Wednesday, 26 June 2024
NEWS FEED

วงในบอกเอง!! ทำไมลูกค้าต้องรอคิวจ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อ  แม้มีพนักงานอยู่เยอะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงินก่อน

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัย เมื่อไปที่ร้านสะดวกซื้อแล้วต้องต่อคิวรอจ่ายเงิน ทั้งที่ลูกค้ารอต่อคิวเยอะมาก แต่พนักงานของร้านบางคน ทำอะไรไม่รู้อยู่ด้านหลังเคาเตอร์แคชเชียร์ ทำไมไม่มาช่วยกันคิดเงินก่อน ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานรับชะตากรรมอยู่คนเดียว

โดยในเฟซบุ๊กกลุ่ม ‘กลุ่มที่ไม่ว่าพิมพ์อะไรเราก็ให้กำลังใจในทุกเรื่องแบบงง ๆ อิหยังวะ’ มีคนเข้ามาโพสต์ว่า เวลาที่ไปร้านสะดวกซื้อ ลูกค้าต่อคิวจ่ายเงิน แต่มีพนักงานคิดเงินแค่คนเดียว บางคนยืนคิดยอดบัญชี บางคนอยู่หลังตู้แช่ ทำไมไม่มาคิดเงินให้ลูกค้าก่อน

ซึ่งก็มีคนที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เข้ามาเล่าว่า ตนเข้าร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งในช่วงเวลา 07.00-07.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน และร้านกลับเปิดเคาน์เตอร์แคชเชียร์แค่ช่องเดียว คนคิดเงินคนเดียว คนชงเครื่องดื่มอีกคน ทำไมจัดการแบบนี้ทั้งที่เป็นชั่วโมงขายดี

ไม่นับร้านสะดวกซื้อเจ้าดังที่มักจะเปิดเคาน์เตอร์คิดเงินช่องเดียวจนคนทะลัก แถมพอจะจ่ายเงิน ยังต้องแนะนำโปรโมชั่นให้ลูกค้าก่อนอีก พนักงานบางคนก็ช้า กว่าจะหยิบของสแกน กว่าจะหยิบใส่ถุง ลูกค้าต้องยืนกลั้นใจนานสองนาน ว่าแล้วก็อยากไปช่วยทำงานแทน

ต่อมาก็มีคนมาให้คำตอบเรื่องนี้ว่า พนักงานร้านสะดวกซื้อแต่ละคน มีหน้าที่ประจำ ไม่ใช่แค่ต้องยืนเคาน์เตอร์ และเหตุที่มีพนักงานหลังเคาน์เตอร์เยอะแยะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงิน เพราะพนักงานต้องส่งยอดให้ตรงเวลา เขามีเวลาเป๊ะ ๆ ที่ต้องห้ามส่งยอดช้า ห้ามรับออร์เดอร์ช้า ต้องรีบจัดของให้เสร็จก่อนส่งต่อพนักงานชุดต่อไป บางคนก็เป็นเวลาพักของเขา เขาก็ต้องไปพัก ไม่ต้องทำงาน

รวมไปถึงสินค้าเดลิเวอรี่ ที่พนักงานต้องรีบรับออร์เดอร์ ถ้าเกินเวลาที่กำหนด ระบบจะส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ และสาขาจะโดนใบเตือน แต่หากกดรับแล้ว จะใช้เวลาจัด จะส่งตอนไหน ก็ขึ้นอยู่กับออร์เดอร์ที่ได้รับ

สรุปคือ พนักงานร้านสะดวกซื้อทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ และต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จด้วย แม้ว่าคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่คิดเงินแค่อย่างเดียว

ขณะที่มีผู้คอมเมนต์ท่านหนึ่ง ซึ่งเผยว่าตนเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ก็ได้โพสต์เล่าให้ฟังด้วยว่า...

"จากใจคนเคยทำงานพนักงานร้านสะดวกซื้อคือเรื่องจริง ถ้าทำงานไม่เสร็จในกะตัวเองต้องลากยาวจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งร้านที่เคยทำมาต้องโหลดของเข้าร้านเองด้วยซ้ำ และของแต่ละรอบคือ 4-5 พาเลท ของที่ส่งแบบเป็นลัง ๆ ขนาดมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการมีน้องในกะ 3 คนยังไม่ทันเลย...

"การส่งงานต่อให้อีกกะมันค่อนข้างมีความเกรงใจคนรับงานอยู่ จนทำให้ต้องรับผิดชอบของที่กะเราเป็นรับมาถึงแม้ว่าอีก 10 นาทีจะหมดกะเราแล้วก็ตาม ตอนที่ทำอยู่คือไม่เคยเลิกงานตรงเวลาเลย เวลาเข้ากะดึกงานก็เหนื่อยมากแล้ว ไหนจะอดนอนอีก เช้าก็อยากกลับบ้านไปพักผ่อน แต่งานไม่เสร็จกว่าจะได้กลับบ้านคือเกือบเที่ยง ทนทำเพราะ ผจก.ดี เพื่อนร่วมงานดี และมาหลัง ๆ คือร่างกายไม่ไหวจริง เลยต้องหางานใหม่...

'การส่งต่อกะที่เคาเตอร์ยิ่งต้องรอบคอบเพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวคนส่งนับ 1 รอบ คนรับก็ต้องรับถ้าเงินไม่ตรงก็เรื่องเกิดรับเครื่องต่อไม่ได้ไม่งั้นคนรับเครื่องต่อก็ซวยถ้าไม่นับเงิน ใครไม่ได้ทำก็ไม่รู้หรอก เข้าใจได้เพราะตอนยังไม่ได้ทำก็วีนฉ่ำเหมือนกัน พอมาทำถึงเข้าใจ หลังจากนั้นก็ไม่เหวี่ยงไม่วีนอีกเลย คิดซะว่าถ้าช้าต้องยืนรอก็ยังรอในห้องแอร์ไม่ได้ร้อนอะไร เป็นกำลังใจให้พนักงานเคาเตอร์ทุกคนนะคะ...

