Thursday, 4 July 2024
NEWS

จับตาสภาฮ่องกง ใต้เงาปักกิ่ง

สถานการณ์การเมืองในสภาฮ่องกงวันนี้ กลับมาร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีคำสั่งจากรัฐบาลกลางปักกิ่ง ปลด สส. ฝ่ายค้าน จำนวน 4 คน เนื่องจากหมดคุณสมบัติการเป็นผู้แทน ตามระเบียบของกฏหมายความมั่นคงใหม่ของฮ่องกง ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

สมาชิกฝ่ายค้านทั้ง 4 คน ที่โดนคำสั่งเด้งฟ้าผ่าได้แก่

1.) Alvin Yeung หัวหน้าพรรค Civic Party ฝ่ายค้านดาวรุ่ง ที่ยอมยกเลิกสิทธิ์การได้เป็นพลเมืองแคนาดา เพื่อมาลุยงานสภาที่ฮ่องกงโดยเฉพาะ และเพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้าสภามาเมื่อปี ค.ศ.2016 นี้เอง นับเป็นสมัยแรกของเขา

2.) Dennis Kwok หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค Civic Party และเป็น สส. ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตัวแทนจากรัฐบาลจีนอย่างเผ็ดร้อน

3.) Kenneth Leung อดีตที่ปรึกษาด้านภาษีอาวุโส หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Pro-Democracy ที่ได้รับคัดเลือกจากสภาวิชาชีพ และเป็น สส. มาตั้งแต่ปี ค.ศ.2012

4.) Kwok Ka-ki แพทย์เฉพาะทาง ที่เคยได้รับเลือกเข้าสภาจากกลุ่มแวดวงวิชาชีพ ปัจจุบันสังกัดพรรค Civic Party เช่นเดียวกัน และกลายเป็นหนึ่งใน สส. ที่ถูกขับออกจากสภาจากกฏหมายความมั่นคงใหม่

พอมีประกาศออกมาจากสภานิติบัญญัติฮ่องกง โดยที่ไม่มีรายละเอียดใด ๆ ว่า ทั้ง 4 สส. มีคุณสมบัติข้อใดที่ขัดกับกฏหมายความมั่นคง แต่สื่อฮ่องกงก็คาดเดาว่า น่าจะเป็นเรื่องที่ ทั้ง 4 คนเป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่ม Pro-Democracy หรืออีกนัยยะหนึ่งคือ ฝ่ายที่ต่อต้านนโยบายจากรัฐบาลจีนที่เป็นหนึ่งในแกนนำ

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจกับสมาชิกฝ่ายค้าน จึงได้ประกาศตบเท้า ลาออกจากสภาฮ่องกงตามเพื่อนไปอีก 15 คน เป็นการประท้วงคำสั่งจากรัฐบาลจีน

เลยทำให้บรรยากาศการเมืองระหว่างจีน และ ฮ่องกงเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

สภานิติบัญญัติฮ่องกง หรือ ที่เรียกชื่อย่อว่า สภา LegCo จะมีผู้แทนทั้งหมด 70 คน ส่วนในสภาชุดปัจจุบันนี้ มีสมาชิกฝ่ายค้านมีอยู่ทั้งหมด 21 เสียง จากจำนวน 70 ที่นั่ง หลังจากที่โดนปลดไป 4 และลาออกไป 15 ก็จะเหลือฝ่ายค้านเหลือเพียง 2 เสียง ซึ่งก็เหมือนไม่มีอยู่แล้ว

และสภาชุดนี้ มาจากการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ปี 2016 ที่เสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายที่สนับสนุนจีนมากกว่าฝ่ายเสรีนิยม ที่มักถูกเรียกกว่ากลุ่ม Pro-Democracy

แต่หลังจากเกิดกระแสการประท้วงกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดน ครั้งใหญ่ในฮ่องกงเมื่อปี ค.ศ.2019 จนบานปลายกลายเป็นการต่อต้านรัฐบาลจีน และเรียกร้องขอปลดแอกเป็นอิสระจากการปกครองของจีน ที่ทำให้กลุ่ม Pro-Democracy ได้รับการสนับสนุนจากชาวฮ่องกงเป็นจำนวนมาก

