Wednesday, 3 July 2024
The States Times EconBiz Team

สำนักข่าวต่างประเทศ NPR ได้ติดตามชีวิตผู้ให้บริการทางเพศ (Sex Workers) ในประเทศไทย ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยระบุว่าอุตสาหกรรมทางเพศในประเทศไทยกำลังหยุดชะงัก

ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ปิดประเทศและยกเลิกเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวประเทศไทยซบเซา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมทางเพศที่ได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าต่างชาติพังทลายลงเช่นกัน

การวิเคราะห์ในปี 2015 โดย Havocscope บริษัทวิจัยที่ศึกษาตลาดมืด คาดว่า การค้าบริการทางเพศของไทยมีมูลค่าสูงถึง 6,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (190,000 ล้านบาท) ต่อปี หรือประมาณ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ แม้ว่าจะยังคงเป็นงานผิดกฎหมายอยู่ก็ตาม

แต่เมื่อต้องเผชิญกับมาตรการจำกัดการท่องเที่ยวนานแรมปี บวกกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการปิดล็อคอีกครั้งในหลายจังหวัด รวมถึงพัทยาซึ่งถูกประกาศเป็นเขตควบคุมสูงสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 63 เพราะเจอผู้ติดเชื้อสูงถึง 144 ราย จนทำให้สถานที่สาธารณะส่วนใหญ่รวมถึงผับบาร์ต้องปิดตัว

รายงานข่าวจาก NPR ได้มีการพูดคุยกับพนักงานวัย 26 ปี ทำงานอยู่ที่บาร์เกย์แห่งหนึ่งในพัทยา โดยเผยว่า แต่เดิมอาชีพของเขารายได้ดีมากเมื่อเทียบกับพนักงานทั่วไปหรืองานบริการอื่น ๆ เขาสามารถสร้างบ้านเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างสบาย แต่เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เขาต้องประสบปัญหาอย่างหนัก ไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่าเช่าห้องพัก จึงตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ก่อนที่เงินออมจะหมดลงในเดือนตุลาคม และรู้สึกหดหู่ซ้ำเข้าไปอีก เพราะหลังจากโควิดระบาดใหม่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการปิดพรมแดน จนยากที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาในเร็ววัน

อีกรายหนึ่งเป็นผู้ค้าบริการทางเพศวัย 28 ปี ก็ได้เผยว่า เมื่อก่อนอาชีพนี้อาจทำเงินได้มากถึง 3,000 ถึง 6,000 บาทต่อคืน แต่ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้เงินเลย และขณะนี้บาร์เปิดให้บริการน้อยลงกว่าแต่ก่อน ซึ่งนั่นแปลว่าพวกเขาต้องทำงานหนักมากขึ้น ในขณะที่ได้เงินน้อยลง

ผู้ให้บริการทางเพศหลายคนต้องหันไปทำงานอื่นอย่างเช่น การขายอาหาร หรือหันไปให้บริการทางออนไลน์ โดยการให้บริการผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ และรับเงินผ่านทาง PayPal

NPR ยังได้พูดคุยกับผู้จัดการบาร์ Cheap charlie's bar ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและได้รับคำตอบว่า บาร์ของเขาตอนนี้มีแต่ชาวต่างชาติที่มีรายได้น้อยและพวกเขามักปฏิเสธที่จะซื้อเครื่องดื่มและใช้บริการเด็กนั่งดริ๊งก์ “อุตสาหกรรมนี้กำลังจะตาย” ผู้จัดการบาร์กล่าว

อย่างไรก็ตามผู้ให้บริการส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนมาตรการการควบคุมและป้องกันโรคที่เข้มงวดและยอมรับในการปิดพรมแดน แม้ว่าพวกเขาจะต้องลำบากหรือตกงานแต่เขาก็ต้องการได้เงินอย่างปลอดภัยเช่นกัน


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/644895

https://www.npr.org/sections/goatsandsoda/2021/02/03/960848011/how-the-pandemic-has-upended-the-lives-of-thailands-sex-workers

เรียกว่าเป็นอีกข่าวดีที่มีเยาวชนไทย ได้ทำการประดิษฐ์เทคโนโลยี เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน อย่างเครื่องดักจับคาร์บอนในอากาศ ที่สามารถแปลงเป็นเชื้อเพลิงได้

ก่อนหน้านี้ Elon Musk เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า มหาเศรษฐี CEO ของ Tesla เคยทวิตข้อความว่าจะสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3 พันล้านบาท) ให้กับผู้ที่สามารถคิดค้นเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดีที่สุด

โดยล่าสุด Elon Musk ประกาศว่า XPRIZE องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่เป็นแพลตฟอร์มการจัดแข่งขันเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับมนุษยชาติ จะเป็นผู้จัดการแข่งขันเฟ้นหาผู้ที่สามารถสร้างเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนที่ดีที่สุด

แม้ทาง XPRIZE จะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดจนกว่าจะถึงว่าที่ 22 เมษายน แต่เบื้องต้น XPRIZE ประกาศแนวทางคร่าวๆ ในเว็บไซต์ดังนี้

1.) ทีมที่เข้าแข่งขันจะต้องคิดค้นโมเดลการจัดการคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ และต้องสามารถขยายสเกลของโมเดลการจัดการคาร์บอนให้ได้ถึงระดับกิกะตัน

2.) เป้าหมายของการแข่งขันในครั้งนี้คือ การสร้างวิธีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 10 กิกะตันต่อปีภายในปี 2050