อีกเรื่องคือ เรื่องขายสินค้าโปรถ้ามีเวลาฟังไปเหอะค่ะ ถ้าไม่สนใจก็แค่ปฏิเสธไป ร้านพวกนี้เขามีบัดเจทยอดขายถ้าทำไม่ถึงยอดก็โดนเตือนอีก เขาเลยต้องพูด ต้องถามบ่อย ๆ ถ้ามันไม่มีอะไรมาบีบบังคับไม่มีใครเขาอยากพูดให้คนอื่นรำคานหรอกเชื่อเหอะ"

'มิสเตอร์เอทานอล' เตือนรัฐบาลอย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน

“อลงกรณ์”ห่วงอุตสาหกรรม
เอทานอลล่มสลายเกษตรกรล่มจม
เสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอล

วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล”(Mr.Ethanol)และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค“อลงกรณ์ พลบุตร”เรื่อง อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อเกษตรกร“แสดงความกังวลต่อนโยบาย”เอทานอล“ของกระทรวงพลังงานพร้อมเสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอลโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

อลงกรณ์ขับรถไถจากสวนจิตรลดาบุกทำเนียบรัฐบาลในเดือนกันยายนปี2544เพื่อโปรโมทโครงการเอทานอลจนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในสัปดาห์ถัดมา

”อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานสะอาดจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย“

ผมกังวลใจที่ทราบว่ากระทรวงพลังงานจะไม่สนับสนุนเอทานอลน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลังโดยการจำหน่ายน้ำมันจะเหลือเพียง น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์95 (E10) ทั้งที่ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) สนับสนุนE20จะทำให้
การใช้เอทานอลลดลงถึง50%กระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมเอทานอลที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ปี2544จนปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอล28โรงมีกำลังการผลิต 6.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งทุกวันนี้ผลิตเพียง3.1-3.2 ล้านลิตรต่อวัน หากในอนาคตปรับเหลือแค่ E10 ก็จะลดลงไปอีก50% อาจถึงการล่มสลายของอุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรล่มจม

“เมื่อปี2543เกิดวิกฤติการณ์น้ำมันประเทศไทยกระทบรุนแรงเพราะนำเข้าน้ำมันถึง90% ผมเสนอให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเอทานอล(แอลกอฮอล์)จากพืชซึ่งมีโรงงานต้นแบบของในหลวงในวังสวนจิตรลดาจึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ.(ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์)เป็นประธานโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชในต้นปี2544และเสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี(ฯพณฯ.ชวน หลีกภัย)ให้ความเห็นชอบให้ผลิตเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่19 กันยายน 2544 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ลดคาร์บอนและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นน้ำมันเอทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล“ 

นับเป็นเวลากว่า20ปีที่อุตสาหกรรมเอทานอลเติบโตและมีน้ำมันแก๊สโซฮอล์(เบนซิน-แก๊สโซลีนผสมเอทานอล-แอลกอฮอล์)จำหน่ายทุกปั้มทั่วประเทศ มีน้ำมัน E10 E20และE85 (EคือEthanol, E10คือเอทานอล10%เบนซิน90% E20และE85มีส่วนผสมเอทานอล 20%และ85%) โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ยอมรับการปรับแต่งเครื่องยนต์และอุตสาหกรรมน้ำมันก็ให้การสนับสนุน

การที่รัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงพลังงานจะลดการส่งเสริมสนับสนุนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังประสบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงเพราะเพียงแค่มีข่าวว่าจะลดเหลือเพียงน้ำมันE10ชาวไร่ก็ถูกกดราคาแล้ว

ผมจึงขอเสนอมาตรการให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพลังงานพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานและยังคงจำหน่ายน้ำมัน E85
2. ขยายเวลาการบังคับ “มาตรการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ” ตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 รอบ2 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ก็เป็นราคาตามกลไกตลาดโลกและต้นทุนของเอทานอลอยู่แล้ว โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้นำเงินไปช่วยชดเชยราคาแต่อย่างใด และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
3. ส่งเสริมเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นได้ อาทิ ไบโอพลาสติก,อุตสาหกรรมยา,อุตสาหกรรมสีทาบ้านและอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้นโดยแก้ไขหรือยกเลิก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 เพราะปัจจุบันเอทานอลไม่สามารถนำมาใช้ด้วยเกรงจะถูกนำไปผลิตเป็นเหล้าเถื่อนกระทบบริษัทผลิตเหล้าและองค์การสุราทั้งที่มีมาตรการป้องกันได้เหมือนการนำเอทานอลมาใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง

4. ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไบโอรีไฟนารี่(Biorefinery)คืออุตสาหกรรมพลังงานและเคมีชีวภาพซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่าเอทานอล
5. เพิ่มศักยภาพการส่งออกเอทานอล โดยภาครัฐสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต(Productivity)ของโรงงานและชาวไร่ให้มีผลผลิตสูงขึ้นสามารถแข่งขันชิงตลาดโลกได้
ประเทศของเราผลิตเอทานอลได้เกือบ7ล้านลิตรต่อวันแต่กลับหยุดส่งออกเอทานอลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 หรือ11ปีมาแล้วโดยรัฐบาลขณะนั้นออกมาตรการระงับการส่งออกด้วยเกรงเอทานอลจะไม่พอใช้ในประเทศ โดยยกเว้นให้ส่งออกเป็นบางกรณี เช่น เดือนมีนาคม 2557 มีการส่งออกจำนวน 4 ล้านลิตรและเดือนธันวาคม 2563 ส่งออกเพียง 5.4 หมื่นลิตร มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ปัจจุบันกำลังการผลิตใช้เพียงครึ่งเดียวเหลือวันละ 3 ล้านลิตร หากส่งออกได้ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้เต็มกำลังการผลิตจริง 

