Friday, 5 July 2024
The States Times EconBiz Team

ก.แรงงาน เปิดไทม์ไลน์ฝึกอบรม ก.พ. - มี.ค. ชงสถาบัน MARA เทรนสมองกล - หุ่นยนต์ สร้างคนอัจฉริยะป้อน EEC

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เริ่มดีขึ้น หลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อน้อยลงหรือแทบไม่มีผู้ติดเชื้อภายในจังหวัดอีกเลย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กพร.เร่งดำเนินการ จัดฝึกอบรม ผลิตกำลังแรงงานป้อนสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการฝึกอบรมสาขาเทคโนโลยีการผลิตและหุ่นยนต์ ไปสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากยังมีความต้องการแรงานที่มีทักษะฝีมือจำนวนมากทั้งในระดับช่างปฏิบัติการและวิศวกร

ในส่วนนี้สถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) ซึ่งเป็นศูนย์ Training Excellent Center ของกพร. จึงเร่งดำเนินการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้ เพื่อให้มีศักยภาพรองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (High Technology) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

โดยล่าสุดสถาบัน MARA เปิดไทม์ไลน์โปรแกรมหลักฝึกอบรมช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2564 จำนวน 14 หลักสูตร ดังนี้...

(1) การใช้โปรแกรม PLC Basic PLC Gx Works

(2) PLC Advance

(3) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Siemens)

(4) การประยุกต์ใช้ PLC ในงานอุตสาหกรรม (Omron)

(5) การประยุกต์ใช้ CC-Link ในงานอุตสาหกรรม (Mitsubishi)

(6) การใช้เทคโนโลยี Industrial Internet of Things ในงานอุตสาหกรรม ระดับ 1 เปิด 2 รุ่น สาขาหุ่นยนต์

(7) ช่างควบคุมหุ่นยนต์ FANUC

(8) การควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรมสำหรับการจับชิ้นงาน

(9) การบำรุงรักษาหุ่นยนต์อุตสาหกรรม สาขาโปรแกรมการผลิต CAD/CAM/CAE

(10) การใช้โปรแกรม Solidworks CAD

(11) การใช้โปรแกรม NX CAD

(12) การจำลองขบวนการผลิตและวางแผนการผลิตด้วยโปรแกรม TECNOMATIX และสาขาเครื่องจักรกลการผลิต

(13) การใช้เครื่องมือวัดสามมิติ CMM ระดับ 1

(14) ช่างควบคุมเครื่องกัด CNC 5 แกน

ทั้ง 14 หลักสูตรเป็นไปตามความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบกิจการในเขต EEC ที่ต้องการให้เปิดฝึกอบรมในการพัฒนากำลังแรงงานในสาขานี้อีกด้วย

“ทุกหลักสูตรจะใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 30 ชั่วโมง บางหลักสูตรมีฝึกอบรมเฉพาะวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานในสถานประกอบกิจการเข้ารับการฝึกอบรมได้สะดวกขึ้น รับสมัครจำนวนจำกัดเพียง 20 คนต่อหนึ่งหลักสูตร สร้างระยะห่างทางสังคมเป็นไปตามมาตรการที่กพร. กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังคงคุณภาพของการฝึกอบรมไว้เช่นเดิม เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dsd.go.th/mara และ www.facebook.com/dsdmara หรือติดต่อสอบถามที่เบอร์โทร 0 3827 6823” อธิบดีกพร กล่าว

EXIM BANK แจงรัฐประหารในเมียนมา ยังไม่ส่งผลกระทบต่อลูกค้า และการค้าการลงทุนไทย - เมียนมา

นางวรรธนา มงคลศรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ได้ติดตามสถานการณ์รัฐประหารในเมียนมาอย่างใกล้ชิด และพบว่ายังไม่มีลูกค้า EXIM BANK ได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศของเมียนมา

นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบริการประกันการส่งออกคุ้มครองความเสี่ยงแก่ผู้ส่งออกไทยจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อหรือธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ ทั้งจากสาเหตุทางการค้าและการเมือง รวมทั้งบริการประกันความเสี่ยงการลงทุน (Investment Insurance) คุ้มครองความเสี่ยงทางการเมือง

กรณีโครงการลงทุนได้รับความเสียหายจากการดำเนินนโยบาย กฎระเบียบ หรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลในประเทศที่เข้าไปลงทุน จนมีผลกระทบในทางลบต่อโครงการและความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ของนักลงทุน

ทั้งนี้ ในปี 2563 ไทยและเมียนมามีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 6,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปเมียนมา 3,798 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าของไทยจากเมียนมา 2,795 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเมียนมาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 17 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 1.6% ของมูลค่าส่งออกรวม ในปี 2563 ที่ผ่านมามูลค่าส่งออกของไทยไปเมียนมาหดตัว 13% เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้การค้าชายแดนมีอุปสรรคในการขนส่งสินค้าและความต้องการบริโภคของเมียนมาชะลอตัวลง

"EXIM BANK โดยสำนักงานผู้แทนในย่างกุ้ง เมียนมา จะติดตามสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อประเมินผลกระทบในระยะสั้นและระยะถัดไปต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับเมียนมา และช่วยเหลือดูแลด้านการเงิน

รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าและผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน" นางวรรธนา กล่าว

นายศรชัย สุเนต์ตา กรรมการผู้จัดการ Chief Investment Officer บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด วิเคราะห์ปรากฎการณ์หุ้น Gamestop ในสหรัฐอเมริกา ที่กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในวงการตลาดทุนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

บทเรียน GAMESTOP เมื่อตลาดหุ้นถูกเปลี่ยนเป็น ‘MONEY GAME’ กำเนิดปรากฏการณ์ ‘แมงเม่า’ เขย่าจักรวาล ชัยชนะของนักลงทุนรายย่อย ถล่ม กองทุนรายใหญ่ (Hedge Fund) ราบคาบ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ?