ภาพสะท้อนที่ชัดที่สุด ที่ส่งเสียงดังสนั่นถึงปักกิ่งนั้นมาจากผลการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นในปี ค.ศ.2019 ที่ฝ่ายเสรีนิยมได้รับคะแนนเสียงถล่มทลายที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง

โดยสามารถชนะการเลือกตั้งใน 17 เขต จากทั้งหมด 18 เขตเลือกตั้ง กวาดที่นั่งในสภาท้องถิ่นไปถึง 388 นั่ง เหลือที่นั่งให้กับฝ่ายสนับสนุนจีนแผ่นดินใหญ่ไปเพียง 62 ที่นั่ง

และ ผู้แทนจากสภาท้องถิ่น ก็จะมีผลต่อการเลือก ผู้บริหารสูงสุดแห่งเกาะฮ่องกงในอนาคตด้วย เนื่องจากจะมีการคัดเลือก สมาชิกจากสภาท้องถิ่นบางส่วนเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการคัดเลือกหัวหน้าผู้บริหารเกาะฮ่องกงในลำดับต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ชาวฮ่องกงจำนวนมากจึงใจจดใจจ่อรอที่การเลือกตั้งใหญ่ในสภา LegCo เป็นอย่างมากที่มีกำหนดจะต้องจัดการเลือกตั้งไปแล้วตั้งแต่กลางปี ค.ศ.2020 แต่ทว่า นางแครี่ ลัม ผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงคนปัจจุบัน ได้เลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปออกไปจนกว่าจะถึงปีหน้า เพราะผลพวงจากการระบาดของ Covid-19

จึงทำให้หลายคนไม่พอใจ เพราะเชื่อว่าหากทางการฮ่องกงได้จัดเลือกตั้งตามกำหนด หรืออย่างน้อย ก่อนการมาถึงของกฎหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ฝ่ายเสรีนิยมจะสามารถกวาดที่นั่งในสภา LegCo ได้อย่างถล่มทลายแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งสภา

ว่าแต่ทำไมถึงมีโอกาสแค่ครึ่งสภา?

เนื่องจากที่นั่ง สส. ในสภา LegCo จำนวน 70 ที่นั่งมีที่มาจาก 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปที่ชาวฮ่องกงสามารถลงคะแนนเลือกผู้แทนได้โดยตรงจำนวน 35 ที่นั่ง

ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เป็นการเลือกผู้แทนพิเศษตามกลุ่มสายอาชีพ 27 สาย โดยมีคณะกรรมการในสาขาวิชาชีพนั้น ๆ เลือกผู้แทนมาสายละ 1 คน ยกเว้นภาคแรงงานที่จะได้ผู้แทน 3 คน

ถึงแม้ว่าการเลือกผู้แทนครึ่งสภามาจากคณะกรรมการในแต่ละสาขาอาชีพ ที่ส่วนมากมักได้รับอิทธิพลจากรัฐบาลปักกิ่ง จะมีชาวฮ่องกงหลายคนไม่เห็นด้วยกับระบบนี้

แต่อย่างน้อย สมาชิกอีกครึ่งสภาก็มาจากเสียงของชาวฮ่องกง ที่คาดว่าในสมัยหน้า หากวัดจากผลการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมา ก็น่าจะมีฝ่ายที่สนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยเข้ามาได้ท่วมท้นเต็มสภาแน่นอน

เพียงแต่ตอนนี้ ต้องรอไปจนถึง 5 กันยายน ค.ศ.2021

และด้วยกฎหมายความมั่นคงใหม่ของจีน ที่ระบุข้อห้ามชัดเจน 3 ข้อว่า ห้ามปลุกระดม ห้ามสมคบคิดกับต่างชาติ และห้ามล้มล้างการปกครองเพื่อแยกประเทศ

หากใครที่เคยกระทำการที่เกี่ยวโยงกับความผิดใน 3 ข้อนี้ ก็อาจจะโดนดำเนินคดี ซึ่งรวมถึงการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

ดังนั้น คำสั่งเขย่าสภาฮ่องกงด้วยการปลด 4 สส. ฝ่ายค้าน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการสกัดดาวรุ่ง กลุ่มแกนนำฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจีน ที่คาดว่าน่าจะโดนอีกหลายคนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า

