Friday, 5 July 2024
NEWS FEED

‘อนุทิน’ แท็กทีมลูกพรรค สวมใส่เสื้อ ‘สีเหลือง’ ร่วมใจแสดงความจงรักภักดี ขณะประชุมสภาฯ

(19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ โดยมีนาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธาน สภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ในวาระแรก โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งหายจากอาการป่วยโควิด-19 เป็นวันแรก ได้นำทีมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง 

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้นำทีมรัฐมนตรี และสส.พรรคภูมิใจไทย ส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีเหลืองเข้าร่วมประชุม ซึ่งจะใส่ในวันพิจารณางบประมาณ 2 วันคือวันที่ 19 และวันที่ 21 มิ.ย.นี้ 

เชียงใหม่-สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่รุกจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วงโลว์ซีซั่น "Chiang Mai WOW"

วันที่ 19 มิถุนายน 2567 สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่จัดงานแถลงข่าวการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเดือนกรฏาคม - กันยายน 2567  "Chiang Mai WOW" โดยมีนายวีระพงศ์  ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยมีนายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ , ว่าที่ร้อยเอก สันติพงษ์ บุลยเลิศ ผู้อำนวยการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ ,นายเก่ง ชัยวารินทร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ ,นายวุฒิชัย วีระมาชา เลขานุการคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ และนายพงศธร เลากิตติศักดิ์ ประธานประสานงานสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย 8 จังหวัดภาคเหนือ ร่วมแถลงข่าว ตั้งเป้ากระตุ้นจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวตลอดทุกเดือนและทุกปี ณ ห้องประชุมศิริโพธิ์ โรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่

นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2567 เริ่มต้นด้วยการจัดงานเทศกาลอาหารฮาลาลเชียงใหม่ ปี 2567 ในเดือนกรกฎาคม 2567 เป็นปีที่ 2 ที่ทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ได้จัดกิจกรรมขี้น โดยในปีนี้ทางคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ให้คำปรึกษา ถือเป็นการต่อยอดการจัดกิจกรรมเทศกาลอาหารฮาลาลจากปีที่แล้ว

ร้านอาหารฮาลาลที่เข้าร่วมกิจกรรมและจัดทำพิกัดร้านในปีนี้มีจำนวน 50 ร้าน ซึ่งจะทำการประชาสัมพันธ์พิกัดร้านในปลายเดือนมิถุนายนนี้ และในวันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2567 จะมีการจัดกิจกรรมเทศกาลอาหาร ฮาลาล ณ โรงแรมศิริปันนา วิลล่า รีสอร์ท แอนด์ สปา เชียงใหม่ กิจกรรมช่วงเช้าเป็นการจัดการอบรมหัวข้อ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาหาร ฮาลาล ให้กับสมาชิกของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, สมาคมร้านอาหาร สมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่านที่ผ่านการอบรมจะได้รับใบ certificate การฝึกอบรม  และกิจกรรมช่วงบ่ายเป็นพิธีมอบใบประกาศนียบัตร   สำหรับร้านอาหารที่เข้าร่วมกิจกรรมเทศกาลอาหารฮาลาลเชียงใหม่ ปี 2567 และหลังจากนั้นจะมีบูธอาหารฮาลาลหลากหลายชนิดที่มาร่วมกิจกรรมให้ทุกท่านที่มาร่วมงานในวันดังกล่าวได้ทดลองชิมกัน

นายศุภมิตร กล่าวต่อว่า โครงการถัดมาที่จะจัดขึ้นคือ โครงการฟ้าม่วน (โครงการการบูรณาพัฒนาและต่อยอดอากาศสะอาดภาคเหนือ) ด้วยการผนึกพลังของหลายเครือข่าย "เพื่อสร้างความร่วมมือและเครือข่ายในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5" ประกอบด้วย โครงการฟ้าม่วน ร่วมกันระหว่าง สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดภาคเหนือตอนบน, สำนักงานตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่, วสท.สาขาภาคเหนือ 1, สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมเพื่อแก้ไข และบรรเทา ปัญหาฝุ่น pm 2.5 จึงได้จัดตั้งโครงการสาธารณประโยชน์นี้ขึ้น มีแนวทางการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก พร้อมทั้งการสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนในการรับมือ และป้องกันดูแลสุขภาพให้ปลอดภัยจากฝุ่น pm2.5  ซึ่งโครงการฟ้าม่วนได้ดำเนินโครงการมาแล้วตั้งแต่ปี 2566 และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในจังหวังเชียงใหม่ และจะขยายพื้นที่เครือข่ายไปยังจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย ปาย แม่ฮ่องสอน และพะเยา ต่อไป