นายศรชัย สุเนต์ตา กรรมการผู้จัดการ Chief Investment Officer บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด วิเคราะห์ปรากฎการณ์หุ้น GameStop ในสหรัฐอเมริกา ที่กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในวงการตลาดทุนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า

ดูเหมือนว่าสงครามในตลาดการเงินที่รายย่อยได้โต้กลับนักการเงินใน Wall street โดยเฉพาะกลุ่ม Hedge Fund นั้นจะเริ่มขยายวงกว้าง จากจุดเริ่มต้นที่มีผู้ใช้งานในเว็บ Reddit ห้อง wallstreetbets ที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่คล้ายเว็บ pantip.com ในบ้านเรา ได้โพสต์วิเคราะห์ว่าหุ้น GameStop ที่เป็นร้านขายเครื่องเกมส์ และแผ่นเกมส์ที่แนวโน้มธุรกิจกำลังถูก Disrupt จากที่ผู้บริโภคซื้อเกมส์ผ่านช่องทางดิจิตอลนั้น ราคายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และได้ถูกยืมหุ้นไปขายล่วงหน้าหรือเรียกว่า Short Sell จำนวนมาก

ชาวชุมชนใน Reddit จึงได้ชักชวนนักลงทุนคนอื่น ให้ซื้อหุ้นตัวนี้ส่งผลให้ราคาปรับตัวจากระดับ 39 ดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 19 มกราคม 2564 ขึ้นไปที่ 347 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 27 มกราคม 2564 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 789% โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ เรียกได้ว่ากองทุน Ark Invest หรือ Bitcoin ที่สร้างผลตอบแทนได้สูงมากในปีก่อน ก็เทียบไม่ติดเลยทีเดียว

GameStop Short Squeeze จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากแค่ไหน

โดยปกติแล้วหุ้นที่ไม่ได้มีน้ำหนักในดัชนีสูงจะไม่ค่อยกระทบกับตลาดหุ้นในภาพรวมเท่าใดนัก แต่ในครั้งนี้เพราะว่ามีกองทุนอย่าง Melvin Capital ซึ่งมีผู้ร่วมลงทุนอย่างบริษัท Citadel และPoint 72 ได้ทำการ Short sell หุ้น GameStop ไว้เป็นจำนวนมากโดยจะได้กำไรหากหุ้นปรับตัวลดลง แต่ในทางกลับกัน หากหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จะสามารถขาดทุนมากกว่าเงินต้นที่ลงทุนไว้ เพราะหุ้นนั้นราคาปรับลดลงได้ไม่ต่ำกว่า 0 แต่ตอนปรับตัวขึ้นนั้น กลับไม่มีเพดานจำกัดไว้ หรือเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ “จำกัดกำไร แต่ไม่จำกัดขาดทุน”

อีกทั้งการที่นักลงทุนรายย่อยดันหุ้นขึ้นไปทำให้ บริษัทที่เงินทุนจำกัดต้องจำใจปิดสถานะทั้งที่ขาดทุน โดยการที่ต้องนำเงินไปซื้อหุ้นในตลาดมาคืน หรือถูก “Short Squeeze” ก็ยิ่งเป็นการเร่งให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยสื่อต่างประเทศคาดว่าผู้ที่ทำการ Short sell ในครั้งนี้จะเสียหายราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐ หรือประมาณ 6 แสนล้านบาท

คำถามที่สำคัญก็คือปัจจุบันคนที่ Short Sell นั้นยอมแพ้ หรือปิดสถานะหรือยัง เพราะหากยังไม่ปิดสถานะกองทุนจะต้องมีเงินใหม่เข้ามาเพื่อค้ำเป็นหลักประกันหรือสำรองไว้เพื่อซื้อหุ้นที่ยืมไปขายล่วงหน้ามาคืน ซึ่งวิธีง่ายที่สุดก็คือการที่กองทุนจะขายหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนเพื่อมาชดเชยนั่นเอง แต่ก็อาจจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดหุ้นทั่วโลกอาจปรับตัวลดลงได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้

นอกจากนั้นนักลงทุนรายย่อยเมื่อเห็นวิธีการเช่นนี้ได้ผลกับหุ้น GameStop ก็เลยทำให้มีการชักชวนซื้อหุ้นขนาดเล็กเช่น หุ้น Koss ผู้ผลิตหูฟัง หุ้นโรงหนัง AMC และหุ้น Blackberry ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในระยะเวลาอันสั้น

ไม่นับกับการที่ผู้มีชื่อเสียงหลายคนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทั้ง Michael Burry ผู้ที่ทำกำไรจากเหตุการณ์ Hamburger Crisis ในปี 2008 หรือที่เราอาจรู้จักจากหนังเรื่อง “The Big Short” ที่ได้มีกำไรจากการลงทุนในหุ้น GameStop กว่า 1,500% หรือ Elon musk เจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ก็มีการใช้ Twitter พูดถึงหุ้น GameStop และไม่เห็นด้วยกับการที่วงการ Wallstreet ทำการออกกฎไม่ให้นักลงทุนซื้อหุ้น GameStop เพื่อกันการปั่นหุ้น แต่ไม่มีการห้ามนักลงทุนสถาบันในการซื้อหรือทำการ Short Sell