สิ่งหลายคนกำลังจับตานับจากนี้ อาจจะไม่ใช่แค่การเลือกตั้งครั้งต่อไปในฮ่องกง แต่เป็นกระแสแรงต้านที่อาจทำให้ชาวฮ่องกงต้องออกมาส่งเสียงดังถึงปักกิ่งอีกครั้งบนท้องถนนใจกลางเมืองฮ่องกงอย่างเมื่อปีที่ผ่านมา

รวมถึงบทบาทของสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ ว่าจะกระโดดเข้ามากดดันจีนแบบไหนในสมรภูมิที่เกาะฮ่องกงแห่งนี้

.

ข้อมูลอ้างอิง

BBC

https://www.bbc.com/news/world-asia-china-54900174

Channel News Asia

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/hong-kong-pro-democracy-lawmakers-to-resign-en-masse-13516730#cxrecs_s

The Standard Hong Kong

https://www.thestandard.com.hk/breaking-news/section/4/158916/Empty-seats-left-behind

Wikipedia

https://en.wikipedia.org/wiki/Legislative_Council_of_Hong_Kong

https://en.wikipedia.org/wiki/2019_Hong_Kong_local_elections

PS5 ฮอตเว่อร์! ขายดีเหมือนเชื้อไวรัสระบาด!!

ขึ้นต้นหัวข่าวอย่างนี้ ฟังดูเวอร์จริงไรจริง แต่นี่เรื่องจริง ขนาด BBC.com ยังใช้คำอ้างอิงว่า Pandemic Launch

สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (12 พฤศจิกายน พ.ศ.2563) เป็นวันแรกที่มีการวางจำหน่ายเครื่องเพลย์สเตชั่น 5 (PS5) ในประเทศสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, แคนาดา, เม็กซิโก, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ ผลปรากฎว่า กระแสการตอบรับดีชนิดที่ต้องเปรียบด้วยคำว่า Pandemic Launch อารมณ์คล้ายๆ การแพร่ระบาดยังไงยังงั้น

จากการรายงานบอกว่า PS5 เครื่องใหม่นี้ ปรู๊ดปร๊าดรวดเร็วกว่าเดิม แถมกราฟิกก็สวยงามกว่าเดิม และมีรายละเอียดที่ตอบสนองนักเล่นเกมมากกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ จะมาเพิ่มประสบการณ์ของนักเล่มเกมได้ดีกว่าเดิมชัวร์ๆ

ราคาเปิดตัว PS5 อยู่ที่ประมาณ 450 ปอนด์ (ราว 18,000 บาท) แต่สำหรับที่เมืองไทยในเวลานี้ แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีการเปิดตัวจำหน่ายกันวันไหน แต่ตอนนี้ก็มีประเภท "เครื่องหิ้ว" เข้ามาขายกันแล้ว สนนราคาจะอยู่ที่ 35,000-40,000 บาท (เอื้อก!)

ส่วนเรื่องเกมที่มีคนแอบสงสัยว่า PS5 จะเป็นยังไง ทางต้นสังกัดโซนี่แจ้งว่า นอกจากเกมใหม่เจ๋งๆ ที่เตรียมเปิดตัวแล้ว ยังมีเกมยอดนิยมมากมายจาก PS4 ที่จะมาต่อยอดในเครื่อง PS5 ได้สบาย

ก่อนจะได้สัมผัส PS5 กันจริงจัง ย้อนกลับไปในเครื่องเวอร์ชั่นก่อนๆ อย่างเครื่อง PS4 รุ่นก่อนหน้านี้ ก็ทำยอดขายไปได้ทั่วโลก มากกว่า 112 ล้านเครื่อง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสืบเลยว่า เครื่อง PS5 ตัวล่าสุดนี้ จะ "โกย" ไปเท่าไร

ช่วงนี้ถ้าคนใกล้ตัวเราจะเพ้อลอยๆ ออกมาว่า "เพลย์ห้า เพลย์ห้า" ก็โปรดเข้าใจเขาหน่อยแล้วกันนะ

.

อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/newsbeat-54889795

ข้าราชการการเมืองคนใหม่ ทำไมหน้าคุ้น ๆ

เมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 09.40 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล "นายวิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในกรณีคณะรัฐมนตรี แต่งตั้ง นางสาวธนพร ศรีวิราช ภรรยา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นข้าราชการการเมืองในตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สามารถทำได้หรือไม่

นายวิษณุ ได้กล่าวว่า "ทำไมจะทำไม่ได้ การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการเสนอแต่งตั้ง และนำเข้าครม.ไม่ใช่อำนาจของ ร.อ.ธรรมนัส

โดยตนไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เสนอขึ้นมา ในส่วนที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ในการแต่งตั้งภรรยาหรือญาติเข้ามาทำงาน"

นายวิษณุได้ให้เหตุผลว่า "ไม่ได้ผิดอะไร เพราะไม่ได้เข้าไปทำงานที่กระทรวงเกษตรฯและในด้านกฎหมายก็ไม่ได้ห้าม หากฎหมายห้ามหรือผิดคุณสมบัติก็ต้องแจ้งหรือตัดออกไป"

นายวิษณุยังทิ้งท้ายด้วยว่า "ส่วนตัวไม่รู้จัก นางสาวธนพร แล้วทำไมถึงมาถามตน มาทราบข่าวจากสื่อด้วยซ้ำไปว่าเกี่ยวดองอะไรกัน"

ประวิตรยิ้มอรุ่ม! ม็อบบางตา

เมื่อวันที่ 11 พฤษจิกายน พ.ศ.2563 ณ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร ที่มวลชนกลุ่มราษฎรนั้นมีความอ่อนแรงลงไปมาก

จึงมีการสอบถามเพิ่มเติมว่ามีการส่งคนไปเจรจากับทางผู้ชุมนุมหรือไม่ แต่ไร้วี่แววคำตอบจาก พล.อ.ประวิตร นอกจากการส่ายหน้าแทนคำตอบเท่านั้น เมื่อถามถึงความเห็นต่อจำนวนผู้ชุมนุมที่น้อยลง จึงได้คำตอบว่า "ก็ดี ดี"

เมื่อถามถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายให้ไปพูดคุยกับ ส.ส. พรรคพปชร. เพื่อถอนชื่อญัตติรัฐสภา มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210(2) พล.อ.ประวิตร จึงตอบเพียงว่า "ใครให้ถอน ไม่ได้บอกผม"

อีกทั้งเมื่อถามถึงเรืองที่นายกฯ ขอให้พูดคุยกับส.ส.พรรคพปชร. ที่แสดงท่าทีไม่เหมาะสมต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "บอกไปแล้ว" เมื่อถามย้ำว่าจะถึงขั้นตัดเงินสนับสนุนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

มนต์พ่อมดยังแร๊งง! รูเพิร์ต กรินต์ เปิดไอจีวันเดียว..คนตามเป็นล้าน!

ยังจำเขาได้ไหม หนึ่งในสมาชิกโรงเรียนพ่อมดแห่งฮอกวอตส์เมื่อ 19 ปีก่อน "รอน วิสลีย์" ที่สวมบทโดย รูเพิร์ต กรินต์ ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแปร๊บเดียว เจ้าหนูผมทอง เพื่อนเลิฟของ "แฮร์รี่ พอตเตอร์" เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่เรียบร้อย

แถมไม่ได้โตเปล่า รูเพิร์ตยังชิงมีภรรยา นามว่า "จอร์เจีย กรูม" และเพิ่งคลอดลูกสาวไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด อดีตนักแสดงแห่งหนังมหากาพย์พ่อมดชื่อดัง ได้โพสต์ภาพลูกน้อยลงในอินสตาแกรม

ความพิเศษอยู่ตรงที่ นี่เป็นการเล่นอินสตาแกรมครั้งแรกของเจ้าตัว โดยเขาได้เขียนข้อความขำ ๆ เหมือนแซวตัวเองด้วยว่า "เฮ๊! อินสตาแกรม นี่ผมกรินต์นะ ผมแค่ช้าไป 10 ปีเอ๊งง!"