ทั้งนี้โครงการฟ้าม่วนได้จัดกิจกรรมกอล์ฟการกุศลฟ้าม่วน ที่จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2567 เวลา 11:00 – 20:00 น. ณ สนาม Alpine Golf Resort Chiang Mai ชิงถ้วยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายได้จากการทำกิจกรรมจะนำมาทำห้องปลอดภัยให้แก่กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ภาคเหนือจำนวน 72 ที่ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา  6 รอบ โดยร่วมทำบุญ ผ่านบัญชี โครงการฟ้าม่วน (วสท.สาขาภาคเหนือ1) ธนาคารออมสิน สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า  และติดตามรายละเอียดกิจกรรมโครงการ ได้ที่เพจเฟสบุ๊คฟ้าม่วน

ต่อด้วยการ จัดกิจกรรมตักบาตรโชติกา เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์-สามเถร 99 รูป ในวันเสารที่ 10 สิงหาคม 2567 เวลา 7:00 น. ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เพื่อถวายพระราชกุศลในช่วงวันเฉลิมพระชนมาพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กิจกรรมตักบาตรโชติกาเป็นการทำบุญตักบาตรรอบพระเจดีย์โบราณ อายุกว่า 600 ปี ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จัดเป็นประจำทุกวันเสาร์ เวลา 7:00 น. ซึ่งกิจกรรมนี้เริ่มมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ทางสมาคมได้เตรียมอาหารแห้ง  นมถั่วเหลือง และน้ำดื่มไว้จำหน่าย รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว แบ่งถวายวัดเจดีย์หลวง, บริจาคให้โรงพยาบาลนครพิงค์ และสถานสงเคราะห์บ้านเด็กอ่อนเวียงพิงค์

สุดท้ายเป็นการจัดมหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระเครื่อง,พระบูชาเหรียญคณาจารย์, เครื่องรางยอดนิยมทั่วประเทศ โดยสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 14-15 กันยายน 2567 ณ เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงใหม่แอร์พอร์ต นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ยังกล่าวอีกว่า"สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ต้องการให้มีกิจกรรมทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ตลอดทุกเดือนตลอดทั้งปีไม่ว่าจะเป็นช่วงไฮซีซั่นหรือช่วงโลว์ซีซั่น เราอยากให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมกิจกรรมทางการท่องเที่ยวกระตุ้นเงินสะพัดในทุกธุรกิจ ทั้งภาคบริการ การท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝาก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ"

นภาพร  / เชียงใหม่ 

‘โซเชียล' สงสัย!! ทริปบุคลากรมหาลัยในภาคอีสาน จัด 'สัมมนา-ดูงาน' ที่ภูเก็ต แต่ทำไมดูเหมือนไปเที่ยว

(19 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังเพจเฟซบุ๊ก ‘ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน’ โพสต์ข้อความ ถึงบุคลากรมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน เดินทางไปสัมมนาดูงานที่ ภูเก็ต จำนวน 40 ชีวิต รวม 4 วัน 3 คืน 

โดยเนื้อความในโพสต์ ได้ระบุว่า… 

"สัมมนาทางทะเล คณะ... ขนบุคลากรกว่า 40 คน ไปดูงานสัมมนา 4 วัน 3 คืน ที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 15-18 พ.ค. 67 เริ่มทริปบินตรงจากขอนแก่นมุ่งสู่ภูเก็ต วันแรกเอาฤกษ์เอาชัยพากันไปไหว้พระ เดินดูเมืองเก่า ซื้อของฝาก เช้าวันต่อมาแวะไปดูงานที่ ม.สงขลานครินทร์ จนถึงบ่าย”

“วันที่ 17 พ.ค. 67 นั่งเรือชมวิวไปเกาะพีพี อ่าวมาหยา พร้อมดำน้ำดูปะการัง ตบท้ายมื้อค่ำด้วยโชว์ภูเก็ตแฟนตาซี และวันสุดท้ายไปลอดถ้ำ พายเรือแคนูที่พังงา แล้วบินกลับพร้อมความรู้ทางทะเลสุดฉ่ำ"

'อาจารย์อุ๋ย ปชป.' ยินดี!! ไทยสมัครเป็นสมาชิก BRICS สะท้อนการรับมือระเบียบโลกใหม่จากหลายขั้วได้อย่างเหมาะสม

(19 มิ.ย. 67) จากกรณีที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงที่จะเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมเห็นด้วยและขอแสดงความยินดีกับการที่ไทยแสดงความจำนงเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ ซึ่งจนถึงปัจจุบันประกอบด้วย บราซิล, อินเดีย, จีน, แอฟริกาใต้, อิหร่าน, อียิปต์, เอธิโอเปีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมีขนาดเศรษฐกิจถึงร้อยละ 28.3 ของโลก และมีจำนวนประชากร ร้อยละ 45.5 ของประชากรโลก โดยรัฐสมาชิกจะยึดถือหลักการความเสมอภาค มีผลประโยชน์ร่วมกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการที่บัญญัติไว้ในกฎบัตร ASEAN 

