Tuesday, 2 July 2024
NEWS

เกรียนคีย์บอร์ดมีหนาว! ตำรวจภูธรอุดรธานี ควบคุมตัวหนุ่มวัย 30 ปี ตามหมายจับคดีโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท “สนธิ ลิ้มทองกุล”

เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี ควบคุมตัว นายนัฐพล ส่อนไชย อายุ 30 ปี จากจังหวัดอุดรธานี เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อขออนุญาตฝากขัง หลัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ส่งหมายเรียกไปที่บ้านแล้ว ไม่มาศาลตามกำหนดนัด มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งนายนัฐพลยอมรับว่า เป็นบุคคลตามหมายจับนี้จริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จากนั้นถูกตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ควบคุมตัวมาขึ้นศาลดังกล่าว นับเป็นผู้ต้องหาคนแรกจากรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่ถูกจับ

คดีนี้สืบเนื่องมาจากนายสนธิจัดรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ที่เพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ชีวิต เป็นแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน มีผู้ติดตามมากกว่า 1.7 ล้านคน ปรากฏว่า คลิปไฮไลต์รายการตอนที่ 13 (EP13) หัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจในยุค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า Nattaphol Sonchai โพสต์ข้อความถึงนายสนธิด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย นายสนธิได้ดำเนินคดีกับผู้ที่คอมเมนต์ในลักษณะดังกล่าวตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้บทเรียนแก่ผู้ใช้สื่อโซเชียล และกวาดขยะโซเชียล

โดยที่ผ่านมา มีคนที่ใช้คำหยาบคายและพูดจาดูหมิ่น ติดต่อนายสนธิเพื่อขอขมาหลายครั้ง นายสนธิได้ให้อภัยตลอดมา โดยให้เหตุผลว่า บางรายอายุยังน้อย ไม่อยากให้มีคดีติดตัว บางรายเป็นคนหาเช้ากินค่ำ สงสารครอบครัว จึงให้อภัยและถอนแจ้งความ แม้จะให้อภัยกับผู้ที่อ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์หลายครั้ง แต่เหมือนคนที่คอมเมนต์หยาบคายยังไม่หยุดพฤติกรรม ทำให้นายสนธิกล่าวว่า จะไม่ให้อภัยใครอีกแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอขมา จะให้ศาลพิพากษาไปเลย นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายนัฐพลดังกล่าว และนับจากนี้จะมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้สื่อโซเชียล ที่โพสต์ข้อความถึงนายสนธิ ด้วยถ้อยคำที่หยาบคายตามมา

สำหรับโทษของการด่าหรือประจานคนอื่นบนสื่อโซเชียลฯ จะถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหาความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าสร้างเครือข่ายออนไลน์ไทย - อินเดีย ช่วยส่งเสริมการค้าในกลุ่มที่เกื้อกูลกันได้ หวังเพิ่มศักยภาพส่งออกให้ SME – วิสหกิจชุมชน ประเดิมคลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับกลุ่มแรก

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย (สคต.มุมไบ) ว่าได้หารือกับผู้แทนภาคเอกชนของอินเดีย และทราบถึงความต้องการที่จะมีพื้นที่ออนไลน์ให้ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศได้ทำความรู้จักกันง่ายขึ้นก่อนที่จะเดินทางไปพบปะกันโดยตรง สคต. มุมไบ จึงได้ประสานจัดทำพื้นที่ออนไลน์ดังกล่าวภายใต้แพลตฟอร์มของ Global Linker ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ที่คนอินเดียคุ้นเคยและมีสมาชิกอยู่แล้วกว่าแสนราย

พร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาครัฐ และ สถาบันการศึกษา เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางสนับสนุนด้วย เพื่อช่วยกันส่งเสริมการค้าในกลุ่มสินค้าที่ไทยและอินเดียสามารถเกื้อกูลกันได้ (Sister Clusters) โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างซื้อสินค้าของกันและกัน รวมถึงมีการลงทุนระหว่างกันด้วย จึงได้เลือกให้เป็นคลัสเตอร์แรกในการเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยมีชื่อว่า Sister Cluster of Thai – India Jewellery