Elon Musk กล่าวในประกาศการแข่งขันว่า “เราต้องการสร้างระบบที่ชัดเจน วัดผลได้จริง สามารถสร้างผลกระทบได้ในระดับกิกะตัน (ระดับพันล้านตัน) และต้องทุ่มเททั้งหมดที่มีเพราะเวลาไม่คอยท่า”

การแข่งขันครั้งนี้จะกินระยะเวลา 4 ปี โดยใน 18 เดือนแรก ผู้เข้าแข่งขัน 15 ทีมสุดท้ายจะได้รับเงินทุนสนับสนุนทีมละ 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น

ส่วนการแข่งขันในรอบสุดท้าย ผลรางวัลมีดังนี้

• ทีมชนะเลิศจะได้รับรางวัล 50 ล้านดอลลาร์

• ทีมรองชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับรางวัล 20 ล้านดอลลาร์

• ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 จะได้รับรางวัล 10 ล้านดอลลาร์

• ทีมของนักเรียนนักศึกษา จะได้รับทุนจำนวน 2 แสนดอลลาร์ (25 ทุน)

แน่นอนว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วนอย่างมาก แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือ หนึ่งในเด็กไทยที่ถูกจับตามองด้วยจากโครงการนี้

‘แอนโทนี - ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์’ อายุ 15 ปี นักเรียนเกรด 9 ที่โรงเรียนนานาชาติเกนส์วิลล์ เชียงราย เป็นเด็กไทยที่ได้เสนอไอเดียนวัตกรรมต่อ ‘อีลอน มัสก์’ ในการดักจับคาร์บอนในบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ที่จะช่วยแก้ไขปัญหามลพิษในอากาศที่ภาคเหนือได้ด้วย

โดยแอนโทนีได้ทำคลิปวิดีโอเผยแพร่ลงบนยูทูบเพื่อเป้าหมายเสนอโครงการดังกล่าว ซึ่งในเนื้อหาของวิดีโอ ได้กล่าวถึง ที่มาของแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมเครื่องดักจับคาร์บอนของเขาด้วย

“ผมเห็นข่าวที่มัสก์ลงมาช่วยภารกิจ 13 หมู่ป่า ที่ถ้ำขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย และรู้สึกประทับใจในตัวของมัสก์ ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมกู้ภัยได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงอยากให้มัสก์ได้เห็นว่า คนไทยสามารถผลิตนวัตกรรมดักจับคาร์บอนได้ ซึ่งเราเห็นความสำคัญของเรื่องมลพิษทางอากาศผ่านปัญหาหมอกควันในภาคเหนือช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” (แอนโทนี เผยกับ National Geographic ประเทศไทย)

ภายในคลิปวิดีโอได้อธิบายหลักการทำงานของเครื่องมือนี้ไว้ว่า ในส่วนตัวเครื่องมีกลไกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศให้เป็นก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ และก๊าซออกซิเจน รวมถึงภายในเครื่องมือนี้ยังสามารถดักจับฝุ่นละลอง PM 2.5 ได้อีกด้วย

สำหรับก๊าซไฮโดรเจนที่ได้ สามารถนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงมีเทนและปิโตรเลียม ส่วนก๊าซออกซิเจนสามารถปล่อยคืนสู่ชั้นบรรยากาศได้ โดยปัจจุบันเครื่องมือนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแอนโทนีและคุณลุงผู้เป็นนักประดิษฐ์ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในอนาคต

คลิกชมคลิป >> video 

 


ที่มา:

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3425884500873306/

https://brandinside.asia/elon-musk-donate-for-carbon-capture-tech-competition/

https://ngthai.com/envir.../33745/carbon-capture-technology/

https://twitter.com/aphiyachon?s=21

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3424998934295196/

VietJet สายการบินราคาประหยัดของเวียดนาม เผยรายได้ปี 2020 มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 90 ล้านบาท โชว์ศักยภาพสายการบินเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่มีกำไร และไม่ต้องปรับลดพนักงานในช่วงวิกฤติโควิด-19

แม้ในปีที่ผ่านมา VietJet จะเปิดให้บริการเที่ยวบินได้เพียง 78,462 เที่ยว ซึ่งลดลงจากปี 2019 ที่ให้บริการ 139,000 เที่ยว แต่ VietJet ก็ยังทำกำไรได้ถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 90 ล้านบาท ขณะที่สายการบินอื่นๆ ตกอยู่ในภาวะขาดทุนหรือต้องปิดกิจการ

กุญแจสำคัญของ VietJet อยู่ตรงไหน?

ในปีที่ผ่านมา รายได้เสริมของVietJet คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว VietJet ไม่มีเครื่องบินบรรทุกสินค้าเป็นของตัวเอง จึงต้องดัดแปลงเครื่องบินโดยสารเพื่อรองรับการขนส่งสินค้า โดยการถอดที่นั่งออกและยึดสินค้าด้วยตาข่าย

จากนั้นก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทอื่นๆ ทำให้สามารถขยายเครือข่ายการขนส่งสินค้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ บริษัทขนส่งสินค้ายูพีเอส โดยในปี 2020 VietJet เป็นสายการบินแห่งแรกของเวียดนามที่ได้รับอนุมัติให้ขนส่งสินค้าในห้องโดยสาร (CIPC) สามารถขนส่งสินค้าไปทั่วโลกได้กว่า 6 หมื่นตัน ทำให้รายได้จากการขนส่งสินค้าพุ่งขึ้น 75% ในไตรมาส 4/2020 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตขึ้นเพียง 16% และถือเป็นการทำธุรกิจขนส่งสินค้าที่ไปไกลได้ถึงทวีปอเมริกาและยุโรปครั้งแรก ทั้งที่เดิมเป็นแผนที่วางไว้ในอนาคต ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสายการบินที่ส่งเสริมการขายสินค้าและบริการเพื่อชดเชยรายได้จากการจำหน่ายตั๋วโดยสารที่ลดลง

