Sunday, 30 June 2024
กระทรวงพาณิชย์

‘ภูมิธรรม’ เตรียมตรวจข้าวสุรินทร์ ดึงทุกฝ่ายมีส่วนร่วม คาด!! เปิดประมูล 2 โกดัง ทำรายได้หลายร้อยล้าน

(1 พ.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 6 พ.ค.67 ตนจะนำคณะผู้บริหาร สื่อมวลชน ผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมประมูลข้าวในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อร่วมกันประเมินและตรวจสอบคุณภาพของข้าวใน 2 โกดังของคดีรับจำนำข้าว ที่จ.สุรินทร์ ซึ่งโกดังแรกมีปริมาณ 1 แสนกระสอบ และอีกโกดังมีอยู่ 32,000 กระสอบว่าเสียหายหรือไม่ ซึ่งจะตรวจสอบในส่วนของตรงกลางกองข้าวด้วย จากนั้นคาดว่าจะนำข้าวดังกล่าวมาเปิดประมูลข้าวได้เร็วที่สุดภายในเดือนพ.ค.2567

นายภูมิธรรม กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ จะเปิดให้ทุกส่วนที่สนใจเข้าร่วมตรวจสอบพร้อมกันกับเซอร์เวเยอร์ด้วย รวมทั้งร่วมกันประเมินราคา เพื่อนำมาพิจารณาในการทำเงื่อนไขในการเปิดประมูล (TOR) ข้าวในล็อตดังกล่าวให้มีความรัดกุม อีกทั้ง ให้เกิดความเป็นธรรมและมีความเหมาะสม หากบุคคลใดเกิดข้อสงสัยก็สามารถแย้งได้

“ประมูลรอบนี้คาดว่าจะได้รายได้จากการประมูลหลาย 100 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ก็จะนำมาพิจารณาชดเชยให้กับเจ้าของโกดัง ส่วนปริมาณเท่าไร ต้องรอการพิจารณาและคุยกันในรายละเอียด เพื่อให้เป็นธรรมทุกฝ่าย เพราะปริมาณข้าวดังกล่าวเก็บมาเป็นเวลา 10 ปี เป็นภาระและทำให้เจ้าของโกดังเสียโอกาส เนื่องจากภายในโกดังยังมีพื้นที่ว่างบางส่วน”นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดี เมื่อพิสูจน์ชัดเจนถึงคุณภาพข้าวแล้วว่า ไม่ใช่ข้าวเน่า ข้าวเสีย ก็สามารถเปิดประมูลข้าวที่คนสามารถทานได้ ไม่ใช่อาหารสัตว์หรือโรงงาน ซึ่งจะพยายามดำเนินการภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ที่ทำได้ รวมไปถึงเรื่องของคดีต่างๆ ในโครงการด้วย

สำหรับคลังสินค้าที่จัดเก็บข้าวในโครงรับจำนำข้าว บจก.พูนผลเทรดดิ้งหลัง 4 อ.เมือง ปัจจุบันมีข้าวคงเหลือ 32,879 กระสอบ และคลังกิตติชัยหลัง 2 อ.ปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีข้าวคงเหลือ 112,711 กระสอบ

‘กรมการค้าต่างประเทศ’ คิกออฟ!! งานใหญ่เสริมแกร่ง SME 8-9 พ.ค.นี้ เอื้อโอกาส SME ไทยก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้าต่างแดน

(4 พ.ค.67) กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดงานใหญ่ให้ความรู้ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปต่อยอดและขยายโอกาสธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการ SME รวมถึงผู้สนใจทั่วไป ภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล เรื่อง “FAST, FUTURE, FREE TRADE ขยายโอกาส SME ไทยก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้า” ในวันที่ 8, 9 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 – 16.30 น. ณ โรงแรม The Tide Resort Bangsaen Beach, Thailand จังหวัดชลบุรี

งานนี้ กรมการค้าต่างประเทศ นำขบวนทัพนักวิชาการให้ความรู้ด้านสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมกับความตกลงใหม่ล่าสุด กับความตกลงการค้าเสรีไทย - ศรีลังกา 🇹🇭รวมถึงการสมัครบัญชีผู้ใช้งานผ่านระบบ DFT SMART – I และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยระบบ DFT SMART C/O รวมถึงการตรวจคุณสมบัติของสินค้าทางด้านถิ่นกำเนิดผ่านระบบ ROVERs PLUS 

เพราะสิทธิประโยชน์ทางการค้า คือ กุญแจสำคัญในการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าต่างประเทศ

พร้อมแล้วหรือยังกับการไขกุญแจเพื่อเปิดรับความรู้ดี ดี สิทธิประโยชน์ทางการค้า อย่าลืม อย่าพลาด...โอกาสดี ดี รีบลงทะเบียนด่วน