“รถจดทะเบียนสะสมมีกว่า 44 ล้านคัน ส่วนรถไฟฟ้ามีแสนกว่าคัน ดังนั้นน้ำมันสำหรับรถสันดาปภายในยังมีความต้องการอีกมาก การผลิตน้ำมันชีวภาพ(Biofuel)ทั้งเอทานอลและไบโอดีเซลมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงานและรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซลและแก๊สกว่าแสนล้านบาทโดยไม่ได้อุดหนุนราคาแก๊สโซฮอลล์มิหนำซ้ำกลับจะทำลายรากฐานของการพึ่งพาตัวเองของประเทศที่เราสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลจนเติบใหญ่เป็นอันดับ7ของโลกและช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ ผมขอให้กระทรวงพลังงานและรัฐบาลทบทวนนโยบายเสียใหม่ อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน “

'ภาครัฐ' อย่านิ่ง!! นอมินีทุนต่างชาติลุกลาม ทำตลาดทัวร์แบบตัดราคายับ จัดโมเดลไม่สนกำไร ทุบผู้เล่นในตลาดให้เจ๊ง แล้วยึดตลาด-ปรับราคา

(19 มิ.ย. 67) นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่เป็นทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการจัดตั้งโดยใช้นอมินีเป็นคนไทย ทำตลาดด้วยการขายทัวร์แบบตัดราคาต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เป็นราคาที่ต่ำกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยเป็นปัญหาในอดีตด้วย ยกตัวอย่างคือ ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวใช้ราคาห้องพักในโรงแรม 1,000-1,500 บาท ซึ่งความเป็นจริงทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเที่ยวไทยจะบังคับเชิงข่มขู่ให้ซื้อสินค้า หรือใช้จ่ายแบบช้อปปิ้งในจำนวนเงินตามที่กำหนดไว้ ประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนบาท ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจนอยู่ไม่ได้ โดยหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปีนี้ ผู้ประกอบการคนไทยคงอยู่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“เกิดมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย เพราะสถานการณ์ทัวร์ทุบตลาดมีความรุนแรงมากกว่าช่วงเกิดการระบาดโควิดด้วย มีความสาหัสมากกว่าทัวร์ซื้อหัว (kick back) หรือศูนย์เหรียญอีก ซึ่งการมีคนทำแบบนี้ไม่กี่คนก็ทำให้ตลาดพังหมดแล้ว เพราะข่าวสารจะออกไปทั่ว คนวงการเดียวกันรู้กันหมด การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด ไม่ใช่การเหวี่ยงแห เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการคนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว รัฐบาลต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไปใช้ไม้แข็ง ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาในนามของเอกชนและสมาคม ก็พยายามประคับประคองในการแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อไม่ให้ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย” นายศิษฎิวัชร กล่าว

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า รูปแบบการทำทัวร์ทุบตลาด คือผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาในไทยจะขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวในราคาต่ำ ๆ เป็นการวัดดวงแบบไม่สนใจเรื่องต้นทุน นำนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อน เมื่อเข้ามาแล้วก็ให้ใช้จ่ายช้อปปิ้งให้ได้ตามเป้า แข่งขันแบบไม่เป็นธรรมในด้านราคา แม้ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาใหม่ วนไปแบบนี้ เป็นการทุบตลาดให้ผู้ประกอบการเดิมอยู่ไม่ได้ก่อน จากนั้นจะเข้ามาครองตลาดเต็มตัวแล้วจึงปรับราคาขึ้น ซึ่งผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับท่องเที่ยวไทย ที่นักท่องเที่ยวคิดว่าไทยเป็นประเทศที่เที่ยวได้ในราคาถูกมาก ๆ โดยพบปัญหาในกลุ่มประเทศจีน อินเดีย และรัสเซีย ที่เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน

โดย นายศิษฎิวัชร กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนจำเป็นต้องอาศัยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดำเนินการจับกุม แต่ไม่ใช่จับทุกจุดไปหมด เพราะแม้ที่ผ่านมามีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกมากนัก เพราะบางบริษัทในเครือข่ายมี 4-5 บริษัท พอถูกจับกุมไป 1-2 บริษัท ก็เปลี่ยนไปใช้บริษัทที่เหลือแทน จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐสื่อสารไปถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวคนไทยอย่างชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรตามขั้นตอน ทำได้แค่เท่าใด เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะหากเป็นการแข่งขันตามกลไกตลาดก็ไม่ว่ากัน แต่ราคาต่ำสุดจะต้องไม่เกินเท่าใด หากเกินจะถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่มี เป็นการขอความร่วมมือจากบริษัททัวร์คนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมได้หารือเรื่องนี้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับทราบสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในตอนนี้แล้ว ทั้งการเข้ามาของทุนต่างชาติที่ทำให้เกิดการทุบราคาตลาดแบบไม่สมเหตุสมผลจนกระทบผู้ประกอบการไทยแต่เดิม ทั้งยังส่งผลเชิงลบต่อภาพท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งที่เคยมีการพูดถึงว่าต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย จากที่เป็นกลุ่มท่องเที่ยวราคาถูก ให้เป็นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีราคาสูงหรือพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

สุดเอือม!! ‘นทท.’ รุกพื้นที่ดินโป่งเขาใหญ่ เข้าไปถ่ายพรีเวดดิ้ง หวั่น!! อันตรายโดยรอบมีมาก หากเกิดปัญหาจะโทษเจ้าหน้าที่อีก