รูเพิร์ตยังใช้ภาพตัวเองอุ้มลูกสาวตัวน้อยลงเป็นภาพในอินสตาแกรมแรกของตัวเองอีกด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่ภาพเดียว วันเดียว แต่ตอนนี้มี Follower เข้าไปกดติดตามอินสตาแกรมเขาแล้วกว่า 2.7 ล้านคน

ของเขายังแร๊ง! ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี มนต์เสน่ห์ของพ่อมดก็ยังอยู่เจงๆ

.

ภาพจาก: Instagram RupertGrint

Netflix คลิกอินเดีย เคลียร์ทาง "ตลาดใหม่"

เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ Netflix สตรีมมิ่งคอนเท้นท์รายใหญ่จากอเมริกา กำลังให้ความสนใจกับการทำตลาดในพื้นที่เอเชียมากขึ้น

หลังใช้เงินลงทุนจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ไล่ซื้อลิขสิทธิ์ พร้อมสร้าง Original Content เฉพาะขึ้นมา เพื่อไปไล่ออกอากาศภายในประเทศกลุ่มเอเชียอย่างต่อเนื่อง

ถ้าดูจากรายงานของ Netflix ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งานที่เติบโตขึ้น "เกือบครึ่ง" มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เรียกว่าเป็นสัดส่วนการเติบโตของผู้ใช้งานที่มากที่สุด นับจากที่ Netflix ขยายฐานผู้ใช้ไปตลาดนอกอเมริกาตั้งแต่ปี 2016

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Netflix หันมาเคลียร์ทางสู่ตลาดนี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามประเทศในเอเชียที่ Netflix กำลังสนใจอย่างมากดูจะเป็น "อินเดีย"

เพราะหากมองในเชิงสถิติแล้ว อินเดียมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือถึง 570 ล้านราย อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตปีละ 13%

ทว่ากำลังซื้อของคนอินเดีย อาจจะยังมีไม่มากนัก Netflix จึงออกแพ็คเกจบนมือถือในราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 152 บาท) (ไทย 99 บาท) ถูกกว่าที่อเมริกา ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 14 ดอลลาร์สหรัฐ (426 บาท)

นอกจากนี้ยังมีการลงทุนสร้างคอนเท้นท์เพื่อคนอินเดียเฉพาะราว 40 เรื่อง และซื้อลิขสิทธิ์ต่างๆ ด้วยมูลค่าการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.21 หมื่นล้านบาท) ตลอดช่วงปี 2019 - 2020 มานี้

แต่ก็ไม่ใช่แค่อินเดียเท่านั้น ในประเทศเอเชียอื่นๆ ก็มีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น...

- การสร้าง Original Content เฉพาะจำนวน 200 เรื่อง เพื่อเจาะเอเชีย

- 70 จาก 200 เรื่อง จะเป็นคอนเทนท์แบบ Live Action และ Anime จากประเทศเกาหลีใต้

- ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าสนใจเช่นกัน ก็กำลังทยอยเพิ่มภาพยนตร์เสริมเข้าไปอีกกว่า 500 เรื่อง

"Tony Zameczkowski" ผู้บริหารด้านการพัฒนาธุรกิจของ Netflix เล่าว่า "Netflix จะทำคอนเท้นท์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคและให้ความสำคัญกับการทำเมนู คำบรรยาย และพากษ์เสียงในแต่ละภาษา เช่น ภาษาฮินดี มาเลย์ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไทย อีกด้วย"

.

ที่มา: https://www.cnbc.com/2020/11/09/netflix-nflx-its-strategy-in-asian-markets-like-india-indonesia.html

.