ฟรี...ฟรี มีที่นี่ กรมการค้าต่างประเทศ

‼️สนใจลงทะเบียนได้ที่ ‼️

วันที่ 8 พฤษภาคม 2567  https://forms.gle/LKVmVNc5Wf8YyjpN6

วันที่ 9 พฤษภาคม 2567  https://forms.gle/Ud74PVMatyrejQ5V7

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
📞 081-701-4654 , 063-792-4412
📞สายด่วน 1385
👉🏻Facebook กรมการค้าต่างประเทศ DFT
💻 www.dft.go.th

‘เอกนัฏ’ นำทีมแกนนำ - สส.รทสช. ยินดีกับ ‘สุชาติ’ หลังนั่ง ‘รมช.พาณิชย์’ ยืนยัน!! พรรคยังเหนียวแน่น

(9 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการลาออกของ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง รวมทั้งกรณีที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ว่า ล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ได้นำแกนนำ และ สส.พรรคจากทุกเขต อาทิ นางพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม, นางธิวัลรัตน์ อังกินันน์ สส.เพชรบุรี เขต 1, นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี, น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ, นายชุมพล จุลใส อดีต สส.ชุมพร เข้าแสดงความยินดี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ พร้อมมอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจ หลังเข้ารับตำแหน่ง

รายงานข่าวจากพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า การเข้าแสดงความยินดีกับนายสุชาติในครั้งนี้ของบรรดาแกนนำ และ สส.พรรค เพื่อแสดงความเหนียวแน่นภายในพรรค หลังเกิดกระแสข่าวต่าง ๆ นานา ทั้งนี้ นายเอกนัฏ กล่าวยืนยันสั้น ๆ ว่า "พรรครวมไทยสร้างชาติยังเหนียวแน่น"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเตรียมจัดสัมมนาพรรคในวันที่ 12 พ.ค.เวลา 14.00 น.ที่โรงแรมรีเจนท์ เพชรบุรี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ และระหว่างการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 13 - 14 พ.ค.โดยวัตถุประสงค์จัดขึ้นเพื่อให้มีการพูดคุยกันระหว่างรัฐมนตรี และ ส.ส.ของพรรค

‘พิธา’ ชี้ ควรตรวจสอบ ‘ข้าว 10 ปี’ ด้วยห้องแล็บ ย้ำ!! น่าเชื่อถือกว่าการกินโชว์ พร้อมตั้งข้อสงสัย ทำไมไม่พูดถึงการส่งออกข้าวในภาพใหญ่ แต่มาเจาะในภาพย่อย

เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.67) ที่ร้าน Sol Bar Chaingmai อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมเวทีเสวนา เปิดรายงานก้าวไกล สถานการณ์ไฟป่า-ฝุ่นพิษ 67 และข้อเสนอต่อรัฐบาล

โดย นายพิธา ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชน ถึงกรณีที่มีการพยายามนำข้าวในโครงการการจำนำข้าว ที่ค้างอยู่ในโกดัง 10 ปี ออกมาขายและมีการให้สื่อมวลชนร่วมรับประทาน โดยนายพิธา บอกว่า ตนเข้าใจในภาพย่อย แต่สงสัยในภาพใหญ่ ภาพย่อยคือข้าวที่ค้างมา 10 ปี เริ่มต้นมาก็น่าจะกินได้ แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบทางด้านวิทยาศาสตร์ มีการจะเริ่มเปิดประมูล มีการส่งออกไปแอฟริกา นี่เป็นภาพย่อยที่ฟังมาเรื่อย ๆ ถ้าข้าวที่เก็บไว้ในโกดัง หรือในไซโล มีมอดหรือไม่มีมอด เป็นเรื่องรายละเอียดที่เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน แต่สงสัยในภาพใหญ่ว่า 

ในปีนี้ข้าวมีรอส่งออก เดาว่าน่าจะหลายสิบตัน แต่ภาพใหญ่อยู่ดี ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่พูดถึงเรื่องการส่งออกข้าว ในภาพใหญ่ แต่มาเจาะจงในมูลค่า 270 ล้านบาท ในภาพย่อย คือตนไม่เข้าใจภาพใหญ่ว่า ต้องการจะอธิบายว่าไม่มีปัญหา หรือว่าต้องการจะปิดบัญชี หรือจะบอกว่าโครงการจำนำข้าวไม่ได้สร้างความเสียหายแต่อย่างใด เพราะไม่มีเสียหายเลย สามารถส่งออกได้ ต้องถามจุดประสงค์ในการพูด ถ้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พูดถึงเรื่องอุตสาหกรรมข้าวไทยในปีนี้เป็นภาพใหญ่ ตนพอจะเห็นภาพอยู่ ซึ่งถ้าพูดมาทั้งหมดแล้ว มาพูดเรื่องนี้ตนพอจะเข้าใจอยู่ แต่ตนไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ เรื่องนี้ถึงโผล่ขึ้นมา ตนเลยอยากฝากสื่อมวลชน ไปถามคณะรัฐมนตรี ที่ก็ยังถูกถามว่ากล้ากินไม่กล้ากิน แล้วทำไมต้องมาทดลองกินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็เป็นกำลังใจให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการแก้ไขปัญหานี้ 