(18 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครราชสีมา บริเวณทุ่งหญ้าทางเข้าหอดูสัตว์หนองผักชี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ‘ผืนป่ามรดกโลกแห่งที่ 5’ พบนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนไทยช่วงอายุ 20-35 ปี รวมทั้งทีมงานถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง มาสัมผัสธรรมชาติชมทุ่งดอกหญ้าที่กำลังออกดอกสีขาวโพลนทั่วทุ่ง หลายรายละเมิดเดินบุกรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม โดยไม่สนใจป้ายที่ปักเตือนแจ้งไว้หลายจุด ที่ระบุข้อความว่า ‘ห้ามเดินลงโป่ง Do ont walk into salt lick’ เนื่องจากเป็นพื้นที่ดินโป่ง ที่สัตว์ป่าจะพากันลงมากินแร่ธาตุตามธรรมชาติ เกรงจะเกิดอันตรายต่อนักท่องเที่ยวและสัตว์ป่า

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘ที่นี่เขาใหญ่’ โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่าย ระบุว่า…

“อะไรครับ!! #ทำให้ช้างงาหัก หรือจะติดป้ายเล็กไป ติดป้ายเตี้ยไป แอดมิน ทำป้ายให้ใหญ่ขึ้นแล้วชัดเจนดีนะครับ กระผมจะอธิบายยังไงดี ยาวหน่อย จุดนี้คือโป่งชมรมเพื่อน แนะนำไปเดินถ่ายรูปทางเข้าหอส่องสัตว์หนองผักชีใกล้กัน สวยด้วย จะได้ไม่ต้องมี ดาราม่า 55+”

“เริ่มจากป้ายแจ้งเตือน ห้ามลงไปที่ดินโป่ง ไม่ว่าจะห้ามลงสาเหตุอะไร มีป้ายแจ้งว่าห้ามก็ควรปฎิบัติกฎของสถานที่นั้น ๆ จุดดินโป่งที่เป็นแอ่งดินสีน้ำตาลนั้นแหละ รวมไปถึงพื้นที่ทุ่งหญ้าบริเวณโดยรอบ ยิ่งจุดที่ไกลโป่งไปอีก เดินลงไปไกลมาก นอกจากกลิ่นของมนุษย์ ไหนจะกลิ่นน้ำหอม กลิ่นครีมทาผิว ที่มนุษย์ใช้ทาตัว ใช้ฉีดตัวทั่วร่างกาย ที่สัตว์ป่ารับรู้ได้ และสัตว์จะไม่ลงมา”

“จุดที่เรียกว่าดินโป่งเป็นแร่ธาตุ แคลเซียม และสารอาหารอย่างดีของสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นช้างป่า กระทิงป่า สัตว์น้อยใหญ่ มีนกเงือกลงมากินด้วยนะจะบอกให้ อีกหนึ่งสิ่งคือ อันตรายจะมาเยือนตัวท่านเอง ใกล้ถนนก็ไม่เท่าไร นี่เดินไปไกลเกือบชายป่า ในระหว่างเดินไป ไม่กลัวงูกันเหรอ งูจงอาง ดุนะจะบอกให้ ไม่คิดว่าจะมีสัตว์ป่าออกมากันเหรอ เกิดไรขึ้นมารับผิดชอบตัวเองกันด้วยเด้อ แบบว่าไม่โทษเจ้าหน้าที่ไรงี้ สุดท้ายก็ไม่พ้นเจ้าหน้าที่โดนตำหนิ ทั้ง ๆ ที่ปัญหานิดเดียว ไม่ลงไปก็จบ จุดอื่น มีให้ถ่ายเยอะแยะ หรือแค่ขอบ ๆ ริมถนนเเล้วหันกล้องถ่ายไปหญ้าขาว ๆ เยอะ ๆ ก็สวยได้”

“ในช่วงนี้จะเห็นหญ้าสีขาวขึ้นเต็มไปหมดนักท่องเที่ยวก็ต่างพากันมาถ่ายรูป ซึ่งคงหาที่ไหนไม่ได้นอกจาก อุทยานเเห่งชาติเขาใหญ่ ที่มีหญ้าสีขาวให้เห็นกว้างใหญ่เหมาะกับการลงไปเก็บภาพความทรงจำ เข้าใจนะครับ กระผมเคยลงไปทำโป่งนี้ เดินอย่างไกล นี่เดินลงไปไกลกว่าโป่ง เเล้วเป็นเนินสูงด้วย เว้นระยะห่าง จากสัตว์ป่า ทำตามอย่างเคร่งเครัด เช่น ไม่ให้อาหารสัตว์ป่า ไม่ทิ้งขยะ ควรเคารพระยะห่างจากสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่า การสังเกตการณ์สัตว์ป่า รักษารัศมีที่จะไม่ทำให้สัตว์ป่าคิดว่าตัวเองไม่ปลอดภัย เขาจะมาทำร้ายเราได้ ตัวเราเอาก็ไม่ปลอดภัย ยุคนี้ธรรมชาติเปลี่ยนไปเยอะมาก คนทำให้ธรรมชาติเปลี่ยน”

“อุทยานเเห่งชาติเขาใหญ่ ขึ้นตรงกับกรมอุทยานเเห่งชาติสัตว์ป่า และพันธ์พืช ช่วยกันแชร์ให้กรมเห็น ออกกฎเปรียบเทียบปรับอย่างเด็ดขาด ช่วยกันรักษาคงไว้เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด”

ทั้งนี้ เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป เกินเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์บุคคล ที่มีพฤติกรรมละเมิดล่วงล้ำพื้นที่ป่า แสวงหาประโยชน์ส่วนตน ไม่สนใจผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง

ด้าน น.ส.พันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ เปิดเผยว่า ‘ฝากถึงนักท่องเที่ยวทุกคำแนะนำและคำเตือนประกาศห้ามต่าง ๆ ล้วนคำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและสัตว์ป่าในอุทยาน ดังนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนควรปฏิบัติตามคำเตือนไม่ควรฝ่าฝืน ทำเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ ควรร่วมกันสร้างจิตสำนึกเพื่อแบ่งปันความสวยงามของธรรมชาติให้แก่นักท่องเที่ยวอื่นได้สัมผัสต่อไปอย่างยั่งยืน’