โดยการเป็นสมาชิกนี้จะทำให้ไทยได้ประโยชน์ในหลายด้าน อาทิเช่น ยกระดับบทบาทของไทยในเวทีโลก เพิ่มบทบาทของไทยในการกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และเพิ่มโอกาสของไทยในการมีส่วนร่วมสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีความยุติธรรมมากขึ้น เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า ทุนสำรอง การสื่อสารข้อมูล คุ้มครองการลงทุน ส่งเสริมการลงทุน ทลายกำแพงการค้า (Trade Barrier) และค้าขายด้วยสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ 

นอกจากนี้เรายังเพิ่งแสดงความจำนงขอเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วกว่า 30 ประเทศ ในยุโรปและอเมริกา และเราก็ยังคงเป็นสมาชิก APEC อยู่ด้วยซึ่งมีทั้งสหรัฐอเมริกา, จีน และรัสเซีย เป็นสมาชิกเช่นกัน ดังนั้น ใครจะมาบอกว่าเราเลือกข้าง คงไม่ใช่ แต่เป็นการแสวงหาโอกาสเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ 

ด้วยสภาวการณ์ของโลกปัจจุบันที่มีความแปรปรวนและยืดหยุ่นสูง ประกอบกับเงื่อนไขทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทย การรักษาสมดุลระหว่างขั้วอำนาจโลกอย่างเหมาะสมและมียุทธศาสตร์เท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าอย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ผมขอให้กำลังใจรัฐบาลในเรื่องนี้และขอให้รัฐบาลใช้โอกาสอันมีค่านี้ สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทยและคนไทยครับ ด้วยความปรารถนาดี"

คนกรุง เฮ ! ใช้บัตร 30 บาทได้แล้ว รัฐบาลจัดให้ ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ‘สมศักดิ์’ ปลื้มผลงานรัฐบาลนโยบาย 30 บาท

รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวขยายเป็น 46 จังหวัด  พร้อมให้บริการประชาชนกว้างขวางกว่าครึ่งประเทศแล้ว น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคในยุคที่นายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็น30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว วันนี้มีความก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 นายจเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ได้ออกประกาศ สปสช. ลงราชกิจจานุเบกษา เรื่องจังหวัดที่ดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว พ.ศ. 2567 ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เป็นความภูมิใจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีที่เข้ามาบริหารประเทศ ทำทันที ผ่านมา10 เดือน รัฐบาลห่วงใยสุขภาพของประชาชน พี่น้องคนไทยสามารถรักษาพยาบาลฟรีด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้ถึง 46 จังหวัดแล้ว และภายหลังที่นายสมศักดิ์  เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาทำหน้าที่จากเดิมการใช้บัตร 30 บาทรักษาทุกที่ดัวยบัตรประชาชนใบเดียว จาก 45 จังหวัดประกาศเพิ่มอีก 1 มีกรุงเทพมหานครรวมอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อรวมกันกับเฟสแรก 4 จังหวัด เฟสสอง 8 จังหวัด เฟสสามอีก 33 จังหวัด รวมเป็น 45 จังหวัด เพิ่มกรุงเทพฯ 1 จังหวัด เท่ากับ 46 จังหวัด ถือว่า การให้บริการขยายเกินกว่าครึ่งประเทศแล้ว จากประกาศนำร่องเฟสแรก จังหวัดร้อยเอ็ด แพร่ เพชรบุรี นราธิวาส  และเพิ่มเเฟสสองแงะสามตามมา รวมวันนี้ประกาศเพิ่มอีก 42 จังหวัดประกอบด้วย นครราชสีมา, นครสวรรค์, พังงา, เพชรบูรณ์, สระแก้ว, สิงห์บุรี,  หนองบัวลำภู, อำนาจเจริญ, เชียงใหม่,  เชียงราย, น่าน, พะเยา, ลำปาง, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน, กำแพงเพชร, พิจิตร, ชัยนาท, อุทัยธานี, สระบุรี, นนทบุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, นครนายก, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, อุดรธานี, สกลนคร,  นครพนม, เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์, สุรินทร์, สงขลา, สตูล, ตรัง, พัทลุง, ปัตตานี, ยะลา และกรุงเทพฯ น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า  สำหรับกรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวง มีประชากรจำนวนมาก เป็นพื้นที่ที่ยาก แต่วันนี้กระทรวงสาธารณสุขทำได้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ ให้ไปใช้บริการในคลินิกนวัตกรรมทั้ง 7 วิชาชีพได้เช่นเดียวกับต่างจังหวัดที่ประกาศไปก่นหน้านี้ เพียงใช้บัตรประชาชนใบเดียวก็เข้ารับบริการทั้ง 7 วิชาชีพ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว  7 วิชาชีพได้แก่ คลินิก7 วิชาชีพ ได้แก่ คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น, คลินิกทันตแพทย์ชุมชนอบอุ่น, คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น, คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น, คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น, คลินิกกายภาพชุมชนอบอุ่น และร้านยาที่มีสัญลักษณ์นอกจากนี้ สิทธิบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวสามารถทำฟันฟรีปีละ 3 ครั้ง ที่คลินิกทันตกรรมอบอุ่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ได้รับบริการ 5 รายการ คือ ขูดหินปูน, อุดฟัน, ถอนฟัน,เคลือบหลุมร่องฟันและเคลือบฟลูออไรด์ การเข้ารับบริการขอให้สังเกตุโลโก้ รูปบ้านและสัญลักษณ์ สื่อถึงแต่ละวิชาชีพในรูปหัวใจติดอยู่ที่หน้าคลินิก โฆษกกระทรวง สธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวว่า นายสมศักดิ์ ปลื้มมากที่การทำงานของกระทรวงสาธารณสุขทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อประชาชน ขอบคุณบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขทุกคน ที่ตั้งใจมุ่งมั่นทำงานเเพื่อประชาชน ไม่ว่าสิทธิบัตรทองจะอยู่ที่ไหน ยื่นบัตรประชาชนใบเดียวก็เข้าไปรับบริการได้ทันที ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ใช้บริการได้ทั่วประเทศตามคลินิก 7 ประเภท ซึ่งสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเข้าไลน์ ID ของสปสช. โทร 1330 และช่องทางอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการก็เข้ารับบริการฟรีที่ร้านยาใกล้บ้าน ให้สังเกตุป้าย  ส่วนอีก 30 จังหวัดอดใจรออีกนิดเดียว ภายในสิ้นปีนี้ คนไทยได้ใช้สิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวทั้งประเทศ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว” นางสาวตรีชฎากล่าว 