นายพิธา ยังกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการตรวจสอบข้าว เราตรวจสอบด้วยวิทยาศาสตร์ได้ ว่ามีสารทางเคมีอะไรบ้าง แน่นอนว่าพิสูจน์ทางกายภาพได้ ของแบบนี้มีห้องแล็บที่พิสูจน์ได้ หลายๆ มหาวิทยาลัยในประเทศพิสูจน์ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาลองกินข้าว ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย เพราะเรื่องรสชาติเป็นเรื่องของแต่ละคน เรื่องข้าวพิสูจน์ผ่านวิทยาศาสตร์ได้ ไม่ต้องมาเถียงกันผ่านสื่อ

‘ชาญชัย’ ฟาดใส่ ‘ภูมิธรรม’ คิดสั้นเอาข้าวเก่า 10 ปี ส่งขายต่างประเทศ ชี้!! เป็น ‘รมว.พาณิชย์’ ไม่ใช่ ‘ทนายแก้ต่างให้ยิ่งลักษณ์’ เรื่องจำนำข้าว

(11 พ.ค.67) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีข้าวหอมมะลิเก่าค้างโกดังโครงการรับจำนำข้าว 10 ปี รวม 1.5 หมื่นตันที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแนวคิดที่จะนำเข้าสู่ระบบข้าวเพื่อส่งออกไปขายให้แอฟริกานั้นว่า ข้าวที่ค้างโกดัง 10 ปี ในยุครัฐบาลนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี้เป็นข้าวที่เสื่อมคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นอย่าเอาข้าวล็อตสุดท้ายจำนวน 1.5 หมื่นตันนี้ มาทำเล่นให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรชาวนา เพราะจะทำให้ต่างประเทศที่จะซื้อข้าวจากไทย ที่เราส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งหรือ อันดับสองของโลกต้องพลอยจะเสียชื่อของประเทศไทยไปด้วยว่า เราเอาข้าวเสื่อมคุณภาพเข้าระบบข้าว มาขายแล้วไปผสมให้เขา จะทำให้ต่างประเทศเขาสงสัยและเอาไปพูดต่อให้เสียหาย นี่เป็นเรื่องของการตลาดและความน่าเชื่อถือของข้าวไทย ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าอยากจะช่วยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอให้ยึดความจริง อย่าไปเอาเรื่องไม่จริงไปหลอกลวงให้คนอื่นสับสนวุ่นวาย และมันจะกระทบต่อภาพรวมของวงการค้าข้าวทั้งระดับประเทศ ระดับโลก

ท่านจะซื้อข้าวนี้ไปเอง จะซื้อไปเก็บ หรือจะซื้อไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ แต่อย่าเอามาเล่นเป็นการเมือง ผมขอฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อย่าคิดสั้น ให้คิดยาว คุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย ไม่ใช่ทนายแก้ต่างให้คุณยิ่งลักษณ์ในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ศาลท่านตัดสินแล้วว่าพวกคุณทำผิดกันและก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งมีการใช้หนี้ไปจำนวนมากแล้วโดยใช้เงินภาษีของพี่น้องประชาชนมาชดใช้หนี้เสียจำนำข้าว ไม่ใช่เอาเงินของคุณยิ่งลักษณ์ หรือของตระกูลชินวัตรมาชดใช้ หรือเอาเงินของพรรคเพื่อไทยมาใช้หนี้แม้แต่บาทเดียว เพราะฉะนั้น ผมขอฝากชัด ๆ ว่า บ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของเล่น เราเป็นนักการเมืองเข้ามาอาสารับใช้ประชาชน ไม่ใช่มานั่งแก้ตัว หรือหาเรื่องค้าบ้านค้าเมือง หาผลประโยชน์กันต่อ ที่หาเรื่องถกเถียงในเรื่องที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว ถ้าคุณไม่ยอมรับว่า เรื่องที่ศาลตัดสินไปแล้วว่าถูกต้อง คุณก็กลับไปฟ้องว่า ใครเป็นผู้ที่ทำผิด