'ครูต่างชาติผู้รักเมืองไทย' โพสต์ขอโทษ หลังเขียนคำอ่านภาษาไทยผิด ด้านชาวเน็ตให้กำลังใจ คนไทยจริงๆ ยังมีเขียนผิดเช่นกัน

เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Teacher Elvis / Professeur Elvis / Tutor’ ซึ่งเป็นเพจของคุณครูชาวต่างชาติท่านหนึ่ง ที่สอนภาษาอังกฤษ โดยมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน ได้โพสต์คลิปวิดีโอขอโทษที่บางครั้งตนเขียนคำอ่านภาษาไทยผิดไปบ้าง ซึ่งไม่ได้มีความตั้งใจจริง ๆ โดยระบุว่า…

ขอขอบคุณนักเรียน คนไทย และทั่วโลก ที่ดูคลิปวิดีโอของตน ซึ่งตนไม่ใช่คนไทย ดังนั้นทุกวิดีโอ ทุกโพสต์ ที่นักเรียนจะเห็นในเฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก หรือในยูทูบนั้น ตนเป็นคนคิดเองทําเอง และเป็นคนเขียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ได้ทํางานกับใคร ไม่มีใครช่วย ฉะนั้นบางครั้งนักเรียนอาจจะเห็นว่ามีสระอาหรือสระอำมันหายไป ซึ่งต้องขอโทษก่อน เพราะว่าในโทรศัพท์ของตนนั้น ไม่มีภาษาไทย มันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งตนก็พยายามเขียนคําอ่านให้กับนักเรียน เพื่อที่จะได้อ่านภาษาอังกฤษออก โดยบางคำอาจจะมีผิดบ้างนิดหน่อย ตนต้องขอโทษ

พร้อมบอกอีกว่า เมื่อก่อนมันหนักกว่านี้ ช่วงนี้ก็ดีขึ้น เพราะมีการอัปเดตตัวเอง และรักเมืองไทย รักเด็ก ๆ รักการสอน ซึ่งตนเป็นคนที่ทุ่มเท ไม่ขี้เกียจ และชอบทํางาน 

นอกจากนี้ ได้เล่าเพิ่มเติมว่า มีเพื่อนของตนที่เข้ามาเมืองไทย ยังพูดภาษาไทยเท่าตนไม่ได้ อ่านภาษาไทยไม่ออกเลย ซึ่งก็มีนักเรียนมาถามว่า ตนเรียนภาษาไทยจากที่ไหน.. ซึ่งตนไม่ได้เข้าไปเรียนพิเศษ ไม่ได้เข้าไปที่โรงเรียน แต่เรียนด้วยตัวเอง กับเรียนจากเฟซบุ๊ก และยูทูบ โดยไม่ใช้แค่ภาษาไทยที่พูดได้ แต่พูดได้ 5 ภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เวียดนาม และไทย ซึ่งเขียนได้ด้วย เป็นต้น

ดังนั้นถ้าในโพสต์เห็นว่าตนเขียนคําอ่านอาจจะผิดไปบ้าง ต้องขอโทษล่วงหน้า โดยเมื่อก่อนก็เคยพูดเรื่องนี้เช่นกัน เพราะว่าบางครั้งอาจจะรีบ แล้วก็มันสะกดเองขึ้นมา หรือบางครั้งอาจจะไม่รู้ ซึ่งตนไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นอย่ามาจับผิดและดูถูกตนเลย เพราะว่าตนไม่ใช่คนไทย เหมือนที่บอกว่าเขียนภาษาไทยแบบนี้มันยากมากจริง ๆ 

ซึ่งตนอยากให้นักเรียนมาให้กําลังใจและช่วยกัน เพราะตนนั้นรักเมืองไทยและรักคนไทยมาก ๆ เลย คนไทยใจดีน่ารักมาก มีเสน่ห์ และรอยยิ้มสวย พร้อมขอบคุณที่ให้โอกาสได้อยู่เมืองไทย

ทั้งนี้ หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างเข้ามาให้กำลังใจคุณครูชาวต่างชาติท่านนี้ ดังนี้…

- ขอให้กำลังใจค่ะคุณครู อย่าท้อทำดีแล้วค่ะ ชาวไทยขอบคุณ ๆ ครูที่เผยแผ่ภาษาไทยได้ดีเยี่ยม ขอบคุณ ๆ ครูอีกครั้งที่รักประเทศไทยค่ะ สู้ ๆ ค่ะ
- รู้สึกขอบคุณค่ะที่ให้ความรู้แก่คนไทย ผิดบ้างถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ คนไทยจริง ๆ ยังเขียนผิดเลยค่ะ
- คุณครูเก่งมากค่ะ ที่เขียนภาษาไทย พูดภาษาไทยได้ ด้วยตนเอง ยอมรับค่ะว่าเก่งมากค่ะ
- ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ทุกคนนะคะ ผิดบ้างไม่เป็นไรแก้ไขได้ค่ะ ไม่ใช่คนไทยทำได้ขนาดนี้ถือว่าดีมาก ๆ ค่ะ