สมุทรปราการ-มอบมงกุฎพร้อมสายสะพายให้แก่ 'หนูน้อยผ้าไทย' ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024

(19 มิ.ย.67) เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา โดยท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา 

พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาลฯ หัวหน้าส่วนราชการเทศบาลตำบลแพรกษา ร่วมแสดงความยินดีและร่วมมอบมงกุฎพร้อมด้วยสายสะพายกับ หนูน้อยผ้าไทย ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024 

เนื่องด้วยที่ผ่านมา ทางเทศบาลตำบลแพรกษา โดย นางอรัญญา  สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้อำนวยความสะดวกเอื้อเฟื้อสถานที่ในการจัดการประกวด MISS MODERN PHATHAI 2024 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา 

และในวันนี้ท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 2 จังหวัดสมุทรปราการ (สมัยที่ 25) และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ได้ให้เกียรติมอบมงกุฎพร้อมด้วยสายสะพายแก่ “หนูน้อยผ้าไทย” ในการประกวด Miss Modern Phathai 2024 ทั้ง 2 รุ่น จำนวน 3 รางวัล ได้แก่

- รุ่น Junior  คือ ด.ญ. เจสสิก้า  พรมด้วง และ ด.ญ. ชิชา  เสียงใหญ่ และรุ่น Teenage คือ ด.ญ. พิชญาภา  อินทกุล โดยได้จัดพิธีมอบภายในสำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

เชียงราย การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา – ไทย ครั้งที่ 99 (TBC– 99) 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 พันเอก ณฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย–เมียนมา (TBC) ฝ่ายไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ พันโท อ่องลินอู ผู้บังคับกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 133/ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา – ไทย (TBC) ฝ่ายเมียนมา จังหวัดท่าขี้เหล็ก เป็นประธานร่วม ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเมียนมา-ไทย ครั้งที่ 99 (TBC – 99) โดยฝ่ายเมียนมา เป็นเจ้าภาพ  โดยมี ณ โรงแรม 1G1 จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

โดยในห้วงเวลาประมาณ 08.30 นาฬิกา ได้มีการพบปะพัฒนาสัมพันธ์และมอบของที่ระลึกระหว่าง พันเอก ณฑี ทิมเสน ประธานฯ ฝ่ายไทย และ พันเอก ตู๋ล่า ส่อ หวิน โซ ผู้บังคับการกองบังคับการยุทธศาสตร์ท่าขี้เหล็ก พร้อมทั้ง พันโท อ่องลินอู ประธานฯ ฝ่ายเมียนมา บริเวณกลางสะพานมิตรภาพ ข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อำเภอแม่สายฯ

หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมฯ ณ ห้องประชุมโรงแรม 1G1 จังหวัดท่าขี้เหล็กฯ โดยมีคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) จากหน่วยงานต่างๆ ของทั้งไทยและเมียนมา เข้าร่วมประชุมฯ ซึ่งการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นทั้ง 2 ฝ่าย ได้ประสานความร่วมมือ และสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดเงื่อนไขและปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย โดยในวันนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน การขอความร่วมมือต่างๆ เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเมียนมา, การติดตั้งเครื่องเตือนภัยน้ำท่วมเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ การแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณด่านพรมแดน รวมถึงงานด้านความมั่นคง และด้านอื่นๆ อีกทั้งยังได้มีการขอบคุณที่ทั้ง 2 ฝ่าย ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันที่ผ่านมา การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาต่างๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้สำเร็จอย่างดียิ่ง สำหรับบางปัญหาที่อยู่เหนือกว่าอำนาจที่คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) ไม่สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ ก็จะนำเรียนหน่วยเหนือ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป            

หลังจากจบการประชุมฯ ได้มีการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และในห้วงบ่าย ฝ่ายเมียนมา ได้นำบุคลากรของฝ่ายไทย เดินทางศึกษาวัฒนธรรม/เยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ ของฝ่ายเมียนมา และยังมีการแข่งขันกอล์ฟเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีของทั้ง 2 ประเทศ และในห้วงเย็น ฝ่ายเมียนมาได้ส่งฝ่ายไทย บริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 เพื่อเดินทางกลับไทย ต่อไป ซึ่งจากการจัดประชุมฯ ดังกล่าว ทำให้ทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายเมียนมา มีความสัมพันธ์ที่ดี และแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนี้สืบต่อไป

ภาพ/ข่าว สันติ วงศ์สุนันท์
หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

วงในบอกเอง!! ทำไมลูกค้าต้องรอคิวจ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อ  แม้มีพนักงานอยู่เยอะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงินก่อน

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัย เมื่อไปที่ร้านสะดวกซื้อแล้วต้องต่อคิวรอจ่ายเงิน ทั้งที่ลูกค้ารอต่อคิวเยอะมาก แต่พนักงานของร้านบางคน ทำอะไรไม่รู้อยู่ด้านหลังเคาเตอร์แคชเชียร์ ทำไมไม่มาช่วยกันคิดเงินก่อน ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานรับชะตากรรมอยู่คนเดียว

โดยในเฟซบุ๊กกลุ่ม ‘กลุ่มที่ไม่ว่าพิมพ์อะไรเราก็ให้กำลังใจในทุกเรื่องแบบงง ๆ อิหยังวะ’ มีคนเข้ามาโพสต์ว่า เวลาที่ไปร้านสะดวกซื้อ ลูกค้าต่อคิวจ่ายเงิน แต่มีพนักงานคิดเงินแค่คนเดียว บางคนยืนคิดยอดบัญชี บางคนอยู่หลังตู้แช่ ทำไมไม่มาคิดเงินให้ลูกค้าก่อน

ซึ่งก็มีคนที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกัน เข้ามาเล่าว่า ตนเข้าร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งในช่วงเวลา 07.00-07.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วน และร้านกลับเปิดเคาน์เตอร์แคชเชียร์แค่ช่องเดียว คนคิดเงินคนเดียว คนชงเครื่องดื่มอีกคน ทำไมจัดการแบบนี้ทั้งที่เป็นชั่วโมงขายดี

ไม่นับร้านสะดวกซื้อเจ้าดังที่มักจะเปิดเคาน์เตอร์คิดเงินช่องเดียวจนคนทะลัก แถมพอจะจ่ายเงิน ยังต้องแนะนำโปรโมชั่นให้ลูกค้าก่อนอีก พนักงานบางคนก็ช้า กว่าจะหยิบของสแกน กว่าจะหยิบใส่ถุง ลูกค้าต้องยืนกลั้นใจนานสองนาน ว่าแล้วก็อยากไปช่วยทำงานแทน

ต่อมาก็มีคนมาให้คำตอบเรื่องนี้ว่า พนักงานร้านสะดวกซื้อแต่ละคน มีหน้าที่ประจำ ไม่ใช่แค่ต้องยืนเคาน์เตอร์ และเหตุที่มีพนักงานหลังเคาน์เตอร์เยอะแยะ แต่กลับไม่มาช่วยคิดเงิน เพราะพนักงานต้องส่งยอดให้ตรงเวลา เขามีเวลาเป๊ะ ๆ ที่ต้องห้ามส่งยอดช้า ห้ามรับออร์เดอร์ช้า ต้องรีบจัดของให้เสร็จก่อนส่งต่อพนักงานชุดต่อไป บางคนก็เป็นเวลาพักของเขา เขาก็ต้องไปพัก ไม่ต้องทำงาน

รวมไปถึงสินค้าเดลิเวอรี่ ที่พนักงานต้องรีบรับออร์เดอร์ ถ้าเกินเวลาที่กำหนด ระบบจะส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ และสาขาจะโดนใบเตือน แต่หากกดรับแล้ว จะใช้เวลาจัด จะส่งตอนไหน ก็ขึ้นอยู่กับออร์เดอร์ที่ได้รับ

สรุปคือ พนักงานร้านสะดวกซื้อทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ และต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จด้วย แม้ว่าคนจะเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีหน้าที่คิดเงินแค่อย่างเดียว

ขณะที่มีผู้คอมเมนต์ท่านหนึ่ง ซึ่งเผยว่าตนเคยมีประสบการณ์ในการทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ก็ได้โพสต์เล่าให้ฟังด้วยว่า...