และถ้าเกิดคุณสงสัยว่าข้าวที่อยู่ในโครงการนี้ในอดีตที่ผ่านมาสมัย คสช.ใครไปทำผิด ผมแนะนำว่า คุณมีอำนาจ คุณไปจัดการสอบสวนและดำเนินคดีกับคนนั้น ถ้าใครทำผิดก็เอาไปจัดการ เอาเข้าคุกไปและไปยึดทรัพย์เลย ผมท้าให้พวกคุณไปทำหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนประชาชน ผมจะขอบคุณด้วยซ้ำ ถ้าสามารถจับได้ว่า ใครที่ทำผิด จะมียศนายพลใหญ่ขนาดไหน ก็ไปจัดการตามกฎหมายเอา ถ้าแน่จริงขอฝากไปถึงนายทักษิณ และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และฝากถึงนายภูมิธรรม มือขวาของนายทักษิณด้วยว่า ถ้าแน่จริง ไปทำเลยถ้าไม่ทำก็แสดงว่า ไม่แน่จริง คุณกำลังเอาเรื่องนี้มาเป็นเกมการเมือง เพื่อจะช่วยเหลือน.ส.ยิ่งลักษณ์ตามที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์กันหรือไม่ สังคมกำลังติดตาม อย่ามาทำลายเกษตรกรชาวนาไทยด้วยวิธีนี้แค่ข้าว 1.5 หมื่นตัน มันเป็นเศษเสี้ยวของความเสียหายที่พวกคุณทำอะไรกันไว้ในอดีต ขอให้ยุติเรื่องพวกนี้และไปทำเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองจะดีกว่า นายชาญชัย กล่าว

‘ดร.เสรี’ ชี้ ‘ข้าว 10 ปี’ กินไม่ได้ เพราะมีสารพิษ เป็นอันตรายต่อร่างกาย ฟาด!! ‘ภูมิธรรม’ แสดงละครกินโชว์ หวังผลเอา ‘คนหนีคุก’ กลับประเทศ

(12 พ.ค.67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีความพยายามในการจะนำเอาข้าวเก่า 10 ปี ออกมาขาย โดยได้ระบุว่า … 

อาจารย์เคมีนำข้าว 10 ปีไปทำการพิสูจน์ตามหลักวิชาการ ได้ผลออกมาบอกว่าข้าว 10 ปีกินไม่ได้ เพราะมีสารพิษ เป็นอันตรายต่อร่างกาย

หมอบอกว่ากินไม่ได้เพราะมี Aflatoxin ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง คนทำธุรกิจข้าวบอกว่าเกิน 2 ปี ก่อมีเชื้อราแล้ว เหม็นหืน กินไม่ดี 
คนส่วนใหญ่ซาวข้าว 1-2 น้ำเท่านั้นเพื่อทำความสะอาดข้าวและรักษาคุณค่าทางอาหารของข้าว ไม่มีใครซาวข้าว 15 น้ำ

รัฐมนตรีพาณิชย์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพรรคร่วม บอกว่ากินได้ และมีการกินโชว์ให้ดู สื่อมวลชนที่เป็นนายแบก นางแบกทั้งหลายก็ร่วมเป็นตัวแสดงในการแสดงละครนี้ด้วย กินโชว์แค่หนเดียวอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าชาวบ้านซื้อไปกินต่อเนื่องเป็นเดือนเป็นปี ผลลัพธ์อาจจะต่างกัน

กรมวิทยาศาสตร์บริการจะช่วยพิสูจน์ด้วยไหมคะ อย. จะมีบทบาทอะไรได้บ้างคะ นี่เป็นเรื่องอาหารนะ สคบ. จะคุ้มครองผู้บริโภคยังไงได้บ้างคะ

ถ้าพ่อค้าประมูลมาใส่ถุงขาย ประชาชนไม่รู้ ซื้อมากินต่อเนื่อง ถ้ามีปัญหาทางด้านสุขภาพกันมากๆ จะทำยังไง แล้วที่จะส่งไปขายAfrica ภาพลักษณ์ของข้าวไทยในตลาดโลกจะเป็นยังไง ลูกค้ายังจะเชื่อถือข้าวไทยอีกไหม

จะซักข้าว 10 ปี เพื่อซักผิดในอดีตคงไม่ได้หรอกนะ

นี่คือสารตั้งต้นของการเอาคนหนีคุกกลับประเทศหรือเปล่า อย่าทำอะไรล้ำเส้นมากเกินไปเลยนะ แค่นี้คนไทยก็เอือมระอาเต็มทนแล้ว

แทนที่จะ ‘ทำงาน’ ทำไมจึง ‘ทำแต่เรื่อง’ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่กันหน่อยนะคะ

'ภูมิธรรม' เดือด!! ดรามาข้าว 10 ปี จ่อฟ้อง ‘พ.ร.บ.คอมฯ’ คนวิจารณ์ ซัดพวกจินตนาการทำลายข้าวไทย พร้อมท้า 'หมอวรงค์' จูงมือไปพิสูจน์