Money Game ในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อาจจะทำให้ภาครัฐเข้ามาปรับกฎเกณฑ์ในด้านตลาดการเงินรวดเร็วและเข้มขึ้น เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นไม่มีการจำกัดการปรับตัวสูงสุด เหมือนตลาดหุ้นบ้านเราที่จำกัดการเพิ่มขึ้นหรือลดลงสูงสุดวันละ 30% ทำให้สามารถเกิดภาวะที่ตลาดเป็นการเก็งกำไรได้รวดเร็วอย่างที่เห็นในเหตุการณ์นี้

เหมือนกับกรณีหลังวิกฤติ Hamburger Crisis ในปี 2008 ที่ทาง กลต. สหรัฐฯ ได้ปรับห้ามทำการ Naked Short ซึ่งคือการทำ Short Sell โดนผู้ขายไม่ได้มีการยืมหุ้นมาไว้ก่อนในวันที่สั่งขายหุ้น โดยในครั้งนี้เราอาจเห็นการเข้ามาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจำกัดการ Short Sell หรือการจำกัดการ Leverage ของนักลงทุนก็เป็นไปได้ อีกทั้งทางรัฐบาลของโจ ไบเดน และนางเจเน็ต เยลเลนก็ได้จับตาเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดกับกรณีนี้เช่นกัน ซึ่งจะส่งกระทบต่อ Sentiment ตลาด และทำให้นักลงทุนเริ่มรู้สึกว่าต้องทำการลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดหุ้นร้อนแรงเกินไป โดยทำการลดสัดส่วนในการถือหุ้นลงไปบ้างส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงนี้อาจจะเห็นการปรับฐานบ้าง

โดยหากมองในแง่มุมของปัจจัยพื้นฐานนั้นหุ้นร้านเกมส์ที่มีผลประกอบการขาดทุน แต่มีการซื้อขายที่ P/BV 60 กว่าเรียกได้ว่าเป็นราคาที่แพงอย่างแน่นอน แต่ผมขอยกคำพูดของเบนจามิน เกรแฮมซึ่งเป็นอาจารย์ของนักลงทุนเอกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ว่า “ในระยะสั้นตลาดหุ้นเป็นเครื่องโหวตลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาวตลาดหุ้นเป็นเครื่องชั่งน้ำหนัก” หรือหมายความว่า ในระยะสั้นมันไม่เกี่ยวหรอกครับว่า หุ้นตัวไหนจะถูกหรือแพง ใครจะวิเคราะห์ผิดหรือถูก มันสำคัญแค่ว่าเงินฝั่งไหนมากกว่าฝั่งนั้นก็จะเป็นผู้ชนะในหรือที่เราชอบเรียกกันว่า Money Game นั่นเอง

ด้วยความที่นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะโลภ นักลงทุนหน้าใหม่เห็นคนที่ลงทุนก่อนหน้าได้กำไรไปมากก็จะเข้ามาลงทุนตามๆกัน โดยหากมีเงินใหม่เข้ามาก็จะทำให้สามารถดันฟองสบู่ขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ จนกว่าที่จะมีใครสักคนได้สติ นึกถึงความเป็นเหตุผลขึ้นมาว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ใช่การลงทุนแต่เป็นการเก็งกำไร ก็จะเป็นจุดจบของ Money Game ในครั้งนี้

เหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของฟองสบู่ตลาดหุ้นหรือไม่

การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหุ้น GameStop นั้นนอกเหนือจากปัจจัยที่ชาวชุมชน Reddit รวมกันไล่ซื้อหุ้นแล้วยังมาจากปัจจัยของตัวเศรษฐกิจเองด้วย ทั้งการที่ภาครัฐออกนโยบายกระต้นเศรษฐกิจอย่างล้นหลาม โดยมีการแจกเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสภาวะดอกเบี้ยต่ำ และการที่ผู้คนมีการ WFH มากขึ้นทำให้มีนักลงทุนรายย่อยซื้อขายหุ้นผ่านทางแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ประกอบกับตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นทำ New High ได้ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้กำไรจากตลาดหุ้นรู้สึกฮึกเหิมว่ากำไรได้มาง่าย ก็ยิ่งเอาเงินเข้ามาใส่ตลาดหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก

ด้วยปัจจัยที่กล่าวมานั้น เป็นการบ่งบอกถึงการเริ่มต้นภาวะฟองสบู่ที่มาจากกลุ่มหุ้นขนาดเล็กก่อน โดยเรายังไม่เห็นฟองสบู่เข้าไปในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่กว่า และปัจจัยพื้นฐานดี ทำให้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากไม่สามารถทำการไล่ซื้อได้เหมือนหุ้น GameStop แต่สิ่งที่ต้องจับตาดูคือการที่นักลงทุนรายย่อยยังมีการใช้ Leverage ทั้งการซื้อหุ้นด้วย Margin หรือลงทุนใน Derivatives มากอยู่หรือไม่ โดยจากผลสำรวจของนักลงทุนรายย่อยในช่วงเดือนกันยายนมีนักลงทุน 43% ที่ลงทุนโดยใช้ Margin หรือซื้อ Options หรือการเปิดบัญชีนักลงทุนใหม่ที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น RobinHood แอพฯ เทรดดิ้งหุ้นนั้นยังมีคนดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นกว่าหกแสนรายในช่วงอาทิตย์ผ่านมา

โดยหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นสัญญาณที่เราเห็นว่าตลาดเริ่มเข้าสู่สภาวะฟองสบู่มากขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรจะต้องระมัดระวังอย่างมากหากจะเข้าลงทุนในหุ้นที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้ และหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงหากธนาคารกลางเริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบนั้นก็จะเป็นการที่ฟองสบู่อาจจะแตกได้ในท้ายที่สุด

กรณีหุ้น GameStop จะเกิดกับตลาดหุ้นไทยเราหรือไม่

ตลาดหุ้นไทยนั้นค่อข้างแตกต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะเรามีจำกัด Floor / Ceiling ที่ให้หุ้นปรับตัวขึ้นลงได้ไม่เกินวันละ 30% รวมถึงการที่หากเห็นการเก็งกำไรในหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทางตลาดหลักทรัพย์ก็มีการใช้มาตรการประกาศ Cash Balance ให้ต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการซื้อขายหุ้นเท่านั้นเพื่อลดภาวะเก็งกำไรในตลาด อีกทั้งสถานะ Short Sell ของหุ้นไทยนั้นยังมีสัดส่วนที่น้อย และไม่สามารถทำการ Naked Short ได้ทำให้ภาวะฟองสบู่ที่จะเกิดจากการถูก Short Squeeze เหมือนกรณีหุ้น GameStop ค่อนข้างจะทำได้ลำบากครับ

สุดท้ายนี้ผมก็อยากให้ผู้อ่านทุกท่านย้อนกลับมามองว่าเป้าหมายที่เราเข้ามาในตลาดหุ้นนั้นเพื่ออะไร ถ้าหากเป้าหมายคือการลงทุน ไม่ใช่การเก็งกำไรนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจหุ้นหรือฟองสบู่ที่คนส่วนใหญ่กำลังไปเข้าร่วมอยู่ เพราะการลงทุนนั้นไม่ใช่ดูเพียงราคาแต่เราต้องดูถึงคุณภาพและมูลค่าสิ่งที่เราลงทุนด้วยครับเพื่อที่เราจะสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องได้บรรลุเป้าหมาย หรืออย่างน้อยก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจว่าเงินที่เราลงทุนไปนั้นทำงานให้เราอย่างเต็มที่ครับ

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์รัฐประหารประเทศเมียนมา ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างกันมากนัก เพราะสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมา ก็ยังเปิดให้บริการเป็นปกติ

ล่าสุดสำนักงานพาณิชย์ไทยในเมียนมา ได้รายงานสถานการณ์ว่า ตอนนี้การค้าบริเวณด่านพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมาได้กลับมาให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าได้ตามปกติ แต่คาดว่าจะมีการจำกัดเวลาบ้าง จึงต้องติดตามสถานการณ์แบบวันต่อวันกันต่อไป

สำหรับปริมาณการค้าของทั้ง 2 ประเทศในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 164,000 ล้านบาท โดยไทยส่งออกสินค้าไปเมียนมากว่า 84,000 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากเมียนมากว่า 77,000 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้า ซึ่งการค้าระหว่างกันจะผ่านใน 3 ด่าน ได้แก่ ด้านแม่สาย มีมูลค่าการค้าในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ด่านแม่สอด จังหวัดตาก มีมูลค่าอยู่ที่ 74,000 ล้านบาท และด่านระนองมีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท

ขณะที่ภาคเอกชนไทยส่วนใหญ่ ยังขอรอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ขอประเมินสถานการณ์ก่อน โดยหวังว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่กระทำการใด ๆ ที่กระทบต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ต้องติดตาม สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีผลกระทบต่อสินค้าไทยหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องการลงทุนก็ต้องติดตามด้วยเช่นกัน

กระทรวงการคลัง เปิดเงื่อนไขมาตรการเยียวยามนุษย์เงินเดือนมาตรา 33 ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีรายได้ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อปี หรือ 2.5 หมื่นบาทต่อเดือน มีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 33 ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้ได้หารือร่วมกับกระทรวงแรงงานแล้ว และจะมีการพิจารณาพิจารณารายละเอียด และหลักเกณฑ์กับกระทรวงแรงงานกันอีกครั้ง โดยเฉพาะ จำนวนเงินที่จ่ายชดเชย รวมไปถึงจำนวนผู้ที่จะได้รับสิทธิ เช่นเดียวกับเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจะรีบทำให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด เบื้องต้น ในรูปแบบการจ่ายเงินอาจทำผ่านระบบประกันสังคม ซึ่งอาจมีรูปแบบคล้าย ๆ กับโครงการเราชนะ

สำหรับแนวทางการช่วยเหลือดังกล่าว ที่ผ่านมา ทางรมว.แรงงานเคยระบุว่า ได้กำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์และเงื่อนไข เอาไว้เบื้องต้น คือ 1.) มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์

2.) มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปีหรือเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท

3.) มีเงินฝากในธนาคารไม่เกิน 500,000 บาท

4.) ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้สิทธิ ซึ่งจะครอบคลุมแรงงานตามมาตรา 33 จำนวน 11 ล้านคน