ไม่เพียงแต่การปรับธุรกิจเป็นเครื่องบินขนส่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา VietJet ยังเปิดตัว VietJet Ground Services Center (VJGS) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (ฮานอย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดการต้นทุนสายการบินและช่วยปรับปรุงการรับรู้แบรนด์และคุณภาพการให้บริการของสายการบินดีขึ้น แถมยังเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อาทิ บัตรกำนัลพาวเวอร์พาส (Power Pass) และบัตรกำนัลพาวเวอร์พาสสำหรับชั้นโดยสารสกายบอส (Power Pass Skyboss)

ในส่วนของการลดค่าใช้จ่าย VietJet ก็ได้บริหารจัดสรรฝูงบินใหม่ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 10% ผ่านการเจรจาขอส่วนลด 20-25% จากผู้ผลิต พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปได้ 10% โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ยังประสบความสำเร็จจากการประกันความเสี่ยงราคาเชื้อเพลิง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงได้ 25% เมื่อเทียบกับราคาตลาด

นอกจากนี้ ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากการเปิดศูนย์บริการพิเศษภาคพื้นดินที่สนามบินนานาชาติโหน่ยบาย ในฮานอย รวมถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่มีมาตรการที่ขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศ และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี ขยายระยะเวลาการชำระภาษี ลดค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงเครื่องบินและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ตลอดจนได้รับการพิจารณาข้อเสนอความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลสำหรับสายการบินท้องถิ่น

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สายการบิน VietJet ไม่จำเป็นต้องปรับลดพนักงานลง แถมยังทำให้เกิดกำไรสวนทางกับสายการบินอื่นๆ ในโลก

ปัจจุบันสินทรัพย์ของ VietJet มีมูลค่ารวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้บริการเที่ยวบินในปี 2020 ที่ 78,462 เที่ยวบิน มีชั่วโมงบินรวม 120,093 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสารกว่า 15 ล้านคน อัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคของ VietJet สูงถึง 99.64% ได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยระดับ 7 ดาว เป็นระดับสูงสุดและได้รับการจัดอันดับจาก Airline ratings อยู่ใน 10 อันดับสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในโลกประจำปี 2020 และตอนนี้ VietJet กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศเวียดนามแล้วกว่า 47 เส้นทาง


ที่มา:

https://www.posttoday.com/world/644433

https://brandinside.asia/vietjet-income-and-profit-in-2020/?fbclid=IwAR1SYc8XVnZMKVQIDX8jf56IPij-5sEYJ1egqdkAH9WKYTJWkOBA_y__R1E

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ชำแหละการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุนใช้ ‘เกณฑ์เดิม’ ดีกว่า ‘เกณฑ์ใหม่’ เพราะเป็นโครงการที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เกณฑ์เดิม "ดีกว่า" เกณฑ์ใหม่

คาดว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งใหม่แทนการประมูลเดิมที่ถูก รฟม.ยกเลิกไป แต่ผมมั่นใจว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะอะไร?

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ต้องใช้เกณฑ์ใหม่เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากจะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ยังคงเปิดให้บริการ จะต้องตัดเสาเข็มสะพานลอยโดยไม่ปิดการจราจร และที่สำคัญ จะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง จะใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้

เกณฑ์เดิมไม่ดีจริงหรือ?

ตามเกณฑ์เดิมเอกชนจะยื่นข้อเสนอ 4 ซอง ดังนี้

ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ

คณะกรรมการคัดเลือกจะประเมินข้อเสนอด้านคุณสมบัติว่ามีครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 2 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 2 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค

มีคะแนนเต็ม 100% แบ่งเป็น 5 หมวด ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้คะแนนในแต่ละหมวดไม่น้อยกว่า 80% และจะต้องได้คะแนนรวมของทุกหมวดไม่น้อยกว่า 85% หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 3 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 3 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 3 ข้อเสนอด้านผลตอบแทน

ผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม.มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล แล้วจึงเปิดซองที่ 4 ของผู้ชนะการประมูลต่อไป

ซองที่ 4 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.

แต่หลังจากปิดการขายเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) แล้ว รฟม.ประกาศเปลี่ยนการใช้เกณฑ์ประเมินเป็นเกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าเกณฑ์เดิมคัดเลือกผู้ชนะโดยการดูเฉพาะคะแนนผลตอบแทนเท่านั้น หากเอกชนรายใดรายหนึ่งเสนอผลตอบแทนให้ รฟม.ต่ำกว่าอีกรายเพียงเล็กน้อย

แต่เอกชนรายนั้นได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่า จะทำให้ รฟม.เสียโอกาสในการได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

แต่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกณฑ์เดิมได้ให้ความสำคัญด้านเทคนิคไว้สูงสุดแล้ว เพราะให้คะแนนไว้เต็ม 100% พร้อมทั้งกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 85% นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 85% จึงจะสอบผ่าน และจะต้องได้คะแนนในหมวดย่อยอีก 5 หมวด หมวดละไม่น้อยกว่า 80% ผู้ยื่นข้อเสนอที่สอบผ่านถือว่ามีความสามารถด้านเทคนิคสูงมาก สามารถทำการก่อสร้างงานประเภทไหนก็ได้

การกำหนดคะแนนรวมด้านเทคนิคไว้ 85% ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง-ท่าพระ มีเส้นทางผ่านเยาวราชซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ รฟม.กำหนดคะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 70% เท่านั้น แม้กำหนดคะแนนสอบผ่านด้านเทคนิคไว้เพียง 70% แต่ผู้รับเหมาที่ชนะการประมูลก็สามารถทำการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงฟันธงว่าเกณฑ์เดิมดีมากอยู่แล้ว รฟม.ไม่ควรยกเลิกแล้วเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ใหม่

เกณฑ์ใหม่ดีจริงหรือ?