(14 พ.ค. 67) ที่อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี อ.เมือง จ.เพชรบุรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพข้าว ว่า เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ตนโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความในใจให้สาธารณชนได้รับรู้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนพิสูจน์แล้วในขั้นต้นก่อนนำข้าวมาประมูล ซึ่งเป็นการพิสูจน์ที่โปร่งใสที่ตนพูดเช่นนี้เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกระบวนการ และเมื่อคืนที่ผ่านมา นพ.วรงค์ เดชวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ก็ระบุว่าข้าวดังกล่าวไม่มีตรารับรอง ขอให้ท่านไปดูภาพที่สื่อมวลชนถ่ายไว้ เราไม่มีอะไรต้องปิดบัง

“ผมอยากให้คนที่วิจารณ์ วิจารณ์โดยตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่นั่งคิดเองเหมือนนิยายแล้วนำมาพูด ซึ่งข้าวถือเป็นสินทรัพย์ของประเทศไทย การที่จู่ ๆ มาด้อยค่าโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงเท่ากับทำลายเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ยืนยันว่ากระบวนการตรวจสอบโปร่งใสที่สุด สื่อมวลชนเป็นพยานได้ ผมไม่ได้ไปย้อมแมวขาย ฉะนั้นข้าวจึงไม่จำเป็นต้องหอมเหมือนข้าวใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า คนที่จำหน่ายข้าวทั้งเจ้าของโรงสี ผู้ส่งออกทั้งหมด มูลค่าธุรกิจของพวกเขาเป็นหมื่น ๆ ล้าน จะมานั่งโกหกเช่นนี้ให้ธุรกิจของเขาพังหรือ แล้วคนที่ออกมาพูดก็ไม่มีความรู้ เท่ากับการให้ข้อมูลเท็จในคอมพิวเตอร์ ซึ่งผิดกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ แต่ตนคิดว่าเจตนาของพวกเขาคงไม่มีอะไร ตนจึงยังไม่ฟ้องร้อง แต่หากยังไม่หยุดทำเช่นนี้ ตนคิดว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตน คงต้องไปจัดการให้เหมาะสม ตนไปตรวจข้าวตามสภาพ และไม่คิดว่าต้องเป็นรัฐมนตรีฟอกข้าวเน่าข้าวเสีย หากข้าวออกดีก็ขายราคาดี แต่หากข้าวเน่าจริงก็ต้องขายกันตามสภาพ

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ตนไม่มีอะไรต้องปิดบัง ซึ่งไม่ใช่กระบวนการแน่นอน ซึ่งเท่าที่ตนได้ทดลองทานเบื้องต้น เป็นข้าวที่ผู้ส่งออกและเจ้าของโรงสี บอกกับตนว่าสามารถนำมารับประทานและสามารถนำไปขัดสีได้ ซึ่งสารอะลูมิเนียมฟอสไฟด์ ที่มีไว้สำหรับรมข้าว ไม่ใช่เป็นสารที่คนวิจารณ์นำมาพูดกันเลอะเทอะ ไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิตและร่างกายมนุษย์ ซึ่งสารเคมีจะหลุดออกไปในระหว่างกระบวนการการสีข้าว

“เราขายข้าวในโรงสีให้ได้ราคาดี ให้เกษตรกรมีรายได้ให้รัฐบาลมีเงินเข้าคลัง ไม่ดีหรือครับ แล้วที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย เอาจินตนาการที่คิดไปเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม มันเป็นการทำลายข้าวไทย เป็นการทำลายประเทศ ท่านสะใจหรือครับ คุณหมอวรงค์และอีกหลายคนอยากทำแบบนี้หรือครับ มาจูงมือผมแล้วไปพิสูจน์ หากไม่ใช่แบบที่พวกคุณกล่าว พวกคุณต้องรับผิดชอบมากกว่านี้ ผมอยากให้เรื่องนี้ยุติได้แล้ว เพราะกระบวนการประมูลหลังจากนี้ไม่เกี่ยวกับผม” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะไม่ส่งเข้าไปตรวจสอบกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบข้าวจะเกิดขึ้นหลังประมูล แต่หากมีปัญหามากจนถึงขั้นต้องไปตรวจสอบ ตนก็ไม่ขัดข้องสามารถนำไปยื่นตรวจสอบได้ แต่ไม่ใช่จู่ ๆ จะเอาข้าวไหนก็ไม่รู้ มาเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ขอให้นำเข้าเข้าสู่กระบวนการมาตรฐานในการตรวจสอบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่ใช่ให้คนนั้นคนนี้มาตรวจสอบ นั่นไม่ใช่หน้าที่ สามารถพาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้าวได้ทุกที่เลย ตนพร้อมทั้งหมด ขอให้นำมาพูดกันตรง ๆ อย่านำไปพูดเรื่อยเปื่อยพร่ำเพรื่อ จนตอนนี้ศักดิ์ศรีข้าวไทยจะไม่เหลืออยู่แล้ว สะใจหรือ อยากให้ยุติเรื่องนี้ เพราะตนมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอีกมาก วันนี้ตนเพียงต้องการจะปิดตำนานเรื่องนี้ และให้ดำเนินไปในสิ่งที่ควรจะเป็น