"จากใจคนเคยทำงานพนักงานร้านสะดวกซื้อคือเรื่องจริง ถ้าทำงานไม่เสร็จในกะตัวเองต้องลากยาวจนกว่าจะเสร็จ ซึ่งร้านที่เคยทำมาต้องโหลดของเข้าร้านเองด้วยซ้ำ และของแต่ละรอบคือ 4-5 พาเลท ของที่ส่งแบบเป็นลัง ๆ ขนาดมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการมีน้องในกะ 3 คนยังไม่ทันเลย...

"การส่งงานต่อให้อีกกะมันค่อนข้างมีความเกรงใจคนรับงานอยู่ จนทำให้ต้องรับผิดชอบของที่กะเราเป็นรับมาถึงแม้ว่าอีก 10 นาทีจะหมดกะเราแล้วก็ตาม ตอนที่ทำอยู่คือไม่เคยเลิกงานตรงเวลาเลย เวลาเข้ากะดึกงานก็เหนื่อยมากแล้ว ไหนจะอดนอนอีก เช้าก็อยากกลับบ้านไปพักผ่อน แต่งานไม่เสร็จกว่าจะได้กลับบ้านคือเกือบเที่ยง ทนทำเพราะ ผจก.ดี เพื่อนร่วมงานดี และมาหลัง ๆ คือร่างกายไม่ไหวจริง เลยต้องหางานใหม่...

'การส่งต่อกะที่เคาเตอร์ยิ่งต้องรอบคอบเพราะมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวคนส่งนับ 1 รอบ คนรับก็ต้องรับถ้าเงินไม่ตรงก็เรื่องเกิดรับเครื่องต่อไม่ได้ไม่งั้นคนรับเครื่องต่อก็ซวยถ้าไม่นับเงิน ใครไม่ได้ทำก็ไม่รู้หรอก เข้าใจได้เพราะตอนยังไม่ได้ทำก็วีนฉ่ำเหมือนกัน พอมาทำถึงเข้าใจ หลังจากนั้นก็ไม่เหวี่ยงไม่วีนอีกเลย คิดซะว่าถ้าช้าต้องยืนรอก็ยังรอในห้องแอร์ไม่ได้ร้อนอะไร เป็นกำลังใจให้พนักงานเคาเตอร์ทุกคนนะคะ...

อีกเรื่องคือ เรื่องขายสินค้าโปรถ้ามีเวลาฟังไปเหอะค่ะ ถ้าไม่สนใจก็แค่ปฏิเสธไป ร้านพวกนี้เขามีบัดเจทยอดขายถ้าทำไม่ถึงยอดก็โดนเตือนอีก เขาเลยต้องพูด ต้องถามบ่อย ๆ ถ้ามันไม่มีอะไรมาบีบบังคับไม่มีใครเขาอยากพูดให้คนอื่นรำคานหรอกเชื่อเหอะ"

'มิสเตอร์เอทานอล' เตือนรัฐบาลอย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน

“อลงกรณ์”ห่วงอุตสาหกรรม
เอทานอลล่มสลายเกษตรกรล่มจม
เสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอล

วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร ฉายา“มิสเตอร์เอทานอล”(Mr.Ethanol)และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊ค“อลงกรณ์ พลบุตร”เรื่อง อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อเกษตรกร“แสดงความกังวลต่อนโยบาย”เอทานอล“ของกระทรวงพลังงานพร้อมเสนอ 5 มาตรการเดินหน้าอุตสาหกรรมเอทานอลโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

อลงกรณ์ขับรถไถจากสวนจิตรลดาบุกทำเนียบรัฐบาลในเดือนกันยายนปี2544เพื่อโปรโมทโครงการเอทานอลจนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในสัปดาห์ถัดมา

”อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานสะอาดจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรไทย“

ผมกังวลใจที่ทราบว่ากระทรวงพลังงานจะไม่สนับสนุนเอทานอลน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตจากอ้อยและมันสำปะหลังโดยการจำหน่ายน้ำมันจะเหลือเพียง น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล์95 (E10) ทั้งที่ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) สนับสนุนE20จะทำให้
การใช้เอทานอลลดลงถึง50%กระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมเอทานอลที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ปี2544จนปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอล28โรงมีกำลังการผลิต 6.8 ล้านลิตรต่อวัน เป็นอันดับ 7 ของโลก ซึ่งทุกวันนี้ผลิตเพียง3.1-3.2 ล้านลิตรต่อวัน หากในอนาคตปรับเหลือแค่ E10 ก็จะลดลงไปอีก50% อาจถึงการล่มสลายของอุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรล่มจม

