตาดี ผิวพรรณขาว รีบเดินออกมารับสิ่งของ ทำเอาชาวเน็ตหลุดโฟกัสพร้อมตั้งคำถามเหตุใดเธอจึงมาเร่ร่อน ก่อนมีอดีตเพื่อนอ้างเคยสนิทเผยสาวรายดังกล่าวติดยาอย่างหนักถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมแฟนหนุ่ม

(10 มิ.ย.67) ช่อง TikTok 'ทำใจให้ชิล' ซึ่งเป็นพลเมืองดี มักลงคลิปนำสิ่งของอาหารไปแจกคนเร่ร่อนตามสถานที่ต่าง ๆ เสมอได้เผยภาพเหตุการณ์ขณะผ่านใต้สะพานทางรถไฟ ย่านประตูน้ำ ได้มีหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้สะพานพร้อมแฟนหนุ่ม วิ่งออกมารับสิ่งของด้วยความดีใจ ทำเอาชาวเน็ตที่รับชมต่างหลุดโฟกัส พร้อมตั้งคำถามว่าเธอคือใคร หน้าตาผิวพรรณดี เหตุใดจึงประสบชะตากรรมแบบนี้ และต่างห่วงใยถึงความปลอดภัยและอยากให้มีหน่วยงานเข้าช่วยเหลือ

ทั้งนี้ พบมีชาวเน็ตรายหนึ่งอ้างตัวเป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาว ระบุว่าหญิงสาวเกิดปี 2533 โดยเผยรายละเอียดว่าหญิงสาวและแฟนหนุ่มถูกไล่ออกจากบ้านเนื่องจากสติไม่ดีและพูดจาไม่รู้เรื่องจากเหตุติดยาเสพติดอย่างหนัก โดยเผยอีกว่าหญิงสาวรายดังกล่าวชื่อจุ๊บแจง อดีตเธอสวยและรวยมาก ๆ ขาว หุ่นดี ใครเห็นเป็นชอบทุกคน ล่าสุดมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ พม.ลงพื้นที่ไปตามหาสาวเร่ร่อนรายนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ โลกโซเชียลก็มีการตั้งคำถามเช่นกันว่า...

"แล้วทำไมโฟกัสคนนี้คนเดียว ที่สนามหลวงมีอีกเพียบเลย"

"ช่วยแค่คนเดียวแล้วคนเร่ร่อนที่เหลือล่ะ!!"

"อ่าว!! เห็นหน้าตาดีก็อยากช่วยหรือ คนที่หน้าตาไม่ดีละ ใครจะช่วย"

"ทำร้ายตัวเองทั้งนั้นคนสมัยนี้"

พ่อเครียด!! ทะเลาะลูก ป.2 บอกจะซื้อมือถือให้ถ้าเรียนได้เกรดดี แต่พอทำได้ กลับผิดสัญญาจนเด็กน้อยใจ 'ไม่อยากตั้งใจเรียนแล้ว'

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นคุณพ่อได้มาขอคำแนะนำจากกลุ่ม ‘ความรู้รอบตัว’ โดยระบุข้อความว่า ‘ขออนุญาตปรึกษาครับ ตอนนี้กำลังทะเลาะกับลูกชาย ป.2 เมื่อก่อนเขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง ติดเกม วันหนึ่งมือถือเขาหน้าจอแตก เขามาขอผมให้ซื้อใหม่ให้ ผมเลยบอกเขาไปว่าให้ตั้งใจเรียนให้เกรดดีๆ ป๊าจะซื้อใหม่ให้ ผลคือเขาสอบได้ 3.62 มาอยู่ราวๆ อันดับ 5 ของห้อง ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าเขาจะทำได้เพราะเล่นเกมทั้งวัน เขาก็มาทวงผมใหญ่เลย ทั้งที่สถานะการเงินผมตอนนี้ไม่ดีมาก ค่าเทอมยังต้องผ่อน เขาเอาแต่น้อยใจบอกว่าไม่อยากตั้งใจเรียนแล้ว ไม่รักป๊าแล้ว ผมควรจะทำยังไงกับเขาดีครับ อยากให้เขาเข้าใจ เงินหลักพันวันนี้ สำหรับผู้ใหญ่ก็หายาก ยิ่งเชียงใหม่ ค่าแรงก็ต่ำมาก หรือผมควรหลอกเขาว่า ให้ทำให้ได้ 4.0 ถึงจะให้ดีครับ’

ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นและมองว่าการกระทำของพ่อไม่ถูกต้อง ส่วนใหญ่แนะนำว่าพ่อควรรักษาสัญญาเพราะอาจกลายเป็นแผลภายในจิตใจลูกได้ และบางรายแนะนำให้อธิบายเหตุผลตามความจริง และให้กำลังใจพร้อมชื่นชมที่ลูกสามารถผลักดันจนเกรดเฉลี่ยออกมาดีได้ 

โดยมีชาวเน็ตมาอธิบายว่าอาจส่งผลกระทบด้านจิตใจ โดยระบุข้อความว่า ‘ในฐานะเรียนจบมาสายนี้ การไม่รักษาสัญญา สองผล สองประการ

1. ขาดมุ่งอนาคตควบคุมตน เพราะเด็กจะไม่ให้ความสำคัญกับอนาคต แม้ว่าอนาคตจะได้มากกว่า เพราะทำแล้วไม่มีทางได้