“ผมกินอยู่ ข้าวก็ยังสามารถกินได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่สื่อมวลชนที่ไปด้วยก็สามารถกินข้าวนั้นได้ แล้วก็ถูกกล่าวหาว่าทำไมไปสร้างความชอบธรรมให้นักการเมือง ใช้สมองคิดบ้างหรือเปล่าครับที่พูดออกมา” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า นอกจากจะมีข้อกังขาในเรื่องของคุณภาพข้าวแล้ว ยังมีข้อกังขาที่นำเข้าไปให้หน่วยงานอื่นรับประทาน นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีเพียงแค่สองถุงที่นำไปให้นายสรยุทธ สุทัศน์จินดา และนายกิตติ สิงหาปัด ซึ่งตนเห็นว่าเป็นสื่อมวลชนจึงให้รับประทานเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจในเรื่องข้าว เพื่อที่จะไม่ได้ฟังจากผู้อื่นแล้วนำไปวิจารณ์ ซึ่งตนนำเข้าออกมาตามกระบวนการอย่างถูกต้อง

“ผมไม่ได้มีปัญหาในการพิสูจน์ ผมพร้อมอยู่แล้ว และไม่ได้ปกป้องข้าวเน่า ย้ำว่าหากข้าวเน่าก็จะขายตามราคาข้าวเน่า แต่ผมไปกินแล้วมันดี ซึ่งหากข้าวที่ตนกินสามารถนำไปขายได้ในราคา 18-20 บาท จะให้ไปขายในราคา 5 บาท แบบที่เคยขายมันได้หรือ ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้โมโห แต่พูดจากอารมณ์และใจจริง” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึง กระบวนการการประมูลข้าวที่จะเกิดขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนให้กรมการคลังสินค้าเตรียมการเปิดประมูลแล้ว และตนจะเปิดให้ประมูลทั่วไปทั้งหมด แต่หากไม่มีคนประมูลเลย ก็ค่อยมาว่ากัน อย่าไปคิดว่าเขานำข้าวไปหลอกขายให้ต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเดินเข้าที่ประชุม นายภูมิธรรม ยังเปิดเผยด้วยว่า เตรียมทำหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ให้ตรวจสอบข้าว 10 ปี ในโกดังขององค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์เร็ว ๆ นี้ 

‘ศรีสุวรรณ’ ยื่นศาลปกครองฟ้อง ‘ภูมิธรรม’ ฐานละเลยหน้าที่ ปมเปิดประมูลขายข้าว 10 ปี

(31 พ.ค.67) ที่ศาลปกครองกลาง นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เข้ายื่นศาลปกครองฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 9 (1)(2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ในข้อหาดำเนินการประมูลขายข้าวเก่า 10 ปี ขัดต่อประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณามีคำสั่งระงับหรือให้ อคส. กระทรวงพาณิชย์ หรือ นบข. สั่งทบทวนการจัดทำ TOR ประมูลขายข้าวเก่าดังกล่าวเสียใหม่ และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคต่อไป และในการยื่นฟ้องในวันนี้ ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือกำหนดมาตรการอย่างใด ๆ เพื่อคุ้มครองชั่วคราวด้วยการสั่งระงับการยื่นซองและเปิดซองประมูลข้าวดังกล่าวที่จะมีขึ้นในเดือนมิ.ย.2567 นี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนไว้ก่อนด้วย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรณีรัฐบาลมีนโยบายนำข้าวสารเก่ามีอายุ 10 ปี จากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในโกดังจังหวัดสุรินทร์ทั้ง 2 โกดัง ปริมาณ 15,000 ตันออกมาประมูลขาย โดยไม่ให้ผู้เข้าร่วมประมูลตรวจสอบคุณภาพข้าวอีก ทั้งที่มีข้อมูลที่ขัดกันระหว่างนักวิชาการจากสถาบันวิชาการต่าง ๆ กับข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับคุณภาพของข้าวเก่า 10 ปีจะนำมาบริโภคได้หรือไม่ ประชาชนไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า มีนักวิชาการ และทางมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ออกมาบอกว่า ข้าวเก่าอายุ 10 ปี ไม่มีคุณค่าทางอาหาร รวมถึงมีความเสี่ยงในเรื่องของจุลินทรีย์ เชื้อโรค สารพิษ เพราะต้องมีการอบข้าว ๆ ทุก 6 เดือนอยู่แล้ว โดนอาจจะมีสารพิษเหล่านี้เจือปนอยู่ โดยรัฐบาลมีความพยายามแก้เกม โดยส่งตัวอย่างไปให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์ แต่กรมวิทย์ฯ ได้พิสูจน์แล้วก็มีบางส่วนที่ระบุว่าข้าวมีการเจือปนของตัวมอด แมลง ต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมาะกับการนำมาเป็นอาหาร เพียงแต่ว่าสารพิษต่าง ๆ ที่มีคนวิตกนั้นไม่เกินไปกว่าที่มาตรฐานกำหนด แต่ในทางวิชาการ การหยิบสุ่มตรวจข้าวไม่มีใครรู้ว่าสุ่มจากจุดไหนของกองข้าว หรือนำมาจากแหล่งใด เพราะกรมวิทย์ฯ อยู่ที่สำนักงานของตัวเอง เขาไม่ได้ไปสุ่มตรวจที่โกดังข้าว จึงเป็นข้อสงสัยอาจนำข้าวจากที่อื่นมาให้กรมวิทย์ฯ สุ่มตรวจก็ได้