เกณฑ์ใหม่พิจารณาซองที่ 1 (คุณสมบัติ) เช่นเดียวกับเกณฑ์เดิม แต่พิจารณาซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) และซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) พร้อมๆกัน โดยให้คะแนนรวมซองที่ 2 และซองที่ 3 เท่ากับ 100% แบ่งเป็นคะแนนซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) 30% และคะแนนซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) 70% สำหรับคะแนนด้านเทคนิคนั้น รฟม.ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้

นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะได้คะแนนด้านเทคนิคต่ำเพียงใดก็ถือว่าสอบผ่าน อีกทั้ง การให้คะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 30% เป็นการลดความสำคัญด้านเทคนิคลงมา ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของ รฟม.ที่ต้องการใช้เกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าจะทำให้ได้ผู้ยื่นข้อเสนอที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องใช้เป็นเกณฑ์ที่ รฟม.เคยใช้มาแล้วในอดีตนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ รฟม.คงเห็นว่าไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่ซับซ้อน จึงทำให้ รฟม.เลิกใช้เกณฑ์นี้หันมาใช้เกณฑ์เดิม (แยกซองเทคนิคออกจากซองผลตอบแทน) หรือเกณฑ์ที่ประกาศใช้ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งแรก

สรุป

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องการใช้ไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟาสายสีส้มที่มีเส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน วิ่งผ่านใต้สะพานลอย (ต้องตัดเสาเข็มที่รองรับสะพานลอย) ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา

เกณฑ์เดิมจะทำให้ รฟม.คัดเลือกได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงเหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการนี้ และจะทำให้ รฟม.ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ รฟม.จึงควรพิจารณาใช้เกณฑ์เดิมในการเปิดประมูลครั้งใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdrhttp://https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdr

ททท.คาดบรรยากาศท่องเที่ยวช่วงตรุษจีนปีนี้เงียบเหงา แม้รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ คาดมีคนเดินทางท่องเที่ยวเพียง 2.3 แสนคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนแค่ 602 ล้านบาท

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2564 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 12-14 ก.พ. 2564 ว่า บรรยากาศโดยรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา โดยจากการสำรวจพบว่า มีคนเดินทาง 2.35 แสนคน-ครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนแค่ 602.20 ล้านบาท โดยทั่วประเทศมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพียง 15% เท่านั้น

ทั้งนี้เป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ไม่เพียงกระทบต่อความเชื่อมั่น และความปลอดภัย ทำให้ต้องงดหรือชะลอการเดินทางท่องเที่ยว แต่ยังฉุดให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนกลับมาซบเซาอีกครั้ง ส่งผลต่อรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายค่อนข้างมาก  

ททท. ด้วยประเมินว่า หากสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายๆ พื้นที่มีแนวโน้มลดลง และภาครัฐมีมาตรการผ่อนคลายพื้นที่ ทำให้ 60 จังหวัดเมืองหลัก และเมืองรอง มีความพร้อมรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนประมาณ 65.38% แต่เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวมีจำกัด 

ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงน่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ และเน้นกิจกรรมตามวิถีแห่งศรัทธาด้วยการไหว้พระ เทพเจ้า ขอพร และแก้ปีชงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีน โดยจากการวิเคราะห์การพูดคุยในสังคมออนไลน์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 6 ก.พ. 64 เกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พบว่า จังหวัดที่โดดเด่นมีการพูดถึงค่อนข้างมากคือ นครนายก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะกับการเดินทางแบบกลุ่มครอบครัว

สะเทือนวงการเงินดิจิทัล และอาจจะรวมถึงโลกการเงินเลยก็ได้ เมื่อ Tesla ได้ยื่นข้อมูลต่อคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ซื้อ Bitcoin มูลค่า 45,000 ล้านบาท

โดยบริษัทได้กล่าวว่าการซื้อ Bitcoin ในครั้งนี้ เป็นการกระจายเงินสดสำรองของบริษัทไปลงทุนใน สินทรัพย์ดิจิทัล ทองคำ และ ETF ทองคำ

ทั้งนี้ในเดือนที่แล้ว บริษัท Tesla ได้อัปเดตนโยบายการลงทุน ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเพิ่มผลตอบแทนของเงินสดสำรองซึ่งเป็นส่วนเกินจากเงินสำรองเพื่อสภาพคล่องในการดำเนินงานปกติ โดยบริษัทบอกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และBitcoin อาจเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้เงินสดของบริษัทในระยะยาวได้

แต่อีกเรื่องที่น่าทึ่งต่อเนื่องจากข่าวนี้ คือTesla กล่าวว่า จะเริ่มรับชำระเงินค่าซื้อผลิตภัณฑ์ของ Tesla ด้วยBitcoin ได้ในอนาคต ซึ่งหลังจาก Tesla ประกาศข่าวเรื่องดังกล่าวออกไป ก็ทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งทะลุ 42,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นอัตรา +9% และถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ทันที

หลังจากข่าวนี้ออกมา ก็ดูท่าจะไปกระตุกต่อมคันของ เจ้าพ่อสตาร์ทอัพเมืองไทยอย่าง กระทิง พูนผล ที่ออกมาให้มุมมองต่อสินทรัพย์แห่งการแลกเปลี่ยนใหม่ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น โดยมี Tesla เป็นตัวเร่งว่า…

“มันส์มาก ๆ ช่วงนี้ จากเหรียญหมา (Dogecoin) มา Tesla <> BTC ต่อไปสงสัยจะมีเงินสกุล Musk เอาไว้ใช้จ่ายในนิคมบนดาวอังคารในอีก 15 ปีข้างหน้า”

เรื่องนี้กำลังจะบอกอะไรเรา?