2. ขาดความไว้ใจ การที่เด็กทำตามที่เราสัญญา เพราะเขาเชื่อใจว่าเราจะทำตามสัญญา หากเราไม่ทำตาม เขาจะไม่ไว้ใจเราอีกต่อไป’

แฟนมวยชื่นชม ‘รถถัง-เดนิช’ ควงคู่เตะบอล หลังถอดนวม ชี้!! แม้บนสังเวียนสู้กันดุเดือด แต่ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้

(10 มิ.ย.67) หลังจากที่ ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ นักสู้ชาวไทย เอาชนะคะแนน ‘เดนิส พูริช’ นักชกจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา/แคนาดา วัย 39 ปี ในการชกกติกาคิกบ็อกซิ่งในรายการ ศึก ONE 167 ที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับการชกไฟต์นี้มีดรามาตั้งแต่ก่อนขึ้นชก เริ่มต้นจากเรื่องการชั่งน้ำหนักตัว เมื่อ ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ ไม่สามารถทำน้ำหนักตัวได้ จึงทำให้ต้องจ่ายค่าชดเชย และให้ ‘เดนิส พูริช’ ตกลงขึ้นชกด้วยการแบกน้ำหนัก 6 ปอนด์ แต่สู้ได้สมศักดิ์ศรี

อย่างไรก็ตาม จากดรามาก่อนขึ้นชก แต่ภายหลังจากการชกไม่ดรามาอีกแล้ว เมื่อ ‘อัยด้า ลูกทรายกองดิน’ แฟนสาวของรถถัง ได้โพสต์ภาพคู่ของ ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ และ ‘เดนิส พูริช’ ที่สวมชุดฟุตบอลและไปร่วมเตะบอลด้วยกันอย่างเป็นกันเอง

โดย ‘อัยด้า ลูกทรายกองดิน’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “บนเวทีมวยไม่พอพากันมาวิ่งสนามบอลอี๊กก”

นอกจากนี้ ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ และ ‘เดนิส พูริช’ ยังพากันไปเตะฟุตบอล VIP รายการหนึ่งอีกด้วย

ทั้งนี้ มีแฟนมวยเข้ามาชื่นชมนักชกทั้ง 2 ราย ที่ทำหน้าที่ได้อย่างดุเดือด แต่เมื่อลงจากเวทีแล้วยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้

ทร. ส่งกำลังใจ รร.สตรีวัดระฆัง ทำพวงมาลัยเรือพระที่นั่ง

วันที่ 10 มิ.ย.67 เวลา 10.00 น. พลเรือโทวิจิตร ตันประภา รองเสนาธิการทหารเรือ พร้อมด้วย พลเรือตรีสมบัติ จูถนอม เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ พลเรือตรีสันติ ภาณุศุภวิมล ฝ่ายเสนาธิการฯ พลเรือตรีไพฑูรย์ ปัญญสิน ที่ปรึกษาฯ และนาวาเอกทรงชัย จิตหวัง เลขานุการฝ่ายฝึกซ้อมฯ ได้เข้าตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในกิจกรรมการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

โดยมี ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะผู้บริหาร ผู้แทนครูและนักเรียนให้การต้อนรับ และนำคณะเข้าตรวจเยี่ยม สร้างขวัญและกำลังใจให้กับ  คณะ ครู และนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในกิจกรรมการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นอย่างยิ่ง

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถม ประจำปี 2567 แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์  ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ คณะกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบเงินทุนการศึกษาระดับชั้นประถม ประจำปี พ.ศ. 2567 ให้แก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 1,500 ทุนๆ ละ 2,000 บาท รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,000,000 บาท (สามล้านบาทถ้วน)  เพื่อช่วยเหลือให้เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้มีโอกาสเท่าเทียม สามารถศึกษาเล่าเรียนต่อโดยไม่ต้องยุติการศึกษาเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ และเติบโตสร้างอนาคตตามความมุ่งหวังของตนเองและครอบครัวต่อไป โดยมี เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า  โครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้างอนาคตเด็กไทย” ด้วยการมอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่ได้ช่วยเหลือเสริมสร้างชีวิตให้อนาคตแก่เด็กไทยมากว่า 50 ปี โดยในปี พ.ศ. 2567 นี้  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้จัดสรรงบประมาณเป็นจำนวนเงินกว่า 20 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาในระดับต่างๆ  ได้แก่ ทุนการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา ทุนการศึกษาต่อเนื่องในทุกระดับชั้น ทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนในถิ่นทุรกันดาร ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมด้านสาธารณกุศลช่วยเหลือสังคมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เพจเฟซบุ๊กมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

'พีระพันธุ์' เยือน!! Meet & Greet เซอร์ไพรส์ Thailand Morning Call ย้ำชัดการเมืองแบบ 'รวมไทยสร้างชาติ' ทำงานใต้ DNA แบบ 'ลุงตู่-พี่ตุ๋ย'

(10 มิ.ย. 67) จากรายการ 'Thailand Morning Call' ทางช่อง 'Nomad Media Thailand' ดำเนินรายการโดย คุณวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าวและนักจัดรายการชื่อดัง ร่วมกับ อาจารย์แพท-พัฒนพงศ์ แสงธรรม ได้พูดถึงความชัดเจนทางการเมืองของ 'พี่ตุ๋ย' นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในช่วงหนึ่งของรายการ โดย อ.แพท ได้ระบุว่า...

สําหรับงานวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย.67) กับงาน SING งาน Meet & Greet งานแรกในปีนี้ของ Thailand Morning Callsing จัดมาตั้งแต่คืนวันศุกร์ โดยมีสำนักข่าว THE STATES TIMES เป็นหนึ่งในมีเดียพาร์ตเนอร์นั้น ได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญที่แวะเวียนมาในงานนี้ด้วย นั่นก็คือ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

งานนี้ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์จริง ๆ เพราะท่านให้เกียรติขึ้นพูดในงานครั้งนี้ด้วยในหลายประเด็น ซึ่งถ้าคนที่ติดตามการเมืองอย่างสม่ำเสมอ จะจําได้ว่าสิ่งที่คุณพีระพันธุ์ไม่ว่าจะที่ใด ไม่เคยเปลี่ยน และคำพูดที่มอบให้พวกเราฟังในงานนี้ ก็ยังตรงกับที่ท่านพูดมาโดยตลอด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ

อ.แพท เล่าว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เกิดขึ้นในจังหวะที่อนหน้านี้นั้น พรรคที่ลุงตู่สังกัดอยู่คือ พรรคลุงป้อม แล้วมันก็มีข่าวระหองระแหงกันภายใน ขณะที่คุณพีระพันธ์เองก็ยึดมั่นในความคิดเสมอว่า "ไม่เชื่อในนักการเมือง" และพอได้เห็นการทำงานของลุงตู่ ก็ยอมรับในความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง และด้วยความรู้สึกที่ตรงกัน เราก็เลยได้เห็นการมาร่วมกันทำงานของบุคคลทั้ง 2 ท่านนั่นเอง 

อ.แพท เล่าถึงความรู้สึกที่คุณพีระพันธุ์มาเยี่ยมงาน Meet & Greet ในครั้งนี้อีกด้วยว่า ท่านพีบอกว่าคอยติดตามฟังรายการอยู่ ซึ่งเราก็รู้ดีว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในระดับนี้ ไม่มีการโอกาสที่จะมาได้ฟังเป็นประจําหรอกก็อาจจะฟังย้อนหลังบ้างหรือบางวันก็ไม่ได้ฟัง แต่แค่นี้ก็น่าภูมิใจแล้ว แล้วท่านก็ยังสละเวลามาพบกับพวกเราในงานนี้อีก 

แน่นอนว่า ท่านมักจะย้ำเสมอว่า ท่านไม่ใช่นักการเมือง แต่ด้วยตําแหน่งท่านก็คือหลีกเลี่ยงความเป็นนักการเมืองไม่ได้ แต่ไม่ว่าท่าจะอยู่ในบทบาทใด Nomad Media Thailand ก็มีความปลาบปลื้มอย่างมาก 

ช่วงท้าย อ.แพท เล่าติดตลกอีกว่า ผมขอเรียกท่านพีระพันธุ์ ว่า 'ลุงตุ๋ย' ได้ไหม ท่านก็บอกว่า เรียก 'พี่ตุ๋ย' ก็ได้

ก็เอาเป็นว่า ถ้าจากนี้บรรดา 'ด้อมพีระพันธุ์' จะเรียกท่านพีระพันธุ์ ก็เรียก 'พี่ตุ๋ย' กันได้เลยนะจ๊ะ…

ธงสีรุ้งโบกสะบัด! ‘จิราพร’ ร่วมฉลอง ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024’ ชวนนับถอยหลังรอ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ฉลุยด่าน สว.

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 มิถุนายน 2567 นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกิจกรรม ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024 (Phuket Pride 2024)’ ณ เทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ภายใต้บรรยากาศการเฉลิมฉลองที่ดำเนินไปอย่างคึกคัก 

เวลาประมาณ 19.50 น. นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับการจัดกิจกรรม ‘ภูเก็ต ไพรด์ 2024’ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน และได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศให้เป็นรูปธรรมของรัฐบาล อันสืบเนื่องมาจากคำมั่นของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ว่า ‘จะผลักดันให้มีกฎหมายสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่มหลากหลายทางเพศ’  เพื่อไม่ให้มีใครต้องถูกกีดกันจากเงื่อนไขทางเพศสภาพและเพศวิถี 

ในตอนหนึ่ง นางสาวจิราพร ยังย้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดเรื่องการผลักดันสิทธิทางกฎหมายให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 ใต้รัฐบาลไทยรักไทย แม้ว่าในเวลานั้นแนวคิดดังกล่าวไม่อาจฝ่าแรงเสียดทานทางสังคมไปได้ กระนั้นต่อมายังคงมีความพยายามผลักดันประเด็นนี้ต่ออีกครั้งในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทว่าน่าเสียดายที่กระบวนการผลักดันข้างต้นไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้งเพราะการรัฐประหาร 

นางสาวจิราพร ระบุว่า การเดินทางอันยาวนานกว่า 23 ปี วันนี้ที่ประเทศไทยเดินเข้าใกล้ความสำเร็จในการผลักดัน พรบ. สมรสเท่าเทียม ได้นั้น นอกจากความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการผลักดันกฎหมายฉบับนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การทำงานหนักของภาคประชาชนในการสร้างความตระหนักรู้และสร้างการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคม ก่อนย้ำว่า Pride Month ปี 2567 เป็นหนึ่งในปีที่พิเศษมาก เนื่องจาก ทราบข่าวว่าในวันที่ 18 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ‘พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม’ กำลังจะผ่านเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา

“อีกเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน ที่มีกฎหมายรับรองการแต่งงานของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ชัยชนะนี้เป็นของทุกคน ขอขอบคุณภาคประชาชน พรรคการเมืองฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลทุกพรรค ส่วนราชการทุกภาคส่วน  พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ทีร่วมกันเดินหน้าปักธงสีรุ้งในประเทศไทย ทุกท่านคือผู้ที่จะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทยร่วมกัน ทําให้ทั้งโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยคือประเทศที่ เปิดรับ โอบรับ และยอมรับ ความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย” นางสาวจิราพร กล่าว

'กรุงไทย' ผนึก 'คลัง' ดึง 'กูรูเบียร์-อัยรดา' เติมความรู้การเงินให้ชุมชนพระโขนง 'วางรากฐาน-สร้างภูมิคุ้มกัน' ด้านการเงินแบบเข้าใจง่ายในยุคภัยคุกคามพุ่ง

'เบียร์-อัยรดา บำรุงรักษ์' ร่วมกิจกรรมให้ความรู้ทางการเงิน ให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนแย้มสรวล และชุมชนหน้าวัดบุญรอด เขตพระโขนง กทม. ซึ่งจัดโดยธนาคารกรุงไทย และกระทรวงการคลัง โดยมีประชาชนร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก

(10 มิ.ย.67) ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ ที่ปรึกษาธุรกิจ บริษัท อีเอส เคาน์เซล จำกัด ร่วมกิจกรรมให้ความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) ให้กับประชาชน ในหลักสูตร อภินิหารทางการเงิน ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นโดย ธนาคารกรุงไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อปลูกฝังและวางรากฐานความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการเงินให้กับชาวบ้านในชุมชน มีภูมิคุ้มกันทางการเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน และสามารถป้องกันปัญหาภัยคุกคามทางการเงินที่จะเกิดขึ้น 

โดยได้นำแนวทางในการจัดการหนี้ การเพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน การจัดทำหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย การป้องกันภัยทางการเงิน มาถ่ายทอดให้ความรู้กับประชาชนในชุมชนแย้มสรวล เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2567 และ ชุมชนหน้าวัดบุญรอด เขตพระโขนง เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา โดยมีคุณฤทธิพล เฉวียงหงส์ ผู้จัดการอาวุโสและพนักงานจิตอาสาธนาคารกรุงไทย พร้อมด้วยคุณอภิชัย สายสดุดี ผู้อำนวยการกลุ่มงานกิจกรรมองค์กร กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และทีมงาน ได้ร่วมให้ความรู้ ด้วยเนื้อหาความรู้ทางการเงิน พร้อมทั้งได้สอดแทรกกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมกิจกรรมได้ทั้งความรู้และความสนุกสนานไปพร้อมกัน โดยมีผู้เข้าร่วม 2 ชุมชน อย่างคึกคัก

ร.ต.อ.หญิง อัยรดา กล่าวว่า ปัจจุบันความรู้ทางการเงิน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของคนเรา โดยเฉพาะในด้านการวางแผนทางการเงินพื้นฐานเกี่ยวกับการออม การจัดการหนี้ และการใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ ทั้งนี้ หากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวการเงินอย่างถูกต้อง เชื่อว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันก่อนเป็นหนี้ หรือหากเป็นหนี้แล้ว ก็จะสามารถหาหนทางในการแก้ไขหนี้ได้อย่างถูกวิธี การปลดหนี้ได้เร็วขึ้น เพื่อให้เหลือเงินนำไปออมไว้ใช้ในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังจะช่วยให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยทางการเงินที่มาในรูปแบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย 

‘ตาวัย 80 ปี’ เจ้าของแพมาลัย ปลูก 'ทุเรียนลอยน้ำ' ต้นแรกของโลก นายอำเภอ ลุยนำไปทดสอบ หวังพัฒนาต่อยอดคุณภาพต่อไป

(10 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้นทุเรียนสายพันธุ์หมอนทองที่ลอยน้ำได้มีต้นเดียวในโลก และกำลังติดลูกพร้อมตัด 3 ลูก อยู่ที่ ‘แพมาลัย’ บ้านโบอ่อง ต.ปิล็อค อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี โดยมีตาปี๊ด สินเธาว์ อายุ 80 ปี เจ้าของแพและเจ้าของต้นทุเรียนลอยน้ำ โดยเดินทางไปที่แพมาลัยต้องนั่งเรือจากฝั่งท่าแพไปใช้เวลาประมาณ 25 นาที

โดยแพมาลัยตั้งอยู่กลางเขื่อนเขาวชิราลงกรณ์ เป็นแพที่เป็นสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยว เมื่อมาถึงแพมาลัย พบกับต้นทุเรียนสายพันธุ์หมอนทอง ที่ถูกปลูกอยู่บนแพลอยน้ำ กำลังติดลูกอยู่ 3 ลูก

ด้าน นายศุภวัฒน์ มุรินทร์ บอกว่า ตนเป็นผู้จุดประกายทุเรียนลอยน้ำ และเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุเรียนต้นนี้ตั้งแต่แรก บ้านตนอยู่ไม่ห่างจากแพมาลัยของตาปี๊ดกับยายบำรุง เมื่อช่วงปี 2527 คุณตาและคุณยายได้มาตั้งหลักทำแพอาศัยอยู่ที่นี่ ประกอบอาชีพหาปลาและขายของชำทั่วไป