ที่มาภาพ: https://officechai.com/startups/netflix-spend-rs-3000-crore-create-content-india-roughly-100-bollywood-movies/

วัคซีนมา พา ZOOM เซ็ง

หลังข่าวสะพัดเกี่ยวกับผลทดสอบวัคซีนต้านโควิด19 ของ Pfizer (บริษัท ยา ไฟเซอร์) ในเฟส 3 ได้ประสบผลสำเร็จมากกว่า 90%

ก็ทำให้วิกฤติของประเทศที่กำลังเจอพายุโควิด-19 แบบหาทางหยุดไม่อยู่ เริ่มดูมีหวังขึ้น

และทันทีที่ข่าวนี้เล็ดหลุดออกมา ก็ส่งแรงดีดให้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลาย ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งตัวสูงขึ้น

แม้จะเป็นข่าวดีของมนุษยชาติ แต่กลับกันข่าวนี้กำลังกลายเป็นวิกฤติและไม่ส่งผลดีต่อต่อหุ้นของบริการวิดีโอประชุมออนไลน์ที่มาแรงแห่งยุคโควิดอย่าง "ZOOM" สักเท่าไรนัก

เพราะหลังจากข่าวความคืบหน้าของ Pfizer ออกมา ก็ทำให้มูลค่าหุ้นของ Zoom ดิ่งลดลงถึง 20%

เนื่องจากนักลงทุนมองว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้ผู้คนจะกลับไปทำงานในออฟฟิศได้แบบเดิมเสมือนก่อนหน้ายุคโควิด-19 ระบาดหนัก

และนั่นก็หมายความว่า Zoom จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในโลกของการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ZOOM ก็กอบโกยโอกาสจากสงครามเชื้อไวรัสสยองในครั้งนี้ไปได้มาก เพราะราคาหุ้นจนถึงวันนี้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 650% ไปแล้ว

พร้อมทั้งดันมูลค่าตลาด (Market Cap) ของ ZOOM ที่มีการประเมินกันก่อนโควิด-19 ระบาดจาก 9.2 พันล้านดอลลาร์ พุ่งมาอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้

ฉะนั้น หาก 20% ที่หายไป ถูกประคองไว้ได้ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดความเลวร้ายต่อผู้ก่อตั้งอย่าง Eric Yuan (อีริค หยวน) กระมัง...

.

ที่มา – Business Insider

https://markets.businessinsider.com/news/stocks/zoom-video-stock-price-pfizer-coronavirus-vaccine-success-telework-zm-2020-11-1029781479

พรุ่งนี้มีหนาววววว อากาศต่ำสุด 21 องศา

กำลังจะนอน ดันกดมือถือดูพยากรณ์อากาศวันพรุ่งเน้
ป๊าดดดด! ช่วงเช้าตรู่วันพรุ่ง อุณหภูมิลดต่ำสุด 21 องศา!!
ใครอยากสัมผัสความหนาวหงึกๆ โปรดตื่นแต่เช้า ได้หนาวบรื๋อแน่แม่เอ๊ยยย!

ฝุ่นมาล่ะจ้า! พร้อมรับมือกันยัง?

อะไรเอ่ย? ไม่ใช่วิญญาณ แต่รู้ว่ามีอยู่จริง!

อ๋อ ฝุ่นไงจะอะไรล่ะ เรียกทางการสักหน่อย ก็คือพี่ PM 2.5 นี่เอง ว่ากันว่า พอหมดฤดูฝนปุ๊บ ช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนผ่าน ช่วงนี้แหละที่ ‘พี่ฝุ่น’ จะมาเยือนมากมาย

โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลนำโดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวเรื่องการเตรียมความพร้อม ‘การรับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5’ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองแบบบูรณาการทุกภาคส่วน ดังนี้

1.) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ พร้อมประสานข้อมูลกับกรมควบคุมมลพิษ และ Gistda (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) )
.
รวมทั้งมีการกำหนดสถานที่พักชั่วคราว หรือ Safety Zone แจ้งเตือนแนะนำข้อปฏิบัติตนแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากอนามัย

2.) ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ เร่งระบายการจราจรไม่ให้ติดขัด ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตรวจสภาพ/บำรุงรักษายานพาหนะขนส่งสาธารณะ ทำความสะอาดพื้นผิวถนน

รวมทั้งควบคุมการเผาในที่โล่ง พื้นที่เกษตรอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ป้องกันและลดปริมาณฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง
.
3.) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ขยายเครือข่ายแจ้งเตือน จัดระเบียบการเผาตามลักษณะพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักวิชาการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรับพฤติกรรมประชาชน ในการลดการเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และการเผาขยะในชุมชนหรือเมือง

ทั้งหมดที่ว่ามา ถือเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งนอกเหนือจากหน่วยงานภาครัฐที่ต้องแอ็คชั่นกันแรงๆ แล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องพร้อมใจกันปลดแอก

เดี๋ยวๆๆๆ เรียกว่าพร้อมใจกันลดการเกิดฝุ่นจะดีกว่า ต้องช่วยกันอย่างจริงจัง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เมืองเราจะได้แจ่ม ปอดเราจะได้สะอาดขึ้น นะจ้ะ!