ทรัพย์สินที่เรียกว่า ‘เงินสด’ อาจจะค่อยๆ ด้อยค่าลงหรือไม่?

เพราะหากผู้ผลิตที่มีสินค้า พร้อมจะลงเอยกับทรัพย์สินบางประเภทที่มิใช่เงินตรามากขึ้น อาจจะเปลี่ยนระบบการเงินโลกแบบครั้งใหญ่กันเลยทีเดียว

อย่างในประเทศไทยเอง หากยังพอจำกันได้เกือบๆ 10 ปีก่อน ก็เคยมีกรณี 'พระสมเด็จแลกรถเบนซ์' ของ นายวสันต์ โพธิพิมพานนท์ เจ้าของเบนซ์ทองหล่อ ซึ่งยินดีที่จะรับพระสมเด็จแท้ๆ พระเครื่องชุดเบญจภาคี รวมทั้งพระเครื่องยอดนิยมชุดอื่นๆ มาแลกกับรถเบนซ์ได้ แต่ย้ำว่าต้องเป็นพระแท้เท่านั้น เพียงแต่ตั้งแต่แผนการตลาดครั้งนั้นเกิดขึ้น ก็ยังไม่มีใครนำพระชุดเบญจภาคีที่ขึ้นชื่อว่าสวยสมบูรณ์แลกรถเบนช์ไปได้ทั้งคัน หรือต้องให้ทั้งรถและเพิ่มทั้งเงินก็ยังไม่เคยมี

อนาคตการแลกเปลี่ยน ด้วยเงินตรา อาจจะหายไปหรือไม่? ต้องติดตามดู…


ที่มา:

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/206384

https://www.sec.gov/.../00015645902.../tsla-10k_20201231.htm

https://seekingalpha.com/.../3659395-bitcoin-flirts-with...

https://u.today/breaking-tesla-gets-15-billion-worth-of…

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10158699084935609&id=648910608

หอการค้าไทย คาดบรรยากาศตรุษจีนปีนี้ไม่คึกคัก คาดเงินสะพัดต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลดจากปีก่อนราว 12,000 ล้านบาท เหตุพิษโควิด-19 ระบาด ส่งผลคนส่วนใหญ่ระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยภาพรวมเทศกาลตรุษจีนในปี 2564 ว่า บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คงจะไม่คึกคักมากนัก

โดยจากการสำรวจพบว่า จะมีเงินสะพัดในช่วงเทศกาลปีนี้เพียง 44,939 .67 ล้านบาทถือว่าต่ำสุดในรอบ 13 ปี ลงลง 21.85% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มีสาเหตุมาจากความกังวลต่อปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถจะท่องเที่ยวได้มากนัก และประชาชนยังระระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย จึงทำให้การใช้จ่ายซื้อสินค้าเซ่นไหว้ในช่วงตรุษจีนกันไม่มากนัก

สำหรับเหตุผลที่การจับจ่ายน้อยลงมา ส่วนใหญ่มาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทั้งรอบเก่าและรอบใหม่รวมไปถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ประชาชนมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยลดลง โดยจากการสำรวจ พบว่า คนจะนำเงินจากที่ได้รับการช่วยเหลือผ่านโครงการของรัฐมาดำเนินการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะนำมาซื้อของเซ่นไหว้

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า "แม้เทศกาลตรุษจีนในปีนี้จะติดลบมากกว่าร้อยละ 21 หรือมีเงินหายจากระบบเมื่อเทียบกับตรุษจีนของปีที่ผ่านมากว่า 12,000 ล้านบาท แต่ก็เชื่อว่า จะมีเงินอัดฉีดผ่านโครงการภาครัฐอีกหลายโครงการ

โดยต้องติดตามโครงการไทยชนะและโครงการเรารักกัน โครงการคนละครึ่งที่จะมีเม็ดเงินรวมกันรวมกว่า 330,000 ล้านบาทที่จะอัดฉีดเข้าระบบได้ต่อเนื่องไปอีก จึงเชื่อว่าจะมีส่วนสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2564"

เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว ใครจะคิดว่าสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นสิ่งของประจำตัวผู้คนได้เหมือนทุกวันนี้ และใครจะรู้ว่าโลกจะถูกย่อให้เล็กลงด้วยโซเชียลมีเดีย

และยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่ไหลวนเข้ามาในชีวิตแบบไม่มีหยุด อย่างตอนนี้ โลกของเราก็จะกำลังจะเป็นเหมือนหนังไซไฟที่โลกแห่งความเป็นจริงกับโลกเสมือนจริงเริ่มเชื่อมติดกัน เช่น มีการนำความสนุกออฟไลน์กับเกมออนไลน์ผสมผสานเข้ากันในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวัน

ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีศึกษาดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า อนาคตต่อจากนี้ กำลังจะเกิดปรากฏการณ์ใหม่และยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า ‘เมทาเวิร์ส’

ถ้าใครยังไม่เคยได้ยินคำว่า ‘เมทาเวิร์ส’ (Metaverse) ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหันมาสนใจ เพราะโลกยุคใหม่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคเมทาเวิร์สอย่างรวดเร็ว