ภายหลังได้สร้างแพพักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวขึ้น โดยเอาชื่อลูกสาวคนโต มาตั้งเป็นชื่อว่าแพมาลัย ซึ่งคุณตาและคุณยายเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีตนจึงสนิทสนมกันมาก และตนมักแวะเวียนมาเยี่ยม พูดคุยกับคุณตาคุณยายอยู่บ่อยครั้ง

นายศุภวัฒน์ บอกต่อว่า ต้นทุเรียนต้นนี้ ตาปลูกอยู่บนบวบไม้ไผ่ผุ ๆ ซึ่งในแพยังปลูกผลไม้อย่างอื่น เช่น ต้นมะม่วง และต้นโพธิ์ต้นไทร ที่เกิดขึ้นเองก็เจริญเติบโตอยู่บนแพลอยน้ำที่มีความลึกประมาณ 30 เมตร ตอนแรกตนไม่ได้สนใจอะไรกับต้นทุเรียนต้นนี้

แต่ในระยะ 2-3 ปีมานี้ เห็นต้นทุเรียนเริ่มมีดอกแต่ไม่เคยมีลูก ประกอบกับช่วงนั้นตนมีความสนใจในการทำทุเรียนอย่างจริงจัง จึงไปนั่งดูปัญหา และพบว่าที่ไม่ติดลูกเพราะรากของต้นทุเรียนแช่น้ำมากเกินไปจึงจ้างคนตัดไม้ไผ่มาหนุนใต้แพ ดันโคนต้นทุเรียนสูงจากผิวน้ำมาเกือบเมตร แล้วเอาดินมาเพิ่มรอบ ๆ โคนต้น

ปรากฏว่าได้ผล ต้นทุเรียนเริ่มติดลูกเล็ก ๆ แล้วก็ติดหลายลูก แต่ค่อย ๆ หลุดร่วงไป จนเหลือเพียง 3 ลูกตามที่เห็น ซึ่งนับจากวันที่ดอกบานจนถึงแก่จัดตัดได้อายุ 130 วัน

นายศุภวัฒน์ บอกอีกว่า ตาปี๊ด รู้สึกภูมิใจ เมื่อมีคนถามว่าคิดอย่างไรถึงเอาทุเรียนมาปลูกลอยน้ำ ตาปี๊ดบอกว่าอยากทดลองดูว่ามันจะออกลูกได้หรือเปล่า อีกทั้งตาปี๊ดเป็นคนชอบปลูกต้นไม้อยู่แล้ว อยากลองปลูกทุเรียนดูบ้าง เพราะเห็นมีคนปลูกกันเยอะ เวลาคนมากินข้าวที่แพก็ได้ยินพูดกันบ่อย ซึ่งในฝั่งผืนดิน ที่อยู่ห่างไม่ไกลกับแพมีการปลูกทุเรียนกันเยอะ ซึ่งตาปี๊ดไม่มีที่ดินผืนใหญ่ และเวลาส่วนมากจะอาศัยอยู่บนแพก็เลยนำมาปลูกบนแพ

ล่าสุด ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ นายชาคริต ตันติพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ ร่วมตัดทุเรียนลอยน้ำของลุงปี๊ด มอบให้หัวหน้าสำนักงานจังหวัด นำมามอบให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อได้ชิมรสชาติ

ส่วนลูกที่ 2 ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ ตัดแล้วมอบให้เกษตรจังหวัดกาญจนบุรี นำมาทดสอบรสชาติความหวานเพื่อเป็นข้อมูลทางวิชาการในการพัฒนาต่อยอดคุณภาพทุเรียนลอยน้ำต่อไป

โดยการตัดในครั้งนี้ ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ มอบเงินค่าทุเรียนลอยน้ำให้กับลุงปี๊ด 5,000 บาท เพื่อให้ลุงปี๊ดมีกำลังใจในการผลิตทุเรียนลอยน้ำในฤดูกาลต่อไป

'ยาฮู เจแปน' ยก!! 'กรุงเทพฯ' เมืองที่มีการพัฒนาได้ก้าวหน้า เสริมแกร่งความเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาค ด้วยสาธารณูปโภคดีเยี่ยม

(10 มิ.ย.67) กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยสถิติการสํารวจจํานวนผู้อยู่อาศัยของประชาชนสัญชาติญี่ปุ่นในต่างประเทศ ด้วยการจัดอันดับ 30 เมืองทั่วโลก เมื่อสิ้นสุดวันที่ 1 ตุลาคม 2023 พบว่า กรุงเทพมหานคร ติดอันดับ 2 จาก 30 เมืองทั่วโลก มีจำนวนชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่จำนวน 51,407 คน ที่สำคัญ  นับเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ปี 2019 ที่กรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีประชาชนชาวญี่ปุ่นอาศัยในต่างประเทศอันดับ 2 

ยาฮู เจแปน ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ชื่อดังระดับโลกในญี่ปุ่น รายงานว่า กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า มีเส้นทางถนนที่ทันสมัย ตึกสูงระฟ้ามีจำนวนมากขึ้น และห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นและขยายออกไปมาก ในขณะที่วัดวาอารามในศาสนาพุทธมีอย่างหนาแน่นในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานครในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายังได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังพัฒนาความเป็นเมืองระหว่างประเทศที่ก้าวหน้าอีกด้วย นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น ทางรถไฟ และรถประจําทาง และสามารถเข้าถึงเมืองได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงสนามบินด้วย