“คลังจะรีบทำให้ได้ข้อสรุปเร็วที่สุด ซึ่งการจ่ายเงินอาจมีรูปแบบคล้ายๆ โครงการเราชนะ ที่จ่ายเงินผ่านทางแอพพลิเคชัน โดยพิจารณาจากข้อมูลของผู้ที่มีสิทธิ์ตามฐานข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม จากนั้นจึงเอามาประยุกต์ใช้กับการจ่ายเงินของกระทรวงการคลัง”

จากเฟซบุ๊ก Geng Sittipong Sirimaskasem ได้เรียบเรียง Speech ของ ‘ทิม คุก ซีอีโอ Apple’ ที่ตรงไปตรงมา ชัดเจน และดีที่สุดครั้งหนึ่ง...จนหลายคนที่ได้อ่าน อาจจะรู้สึกว่าวันนี้ ‘อิสรภาพของเรากำลังหายไปหรือไม่ จากเทคโนโลยีที่คอยล้วงข้อมูลชีวิตเราทุกลมหายใจ’

เราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ควรจะเป็นคือ เทคโนโลยีที่ทำงานเพื่อคุณ เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้คุณนอนหลับได้ ไม่ใช่กระตุ้นให้คุณตื่นอยู่เสมอ เป็นเทคโนโลยีที่บอกให้คุณพอได้แล้ว ให้คุณมีเวลาสำหรับสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ได้วาดรูป ได้เขียน หรือได้เรียนรู้ ไม่ใช่ขอให้คุณ refresh อีก ดูอีก

มันต้องเป็นเทคโนโลยีที่ทำงานอย่างเงียบๆ ขณะที่คุณกำลังปีนเขา หรือว่ายน้ำ แต่มันจะเตือนคุณเมื่อหัวใจคุณทำงานผิดปกติ และช่วยคุณได้เมื่อคุณเกิดอุบัติเหตุล้มลง

และทั้งหมดหมายถึงการเก็บ ความลับ ความเป็นส่วนตัวที่ถือเป็นความสำคัญที่สุดลำดับที่หนึ่ง เพราะไม่ควรมีใครได้สิทธิ์ส่วนตัวของคุณไปใช้ในการสร้างโปรดักส์ที่ดี

คุณจะเรียกว่าเราไร้เดียงสาก็ได้ แต่เรายังเชื่อในเทคโนโลยีที่สร้างโดยคน เพื่อคน และทำให้คนอยู่อย่างเป็นสุข ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยากที่เราจะไม่สนใจ เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีที่ดี วัดผลได้จากความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น

ถ้าเรารับได้ว่าเรื่องการโดนล้วงข้อมูลเป็นเรื่องธรรมดาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคิดว่าทุกอย่างของเรานั้นสามารถรวบรวมนำไปขายได้ สุดท้ายแล้วเราไม่ได้จะเสียแค่ข้อมูล แต่เรากำลังจะเสียอิสระภาพของความเป็นคนด้วย..

นี่คือส่วนหนึ่งของ Speech โดย ทิม คุก CEO ของ Apple ที่พูดไว้ในงาน Privacy & Data Protection conference เมื่อวันที่ 28 ที่ผ่านมา

เนื้อหาค่อนข้างตรงไปตรงมา และแทงใจบริษัทอย่าง Facebook โดยตรง แต่ในฐานะ Apple users รู้สึกว่า นี่คือการยืนยันที่จะเป็น ผู้นำในการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ที่นอกจากจะได้ภาพด้านนี้แล้ว ยังสร้าง Branding ที่ดีให้กับ Apple ได้อีกด้วย

ถือว่าเป็น speech ที่ยอดเยี่ยม...

ทั้งนี้ Apple ยังได้ปล่อยเอกสารที่ชื่อว่า ‘A Day in the Life of Your Data’ ซึ่งเปิดด้วย quote ของ Steve Jobs ที่เขียนว่า..

“เราเชื่อว่ามนุษย์เรานั้นฉลาด และหลายคนก็ต้องการจะแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่น แต่ขอให้ถามเขาก่อน ถามเขาทุกครั้ง ถามจนกว่าเขาจะบอกให้หยุดถามเมื่อเขาเริ่มเบื่อกับคำถามของเรา ให้เรารู้ชัด ๆ ว่าคุณกำลังจะทำอะไรกับข้อมูลของเขา”

“I believe people are smart and some people want to share more data than other people do. Ask them. Ask them every time. Make them tell you to stop asking them if they get tired of your asking them. Let them know precisely what you're going to do with their data.”

ส่วนด้านล่างนี่คือ speech ของ ทิม คุก ช่วงที่ผมตัดมานะครับ

We believe that ethical technology is technology that works for you. It’s technology that helps you sleep, not keeps you up. That tells you when you’ve had enough, that gives you space to create, or draw, or write or learn, not refresh just one more time. It’s technology that can fade into the background when you’re on a hike or going for a swim, but is there to warn you when your heart rate spikes or help you when you’ve had a nasty fall. And that all of this, always, puts privacy and security first, because no one needs to trade away the rights of their users to deliver a great product.

Call us naive. But we still believe that technology made by people, for people, and with people’s well-being in mind, is too valuable a tool to abandon. We still believe that the best measure of technology is the lives it improves.