สำหรับวัตถุประสงค์ในการสร้างเครือข่ายออนไลน์นี้คือการลดข้อจำกัดหลายประการ อาทิ ข้อกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบสถานะตัวตนของคู่ค้า และระบบการชำระเงินที่ผู้ประกอบการมั่นใจ ซึ่ง Sister Cluster of Thai – India Jewellery จะช่วยเอื้อให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพในการส่งออก สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้นำเข้าและติดต่อนัดหมายเพื่อเจรจาการค้าได้ง่ายขึ้นและต่อเนื่อง 

โดยมีภาคีต่างๆ คอยช่วยเหลือ อาทิ สมาคมธุรกิจและมหาวิทยาลัยในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ รวมถึงธนาคารในไทยและอินเดีย ที่จะเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุน อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ของไทย และ HSBC India รวมถึง ICICI ซึ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Global Linker แล้ว และมีแผนจะทำระบบเอกสารการชำระเงินแบบบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาปรับใช้ด้วย

ทั้งนี้ในเดือนมกราคม 2564 ทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ จะมีการจัดเสวนาออนไลน์ให้สมาชิกในเครือข่ายได้พบปะและแชร์ความเห็นกัน ทั้งนี้ คลัสเตอร์อัญมณีและเครื่องประดับเป็นสาขาที่ไทยและอินเดียสามารถแลกเปลี่ยนกันซื้อและลงทุนร่วมกันได้ เพราะอินเดียยอมรับในคุณภาพพลอยสีและทองคำจากไทยโดยนำไปต่อยอดมูลค่าเพิ่มเพื่อส่งออกได้ ในขณะที่ไทยก็ต้องการเพชรและใช้อินเดียเป็นช่องทางขยายตลาดเช่นกัน การติดต่อและความร่วมมือที่ใกล้ชิดจึงจะช่วยให้เติบโตไปด้วยกันได้

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมเครือข่ายออนไลน์ไทย-อินเดีย ผ่านสามารถติดต่อได้ที่ [email protected] สำหรับคลัสเตอร์ต่อไปที่ สคต.มุมไบ จะเชื่อมโยงเครือข่ายออนไลน์ระหว่างกันคาดว่าจะเป็นผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้

ก.กระทรวงดิจิทัลฯ กางข้อมูลมือโพสต์ข่าวปลอมอันดับ 1 ในรอบเกือบปีที่ผ่านมา พบกว่า 7.8 แสนคน แถมแชร์ต่ออีก 28 ล้านคน ส่วนแชมป์แชร์ข่าวเท็จ และปั้นข่าวลวงอยู่ในวัย 19-34 ปี สัดส่วน ชาย – หญิง สูสีครึ่งต่อครึ่ง

รายงานข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) ระบุว่าจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก รวบรวมระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 18 ธ.ค. 63 เกี่ยวกับพฤติกรรมการโพสต์และแชร์ข่าวปลอม ของชาวโซเชียลในไทย พบว่า มีจำนวนผู้โพสต์ข่าวปลอม 787,055 คน และผู้แชร์ข่าวปลอม 28,519,534 คน

ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า ประชาชนในช่วงอายุ 25-34 ปี มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายการเผยแพร่ข่าวปลอมมากสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 48.8% ส่วนกลุ่มอายุอันดับรองลงมา ได้แก่ 18-24 ปี, 35-44 ปี, 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ โดยแบ่งกลุ่มตามเพศของพฤติกรรมเผยแพร่ข่าวปลอม มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ผู้ชาย 51.8% และผู้หญิง 48.2%