หากพิจารณาเฉพาะในอาเซียน (ตัวเลขในวงเล็บ คือ อันดับรวมจากทั้ง 30 อันดับทั่วโลก) จะพบว่า กรุงเทพมหานครยังเป็นอันดับ 1 เมืองเมืองที่คนญี่ปุ่นอยู่มากที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น อันดับ 2 สิงคโปร์(6) จำนวน 31,366 คน อันดับ 3 โฮจิมินห์ ซิตี้(23) เวียดนาม จำนวน 10,063 คน อันดับ 4 กัวลาลัมเปอร์(24) มาเลเซีย จำนวน 9,889 คน อันดับ 5 กรุงฮานอย(29) เวียดนาม จำนวน 6,547 คน และอันดับ 6 กรุงมะนิลา(30) ฟิลิปปินส์ จำนวน 6,047 คน 

สำหรับอันดับ 1 เมืองที่คนญี่ปุ่นอยู่มากที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จำนวน 64,457 คน นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันด้วย ส่วนเมืองสำคัญอื่นๆ ได้แก่ อันดับที่ 4 เซี่ยงไฮ้ จีน 37,315 คน อันดับที่ 10 ฮ่องกง จีน จำนวน 22,930 คน อันดับที่ 15 กรุงโซล เกาหลีใต้ 13,546 คน และอันดับที่ 25 ไทเป ไต้หวัน 9,398 คน 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า การจัดอันดับเมืองที่ประชาชนชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ต่างประเทศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2023 นั้น หมายถึงบุคคลที่มีสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งอยู่ต่างประเทศมานานกว่า 3 เดือน

'นักวิชาการ' แซะ!! แอนิเมชัน 2475 ไม่กล้าฉายโรงแบบหนังทอน ด้านคนในวงการเข้ามาชี้แนะ เข้าโรงต้องใช้เงินหลัก 1-2 ล้าน

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘สุรพศ ทวีศักดิ์’ นักวิชาการด้านปรัชญา คอลัมนิสต์ผู้ใช้นามแฝงว่า ‘นักปรัชญาชายขอบ’ โพสต์ข้อความพาดพิงถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘2475 Dawn of Revolution’ หลังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Breaking The Cycle’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ เข้าโรงไม่นาน ระบุว่า…

"ทำไม 2475 Dawn of Revolution ไม่กล้าฉายในโรงภาพยนตร์เหมือน Breaking The Cycle เรื่องแรกกลัวคนไม่ยืน? เรื่องหลังคนนั่งแน่ๆ"

ปรากฏว่ามีผู้ใช้นามว่า ‘ศุภวัฒน์ หงษา’ นักเขียนบท ผู้กำกับละครเวที ซีรีส์ ภาพยนตร์ โฆษณา โพสต์ข้อความระบุว่า…

"การนำหนังเข้าฉายโรงฯ (โรงภาพยนตร์) ต้องใช้เงิน 1-2 ล้านบาท เป็นประกันว่าทางโรงฯ จะไม่ขาดทุนในกรณีหนังไม่มีคนดูครับ ไม่ใช่ทำหนังเสร็จแล้วเอาเข้าโรงฉายแบ่งเงินกับโรงฯ ได้เลย ซึ่งตรงนี้ชัดเจนว่าทีม 2475 เขาทำงานแบบออร์แกนิกไม่มีทุนใหญ่หนุนหลัง มีเพียงงบผลิตแบบกระท่อนกระแท่น ไม่มีงบโปรโมตหรืองบที่จะนำหนังเข้าโรง ตรงกันข้าม Breaking the Cycle ได้โรงฯ จำนวนมากก็เพราะมีทุนมากไปจ่าย ทำให้โรงหนังมั่นใจว่ายังไงฉายแล้วเขาก็ไม่เจ๊ง (เพราะได้ตังค์แล้ว) ซึ่งยิ่งพอส่องดูผู้ชมในแต่ละรอบในโรงต่าง ๆ ก็พบว่ายังมีจำนวนน้อยมาก ๆ ประมาณ 2-5 คนต่อรอบ ก็ยิ่งชัดเจนว่าหนังได้โรงจำนวนมากเพราะมีการจ่ายเงินครับผม"

เมื่อมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายสุรพศถามว่า "ได้ตามข่าวจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย" นายศุภวัฒน์ ตอบว่า "ตามสิครับ ทราบดีว่าค่ายไหนจัดจำหน่าย แล้วมันผิดจากที่ผมอธิบายยังไงว่าหนังมีทุนในการนำเข้าโรง ต่างจากแอนิเมชัน 2475 ที่ไม่มี ซึ่งเป็นคำตอบต่อสิ่งที่คุณสุรพศตั้งคำถามนี่ครับ"

เมื่อมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายสุรพศถามว่า "1. ไม่น่าจะจริงตามที่บอกนะ บริษัทที่ทำอนิเมะดูมีทุนอยู่นะครับ มีการเตรียมการและมีการวางแผน 2. เรื่องรับรองว่าไม่เจ๊งเพราะเอาเงินมาอุดก่อน อันนี้ก็ดูจะไม่จริง เพราะตอนแรกเขาตกลงฉายไม่กี่โรงครับ จนเมื่อวันก่อนเพิ่งจะเพิ่มเป็นทั่วประเทศ จนเอาหนังไปฉายไม่ทัน ดรามาไปดูแต่ไม่มีหนังดู (เกิดปัญหาเทคนิค)"