เมทาเวิร์สเป็นคำที่มาจากนิยายไซไฟ ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์อย่าง The Matrix หรือ Ready Player One ก็อาจจะพอนึกภาพการผสมผสานระหว่าง ‘โลกแห่งความเป็นจริง’ กับ ‘โลกเสมือนจริง’ อย่างกลมกลืน และแทรกซึมในทุกส่วนของชีวิตประจำวัน

ลองนึกตามดูครับว่า คุณเดินเข้าไปในห้างเสมือนจริง เพื่อซื้อชุดนักรบให้กับตัวคุณที่เป็นขุนศึกในเกมสามก๊กออนไลน์ จากนั้นไปที่ฟู้ดคอร์ตเพื่อกดซื้ออาหารให้ Grab Car ส่งกลับไปที่คอนโด

จากนั้นก็ไปฟังคอนเสิร์ตที่คอนเสิร์ตฮอลล์ ฟังไปครึ่งทางก็สามารถเชื่อมถ่ายทอดเสียง Live เข้ากับหูฟัง และเดินออกมาก่อนเพื่อไปวิ่งในยิมพร้อมกับฟังการแสดงสดไปพร้อมกัน ระหว่างที่วิ่งในยิมก็ใส่แว่นเชื่อมต่อกับโลก Virtual เพื่อวิ่งแข่งกับเพื่อนที่วิ่งอยู่ที่บ้าน โดยสนามที่วิ่งแข่งกันเป็นสนามเขาวงกตที่ปรากฏผ่านแว่นตาในโลก Virtual…

เมทาเวิร์สมีคนแปลไทยว่า ‘โลกพหุภพ’ ที่เชื่อมทั้งภพโลกความเป็นจริง เข้ากับภพโลกเสมือนจริง และภพโลกดิจิทัล ผู้คนสามารถจับจ่ายใช้สอยและส่งถ่ายข้อมูลข้ามแพลตฟอร์ม ข้ามโลก ข้ามภพได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา เราได้เห็นพัฒนาการของอินเตอร์เน็ต จากโลกของคอมพิวเตอร์ Desktop เป็นโลกของสมาร์ทโฟน (Mobile) หลายคนบอกเรากำลังก้าวเข้าสู่โลก Internet of Things ที่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นอุปกรณ์สมาร์ตที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น

แต่โลกเมทาเวิร์สไปไกลกว่านั้นอีกครับ เพราะเป็นการผสานเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) AR (Augmented Reality) ที่กำลังรุดหน้าแบบติดจรวดเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง รวมทั้งกับโลกดิจิทัลแพลตฟอร์มจนเป็นเนื้อเดียวกัน

เมทาเวิร์สยังเป็นโลกที่ผสานเกมและความบันเทิงเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร้รอยเชื่อมต่อ ผลคือจะเป็นการขยายขอบเขตและพื้นที่ของเศรษฐกิจให้ใหญ่โตขึ้นหลายเท่าจากปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่อินเทอร์เน็ต และโลกดิจิทัลได้เปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจและสร้างโอกาสธุรกิจใหม่มหาศาล โลกเมทาเวิร์สก็มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนเกมธุรกิจชนิดพลิกโฉม

มีนักวิเคราะห์เทรนด์ธุรกิจในจีนอธิบายว่า ยุทธศาสตร์ธุรกิจของ Google และ Facebook ที่เริ่มเปลี่ยนจากการพัฒนา และสร้างสรรค์แพลตฟอร์มของตัวเอง มาเป็นการเข้าซื้อกิจการ และแพลตฟอร์มต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น Google เข้าซื้อ Android, Youtube, DoublicClick และ Facebook เข้าซื้อ Instagram, Oculus และ WhatsApp ทั้งหมดล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่โลกเมทาเวิร์สที่จำเป็นต้องกระจาย และเชื่อมโยงหลายแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ

ล่าสุด Packy Mccormick บล็อคเกอร์ชื่อดังแห่งบล็อก Not Boring ที่เขียนเกี่ยวกับเทรนด์การลงทุนใหม่ ๆ ได้วิเคราะห์ว่า วงการ Tech จีน อาจเป็นผู้นำการผลักโลกเข้าสู่ยุคเมทาเวิร์สสมบูรณ์แบบ โดยบริษัท Tech จีนที่มีศักยภาพ และมีทิศทางชัดเจนในการสร้างเศรษฐกิจเมทาเวิร์ส ก็คือ Tencent

เพราะ Tencent มีพื้นฐานครบถ้วน ทั้งในการเป็นเจ้าตลาดเรื่องเกมออนไลน์ เรื่องความบันเทิงที่หลากหลาย รวมทั้งเรื่องโซเชียลมีเดียผ่านแพลตฟอร์ม Wechat ในจีน แถมตอนนี้ Tencent กำลังทุ่มทุนเต็มที่กับการพัฒนาเทคโนโลยี VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality)

เครือ Tencent ยังเข้าร่วมลงทุนในบริษัทอย่าง Epic Games ซึ่งได้เข็นเกม Fortnite ที่โด่งดังออกมา หลายคนมองว่า Fortnite เป็นเกมรูปแบบใหม่ที่จะเป็นฐานต่อยอดการสร้างเศรษฐกิจเมทาเวิร์สในอนาคตได้ นอกจากนั้น Tencent ยังลงทุนใน Snap ซึ่งเป็นผู้นำในการสร้างโอกาสทางธุรกิจจากเทคโนโลยี AR (Augmented Reality)