ขณะที่ อายุของผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม กลุ่มอายุ 25-34 ปี ยังนำเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 48.9% ตามมาด้วย อายุ 18-24 ปี, 35-44 ปี , 45-54 ปี และ 55-64 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย 53.0% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 47.0%

ในด้านพฤติกรรมการแชร์ข่าวปลอม พบว่าอายุของผู้แชร์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม เกินครี่งหรือประมาณ 53.3% อยู่ใน18-24 ปี อันดับรองลงมา คือ อายุ 25-34 ปี คิดเป็น 41.7% ตามมาด้วย อายุ 45-54 ปี และอายุ 55-64 ปี โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่แชร์ข่าวปลอมเป็นผู้ชาย 49.4% ส่วนผู้หญิงอยู่ที่ 50.6%

กมธ. การพาณิชย์ แนะรัฐนำบทเรียนราคาหน้ากาก-เจล-แอลกอฮอล์ พุ่งเป็นบทเรียน หลังประชาชนเริ่มเป็นห่วงสินค้าขาดตลาด และราคาอาจพุ่งเว่อร์

อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล และ ถุงมือยาง ภายหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ตามที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากได้แสดงความเป็นห่วงมานั้น

เบื้องต้น กมธ.ได้ติดตามสถานการณ์โดยทั่วไปยังเป็นปกติ รัฐบาลดูแลได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าเหล่านี้ยังมีจำหน่ายภายในประเทศอย่างเพียงพอ ซึ่ง กมธ.ได้ขอให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คอยควบคุมปริมาณ รวมไปถึงราคาสินค้าทั้ง 3 อย่าง โดยนำประสบการณ์จากการแพร่ระบาดในรอบแรก ทั้งการเฝ้าติดตาม ลงโทษอย่างเฉียบขาด กับผู้กักตุน และขายเกินราคา เป็นต้น มาใช้สำหรับบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบปัญหาขาดแคลนสินค้า หรือขายเกินราคาควบคุม ก็สามารถร้องเรียนผ่านกรมการค้าภายใน หรือกมธ.พาณิชย์ ได้ แต่หากพบสัญญาณผิดปกติเมื่อใด กมธ.ก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงทันที

รมช.แรงงาน มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ลุยแพร่ หารือร่วมรองผู้ว่าฯ เดินหน้าสร้างแรงงานดิจิทัล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนพัฒนาประเทศ

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า มอบหมายให้ พิรัส ศิริขวัญชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ด้านยุทธศาสตร์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตนเองรับผิดชอบในการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เพื่อร่วมหารือแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ร่วมหารือด้วย

พิรัส กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีโอกาสเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าหม้อห้อม ‘ป้าเหงี่ยม’ โครงการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่สักจังหวัดแพร่ ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น และโครงการต้นแบบหมู่บ้านนาคูหา ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ร่วมถึงได้ร่วมประชุมหารือแนวทางการพัฒนาแรงงานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานแพร่ (สนพ.แพร่) ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ เพื่อรับฟังความต้องการช่วยเหลือในด้านการพัฒนาทักษะฝีมือ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ รมช.แรงงาน โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีความรู้ในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เกิดการซื้อขายที่มากขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อไป

พิรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเยี่ยมชมโครงการต้นแบบหมูบ้านนาคูหา ซึ่งเป็นหมู่บ้านในโครงการส่งเสริมธุรกิจสินค้าเด่นของกลุ่มจังหวัดแพร่ เป็นโครงการภายใต้แนวทางการสร้างความเข้มแข็งความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ยอดดอยสูงใน ต.สวนเขื่อน อ.เมือง ซึ่งชาวบ้านในชุมชนมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเป็นธรรมชาติ เช่น สัมผัสชีวิตค้างคาวในถ้ำห้วยต้นผึ้ง การเก็บเตาบนภูเขาหนึ่งเดียวในประเทศไทย การเดินป่าขึ้นผ้าสิงห์ชมวิวหมู่บ้าน การเยี่ยมสมสวนห้อม สาธิตการสกัดสีจากต้นห้อมธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดเพื่อนำไปสู่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดย สนพ.แพร่ จะจัดฝึกอมรมการเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แก่แรงงานในชุมชน รวมถึงการฝึกอบรมด้านดิจิทัลด้วย อาทิ การขายสินค้าออนไลน์