นายศุภวัฒน์ตอบว่า "1. จริงสิครับ ทุกวันนี้เงินก็ยังไม่คุ้มทุน ยังต้องมีการผลิตออกมาเป็นหนังสือขายเพื่อให้ได้ทุนคืน

2. ระบบเอาหนังเข้าโรงไทยเป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ จะมาไม่จริงอะไร ในกรณีที่คุณไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่การันตีว่าจะมีคนดูอย่าง GDH การจะเอาหนังเข้าโรงต้องมีเงินให้โรงก่อน 1-2 ล้านบาท เพื่อให้โรงยอมฉายให้ ซึ่งถ้าฉายแล้วจู่ ๆ วันแรกได้สักสิบล้านบาทขึ้นไป โรงจะพิจารณาเพิ่มโรง เพิ่มรอบเอง (เพราะเขาอยากได้ส่วนแบ่งเพิ่ม) แต่ถ้าวันแรกไม่ปัง ดูทรงไม่ทำเงิน ไม่คุ้มจะเอาเวลาฉายไปเสี่ยงเขาก็จะค่อย ๆ ทยอยลดรอบลง (เรียกกันว่า 4 วันอันตราย พฤหัสบดี-อาทิตย์) แต่ถ้ามีปรากฏการณ์วันแรกได้เงินไม่เยอะ แล้วจู่ ๆ โรงเพิ่มรอบให้เยอะ ๆ ก็มีเหตุผลเดียวครับ คือเจ้าของหนังจ่ายเงินเพิ่มให้โรง ยิ่งมากโรงเท่าไรก็แพงขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าน้อง ผกก.สองคนจ่ายไม่ได้แน่ ค่ายที่จัดจำหน่ายก็ไม่ได้แมสมีเงินมากขนาดนั้น ก็พิจารณาเอาเองครับว่าเงินมาจากไหน

ปล.หนังทุกเรื่องที่ไม่การันตีรายได้ต้องทำแบบนี้หมดนะครับ ไม่มีโรงหนังไหนในไทยรับหนังมาฉายไปก่อนแล้วลุ้นว่าจะได้ตังค์มั้ยครับ ทุกเรื่องต้องจ่ายเงินก่อนหมด ยกเว้นหนังแมสอย่าง GDH หรือหนังมีฐานผู้ชมแบบ พชร์ อานนท์"

ด้านเฟซบุ๊ก ‘2475 Dawn of Revolution’ โพสต์ข้อความระบุว่า "เนื่องจากพวกเราเป็นมือใหม่มากครับ และมีทีมงานน้อย ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทั้งนั้น ไม่มีคอนเน็กชันกับโรงภาพยนตร์ ไม่มีทีมการตลาดเอางานไปขาย สปอนเซอร์ยังไม่มีเลยครับ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง ดังนั้น ถ้ามีคนช่วยผลักดันก็จะดีมากครับ คงต้องฝากไปถึงผู้บริหาร SF Cinema Major Group ตอนนี้ยอดวิวยูทูบแค่ 1.1 ล้านเท่านั้นครับ ยังเหลือคนอีก 65 ล้าน ที่ยังไม่ได้ดู และเวอร์ชันล่าสุด ปรับปรุงจากในยูทูบ และได้เรตติ้ง ‘ทั่วไป’ แล้วนะครับ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)

วันนี้ 10 มิ.ย.67 เวลา 09.00 โรงแรม ทีเค พาเลซ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น (TK Palace Hotel and Convention). ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่,กรุงเทพมหานคร

ท่าน พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผบช.สยศ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ.เดินทางเป็นประธานในพิธีเปิดอบรมเชิงปฎิบัติการภายใต้”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police) พร้อมคณะผู้บริหารตัวแทนจากบริษัทไพร์ม โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส จำกัดผู้ร่วมพัฒนาและดำเนินโครงการ โดยการอบรมจัดขึ้นในวันที่10-11 มิ.ย.2567 โรงแรมTK Palace ห้อง ลาเวนเดอร์ 2-3  

โดยการอบรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ”โครงการระบบบริการข้อมูลดิจิทัล (One Police)”ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานยุทธศาตร์ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการข้อมูลต่างๆให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่ทันสมัย และง่ายต่อกระบวนการทำงานตลอดจนการบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลให้ปลอดภัยห่างไกลอาชญากรรมดิจิทัล การอบรมในวันที่10-11 มิ.ย.2567นั้นเป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับรองผู้บังคับการ,ผู้กำกับการและรองผู้กำกับการโดยแบ่งออกเป็น3หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรที่1 อบรมการใช้ประโยชน์จากการรายงานดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร,หลักสูตรที่2 การใช้งานซอฟต์แวร์สำหรับการแสดงผลข้อมูลและจัดทำรายงาน(Analytics Software and Dashboard),หลักสูตรที่3 การใช้งานและดูแลระบบสำหรับผุ้ดูแลระบบ(Aamin) 