ชลบุรี-ตม.พัทยา บุกทลายแหล่งแรงงานต่างด้าวจับชาว เมียนมาและอินเดีย 68 ราย

วันนี้ 18 มิ.ย. 67 พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีกลุ่มบุคคลต่างด้าวเข้ามาอาศัยภายใน บริเวณชุมชน ภายในซอยสำนักงานที่ดิน หมู่ 10 ต.หนองปรื อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง.ผกก.ตม.จว.ชลบุรี และ พ.ต.ท.วีระชัย ถิ่นกมุท สว.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมชุดสืบสวนตม.จว.ชลบุรี ตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบกลุ่มชาวต่างชาติ จำนวน 68 ราย ชาย 60 ราย หญิง 8 ราย เบื้องต้นไม่พบเอกสารประจำตัว จึงได้นำตัวมาที่ ตม.จว.ชลบุรี เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง หนึ่งในกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา เผยว่า ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้างร้านอาหารในพัทยา และรับจ้างทั่วไปตามร้านบริการอื่นๆ โดยจะเดินทางผ่านเส้นทางธรรมชาติ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และไม่มีใครช่วยเหลือ จากนั้น นั่งรถบัสเดินทางเข้ามายังพัทยา เหตุผลที่อยากเข้ามาในไทย เนื่องจากอยากหาเงินให้กับครอบครัว ประกอบกับประเทศของตนมีสงคราม จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานในประเทศไทย ผู้ประกอบการเผยว่า ตนก็ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเสมอ แต่มีเอเจนซี่รายหนึ่ง ที่รับต่อวีซ่าและทำใบอนุญาตการทำงาน เป็นจำนวน 48,100 บาท/คน ตนได้จ่ายเงินไปแล้ว แต่เอเจนซี่ดำเนินการช้าเป็นเดือน เป็นเหตุทำให้วีซ่าแรงงานของตนขาดอายุ และถูก ตม.จว.ชลบุรีจับ ตนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็บริสุทธิ์ใจในสิ่งที่ตนทำว่าทำถูกต้องตามกฎหมายจริงๆ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ให้แรงงานต่างด้าว ทราบว่าเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงควบคุมตัวเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และเตรียมส่งตัวไปยัง สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียมผลักดันส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

‘เด็ก 15 ยอดกตัญญู’ ยอมหยุดเรียน ‘หาเลี้ยงน้อง-ดูแลย่า’ เร่เข็นรถเก็บขยะกลางแดดขาย ‘ไป-กลับ 14 กิโลเมตร’

(18 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบเด็กชายอายุประมาณ 14-15 ปี เดินเท้าเปล่าเข็นรถหาเก็บขยะริมถนนแถว ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย บางครั้งพาน้องชายและน้องสาวตัวน้อย อายุ 2-3 ขวบ มาตากแดดตากฝนเดินหาเก็บขยะด้วยกัน

ด้านชาวบ้านเห็นก็รู้สึกสงสาร อยากให้มีหน่วยงานมาช่วยเหลือ จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบเด็กดังกล่าวชื่อ นายอภินันท์ หรือน้องเอ อายุ 15 ปี กำลังเดินเข็นรถเก็บขยะอยู่ข้างทางกลางแดดเปรี้ยง

น้องเอ เล่าให้ฟังว่า พ่อแม่แยกทางกันและไม่มีที่อยู่ของตัวเอง ปัจจุบันอาศัยนอนในบ้านกลางนาของญาติ อยู่ร่วมกันทั้งหมด 7 คน มีย่าอายุ 63 ปี กับอา-อาสะใภ้ ลูกของอาอีก 3 คน อายุ 11 ปี 9 ปี และ 2 ขวบครึ่ง ตอนนี้หยุดเรียนหนังสือเพราะต้องคอยดูแลย่าที่เจ็บป่วยหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน กรดไหลย้อน ข้อเข่าเสื่อม และยังต้องหาเก็บขยะขายทุกวัน เพื่อจะได้มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว

น้องเอ บอกอีกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเรียน แต่ตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ แล้วก็เป็นห่วงย่า เลยหยุดความคิดไว้ก่อน ส่วนที่ว่าทำไมต้องพาน้องสาวตัวน้อยวัย 2 ขวบ (ลูกของอา) ไปเก็บขยะด้วยกัน ก็เพราะว่าอาไม่อยู่บ้าน ต้องออกไปทำงานรับจ้าง ตนจึงช่วยดูแลน้องแทน

นางกิ่ม (ย่าน้องเอ) บอกว่า หลานชายเป็นเด็กขยัน ช่วยงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่หยุดเรียนเมื่อปีที่แล้ว ก็ออกจากบ้านเดินหาเก็บขยะทุกวัน โดยมีชาวบ้านใจดีให้ยืมรถเข็น ขายขยะได้เงินวันละ 50-150 บาท ก็เอามาให้ย่าหมด เก็บไว้ซื้อยาซื้อกับข้าวกินในครอบครัว

ชาวบ้าน อ.เมืองสุโขทัย บอกว่า เห็นน้องเอเดินเท้าเปล่าเข็นรถเก็บขยะแทบทุกวัน เดินไป-กลับก็ประมาณ 14 กิโลเมตร บางวันก็พาน้องๆ มาด้วย เดินตากแดดตากฝน ชาวบ้านสงสารก็เลยให้น้ำ ให้ขนม ให้เสื้อผ้า และเก็บขวดน้ำ ลังกระดาษไว้ให้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใจบุญสามารถส่งสิ่งของจำเป็นมาช่วยเหลือได้ที่ นางกิ่ม (ย่า) หรือนายอภินันท์ (น้องเอ-เด็กกตัญญู) บ้านเลขที่ 44 หมู่ 2 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย 64210

สงขลา-ผบช.สตม.แถลง 2 คดีสำคัญ ทั้งรวบหัวหน้าแก๊งโคลอมเบียที่ก่อเหตุลักทรัพย์บ้านของนักธุรกิจที่มาเลเซีย ได้ทรัพย์สินไปรวมกว่า 70 ล้านบาท

อีกคดีจับหนุ่มอิตาลีลักลอบค้าโคเคนให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสายปาร์ตี้บนเกาะสมุย และยังเปิดธุรกิจให้เช่ารถจักรยานยนต์บังหน้าโดยใช้นอมินีชาวไทย เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ 18 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมคริสตัล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผู้แทน ผกก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลกรปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจเข้าเมือง 2 คดีสำคัญในรอบเดือนนี้ โดยคดีแรกทาง ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายโลเปซ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ชาวกัวเตมาลา ได้ที่บริเวณหน้าล็อบบี้ทางเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ซึ่งหลบหนีเขาเมืองโดยผิดกฎหมาย