“เมื่อปี2543เกิดวิกฤติการณ์น้ำมันประเทศไทยกระทบรุนแรงเพราะนำเข้าน้ำมันถึง90% ผมเสนอให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเอทานอล(แอลกอฮอล์)จากพืชซึ่งมีโรงงานต้นแบบของในหลวงในวังสวนจิตรลดาจึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ฯ.(ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์)เป็นประธานโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชในต้นปี2544และเสนอรายงานต่อคณะรัฐมนตรี(ฯพณฯ.ชวน หลีกภัย)ให้ความเห็นชอบให้ผลิตเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่19 กันยายน 2544 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ ลดคาร์บอนและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังซึ่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นน้ำมันเอทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล“ 

นับเป็นเวลากว่า20ปีที่อุตสาหกรรมเอทานอลเติบโตและมีน้ำมันแก๊สโซฮอล์(เบนซิน-แก๊สโซลีนผสมเอทานอล-แอลกอฮอล์)จำหน่ายทุกปั้มทั่วประเทศ มีน้ำมัน E10 E20และE85 (EคือEthanol, E10คือเอทานอล10%เบนซิน90% E20และE85มีส่วนผสมเอทานอล 20%และ85%) โดยอุตสาหกรรมยานยนต์ยอมรับการปรับแต่งเครื่องยนต์และอุตสาหกรรมน้ำมันก็ให้การสนับสนุน

การที่รัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงพลังงานจะลดการส่งเสริมสนับสนุนจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเอทานอลและเกษตรกรชาวไร่อ้อยชาวไร่มันสำปะหลังประสบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงเพราะเพียงแค่มีข่าวว่าจะลดเหลือเพียงน้ำมันE10ชาวไร่ก็ถูกกดราคาแล้ว

ผมจึงขอเสนอมาตรการให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพลังงานพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. ส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานและยังคงจำหน่ายน้ำมัน E85
2. ขยายเวลาการบังคับ “มาตรการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ” ตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 รอบ2 เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ก็เป็นราคาตามกลไกตลาดโลกและต้นทุนของเอทานอลอยู่แล้ว โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้นำเงินไปช่วยชดเชยราคาแต่อย่างใด และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
3. ส่งเสริมเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมให้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นได้ อาทิ ไบโอพลาสติก,อุตสาหกรรมยา,อุตสาหกรรมสีทาบ้านและอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้นโดยแก้ไขหรือยกเลิก พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 เพราะปัจจุบันเอทานอลไม่สามารถนำมาใช้ด้วยเกรงจะถูกนำไปผลิตเป็นเหล้าเถื่อนกระทบบริษัทผลิตเหล้าและองค์การสุราทั้งที่มีมาตรการป้องกันได้เหมือนการนำเอทานอลมาใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง

4. ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไบโอรีไฟนารี่(Biorefinery)คืออุตสาหกรรมพลังงานและเคมีชีวภาพซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อต่อยอดเพิ่มมูลค่าเอทานอล
5. เพิ่มศักยภาพการส่งออกเอทานอล โดยภาครัฐสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต(Productivity)ของโรงงานและชาวไร่ให้มีผลผลิตสูงขึ้นสามารถแข่งขันชิงตลาดโลกได้
ประเทศของเราผลิตเอทานอลได้เกือบ7ล้านลิตรต่อวันแต่กลับหยุดส่งออกเอทานอลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 หรือ11ปีมาแล้วโดยรัฐบาลขณะนั้นออกมาตรการระงับการส่งออกด้วยเกรงเอทานอลจะไม่พอใช้ในประเทศ โดยยกเว้นให้ส่งออกเป็นบางกรณี เช่น เดือนมีนาคม 2557 มีการส่งออกจำนวน 4 ล้านลิตรและเดือนธันวาคม 2563 ส่งออกเพียง 5.4 หมื่นลิตร มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และอังกฤษ ปัจจุบันกำลังการผลิตใช้เพียงครึ่งเดียวเหลือวันละ 3 ล้านลิตร หากส่งออกได้ก็จะเพิ่มกำลังผลิตได้เต็มกำลังการผลิตจริง 

“รถจดทะเบียนสะสมมีกว่า 44 ล้านคัน ส่วนรถไฟฟ้ามีแสนกว่าคัน ดังนั้นน้ำมันสำหรับรถสันดาปภายในยังมีความต้องการอีกมาก การผลิตน้ำมันชีวภาพ(Biofuel)ทั้งเอทานอลและไบโอดีเซลมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงานและรัฐบาลใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซลและแก๊สกว่าแสนล้านบาทโดยไม่ได้อุดหนุนราคาแก๊สโซฮอลล์มิหนำซ้ำกลับจะทำลายรากฐานของการพึ่งพาตัวเองของประเทศที่เราสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมเอทานอลจนเติบใหญ่เป็นอันดับ7ของโลกและช่วยลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ เรามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ ผมขอให้กระทรวงพลังงานและรัฐบาลทบทวนนโยบายเสียใหม่ อย่าทอดทิ้งเอทานอล พลังงานไทยจากหยาดเหงื่อของเกษตรกรกว่า1ล้านครัวเรือน “