ด้าน พล.ต.ต.เอกภพ อินทวิวัฒน์ ผบก.ผอ. กล่าวว่า โครงการนี้มีความคิดริเริ่มตั้งแต่ ท่าน พล.ต.อ.สุวัจน์ แจ้งยอดสุขอดีตผบ.ตร.ซึ่งในขณะนั้นท่านอยากให้มีแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและสามารถบริหารข้อมูลต่างๆภายใต้หน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ จึงทำให้เกิดโครงการ(One Police)ขึ้น โดยหลักๆโครงการนี้จะเป็นการรวมข้อมูลของกองบัญชาการหรือกองบังคับการที่คิดว่าข้อมูลนั้นต้องการความปลอดภัยและสามารถต่อยอดการปฎิบัติหน้าที่คดีต่างๆได้ต่อไป  โดยคาดหวังที่จะพัฒนาเป็นBIG DATA ที่คอยสนับสนุนข้อมูลในการปฎิบัติหน้าที่ต่างๆ  ควบคู่กับการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยและเท่าทันเทคโนโลยีในปัจจุบันอีกด้วย

มุกดาหาร - ชุดเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2105 สกัดจับ ตรวจยึดรถยนต์3คันคาเรือแพ ขณะเตรียมส่งลาว ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงท่าเรือบ้านนามหาราช อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 เวลา 01.00 น. พ.อ.อินทราวุธ ทองคำ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 (ผบ.ฉก.ทพ.21) ได้รับแจ้งว่าจะมีขบวนการลักลอบนำรถยนต์ส่งข้ามแม่น้ำโขงออกไปยัง สปป.ลาว ในพื้นที่ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ ร.ท.วัชรสรณ์ เชื้อไพบูลย์ ผบ.ร้อย.ทพ. 2105 กรม ทพ.21 นำกำลังพลออกทำการลาดตะเวนเฝ้าตรวจริมตลิ่งแม่น้ำโขง เมื่อไปถึงพื้นที่บ้านนามหาราช ม.10 ต.ดอนตาล อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร

พบขบวนการลักลอบนำรถยนต์ส่งออกข้ามชาติกำลังนำรถยนต์ลงเรือยนต์เตรียมขับลำเลียงข้ามไปยังฝั่ง สปป.ลาว  ชุดลาดตระเวนจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ แต่เมื่อกลุ่มขบวนการดังกล่าวพบเห็นเจ้าหน้าที่ก็ได้พากันกระโดดลงแม่น้ำโขงว่ายน้ำหลบหนีไป ชุดลาดตระเวน จึงได้เข้าตรวจสอบในบริเวณดังกล่าว พบรถยนต์จำนวน 3 คัน และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์จำนวน 2 ลำ ประกอบด้วย รถยนต์ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีขาว ทะเบียน ผก 4415 จันทบุรี  รถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีเทา ทะเบียน 4 ขผ 7252 กรุงเทพมหานคร ส่วนคันที่ 3 ตกลงไปในแม่น้ำโขงเจ้าหน้าที่ต้องใช้ลวดสลิงลากขึ้นมาจากแม่น้ำโขงเป็นรถยนต์ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-max สีขาว ทะเบียน งจ 5382 สงขลา และเรือเหล็กพร้อมเครื่องยนต์ จำนวน 2 ลำ จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมด แล้วนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ดอนตาล ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว​ เดวิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ ​รายงาน​    092-5259777​

'สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล’ เนรมิตภาพ ‘ในหลวง ร.9’ บนผนังอาคาร รพ.สุราษฎร์ฯ มอบให้ชาวบ้านได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นจังหวัดที่ 23 จาก 77

เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.67) รายงานข่าวแจ้งว่า สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับทีมงานสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล โดยมูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ นำโดย นายชวัส จำปาแสน หรือครูอะไหล่ จัดโครงการจิตอาสาวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) เป็นจังหวัดที่ 23 จากเป้าหมาย 77 จังหวัด โดยได้สถานที่ผนังอาคารฉุกเฉิน อาคารสูง 6 ชั้น โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อมอบให้ชาวสุราษฎร์ฯ ได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและน้อมนำคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาปฏิบัติ

ในวันนี้ได้มีกำลังพลจากมณฑลทหารบกที่ 45 ค่ายวิภาวดีรังสิต มาช่วยสนับสนุนการเตรียมสถานที่ ช่วยจัดการพื้นผิวผนัง รวมทั้งติดตั้งกระเช้ากอนโดลา จากบริษัท โมเดิร์นคิท เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด นอกจากนี้ ยังมีรถเครนจาก บริษัท ดี.เร้นท์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด มาร่วมสนับสนุนอีกด้วย โดยภาพวาดสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล จังหวัดที่ 23 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ ทีมงานสตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล จะลงพื้นที่ในวันพุธที่ 12 มิ.ย. โดยเป็นการวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์บนผนังทั้งหมด 3 ด้าน โดยมีกำหนดส่งมอบในวันที่ 26 มิ.ย. 2567

สำหรับโครงการสตรีทอาร์ตคิงภูมิพล คือ โครงการจิตอาสาวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ควบคู่กับการเผยแพร่พระราชดำรัส เพื่อมอบให้คนไทยและทั่วโลกได้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปใช้สานต่อในชีวิตตนเองและส่วนรวม ให้ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ที่ผ่านมาได้ทำมาแล้ว 22 จังหวัด จำนวน 24 ผลงาน นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังมีโครงการกิจกรรมสานต่อที่พ่อทำ นำปัญญาสู่เด็กเยาวชน, กิจกรรม คนละก้าว ซ่อมสร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล สำหรับผู้สนใจสามารถบริจาคได้ที่ ชื่อบัญชี มูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 176-1-37719-8 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก Street Art King Bhumibol และ Line Official : @followroyalfather


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top