มีนักวิเคราะห์ในจีนมองว่า ไม่ใช่เฉพาะ Tencent เท่านั้น แต่บริษัท Tech ชั้นนำของจีนเริ่มมีการวางรากฐานเพื่อก้าวสู่โลกเมทาเวิร์สมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด New Retail ของ Alibaba ที่ต้องการผสานโลกช็อปปิ้งออฟไลน์ และออนไลน์เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ หรือโมเดลโซเชียลคอมมิร์ซของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายใหม่ในจีนอย่าง Pinduoduo โมเดลโซเชียลคอมเมิร์ซจะมีศักยภาพมหาศาลเมื่อเปลี่ยนจากโลกช็อปปิ้งออนไลน์มาเป็นโลกเมทาเวิร์ส

อนาคตมักมาถึงเร็วกว่าที่เราคิดเสมอนะครับ


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10157561741235025&id=520965024

Cr : ภาพ Exzy VR Lab

วิถีชีวิตแบบชุมชน ถ้าถอดรหัสความแข็งแกร่ง และปั้นออกมาต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ ก็มีโอกาสสร้างโอกาสทางการท่องเที่ยวและรายได้ให้แก่คนพื้นที่ได้อย่างมาก

ล่าสุดโรงเรียนบ้านเขาเฒ่า หมู่ 3 ต.บางเตย อ.เมืองพังงา ได้เปิดสถานที่ท่องเที่ยวจุดเช็คอินแห่งใหม่ ‘ทุ่งดอกปอเทือง’ ที่กำลังชูช่อบานสีเหลืองสวยงาม ทำให้มีนชาวบ้านในพื้นที่และใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม บันทึกภาพสวย ๆ ลงในสื่อโซเชียลต่าง ๆ โดยปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจ และมีผู้คนแวะเข้ามาเยี่ยมชมมากกว่า100 คน

ที่น่ารักไปกว่านั้น คือ ที่นี่จะให้เด็กนักเรียนเป็นมัคคุเทศน์น้อย พาเที่ยวชมตามจุดต่างๆ แถมยังทำหน้าที่เป็นช่างภาพถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ตามจุดถ่ายรูปต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์จากธรรมชาติและของเหลือใช้ในชุมชน จนสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก

นายนิกรณ์ โยมเนียม ผอ.โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า เปิดเผยว่า “โรงเรียนบ้านเขาเฒ่าใช้แนวคิด Happy school Model โดยเริ่มต้นจากการทำโรงเรียนให้เหมือนบ้านสร้างความสุข จากคุณครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงลูกๆนักเรียน

“จากนั้นก็ขยายผลไปสู่ชุมชนผ่านอุทยานการเรียนรู้ Happy school ซึ่งแต่เดิมพิกัดดังกล่าวเป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ แต่ด้วยจำนวนเด็กนักเรียนที่ลดน้อยลง จึงไม่ได้ประโยชน์เต็มพื้นที่ จนกลายเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวของชาวบ้าน ทางโรงเรียนจึงเกิดไอเดียว่า ถ้าเรานำทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวมาทำให้เกิดประโยชน์สร้างรายได้ให้กับโรงเรียนและชุมชน โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมน่าจะดี จึงได้ทำการปรับภูมิทัศน์พร้อมกับปลูกต้นปอเทืองเมื่อปลายปี 2563

“ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการอบรมเด็กนักเรียนให้มีความพร้อมที่จะดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในโรงเรียน โดยเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้นปอเทือง ได้เริ่มออกดอกบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองสวยงาม จึงกลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันภายในโรงเรียน ยังมีการจัดมุมเรียนรู้ในการทำการเกษตรวิถีใหม่รับการท่องเที่ยว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในอนาคตควบคู่กันไป

“อย่างไรก็ตามอุทยานการเรียนรู้ Happy school นี้ ไม่ใช่เป็นแค่แหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติให้กับนักเรียนที่เป็นห้องเรียนแห่งใหม่ ที่เด็กนักเรียนสามารถเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติในทุกรายวิชา

ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดรายได้ต่อชุมชนรอบข้าง ทางโรงเรียนยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองในพื้นที่ เข้ามาขายของกินของใช้ให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมดอกปอเทือง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง และทางโรงเรียนได้มีการเก็บค่าเข้าชมทุ่งดอกปอเทืองคนละ 20 บาท เพื่อนำรายได้รายได้มาเป็นทุนการศึกษาของเด็กนักเรียนและเป็นค่าใช้จ่ายในโรงเรียน

สำหรับจุดเช็คอินทุ่งปอเทืองเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00น. สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่เพจเฟสบุ๊ค ‘โรงเรียนบ้านเขาเฒ่า’ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 082-803-3503


ที่มา: อโนทัย งานดี / พังงา / 081-0836530

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยโควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ ส่งผลกระทบหนัก ยอดขายดิ่ง 10 - 30% วอนภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือด่วน เติมสภาพคล่องด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เผยสภาพคล่องที่เหลือใช้ดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 6 เดือน

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยว่า จากข้อมูลผลของการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) เดือนมกราคม 2564 (รอบการสำรวจข้อมูลระหว่างวันที่ 19-26 มกราคม 2564) โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการสำรวจเป็นรายเดือน พบว่า ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก เดือนมกราคม 2564 ลดลงทันทีอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม

และเป็นการปรับลดลง จากความอ่อนไหวจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ระลอกใหม่ แม้ภาครัฐจะใช้มาตรการเข้มข้นเพียง 28 จังหวัด ดัชนีความเชื่อมั่นก็ยังคงปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับดัชนีความเชื่อมั่นเมื่อเดือนเมษายน 2563 จากครั้งที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกแรก ที่ภาครัฐมีมาตรการ Lock Down ทั้งประเทศ