และยังได้รับการประสานจากตำรวจมาเลเซียว่า ชายคนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งคนร้ายอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุร่วมกันลักทรัพย์ที่บ้านพักนักธุรกิจคนหนึ่งกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ทรัพย์สินของมีค่าไปรวมมูลค่าหลายรายการรวมกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งทั้งแก๊งมี 8 คน และตำรวจมาเลเซียคชติดตามจับกุมไปได้แล้ว 7 คน เหลือแค่เพียงหัวโจกรายนี้ และคาดว่า น่าจะหลบหนีมาตามช่องทางธรรมชาติผ่านข้ามแดนมายังประเทศไทย เพื่อที่จะหลบหนีไปยังเพื่อนบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวน และเฝ้าติดตามจนกระทั่งทราบว่า ได้หลบหนีเข้ามายังอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหารถเช่าเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ จึงเข้ารวบตัวได้ในที่สุด
ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่า แท้จริงแล้ว นายโลเปซ เป็นชื่อปลอม โดยชื่อจริงคือ นายมิเกล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นชาวโคลอมเบีย และจากการตรวจค้นในห้องพักโรงแรมหรูพบของกลางทั้งสร้อยคอ กำไล แหวน และเครื่องประดับรวม 6 ชิ้น ซึ่งคาดว่า เป็นของที่ได้ขโมยมา จึงยึดเอาไว้ และแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยสอบสวนเบื้องต้น นายมิเกล ไม่ได้ให้การอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายผู้นำพาข้ามแดน และเมื่อคดีสิ้นสุดจะกักตัวไว้ เพื่อรอดำเนินการตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังพบว่า นายมิเกล เคยร่วมกับพวกสัญชาติเดียวกันก่อเหตุเช่ารถตระเวนลักทรัพย์ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกข้อมูลประวัติไว้ในบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของ สตม. ด้วย ส่วนอีกคดีเป็นปฏิบัติการสยบนักค้ายาต่างชาติในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งมีการลักลอบค้าโคเคน และตั้งนอมินีธุรกิจเช่ารถบังหน้ามาหลายปี โดยเจ้าหน้าที่ ตม.สุราษฏร์ธานี ได้จับกุมตัวชายชายต่างชาติคือ นายแมตติโอ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ชาวอิตาลี ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน)

หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีชาวต่างชาติลักลอบขายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยกัน โดยเฉพาะสายปาร์ตี้ ที่เดินทางมรท่องเที่ยวที่เกาะสมุย จึงส่งสายลับชาวต่างชาติสืบหาข้อมูลจนรู้ตัว และวางแผนล่อซื้อ โดยให้สายลับทำทีสั่งโคเคนจำนวน 25 กรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท เป็นเงินจำนวน 62,500 บาท ก่อนที่ นายแมตติโอ จะขับรถจักรยานยนต์มาส่งยาให้ที่บริเวณบาร์แห่งหนึ่ง ถนนเลียบหาดละไม ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่จึงรวบตัวเอาไว้ได้และคุมตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักที่บ้านพักเลขที่ 105/23 ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ซึ่งพบว่า ได้เปิดเป็นร้านธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ โดยไม่พบยาเสพติดเพิ่มเติม แต่พบรถจักรยานยนต์สำหรับให้เช่าจำนวนมากว่า 70 คัน รวมทั้งสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ 8 เล่ม วงเงินหมุนเวียนรวมกว่า 8 ล้านบาท และพบเงินสดเกือบ 1.1 ล้านบาท จึงได้ทำการยึด และอายัดทรัพย์สินนำส่ง สำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ และมีรถให้เช่ากว่า 70 คัน แท้จริงแล้วมีนอมินีเป็นสาวชาวไทย คือ น.ส.วาสนา (ขอสงวนนามสกุล) โดยสาวชาวไทยถือหุ้นในสัดส่วน 51 เปอร์เซ็น ส่วน นายแมตติโอ ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งคู่เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายให้สามารถประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรตามเงื่อนไขของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมด และผลกำไร เป็นของ นายแมตติโอ แต่เพียงผู้เดียว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วาสนา ในฐานความผิดเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินคดีกับนายแมตติโอ เพิ่มเติมในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อให้ตนประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ สตม. ให้ข้อมูลว่า จากพฤติการณ์ดังกล่าว นายแมตติโอ ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร และเปิดกิจการเช่ารถมอเตอร์ไซด์บังหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ และแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า ตนเองมีกิจการเป็นที่มั่นคง เพื่อปิดบังอำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการขายยาเสพติด ซึ่งจากการสอบถาม นายแมตติโอ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดต่อขอซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มคนต่างชาติด้วยกัน แล้วนำมาแบ่งขาย หรือที่ภาษาในหมู่นักขายยาใช้คำว่า “จอยส์” โดยขายให้กับคนต่างชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวในยามค่ำคืน และได้ให้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปสู่ต้นทางของยาเสพติดที่ระบาดในหมู่นักท่องเที่ยวต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘รพ.ดัง’ แจงยิบ!! กรณีลืมผ้าก๊อซในช่องคลอดคนไข้ เหตุ!! ไม่ได้วัดความยาวผ้า ยัน!! จะไม่เกิดเหตุซ้ำอีก

(18 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ออกแถลงการณ์ เรื่อง กรณีข่าวผู้ป่วยของโรงพยาบาลพบผ้าก๊อซตกค้างในช่องคลอด 

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้รับการรักษาโดยการฉายรังสีและใส่เครื่องมือสำหรับใส่แร่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567

ซึ่งทางทีมแพทย์ ได้ใส่เครื่องมือสำหรับใส่แร่เข้าไปในช่องคลอด พร้อมใส่ผ้าซับโลหิต ชนิดก๊อซแบบม้วน เพื่อให้เครื่องใส่แร่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และลดปริมาณรังสีที่มีผลต่ออวัยวะข้างเคียง หลังจากนั้นผู้ป่วยมีปัญหาในการติดเชื้อ ทางโรงพยาบาลได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน พร้อมหาแนวทางดูแลผู้ป่วยและญาติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีข้อสรุปดังต่อไปนี้ 