'ภาครัฐ' อย่านิ่ง!! นอมินีทุนต่างชาติลุกลาม ทำตลาดทัวร์แบบตัดราคายับ จัดโมเดลไม่สนกำไร ทุบผู้เล่นในตลาดให้เจ๊ง แล้วยึดตลาด-ปรับราคา

(19 มิ.ย. 67) นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่เป็นทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการจัดตั้งโดยใช้นอมินีเป็นคนไทย ทำตลาดด้วยการขายทัวร์แบบตัดราคาต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เป็นราคาที่ต่ำกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยเป็นปัญหาในอดีตด้วย ยกตัวอย่างคือ ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวใช้ราคาห้องพักในโรงแรม 1,000-1,500 บาท ซึ่งความเป็นจริงทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเที่ยวไทยจะบังคับเชิงข่มขู่ให้ซื้อสินค้า หรือใช้จ่ายแบบช้อปปิ้งในจำนวนเงินตามที่กำหนดไว้ ประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนบาท ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจนอยู่ไม่ได้ โดยหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปีนี้ ผู้ประกอบการคนไทยคงอยู่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“เกิดมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย เพราะสถานการณ์ทัวร์ทุบตลาดมีความรุนแรงมากกว่าช่วงเกิดการระบาดโควิดด้วย มีความสาหัสมากกว่าทัวร์ซื้อหัว (kick back) หรือศูนย์เหรียญอีก ซึ่งการมีคนทำแบบนี้ไม่กี่คนก็ทำให้ตลาดพังหมดแล้ว เพราะข่าวสารจะออกไปทั่ว คนวงการเดียวกันรู้กันหมด การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด ไม่ใช่การเหวี่ยงแห เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการคนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว รัฐบาลต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไปใช้ไม้แข็ง ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาในนามของเอกชนและสมาคม ก็พยายามประคับประคองในการแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อไม่ให้ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย” นายศิษฎิวัชร กล่าว

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า รูปแบบการทำทัวร์ทุบตลาด คือผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาในไทยจะขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวในราคาต่ำ ๆ เป็นการวัดดวงแบบไม่สนใจเรื่องต้นทุน นำนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อน เมื่อเข้ามาแล้วก็ให้ใช้จ่ายช้อปปิ้งให้ได้ตามเป้า แข่งขันแบบไม่เป็นธรรมในด้านราคา แม้ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาใหม่ วนไปแบบนี้ เป็นการทุบตลาดให้ผู้ประกอบการเดิมอยู่ไม่ได้ก่อน จากนั้นจะเข้ามาครองตลาดเต็มตัวแล้วจึงปรับราคาขึ้น ซึ่งผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับท่องเที่ยวไทย ที่นักท่องเที่ยวคิดว่าไทยเป็นประเทศที่เที่ยวได้ในราคาถูกมาก ๆ โดยพบปัญหาในกลุ่มประเทศจีน อินเดีย และรัสเซีย ที่เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน

โดย นายศิษฎิวัชร กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนจำเป็นต้องอาศัยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดำเนินการจับกุม แต่ไม่ใช่จับทุกจุดไปหมด เพราะแม้ที่ผ่านมามีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกมากนัก เพราะบางบริษัทในเครือข่ายมี 4-5 บริษัท พอถูกจับกุมไป 1-2 บริษัท ก็เปลี่ยนไปใช้บริษัทที่เหลือแทน จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐสื่อสารไปถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวคนไทยอย่างชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรตามขั้นตอน ทำได้แค่เท่าใด เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะหากเป็นการแข่งขันตามกลไกตลาดก็ไม่ว่ากัน แต่ราคาต่ำสุดจะต้องไม่เกินเท่าใด หากเกินจะถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่มี เป็นการขอความร่วมมือจากบริษัททัวร์คนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมได้หารือเรื่องนี้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับทราบสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในตอนนี้แล้ว ทั้งการเข้ามาของทุนต่างชาติที่ทำให้เกิดการทุบราคาตลาดแบบไม่สมเหตุสมผลจนกระทบผู้ประกอบการไทยแต่เดิม ทั้งยังส่งผลเชิงลบต่อภาพท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งที่เคยมีการพูดถึงว่าต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย จากที่เป็นกลุ่มท่องเที่ยวราคาถูก ให้เป็นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีราคาสูงหรือพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top