“การที่รัฐบาลผลักดันให้มีการออกมาจำหน่ายข้าว เพื่อให้ข้าวโครงการรับจำนำข้าวเมื่อปี 2555-2556 หมดไปอาจจะเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่าคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะเงื่อนไขทีโออาร์ไม่มีข้อจำกัดให้ผู้ที่จะประมูลได้ดำเนินการนำข้าวดังกล่าวไปขาย หรือจำหน่ายให้กับประชาชนในประเทศ ซึ่งการส่งออกข้าวก็จะเป็นการดิสเครดิต คุณภาพ และชื่อเสียงของข้าวไทยที่สั่งสมมานำ 10 ปี 100 ปี” นายศรีสุวรรณ กล่าว

เมื่อถามว่าประชาชนยังไม่เชื่อมั่นผลการตรวจสอบสารปนเปื้อนข้าวของรัฐบาล ควรเปิดโอกาสให้แล็บเอกชน มาร่วมตรวจสอบได้หรือไม่นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า หากรัฐบาลมีความจริงใจต่อประชาชน ควรจะตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา โดยเชิญนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาหรือแล็บทดสอบต่าง ๆ มาดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเข้า โดยเริ่มตั้งแต่การไปสุ่มเก็บตัวอย่างให้เป็นไปตามหลักวิชาการ ในการสุ่มเก็บตัวอย่างกองข้าวทั้งด้านข้าง ด้านกลาง ด้านใน ต้องเก็บตัวอย่างให้ครบทุกพื้นที่ ไม่ใช่หยิบเอาตัวอย่างจากไหนมาก็ไม่รู้แล้วมาอ้างว่าเป็นข้าวมาจากโกดังข้าว ซึ่งประชาชนไม่มีใครสนใจแล้ววันนี้

'ภูมิธรรม' ประชุม กกร. เคาะต่ออายุสินค้าและบริการควบคุม 57 รายการอีก 1 ปี

วันที่ 12 มิถุนายน 2567 เวลา 8.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ครั้งที่ 2/2567 พร้อมด้วย นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ตึกบัญชาการ 1 ชั้น 3 ห้อง 302 ทำเนียบรัฐบาล เย็นวานนี้ (11 มิ.ย.67) 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ที่ประชุมฯมีมติต่ออายุสินค้าและบริการควบคุมทั้ง 57 รายการ ใน 11 หมวด ต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างเรียบร้อย ตามเจตนารมย์ของกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542  ซึ่งกำหนดมาตรการดูแลทางด้านปริมาณและราคาในสินค้าและบริการ 11 หมวด ประกอบด้วย 1.กระดาษและผลิตภัณฑ์ 2.บริภัณฑ์ขนส่ง 3.ปัจจัยทางการเกษตร 4.ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม 5.ยารักษาโลกและเวชภัณฑ์ 6.วัสดุก่อสร้าง 7.สินค้าเกษตรสำคัญ 8.สินค้าอุปโภคบริโภค 9.อาหาร 10.อื่นๆ 11.บริการ

และที่ประชุมฯมีมติ เห็นชอบยกเลิกมาตรการกำหนดราคาน้ำตาลทราย ณ หน้าโรงงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) เสนอ เนื่องจากสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังคงให้เป็นสินค้าควบคุมตามเดิม ถ้ามีความจำเป็นก็จะกำหนดมาตรการเข้าไปกำกับดูแลได้ โดยหลังจากนี้จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป เพื่อต่ออายุรายการบัญชีสินค้าและบริการควบคุมไปอีก 1 ปี