จะแก้อะไรก็แก้ แต่หมวด 1 กับ 2 น้องขอไม่ยุ่ง

เมื่อวันที่ 10 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นี้ ยันไม่มีผลกระทบสามารถเดินต่อไปได้ อีกทั้งมีการนำร่างของไอลอว์เข้าสู่การพิจารณาด้วย แต่จะออกมาในรูปแบบไหนต้องรอรายละเอียดกันต่อไป ในกรณียื่นขอให้ประธานสภา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ร่างขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้

แต่การแก้ไขยืนยันดำเนินต่อไป ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคประชาธิปัตย์ยังคงจุดยืนไม่แตะต้องกับหมวดที่ 1 และ 2 เช่นเดิม

ขอแรงหน่อย!! ‘หัวเว่ย’ ออกตัวอัพเวล ‘ไทยแลนด์ 4.0’

ถ้าจะก้าวไปสู่ ‘ไทยเแลนด์ 4.0’ ได้แบบเต็มตัว ก็ควรต้องมีเทคโนโลยีที่พร้อมดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลออกตัวได้แบบเนียน ๆ

การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกของไทย ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้น มีชื่อ ‘หัวเว่ย’ ลอยมาใกล้ ๆ

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในงาน POWERING DIGITAL THAILAND 2021 โดย ‘หัวเว่ย’ ตั้งใจที่จะมาเป็นหัวหอกช่วยดัน

เนื่องจาก ‘หัวเว่ย’ เอง ก็เป็นองค์กรด้านเทคโนโลยีจากจีนที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี และตลอดเวลาก็มองออกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้

สังเกตุได้ถึงการที่ไทยพยายามให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CLOUD, AI และ 5G มาประยุกต์กับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอันดับต้น ๆ

แต่ถ้าอยากเดินหน้าได้ไว ๆ ก็อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเสริมแกร่ง ซึ่งนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งที่หัวเว่ยจะถูกดึงเข้ามาหนุนตรงจุดนี้

โดยเป้าหมายหลักในการดัน ‘ไทยแลนด์ 4.0’ นั้น คือ การอัพเลเวลไทยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศให้ถึง 30% ภายในปี 2573

ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างผลบวกระยะยาวไปถึงการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียนได้อีกด้วย

“เบื้องต้นทางหัวเว่ยจะเข้าช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อฟื้นตัวไทยหลังโควิด-19 ในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Cloud, Al และ 5G ตรงนี้จะช่วยเสริมศักยภาพทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการศึกษา ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวไปแข่งขันได้ในทุกมิติของเวทีโลก” อาเบล กล่าว

ส้มหยุด!! หยุดป้ายสีนายกฯ

เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ "แรมโบ้" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แจงเหตุ “บิ๊กตู่” ปัดตกร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ

เพราะเป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคน ไม่มีเจตนาแอบแฝงอย่างที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อม ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวหาและระบุว่าการปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพเคารพสิทธิมนุษยชน ใช้งบอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้

แรมโบ้ได้กล่าวถึง นายธนาธร ว่า "อย่าให้ร้ายกองทัพที่ทำงานเสียสละให้บ้านเมืองมาโดยตลอด ซึ่งการใส่ร้ายของนายธนาธรและพรรคพวกจะส่งผลเสียต่อตัวนายกโดยตรง จากนี้เรื่องที่ไม่เป็นความจริงจะขอดำเนินคดีกับคนที่ ใส่ร้าย ป้ายสีนายก"

หยุดกร่างได้ละ ลุงแซม!!

หลังโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีการคาดเดาถึงภาพเศรษฐกิจโลกที่จะลดความตึงตัวลง

ผลดีในเชิงเศรษฐกิจที่อเมริกาเคยระรายไปทั่ว ก็น่าจะผ่อนคลายในยุคของเขา ซึ่งหนึ่งในประเทศที่จะยืดตัวคุยได้มากขึ้น ก็คงมีไทยรวมอยู่ด้วย

"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า ต่อจากนี้ ไบเดน น่าจะหันมาใช้เวทีพหุภาคีหรือการทำข้อตกลงระหว่างประเทศมากกว่าสองประเทศ

ไม่ทำตัวลับๆ แบบเดิมที่มักใช้เงื่อนไขระหว่าง 2 ประเทศ คือ สหรัฐ และประเทศคู่ค้าทีละประเทศในการเจรจาทางการค้า

ฉะนั้นถ้าภาพไปในแนวดังกล่าว ก็จะเป็นเวทีให้ประเทศไทยสามารถร่วมกับอาเซียนในการเจรจาต่อรองทางการค้ากันได้มากขึ้น

รวมไปถึงใช้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งถือเป็นเวทีการค้าพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

...ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ไบเดน จะให้ความสำคัญ

เพราะให้ความสำคัญกับ WTO พร้อมๆ กับให้ความสำคัญกับนโยบายอินโด-แปซิฟิกที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย จะทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองไม่ด้อยไปกว่าจีน

ภาพนี้จะช่วยกระตุ้นตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ให้มีโอกาสบวกเพิ่มสูงขึ้นอีกถึงร้อยละ 7 จากเดิมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าไทย - สหรัฐ บวกถึง 20% ตามมุมมองของจุรินทร์

เรียกว่าผลลัพธ์จากการได้ โจ ไบเดน มานั่งแท่นผู้นำมะกันในตอนนี้ ดูจะมีแต่สัญญาณบวกสำหรับการค้าโลก และประเทศไทยเสียเหลือเกิน

อังกฤษวิกฤติ ! พยาบาลขาดแคลนหลักหมื่นชีวิต

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศแถบยุโรปยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ล่าสุดเริ่มมีการระบาดระลอกสอง เป็นเหตุให้ในประเทศอังกฤษ ประกาศล็อคดาวน์รอบใหม่ไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา

งานนี้กินระยะเวลากว่า 1 เดือน เพื่อควบคุมการระบาดรอบใหม่ครั้งนี้ วิกฤติรอบใหม่ในอังกฤษเริ่มมีสัญญาณเตือนจากยอดผู้ป่วยหนักที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจากราว 2,000 คน มาเป็นเกือบ 10,000 คน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา

แต่เรื่องที่น่ากังวลไปกว่านั้น เมื่อมีรายงานจากราชวิทยาลัยการพยาบาล (Royal College of Nursing) แห่งสหราชอาณาจักร แจ้งว่า ตำแหน่งงานด้านพยาบาลในระบบสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยังว่างอยู่ถึง 40,000 อัตรา

ปัญหานี้ดูจะสวนทางกับตัวเลขจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่มากขึ้น แถมตามรายงานยังบอกอีกด้วยว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว การสรรหาบุคลากรตำแหน่งนี้จะยิ่งเป็นได้ยากมากขึ้นอีก

เรียกว่าเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ต้องแก้ไขไปให้ได้ ขอส่งกำลังใจและภาวนาให้ยอดผู้ป่วยลดลงโดยไว


อ้างอิง: https://www.xinhuathai.com/inter/151940_20201109

ภาพจาก: Manchester Evening News

คปส.ได้ซีน ปัดตอบยุรัฐประหาร

นายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร เลขาเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.) บุกหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ยื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการทหารบก ให้กำลังใจ ผบ.ทหาร ผบ.ตำรวจ และทหารทั่วประเทศ เพื่อให้มีพลังแก้ไขปัญหาและปกป้องสถาบัน

ประเด็นยื่นจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ผบทบ. ทำรัฐประหาร เลขาคปส. เลี่ยงตอบ ย้ำวันนี้มาให้กำลังใจเท่านั้น ขณะเดียวกันชายสวมเสื้อเหลืองชูป้ายเตรียมป่วน ระบุข้อความว่า “การรัฐประหารคือกบฏ” ก่อนรีบแยกย้ายไร้เหตุชุลมุน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top