ที่มา:

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158974172635070&id=570720069

รองนายกรัฐมนตรี ‘สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์’ เผยยอดขอส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 63 มีทั้งสิ้น 453 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 2 แสนล้าน ขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนสูงสุดกว่า 5 หมื่นล้าน ตั้งเป้าปี 64 ดึงดูดเม็ดเงินลงทุน 3 แสนล้าน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ว่า ได้รับทราบภาพรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนใน อีอีซี

ในปี 2563 มีทั้งสิ้น 453 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.08 แสนล้านบาท คิดเป็น 43% ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ เป็นการลงทุนจากต่างประเทศรวม 1.15 แสนล้านบาท คิดเป็น 55% ของมูลค่าขอรับส่งเสริมทั้งหมดใน อีอีซี

โดยนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาลงทุนใน อีอีซี สูงสุด มูลค่าการลงทุน 50,455 ล้านบาท คิดเป็น 44% และอันดับสองเป็นนักลงทุนจากจีน มูลค่าการลงทุน 21,831 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 63 จาก 453 โครงการ ได้อนุมัติคำขอแล้ว 292 โครงการ ออกบัตรส่งเสริมแล้ว 172 โครงการ และได้เริ่มโครงการแล้ว 79 โครงการ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 แม้จะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่รัฐบาลยังคงนโยบายปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุน ทั้งในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี และพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมาย

ด้วยการใช้ทุกองคาพยพ ทั้งสำนักงานอีอีซี และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ร่วมกันคัดเลือกกลุ่มนักลงทุน แก้ปัญหา และพิจารณาสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าหมายดึงดูดการลงทุนในอีอีซี ให้ได้ 3 แสนล้านบาท ในปี 2564 เพิ่มจากปีก่อน 50%

ส่องไส้ใน ส่องออกไทย รู้แล้วจะอึ้ง ! พบผู้ส่งออก 50 อันดับแรกของไทย เป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ถึง 80% มีบริษัทคนไทยเพียง 20% เท่านั้น ขณะที่จำนวนบริษัทส่งออกในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 36,164 ราย

ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมการส่งออกของไทย เส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี แต่บางปีก็เครื่องสะดุดติดลบบ้างจากหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันของโลก

โดยปี 2563 ล่าสุด ส่งออกไทยสะเทือนจากพิษโควิด-19 ระบาดทั่วโลก ทำตัวเลขส่งออกได้มูลค่า 231,468.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวลดลงจากปีก่อน -6% ส่วนในรูปเงินบาทมีการส่งออก 7.17 ล้านล้านบาท ขยายตัวลดลง -5.9% โดยปี 2563 มีบริษัทส่งออกรวมทั้งสิ้น 36,164 ราย โดยในจำนวนนี้จากการตรวจสอบข้อมูลของ “ฐานเศรษฐกิจ”ที่ได้รับจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร เผยถึง ผู้ส่งออกรายใหญ่ใน 50 อันดับแรก พบสัดส่วน 80% เป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่สัดส่วน 20% เป็นบริษัทคนไทย โดยรายชื่อบริษัทส่งออก 50 อันดับแรกที่มี่มูลค่าส่งออกสูงสุดตามลำดับ ประกอบด้วย

1.) บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย)จำกัด (บจก.)

2.) บจก.วาย แอล จี บลูเลียน อินเตอร์เนชั่นแนล

3.) บจก.เอชจีเอสที (ประเทศไทย)

4.) บจก.โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย

5.) บจก.เอ็มทีเอสโกลด์ (หรือห้างทองแม่ทองสุก)

6.) บจก.โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิปิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง

7.) บจก.ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช

8.) บจก.ซิเลซติกา (ประเทศไทย)

9.) บจก.มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)

10.) บจก.เวสเทิร์น ดิติตอล (ประเทศไทย)

11.) บจก.บริงค์ส (ประเทศไทย)

12.) บจก.เอเชียนฮอนด้ามอเตอร์

13.) บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (บมจ.)

14.) บจก.ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย)

15.) บจก.เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย

16.) บจก.นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)

17.) บจก.ฟาบริเนท

18.) บจก.ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์

19.) บจก.โซนี เทคโนโลยี (ประเทศไทย)

20.) บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)

21.) บจก.อีซูซุมอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) 22.) บจก.ไทย ไลอ้อน เมนทารี

23.) บจก.แม็กซิม อินทริเกรดเต็ด โปรดักส์ (ประเทศไทย)

24.) บจก.ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์)

25.) บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย)

26.) บจก.ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย)

27.) บจก.ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย)

28.) บจก.ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย)

29.) บจก.ยูแทคไทย

30.) บจก.มิตซูบิชิ อีเลคทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย)

31.) บจก.พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง

32.) บมจ.การบินไทย

33.) บจก.สยามมิชลิน

34.) บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (สาขา 1)

35.) บจก.บีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย)

36.) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล

37.) บจก.โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์)

38.) บจก.ค้าผลผลิตน้ำตาล

39.) บจก.ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม

40.) ราชการกองบัญชาการกองทัพไทย

41.) บจก.แอลแอลไอที (ประเทศไทย)

42.) บจก.ซูมิโตโม รับเบอร์ (ไทยแลนด์)

43.) บจก.สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น

44.) บจก.ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม

45.) บจก.ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง

46.) บจก.เอสซีจี เพอร์ฟอร์มานซ์ เคมิคอลส์

47.) บจก.โรม อินทิเกรเต็ด ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย)