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบให้แสดงราคาจำหน่ายสินค้าและบริการ ณ จุดจำหน่าย ใน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1. ช่องทางออฟไลน์ จำนวน 290 รายการ (240 สินค้า 50 บริการ) 2. ช่องทางออนไลน์ 3. มาตรการแสดงราคารับซื้อสินค้าเกษตร 33 รายการ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบด้วย

‘ภูมิธรรม’ เผย ‘Pride Month’ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ยัน!! รัฐบาลพร้อมสนับสนุน ‘สมรสเท่าเทียม’

(15 มิ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยการนำของท่านนายกรัฐมนตรี ประกาศสนับสนุนทุกความหลากหลาย ได้ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชนฉลองเทศกาล Pride Month เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ LGBTQIAN+ ตลอดช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า โอกาสในการขยายธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME และสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าโดยการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ด้วย

ซึ่งล่าสุด ได้รับรายงานจากนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ถึงการวิเคราะห์การจัดงาน Pride Month ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวและการค้า และการบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ภายใต้นโยบาย IGNITE TOURISM THAILAND ของรัฐบาล ที่มุ่งกระจายการท่องเที่ยวสู่ 55 จังหวัด 'เมืองน่าเที่ยว' ที่มีศักยภาพเสริมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเป็นศูนย์กลางการจัดงาน Event ระดับโลก ซึ่งการจัดงานเทศกาล Pride Month จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของผู้บริโภคกลุ่ม LGBTQIAN+ (Pride Friendly Destination) ทั้งไทยและต่างชาติที่มีแนวโน้มจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง

ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด Ipsos ซึ่งทำการสำรวจประชาชน จำนวน 22,514 คน จาก 30 ประเทศในทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2566 ระบุว่า ร้อยละ 9 ของประชากรโลกที่บรรลุนิติภาวะระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และประชากรไทย ร้อยละ 9 ก็ระบุตนเองว่าเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศเช่นกัน อย่างไรก็ดี แม้จำนวนประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศในปัจจุบันอาจมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่คาดการณ์ว่าประชากรที่อยู่ใน Gen Z (เกิดหลังปี 2540) มีแนวโน้มระบุตนเองเป็นผู้มีหลากหลายทางเพศมากกว่าประชากรกลุ่ม Millennial, Gen X และ Baby Boomer จึงเห็นได้ว่ากลุ่ม LGBTQIAN+ นี้ถือเป็นตลาดผู้บริโภคสำคัญที่สามารถมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจของ LGBT Capital บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินยังพบว่า ในปี 2566 กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกมีกำลังซื้อสูงถึง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยมีกำลังซื้อ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้การจัดงานยังมีส่วนช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจการจัดอีเวนต์ ธุรกิจบริการด้านอาหาร ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผ่านการจัดกิจกรรมภายในงานเฉลิมฉลอง อาทิ การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า แฟชั่นโชว์การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในงานรวมทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจบริการขนส่ง ที่ให้บริการรองรับผู้เข้าร่วมงานก็ยังได้ประโยชน์ร่วมด้วย และช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยไทยเริ่มจัดงานเฉลิมฉลอง Pride Month เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2542

และปัจจุบันมีการจัดงานอย่างแพร่หลายในจังหวัดต่าง ๆ อาทิ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ไปยังชุมชนในทุกภูมิภาค สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวและการจำหน่ายสินค้าและบริการให้กับท้องถิ่น โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงาน Pride Month มากกว่า 860,000 คน สามารถสร้าง เงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านบาท

และเพื่อสนับสนุนให้ไทยมีความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030 และได้ประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ ต้องเดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและปฏิบัติต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศอย่างเสมอภาคและยั่งยืน ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่พร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยเฉพาะการพัฒนายกระดับธุรกิจบริการของไทยให้ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว รวมทั้งการนำ Soft Power ของไทยมาใช้ดึงดูดและออกแบบการจัดงานของไทยให้โดดเด่น พร้อมกับการจำหน่ายสินค้าและบริการของไทย ตลอดจนส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงและนันทนาการ อาทิ ซีรีส์วายและซีรีส์ยูริของไทยที่ได้รับการยอมรับจากตลาดต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสดงถึงความเปิดกว้าง อีกทั้งเป็นกระบอกเสียงในการสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการส่งเสริมความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศที่สอดแทรกไปกับการผลักดันสินค้าและบริการชุมชนสู่ตลาดโลก และรัฐบาลเดินหน้า ผลักดัน พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมให้สำเร็จด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top