“การผลักดันแนวนโยบายต้องบูรณาการกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาแรงงาน ด้วยการจัดหาหลักสูตรเพื่อพัฒนาแรงงานให้ทันต่อเทคโนโลยี เพื่อประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนในการสร้างรายได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สู่การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างนั่งยืนต่อไป” พิรัส กล่าวตอนท้าย

‘จอมขวัญ’ แยกทางไทยรัฐทีวี สถานีต่อไปคือที่ใด?

ถามตรงๆ จะไม่ตรงอีกแล้ว เมื่อพิธีกรข่าวคนดัง ‘จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์’ เจ้าของรายการ ‘ถามตรงๆ กับจอมขวัญ’ ประกาศไม่ต่อสัญญากับ ‘ไทยรัฐทีวี’ โดยเบื้องต้นจะทำรายการจนถึงสิ้นปีนี้

 

หลังข่าวฮือฮานี้เผยแพร่ออกไป มีการจับตากันว่า พิธีกรคนดังจะย้ายขั้ว สลับข้าง ไปทางค่ายทีวีช่องไหน เสียงลือแรกคาดว่าจะย้ายซบ ‘ทีวีช่องวาไรตี้เกมโชว์’ ที่กำลังรุกหนักเรื่องข่าวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ส่วนอีกกระแส ลือว่าอาจย้ายซบรังเดิม นั่นคือ เนชั่นทีวี ที่ในวันนี้ ‘ทางสะดวก’ และน่าจะเป็นทางที่พิธีกรคนดังน่าจะ ‘ออกอาวุธ’ ได้ถนัดถนี่

 

หรือแม้แต่ทางเลือกที่เป็นไปได้อีกทาง นั่นคือ สร้างแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ซึ่งโมเดลแบบนี้ นักข่าวคนดังอย่าง ‘ฐปณีย์ เอียดศรีไชย’ เคยทำมาแล้วกับสถานีข่าวออนไลน์ The Reporters นั่นเอง ซึ่งด้วยกระดูกงานที่แข็งโป้ก แถมด้วยพลังชื่อเสียงของจอมวัญเอง การตัดสินใจเลือกงานที่เรียกว่า ‘ทำเอง กินเอง’ ก็มีความเป็นไปได้สูง

 

โปรดจับตาดูการขยับตัวของพิธีกรข่าวคนดัง เพราะนี่คือทิศทางที่เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเธอ อีกไม่นานได้รู้กัน

หลังโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการกำหนดให้เปิดจองช่วง 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ต้องถูกยกเลิกไป จากเหตุสุดวิสัย ก็ดูเหมือนจะมีประชาชนจำนวนมากต้องการให้กลับมาเปิดโครงการนี้อีกครั้งในช่วงปีใหม่

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้ออกมาเปิดเผยว่า ในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ จะมีการเปิดให้ผู้ได้รับสิทธิ ‘โครงการเราเที่ยวด้วยกัน’ โดยสามารถจองสิทธิห้องพัก จำนวน 1 ล้านสิทธิใหม่ที่ครม.อนุมัติไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเดิมกำหนดให้จองได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากพบพฤติกรรมต้องสงสัยของโรงแรมและร้านอาหารบางส่วนเข้าข่ายกระทำผิดเงื่อนไขโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่มักง่ายและคิดสั้นที่ทำลงไปแบบนั้น แต่เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากต้องการใช้สิทธิ์จองห้องพักเพื่อใช้ในเทศกาลปีใหม่ จึงจะให้เปิดจองได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน

นอกจากนี้ ในวันที่ 29 ธันวาคม2563 กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาโครงการ ‘เที่ยวไทยวัยเก๋า’ ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท เจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัย อายุ 55-75 ปี จำนวน 1 ล้านคน เที่ยววันธรรมดาผ่านบริษัททัวร์ มีเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายว่าต้องมีการเดินทาง 2 คนขึ้นไปในวันอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี โดยใช้บริการผ่านบริษัทนำเที่ยว เดินทาง 3 วัน 2 คืนขึ้นไป รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน

เชื้อไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ใหม่ ‘B117’ กำลังลุกลามเข้าญี่ปุ่น

 

ลามต่อไม่รอแล้วนะ สำหรับเชื้อไวรัส Covid-19 กลายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ ที่เรียกว่า B117 กำลังเริ่มลุกลามไปเรื่อย ๆ ล่าสุดวันนี้รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่น นายโนริฮิสะ ทามุระ ได้ออกมาแถลงยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัส B117 แล้วถึง 5 ราย เป็นผู้โดยสารที่เดินทางกลับจากอังกฤษ ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อ Covid-19 กลายพันธุ์จากอังกฤษในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

 

ตอนนี้ทางญี่ปุ่นได้สั่งระงับเที่ยวบินจากอังกฤษ รวมถึงชาวอังกฤษที่ไม่มีวีซ่าพำนักระยะยาวในญี่ปุ่นเข้าประเทศแล้ว

 

นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ชูกะ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งต่อจากนายชินโซะ อาเบะ ที่จำต้องลาออกไปเพราะปัญหาสุขภาพ ออกมาประกาศให้ชาวญี่ปุ่นฉลองเทศกาลปีใหม่ปีนี้อย่างเงียบๆ พยายามงด และ เว้นกิจกรรมที่รวมกลุ่มสังสรรค์เป็นกลุ่มใหญ่

 

เนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่ มักเป็นวันที่ชาวญี่ปุ่นเดินทางกลับบ้านเกิดตามภูมิลำเนา และมีการเลี้ยงฉลองสังสรรค์เป็นครอบครัวใหญ่ จะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดใหญ่อีกครั้งในช่วงนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ชูกะ ย้ำเตือนถึงความเสี่ยงโดยขอความร่วมมือให้ชาวญี่ปุ่นรวมกลุ่มกันแต่น้อย มิฉะนั้นจะควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้

 

ปัจจุบันญี่ปุ่นมียอดผู้ติดเชื้อ Covid-19 สะสมกว่า 2.15 แสนราย และมียอดผู้ติดเชื้อรายวันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเกิน 3000 เคสต่อวัน โดยล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติ อัดฉีดงบประมาณกว่า 2.7 แสนล้านเยนให้กับทางโรงพยาบาลทั่วประเทศเพื่อรับมือการแพร่ระบาด Covid-19 ในครั้งนี้

 

แต่นั้นจะเพียงพอที่จะรับมือกับการระบาดด้วยเชื้อไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ B117 ที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าตัวเดิมหรือไม่นั้น ก็ต้องเฝ้าติดตามห่างๆ อย่างห่วงๆกันต่อไป

________________________________________________________________________

แหล่งข่าว

 

https://www.aljazeera.com/news/2020/12/25/japan-confirms-five-cases-of-new-coronavirus-strain

 

https://japantoday.com/category/national/update-4-japan's-suga-urges-citizens-to-have-a-quiet-and-distanced-new-year

 

เครดิต : หรรสาระ By Jeans Aroonrat

 

 

เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ เปิดศึก (การเมือง) บนทวิตเตอร์

จากกรณีที่นักแสดงหนุ่ม “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นบนทวิตเตอร์บัญชี Petchkaroonpon@petchy66 ในประเด็นที่มีการตรวจพบข้าราชการทำเนียบฯ มีความเสี่ยงเป็นโรคโควิด-19 จำนวน 6 ราย

 

โดยระบุว่า... “ข้าราชการทำเนียบติดโควิด 6 คน...สาธุ ขอให้ได้ให้โดนทีเถอะจะทานมังให้ปีนึงเลย”

 

และหลังจากนั้นก็มีการเข้าไปต่อความในทวิตเตอร์ของนักแสดงหนุ่มอีกมากมาย อาทิ

 

"โอ้โห นี้ความคิดคนเหรอนี่?"