48.) บจก.แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย)

49.) บจก.สแนชั่น (ไทยแลนด์)

และ 50.) บจก.แคนนอน ปราจีนบุรี (ประเทศไทย)

ทั้งนี้ในภาพรวมปี 2563 มีบริษัทส่งออกรวมทั้งสิ้น 36,164 ราย ในจำนวนนี้ที่มีมูลค่าส่งออกระดับแสนล้านบาทมีจำนวน 5 ราย มูลค่าการส่งออกรวม 630,687 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.79% ของมูลค่าการส่งออกรวม

ส่วนบริษัทที่มีมูลค่าการส่งออกระดับหมื่นล้านบาท มีจำนวน 108 ราย มูลค่าการส่งออกรวม 2.83 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.47% บริษัทที่มีมูลค่าการส่งออกระดับพันล้านบาทมีจำนวน 859 ราย มูลค่าการส่งออกรวม 2.28 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 31.85% มูลค่าการส่งออกระดับร้อยล้านบาทมีจำนวน 3,521 ราย มูลค่าการส่งออกรวม 1.13 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15.76% และมูลค่าการส่งออกระดับน้อยกว่าร้อยล้านบาท มีจำนวน 31,671 ราย มูลค่าการส่งออกรวม 296,655 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.13% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม

จากข้อมูลแสดงให้เป็นว่าบริษัทที่มีมูลค่าการส่งออกสูง ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยรวมถึงบริษัทส่งออกแถวหน้าของไทย ขณะที่บริษัทส่งออกของไทยโดยรวมมีมูลค่าส่งออกน้อยกว่าร้อยล้านบาทเป็นส่วนใหญ่

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การที่บริษัทส่งออกในกลุ่ม 50 อันดับแรกที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจากต่างประเทศ หรือบริษัทข้ามชาติสะท้อนให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วประเทศไทยเป็นฐานผลิตให้กับประเทศอื่น

ซึ่งแม้จะช่วยเพิ่มตัวเลขส่งออกให้กับประเทศก็จริง แต่ถ้าพูดถึงเม็ดเงินที่ตกถึงคนไทยเองก็ไม่ได้มาก แต่ตัวเลขส่งออกส่วนใหญ่จะไปตกกับบริษัทแม่ต่างชาติเสียส่วนใหญ่ หากในอนาคตบริษัทแม่เหล่านี้พิจารณาลงทุนหรือขยายฐานการลงทุนในประเทศอื่นที่มีข้อได้เปรียบด้านต่าง ๆ ดีกว่าไทย การส่งออกที่เป็นของประเทศไทยหรือผู้ประกอบการไทยจริง ๆ จึงอยู่ในสถานการณ์ที่น่าห่วง

ด้านดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ภาคการส่งออกของไทยส่วนใหญ่อยู่ในมือของบริษัทต่างชาติแม้จะช่วยสร้างงานและสร้างเงินให้กับประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นในหลายประเด็น เช่น การผลิตและส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของบริษัทไทยยังใช้เทคโนโลยี หรือใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ายังไม่มาก

ทำให้มูลค่าการส่งออกยังไม่สูง, ในสินค้าเกษตร หรือเกษตรแปรรูป ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยี หรอนวัตกรรมในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ามาก ส่วนใหญ่ยังส่งออกในรูปวัตถุดิบ หรือแปรรูปเล็กน้อย และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) ที่เข้ามาลงทุนในไทยไม่ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับคนไทย ผิดกับ FDI ที่ไปลงทุนในจีนจะถูกบังคับเงื่อนไขให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม ทำให้จีนมีการพัฒนาสินค้ารุดหน้าไปกว่าไทยมาก เป็นต้น

"สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งทำเพื่อผลักดันมูลค่าการส่งออกให้เพิ่มขึ้น ได้แก่

1.) ประเมินตัวเองว่าอยู่ตรงไหนของอุตสาหกรรม 4.0 เพราะบางคนอาจจะยังอยู่ 1.0 2.0 หรือ 3.0 ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยมาก ซึ่งต้องเร่งปรับตัว

2.) ปรับโครงสร้างการการผลิตให้ตอบโจทย์เทรนด์ของโลกในเรื่องเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว)

3.) บริหารจัดการต้นทุนให้ต่ำสุดและประสิทธิภาพการผลิตสูงสุด และ

4.) รัฐบาลต้องประกาศตัวเองว่าจะผลักดันสินค้าใดของไทยบ้างให้เป็นสินค้าโปรดักส์แชมป์เปี้ยนของโลก และมีแผนงานยุทธศาสตร์ในการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม

กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าแกว่งในกรอบ 1,425-1,500 จุด ส่วนค่าเงินบาท ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว อยู่ที่ 29.80-30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระบุ การประชุม กนง. - สถานการณ์โควิด-19 - ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบจ. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของไทย

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (1 - 5 ก.พ.) มีแนวรับที่ 1,455 และ 1,425 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,480 และ 1,500 จุด ตามลำดับ

โดยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (3 ก.พ.) สถานการณ์โควิด-19 ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบจ. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของไทย รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนม.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนี PMI Composite เดือนม.ค. ของยูโรโซน ญี่ปุ่นและจีน

ขณะที่ ค่าเงินบาท ประเมินว่า จะเคลื่อนไหว อยู่ที่ 29.80 - 30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (3 ก.พ.) ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ดัชนี PMI และดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนม.ค. 64 ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน รายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค. 63