1.การใส่เครื่องใส่แร่พร้อมผ้าก๊อซแบบม้วนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ได้มีการนำอุปกรณ์และผ้าก๊อซออก แต่ขาดการตรวจสอบความยาวของผ้าก๊อซ ซึ่งโรงพยาบาลได้เน้นย้ำมาตรการให้เข้มงวดขึ้นดังนี้

1.1 ปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด บันทึกอุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนและหลังทำหัตถการ การตรวจภายในซ้ำเพื่อตรวจสอบสิ่งตกค้าง รวมไปถึงการตรวจสอบซ้ำ (Double check) จากเจ้าหน้าที่อีกคนก่อนเสร็จสิ้นหัตถการ

1.2 ตรวจสอบและบันทึกความยาวของผ้าก๊อซทุกครั้งก่อนและหลังการทำหัตถการ

1.3 เปลี่ยนผ้าก๊อซแบบม้วนปกติเป็นชนิดพิเศษที่มีแถบรังสี เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้จากการถ่ายภาพรังสี กรณีที่ความยาวของผ้าก๊อซไม่ครบ

2.การไม่ได้รับการอนุมัติสิทธิการรักษาอื่นนอกเหนือจากสิทธิการรักษามะเร็งที่ผู้ป่วยได้รับ เกิดจากการประเมินที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้มีมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้ทบทวนให้ความรู้เจ้าหน้าที่และเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับแพทย์ผู้ให้การรักษา

ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้ให้ข้อมูลกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริงดังกล่าว โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเสียใจและพร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้การรักษาพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ พร้อมเร่งดำเนินการเยียวยาและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และเน้นย้ำมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

‘ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์’ เผย!! ‘10 Quick Win’ เพื่อประชาคมธรรมศาสตร์ ลั่น!! พร้อมขับเคลื่อนทันทีใน ‘100 วันแรกของการบริหารงาน’

(18 มิ.ย. 67) ‘ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์’ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ - Supasawad Chardchawarn’ ในหัวข้อ ‘เปิด 10 โครงการ Quick Win ขับเคลื่อนทันทีใน 100 วันแรกของการบริหารงาน’ ระบุว่า...

“ผมได้ประชุมร่วมกับทีมบริหารธรรมศาสตร์ชุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแปลงทุกนโยบายที่ได้นำเสนอต่อประชาคมไปสู่การปฏิบัติจริง”

“เราได้ข้อสรุปกันแล้วว่า นี่คือ 10 Quick Win Projects ที่เราอยากจะส่งมอบต่อประชาคมธรรมศาสตร์ใน 100 วันแรกของการบริหารงาน มีตั้งแต่เรื่องเล็กที่เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของประชาคม อย่างอาหารราคาถูกที่จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า ไปจนถึงภาพใหญ่ของการพัฒนามหาวิทยาลัย”

ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับ 10 โครงการ Quick Win ใน 100 วันแรกของการบริหารงาน จะประกอบไปด้วย...

1.โรงอาหารราคาถูกที่รังสิต
- นำร่องที่แรก! เตรียมเปิดตัวโรงอาหารราคาถูกที่รังสิต
- อาหารอร่อย มีให้เลือกหลากหลาย สะอาด ถูกสุขลักษณะอนามัย

2.พัฒนาพื้นที่ให้คำปรึกษา เสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี
- ปรับปรุงระบบเข้ารับคำปรึกษานักศึกษาไม่ต้องรอคิวนาน
- เข้าถึงกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือได้ทันท่วงที

3 บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
- ขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำ
- เตรียมความพร้อมรับมือน้ำฝน

4.ที่จอดรถฟรีสำหรับบุคลากรศูนย์รังสิต
- เพื่ออำนวยความสะดวกต่อชีวิตการทำงาน ในรั้วธรรมศาสตร์

5.พัฒนาระบบ E-learning สำหรับการเรียนและสะสมหน่วยกิต ในธนาคารหน่วยกิต
- สะดวกต่อการเทียบโอนหน่วยกิต และการเรียนข้ามศาสตร์ของนักศึกษา

6 พัฒนาศูนย์สหกิจศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อม และการพัฒนาสมรรถนะให้นักศึกษา สำหรับการทำงาน
- สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เพื่ออำนวยความสะดวกการจัดนักศึกษาฝึกงาน

7.สนับสนุนและสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์สังคม สร้างความเข้มแข็งให้นักวิจัยรุ่นใหม่
- ผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพเพื่อขอตำแหน่ง ทางวิชาการและตอบโจทย์ปัญหา ความท้าทายของสังคม

8.เพิ่มขีดความสามารถ ในการพัฒนาข้อเสนอ โครงการวิจัย (Proposal Bank)
- โครงการสำหรับนักวิจัยรุ่นกลาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขอรับการสนับสนุนทุนวิจัย จากแหล่งทุนภายนอก

9.ปรับนโยบายรับอาจารย์ใหม่ 
- จัดทำแผนพัฒนาอาจารย์ อย่างมีส่วนร่วมกับคณะ

10.ปรับปรุงแนวทาง การต่อสัญญาจ้าง ของสายวิชาการ
- พัฒนาให้มีความเหมาะสมและทันสมัย

“หลังจากนี้จะทยอยเล่ารายละเอียดของแต่ละโครงการ พร้อมด้วยวิธีการประเมินผล ซึ่งผมได้ย้ำกับทีมว่า ต้องทำให้ประชาคมมีส่วนร่วมด้วยมากที่สุด เพราะหัวใจของการส่งมอบโครงการ คือความพึงพอใจของประชาคมครับ ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์” กล่าวทิ้งท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top