"พยายามจะเป็นควายละครับ พอดีฉลาดไปหน่อยเลยต้องยอมเป็นคนนี่ยังแอบเสียใจอยู่เลย"

“ต้องใจร้ายแค่ไหนถึงได้อยากให้คนติดโรคนี้ คุณไม่ชอบการเมืองได้ แต่มวลมนุษย์ชาติไม่ใช้ของที่จะมาสะใจที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นต้องมาติดโรคนี้ กรรมมันไวกว่าโรคร้ายน่ะจิตคุณไม่ดีระวังคุณจะได้สัมผัสด้วยตัวคุณเอง แต่ก็ขออย่าให้เป็นน่ะงัยคุณก็คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย”

 

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง กระทั่งภายหลังกลุ่มข้าราชการทำเนียบฯ ดังกล่าวก็มีผลตรวจซ้ำว่าเป็นลบ แจ้งผลยืนยันว่าไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 แน่นอน นายเพชรก็มีโพสต์ทวิตเตอร์ออกมาอีกครั้ง

 

“สำหรับข้อความที่สื่อให้เข้าใจผิดว่าผมดีใจที่มีคนป่วยในทำเนียบ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ใจเร็วเขียนไปแบบนั้น ตั้งใจเขียนระบายแหละ ไม่ใช่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำผิดก็ขอยอมรับและขอโทษสำหรับอคติที่ไม่ดีครับ ทวิตเก่าจะยังไม่ลบนะครับใครอยากตำหนิสั่งสอนอบรมเต็มที่ครับ”

 

ทั้งนี้มีคอมเม้นทั้งชื่นชมที่ออกมายอมรับผิด และบางส่วนบอกว่า เจ้าตัวรู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำมาตลอด

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (26 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 110 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 6,020 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 15 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,152 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,808 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 110 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติไอร์แลนด์ 2 ราย
รัสเซีย 2 ราย เยอรมัน 1 ราย
เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา 2 ราย , รัสเซีย 4 ราย ,อินเดีย 1 ราย,ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,โมซัมบิก 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,ตุรกี 1 ราย ,ฝรั่งเศส 1 ราย
ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (อยู่ระหว่างการสอบสวน)
จำนวน 64 ราย จาก เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดสมุทรสาคร 60 ราย
สัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า 3 ราย และรอสอบสวน 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 30 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 355 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.7 แสน เสียชีวิต 20,847 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.02 แสน ราย รักษาหายแล้ว 82,540 ราย เสียชีวิต 449 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.21 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.01  ราย เสียชีวิต 2,552 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.68 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.31 แสน ราย เสียชีวิต 9,062 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,509 ราย รักษาหายแล้ว 58,352 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,439 ราย รักษาหายแล้ว1,303 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

ทางกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 112 (ร.112 พัน.2 ) รับซื้อ กุ้งขาว จำนวน 30 กิโลกรัม หลังจากพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งประสบปัญหาในการเลี้ยงและการส่ง – ออก

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ได้เผยแพร่ข้อมูลและภาพการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ซึ่งทางกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 112 (ร.112 พัน.2 )ได้เข้าช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ในพื้นที่ฟาร์มกุ้ง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี

โดยทางหน่วยฯ ดังกล่าว ได้รับซื้อ กุ้งขาว จำนวน 30 กิโลกรัม หลังจากพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้งประสบปัญหาในการเลี้ยงและการส่ง – ออก ขายกุ้งในท้องตลาดโดยไม่มีใครกล้าซื้อไปบริโภค

ฉะนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาและ สร้างขวัญกำลังใจให้ พี่น้องชาวเกษตรกร ผ่านวิกฤตการณ์นี้ไปด้วยกัน ทางหน่วยฯ จึงได้นำกุ้งที่ซื้อจากพี่น้องชาวเกษตรกร มาทำอาหารมื้อพิเศษ ให้กับน้องๆ พลทหารกองประจำการได้รับประทาน

ทั้งนี้ทางหน่วยฯ ได้ทำตามมาตรการ การป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 คือ ‘กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากาก’ ตามนโยบายของกองทัพบก และกระทรวงสาธารณสุขอีกด้วย

กลุ่ม Wevo เจ๋ง!! ดันกิจกรรมช่วยเกษตรกรเลี้ยงกุ้งจังหวัดนครปฐม เหมากุ้งเปิดท้ายขายราคาถูก เชิงสะพานขมัยมรุเชษฐ ทำเนียบรัฐบาล

ที่เชิงสะพานขมัยมรุเชษฐ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่ม Welunteer หรือเครือข่ายประชาชนอาสา นำโดย ปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ ทำกิจกรรมช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดนครปฐม โดย นำกุ้งขาว จำนวน1 ตัน บรรทุกใส่รถกระบะ 2 คัน มาเปิดท้ายจำหน่ายให้ประชาชนและผู้สนใจ ในราคากิโลกรัมละ 170 บาท

เป้าหมายในครั้งนี้ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ไ้ด้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากจังหวัดนครปฐม เป็นพื้นที่เชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร ส่งผลให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลไม่กล้ากินกุ้งและอาหารทะเล โดยประชาชนสนใจมาต่อแถวซื้อกันอย่างคึกคัก

สำหรับผู้สนใจยังสามารถเดินทางมาซื้อได้ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล หรือซื้อจากทางเพจ We Volunteer จนกว่าสินค้าจะหมด โดยตลอดการทำกิจกรรมต้องสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างเคร่งครัด

ด้านตัวแทนเกษตรกรฯ กล่าวว่า หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ไม่สามารถไปส่งกุ้งที่ตลาดมหาชัยได้ ซึ่งปกติทุก2เดือนจะต้องไปส่งกุ้งขาย 1 รอบ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้น ทำให้กุ้งจำหน่ายไม่ได้ เมื่อเห็นโพสต์การช่วยเหลือของกลุ่ม WeVo จึงได้ติดต่อประสานงานมาจัดจำหน่ายในราคาส่ง กิโลกรัมละ 170 บาท พร้อมบริการส่งฟรีในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ยืนยันว่าการแพร่ระบาดของโรคไม่เกี่ยวข้องกับกุ้ง แต่แนะนำเพื่อความปลอดภัยต้องปรุงอาหารให้สุกเสมอ

สปป.ลาว มีคำสั่งเรื่องการข้ามชายแดนอย่างเข้มงวด

เมืองสังข์ทอง ออกหนังสือเข้มงวด ห้ามบุคคล นิติบุคคล และประชาชน  ข้ามไป-มา ตามแนวชายแดน เมืองสังข์ทอง สปป.ลาว และเมืองสังคมประเทศไทย เพื่อต้าน สกัดกั้น และป้องกัน เชื้อโควิด-19

กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าดันนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ผ่าน 5 นโยบายใหม่ ตั้งเป้าผลักดันไทยสู่ครัว ‘ฮาลาล’ โลก พร้อมผนึก ‘อินโด-มาเลย์’ ร่วมสร้างมาตรฐานอาหารฮาลาล

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยมาอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าการขับเคลื่อนแผนงานตามแนวทางดังกล่าว

สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดโลก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล เนื่องจาก ในปี 2563 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่า 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 48,004,350 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะเพิ่มมูลค่าสูงถึง 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 71,545,354 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮาลาล ประมาณ 150,000 รายการ