นอกจากนี้ตลาดอาจรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการเดือนม.ค. ของจีน ยูโรโซน อังกฤษ และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 ของยูโรโซน ด้วยเช่นกัน

'จุรินทร์'​ นำทีมลุย!! ลานมัน ตรวจเข้มการรับซื้อหัวมันสำปะหลังหนองบัวลำภู 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ราคามันสําปะหลัง ณ ลานมัน ห้างหุ้นส่วนจํากัด อุดรไพบูลย์ อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พร้อมคณะ

นายจุรินทร์ พบปะเกษตรกร ตรวจขั้นตอนการรับซื้อมันสำปะหลัง และกล่าวว่า นำกระทรวงพาณิชย์มาติดตามสถานการณ์ราคามันสำปะหลังที่จังหวัดอุดรธานีกับจังหวัดน้องบัวลำภู ซึ่งที่นี่เป็นโรงโรงมันที่ส่งมันเส้นออกนอกประเทศเพื่อทำเอทานอล​ ที่ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะร่วมมือกันกับสมาคมมันสำปะหลังต่างๆ​ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ที่จะหาทางยกระดับราคาให้สูงขึ้นจากที่ซื้อขายกันในลานมันที่กิโลกรัมละ 2.00-2.10 บาท ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสมาคมผู้ส่งออก เกษตรกร ทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันช่วยกันยกระดับราคา โดยสัปดาห์นี้จะพยายามยกระดับราคาการรับซื้อหัวมันสดที่เชื้อแป้ง 25% ให้ได้ถึง 2.40 บาท ถ้าเป็นไปได้สัปดาห์ต่อไปจะขยับขึ้นเป็น 2.45-2.50 บาท โดยสถานการณ์ดีขึ้นมีการรับซื้อที่เชื้อแป้ง 25% ตามมาตรฐานที่กิโลกรัมละประมาณ 2.40 บาทในขณะนี้ บางแห่งก็ 2.45 บาท ถือว่ามาตรการเริ่มได้ผล
.
"ถัดจากนี้ไปได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดที่มีมันสำปะหลัง​ ติดตามตรวจสอบบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด

1.มันสำปะหลังเป็นสินค้าควบคุมต้องติดป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจน เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบและต้องบังคับใช้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

2.ขณะนี้ราคาแอลกอฮอล์เอทานอลในตลาดจีนขยับตัวสูงขึ้นน่าจะส่งผลให้สามารถรับซื้อหัวมันสดจากเกษตรกรในประเทศได้ราคาดีขึ้นสอดคล้องกับราคาแอลกอฮอล์ที่เมืองจีนเกิดติดปัญหาคือผู้ส่งออกของเราบางรายไปตัดราคากันเองทำให้ทำให้ได้ราคาไม่ถึงราคาที่ควรจะเป็น​ โดยบริษัทที่จะส่งออกเอทานอลได้ต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกถ้ารายได้ไปขายตัดราคาจะทำให้สมาคมมีมาตรการไล่ออกจากสมาชิกจะทำให้ส่งออกไม่ได้เป็นการตกลงร่วมกัน

3.การลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ตนได้พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขอความกรุณาท่านนายกสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงศุลกากรและผู้เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเคร่งครัดกับการนำเข้า ไม่ให้มีการลักลอบ มากดราคามันสำปะหลังจากเกษตรกรในประเทศไทย 

4.ช่วงไหนหัวมันสำปะหลังออกมากจะให้ชะลอขาย​ โดยกระทรวงพาณิชย์มีเงินช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 สำหรับการเก็บมันไว้ช่วยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ทั้งเกษตรกรสหกรณ์และโรงมัน

กระทรวงพาณิชย์จะพยายามดูแลเกษตรกรให้ดีที่สุดร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่ถ้าราคาต่ำกว่ากิโลกรัมละ 2.50 บาท ที่เชื้อแป้ง 25% กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรจะยังมีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่กิโลกรัมละ 2.50 บาท​ โดยมีส่วนต่างโอนเงินเข้าบัญชี ธ.ด.ส.ของเกษตรกรชาวไร่มันที่มาขึ้นทะเบียนไว้โดยอัตโนมัติเพื่อช่วยชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรสามารถขายมันสำปะหลังที่เชื้อแป้ง 25% ได้ในรายได้ 2.50 บาท ตามรายได้ที่ประกัน

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุด้วยว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กำชับให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในติดตามผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมทำลายตลาดอย่างใกล้ชิด และบังคับใช้กฎหมายในกำกับดูแลของแต่ละหน่วยงานทันทีเมื่อพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขอย้ำว่าหากกลไกภาคเอกชนมีความเข้มแข็ง จะแก้ปัญหาการขายตัดราคาที่ไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายตลอดห่วงโซ่อุปทานในระยะยาวได้

และหากพบเห็นการนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ ความชื้นสูง มีสิ่งปลอมปน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1385 กรมการค้าต่างประเทศ และหากเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อขายมันสำปะหลัง หรือถูกเอาเปรียบในการชั่ง ตวง วัด สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา เพื่อให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อไป


สำหรับวันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะ ได้ติดตามสถานการณ์ราคาเพื่อช่วยเกษตรกรอย่างใกล้ชิดประกอบด้วย นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น 
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top