ทั้งนี้ สมาคมฯ มองว่า ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้น รวมทั้งหวังว่าภาครัฐน่าจะมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นน่าจะมีทิศทางเดียวกับดัชนีเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมแยกตามภูมิภาค ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมรายภูมิภาค ปรับลดลงจากเดือนธันวาคมในทุกภูมิภาค สะท้อนถึงสภาวะความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะภาคกลางซึ่งได้รับผลกระทบจาก super spreader ที่ตลาดกุ้งสมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล ที่มีอาณาเขตต่อเนื่องจากจังหวัดสมุทรสาคร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวโน้มการบริโภคที่ขยายตัวได้ปานกลาง เนื่องจากประชากรส่วนหนึ่งเคลื่อนย้ายจากอุตสาหกรรมสู่ภูมิลำเนา ผสานกับแรงหนุนจากมาตรการของภาครัฐในการสนับสนุนสภาพคล่องและการใช้จ่าย ซึ่งจะช่วยประคับประคองการบริโภคภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการมองว่าแนวโน้มในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นจะเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเช่นกัน เนื่องจากมั่นใจว่าภาครัฐมีบทเรียนจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อไตรมาสที่สอง 2563 และคาดหวังว่าคงต้องมีมาตรการเยียวยาและกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐเช่นที่ผ่านมา

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นแยกตามประเภทร้านค้าเปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคมและเดือนธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกประเภทของร้านค้าปลีกลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบของมาตรการภาครัฐที่ประกาศปิดศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารในเวลา 3 ทุ่ม

อย่างไรก็ตาม ผลจากการใช้มาตรการการทำงานจากบ้าน (WFH) ทำให้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซ่อมบำรุง เฟอร์นิเจอร์ กลับมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นสวนทางกลับดัชนีความเชื่อมั่นร้านค้าปลีกอื่น ๆ

ด้านผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า มีความวิตกต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ค่อนข้างมากสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม 2564 ที่ลดลงอย่างทันที ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 หรือลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งอย่างชัดเจน ในขณะที่ในเดือนธันวาคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 ทั้งนี้สำหรับแนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ายังคงมีความเชื่อมั่นที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยกลาง

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนมกราคม ลดลงมากและรวดเร็ว จากที่ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนธันวาคมยังอยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นการจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่หดตัวลงอย่างมาก เมื่อเทียบดัชนีประเภทร้านค้าทั้งสามประเภท ดูเหมือนว่าผู้ประกอบการค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต รู้สึกวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มากกว่าผู้ประกอบการร้านค้าสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตกลับมีความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อมาตรการภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 เดือนข้างหน้า

พร้อมกันนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการประเภท ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในเดือนมกราคม มีความเชื่อมั่นดีขึ้นสวนทางกับทิศทางของดัชนีความเชื่อมั่นร้านค้าประเภทอื่น ๆ ที่ลดลงอย่างรุนแรง

สะท้อนได้ว่าร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการปรับวิถีทำงานจากที่บ้าน (WFH) ทำให้มีความนิยมในการปรับภูมิทัศน์ภายในที่อยู่อาศัย ประกอบกับช่วงจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณก่อสร้างภาครัฐ และวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างมีการปรับราคาที่สูงขึ้น

ผลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ประเภทร้านอาหาร ภัตตาคาร และเครื่องดื่ม มีความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างมีนัยยะชัดเจน มากกว่าร้านค้าประเภทอื่นๆ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ค่อนข้างมากและเมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นในเดือนธันวาคม 2563 ก็ยังลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะร้านอาหารมักเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดเวลาการให้บริการและจำนวนการให้บริการแต่ละรอบที่ลดลงจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

นายญนน์ กล่าวว่า การประเมินผลกระทบต่อยอดขายและกำลังซื้อและผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ จากมุมมองผู้ประกอบการ คือ 1.) ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบด้านยอดขาย ที่ลดลง 10-30% 2.) ผู้ประกอบการกล่าวว่า ด้วยยอดขายที่หายไป สภาพคล่องที่เหลืออยู่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อีกไม่เกิน 6 เดือน หากไม่มีมาตรการเยียวยาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ตรงเป้า 3.) ผู้ประกอบการกว่า 80% ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงมากว่า 25% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม ปี 2563

สำหรับข้อ 4.) หากเปรียบเทียบยอดขายจากมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" เมื่อช่วงสิ้นปี 2563 (วงเงิน 30,000 บาท) เมื่อเทียบกับมาตรการช้อปช่วยชาติ (วงเงิน 15,000 บาท) ในปี 2561 - 2562 ผู้ประกอบการ 55% ตอบว่า มียอดขายเท่าเดิมและน้อยกว่าเดิม ขณะที่ผู้ประกอบการ 43% ตอบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่ถึง 25% และมีเพียง 2% ที่ตอบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 25%

ขณะที่ 5.) ผู้ประกอบการกว่า 90% อยากให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้เข้าร่วมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน อาทิ โครงการคนละครึ่ง 6.) ผู้ประกอบการเสนอแนะให้ภาครัฐช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการภาษีลดภาระค่าใช้จ่าย และ สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) แก่ผู้ประกอบการโดยเร็ว เนื่องจากด้วยสภาพคล่องที่เหลืออยู่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม ข้อ 7.) ผู้ประกอบการอยากให้ภาครัฐประกาศการจ้างงานเป็นรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top