ทั้งนี้ เพื่อให้การตั้งเป้าหมายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผล กระทรวงเกษตรฯได้จัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ประกอบด้วย นโยบาย 5 เรื่องได้แก่ 1.นโยบายเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล 2.นโยบายยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร 3.นโยบายเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค 4.นโยบายเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์ และ 5.นโยบายยกระดับความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับ 5 นโยบายนี้มีแนวทางการดำเนินงานสำคัญๆ อาทิ การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Halal Hub) การจัดตั้งสถาบันฮาลาล การส่งเสริมฐานข้อมูลวัตถุดิบฮาลาล (H Number) ระบบศูนย์ข้อมูลกลางการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ด้านฮาลาล (System Protocol for Halal Electronic Resources Exchange) วิสัยทัศน์ฮาลาลนี้ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลอย่างครบวงจร รวมถึงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคอีกด้วย

รองโฆษกฯ กล่าวอีกว่า ควบคู่ไปกับการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเป้าสู่การเป็นครัวฮาลาลโลก ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กำลังขับเคลื่อนแผนงานส่งเสริมการผลิตกับการพัฒนาคุณภาพของเนื้อไก่ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารฮาลาล รวมถึงผลักดันการแปรรูปไก่ฮาลาลเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ ศอ.บต.ได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการส่งเสริมฟาร์มเลี้ยงไก่ให้กระจายทั่วพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงไก่ KKU-1 ที่เป็นผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไก่พันธุ์นี้ทั้งเลี้ยงง่าย และดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย เพราะมีกรดยูริคและโคเลสเตอรอลต่ำ ไขมันน้อย เนื้อเหนียวแน่นและนุ่ม เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นสร้างประโยชน์อย่างมากต่อการส่งเสริมมาตรฐานอาหารฮาลาล รวมถึงการสร้างอาชีพและรายได้แก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนใต้

ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์มีแผนการผลักดันการส่งออกไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 4% หลังจากเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศเริ่มฟื้นตัว และในด้านการต่างประเทศ รัฐบาลได้ผลักดันแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ที่กำหนดแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมฮาลาลให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยสร้างการยอมรับมาตรฐานฮาลาล และการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในอนุภูมิภาคให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก นางสาวรัชดา กล่าว

ปีใหม่นี้อาจจะดูหงอยๆ กันหน่อย สังเกตได้พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงปลายปีลดลง เป็นผลมาจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น ไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 64 ระหว่างวันที่ 14-23 ธ.ค.2563 คาดว่า จะมีเงินสะพัดอยู่ที่ 91,467 ล้านบาท ลดลง 33.6% จากปีทุกๆ ปีที่จะมีมูลค่าการใช้จ่ายเกินกว่า 1 แสนล้านบาท ถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 15 ปี และมีเงินสะพัดต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หลังจากประชาชนยังกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำใช้จ่ายลดลง อยู่บ้านมากขึ้น และไม่กล้าออกจากบ้าน

ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า หากสถานการณ์การระบาดยังรุนแรงมากขึ้น มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เชื่อว่า จะทำให้เงินสะพัดในช่วงปีใหม่เหลือเพียง 80,937 ล้านบาท ติดลบ 41.3% แต่หากมีการล็อกดาวน์พื้นที่อื่นใกล้เคียงกับสมุทรสาครมากขึ้น จะมีเงินสะพัดเพียง 65,143 ล้านบาทลดลง 52.7%

อย่างไรก็ตามในกรณีร้ายแรงที่สุดคือ ล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จะเหลือเงินสะพัด 38,819 ล้านบาท ติดลบ 71.8% และจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายมากถึงเดือนละ 200,000 ล้านบาท หรือวันละเกือบ 7,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้คนตกงานจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top