Wednesday, 3 July 2024
NEWS FEED

ชลบุรี-ตม.พัทยา บุกทลายแหล่งแรงงานต่างด้าวจับชาว เมียนมาและอินเดีย 68 ราย

วันนี้ 18 มิ.ย. 67 พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีกลุ่มบุคคลต่างด้าวเข้ามาอาศัยภายใน บริเวณชุมชน ภายในซอยสำนักงานที่ดิน หมู่ 10 ต.หนองปรื อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.กวิณวัชร์ อารยะสุริวงศ์ รอง.ผกก.ตม.จว.ชลบุรี และ พ.ต.ท.วีระชัย ถิ่นกมุท สว.ตม.จว.ชลบุรี พร้อมชุดสืบสวนตม.จว.ชลบุรี ตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบกลุ่มชาวต่างชาติ จำนวน 68 ราย ชาย 60 ราย หญิง 8 ราย เบื้องต้นไม่พบเอกสารประจำตัว จึงได้นำตัวมาที่ ตม.จว.ชลบุรี เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง หนึ่งในกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา เผยว่า ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้างร้านอาหารในพัทยา และรับจ้างทั่วไปตามร้านบริการอื่นๆ โดยจะเดินทางผ่านเส้นทางธรรมชาติ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และไม่มีใครช่วยเหลือ จากนั้น นั่งรถบัสเดินทางเข้ามายังพัทยา เหตุผลที่อยากเข้ามาในไทย เนื่องจากอยากหาเงินให้กับครอบครัว ประกอบกับประเทศของตนมีสงคราม จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานในประเทศไทย ผู้ประกอบการเผยว่า ตนก็ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเสมอ แต่มีเอเจนซี่รายหนึ่ง ที่รับต่อวีซ่าและทำใบอนุญาตการทำงาน เป็นจำนวน 48,100 บาท/คน ตนได้จ่ายเงินไปแล้ว แต่เอเจนซี่ดำเนินการช้าเป็นเดือน เป็นเหตุทำให้วีซ่าแรงงานของตนขาดอายุ และถูก ตม.จว.ชลบุรีจับ ตนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็บริสุทธิ์ใจในสิ่งที่ตนทำว่าทำถูกต้องตามกฎหมายจริงๆ ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ให้แรงงานต่างด้าว ทราบว่าเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงควบคุมตัวเพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และเตรียมส่งตัวไปยัง สภ.เมืองพัทยา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียมผลักดันส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง ต่อไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

‘เด็ก 15 ยอดกตัญญู’ ยอมหยุดเรียน ‘หาเลี้ยงน้อง-ดูแลย่า’ เร่เข็นรถเก็บขยะกลางแดดขาย ‘ไป-กลับ 14 กิโลเมตร’

(18 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบเด็กชายอายุประมาณ 14-15 ปี เดินเท้าเปล่าเข็นรถหาเก็บขยะริมถนนแถว ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย บางครั้งพาน้องชายและน้องสาวตัวน้อย อายุ 2-3 ขวบ มาตากแดดตากฝนเดินหาเก็บขยะด้วยกัน

ด้านชาวบ้านเห็นก็รู้สึกสงสาร อยากให้มีหน่วยงานมาช่วยเหลือ จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและพบเด็กดังกล่าวชื่อ นายอภินันท์ หรือน้องเอ อายุ 15 ปี กำลังเดินเข็นรถเก็บขยะอยู่ข้างทางกลางแดดเปรี้ยง

น้องเอ เล่าให้ฟังว่า พ่อแม่แยกทางกันและไม่มีที่อยู่ของตัวเอง ปัจจุบันอาศัยนอนในบ้านกลางนาของญาติ อยู่ร่วมกันทั้งหมด 7 คน มีย่าอายุ 63 ปี กับอา-อาสะใภ้ ลูกของอาอีก 3 คน อายุ 11 ปี 9 ปี และ 2 ขวบครึ่ง ตอนนี้หยุดเรียนหนังสือเพราะต้องคอยดูแลย่าที่เจ็บป่วยหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน กรดไหลย้อน ข้อเข่าเสื่อม และยังต้องหาเก็บขยะขายทุกวัน เพื่อจะได้มีเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว

น้องเอ บอกอีกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะกลับไปเรียน แต่ตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ แล้วก็เป็นห่วงย่า เลยหยุดความคิดไว้ก่อน ส่วนที่ว่าทำไมต้องพาน้องสาวตัวน้อยวัย 2 ขวบ (ลูกของอา) ไปเก็บขยะด้วยกัน ก็เพราะว่าอาไม่อยู่บ้าน ต้องออกไปทำงานรับจ้าง ตนจึงช่วยดูแลน้องแทน

นางกิ่ม (ย่าน้องเอ) บอกว่า หลานชายเป็นเด็กขยัน ช่วยงานบ้านทุกอย่าง ตั้งแต่หยุดเรียนเมื่อปีที่แล้ว ก็ออกจากบ้านเดินหาเก็บขยะทุกวัน โดยมีชาวบ้านใจดีให้ยืมรถเข็น ขายขยะได้เงินวันละ 50-150 บาท ก็เอามาให้ย่าหมด เก็บไว้ซื้อยาซื้อกับข้าวกินในครอบครัว

ชาวบ้าน อ.เมืองสุโขทัย บอกว่า เห็นน้องเอเดินเท้าเปล่าเข็นรถเก็บขยะแทบทุกวัน เดินไป-กลับก็ประมาณ 14 กิโลเมตร บางวันก็พาน้องๆ มาด้วย เดินตากแดดตากฝน ชาวบ้านสงสารก็เลยให้น้ำ ให้ขนม ให้เสื้อผ้า และเก็บขวดน้ำ ลังกระดาษไว้ให้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ใจบุญสามารถส่งสิ่งของจำเป็นมาช่วยเหลือได้ที่ นางกิ่ม (ย่า) หรือนายอภินันท์ (น้องเอ-เด็กกตัญญู) บ้านเลขที่ 44 หมู่ 2 ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย 64210

สงขลา-ผบช.สตม.แถลง 2 คดีสำคัญ ทั้งรวบหัวหน้าแก๊งโคลอมเบียที่ก่อเหตุลักทรัพย์บ้านของนักธุรกิจที่มาเลเซีย ได้ทรัพย์สินไปรวมกว่า 70 ล้านบาท

อีกคดีจับหนุ่มอิตาลีลักลอบค้าโคเคนให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสายปาร์ตี้บนเกาะสมุย และยังเปิดธุรกิจให้เช่ารถจักรยานยนต์บังหน้าโดยใช้นอมินีชาวไทย เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ 18 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมคริสตัล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผู้แทน ผกก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลกรปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจเข้าเมือง 2 คดีสำคัญในรอบเดือนนี้ โดยคดีแรกทาง ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายโลเปซ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ชาวกัวเตมาลา ได้ที่บริเวณหน้าล็อบบี้ทางเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ซึ่งหลบหนีเขาเมืองโดยผิดกฎหมาย

และยังได้รับการประสานจากตำรวจมาเลเซียว่า ชายคนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งคนร้ายอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุร่วมกันลักทรัพย์ที่บ้านพักนักธุรกิจคนหนึ่งกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ทรัพย์สินของมีค่าไปรวมมูลค่าหลายรายการรวมกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งทั้งแก๊งมี 8 คน และตำรวจมาเลเซียคชติดตามจับกุมไปได้แล้ว 7 คน เหลือแค่เพียงหัวโจกรายนี้ และคาดว่า น่าจะหลบหนีมาตามช่องทางธรรมชาติผ่านข้ามแดนมายังประเทศไทย เพื่อที่จะหลบหนีไปยังเพื่อนบ้าน ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวน และเฝ้าติดตามจนกระทั่งทราบว่า ได้หลบหนีเข้ามายังอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหารถเช่าเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ จึงเข้ารวบตัวได้ในที่สุด
ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่า แท้จริงแล้ว นายโลเปซ เป็นชื่อปลอม โดยชื่อจริงคือ นายมิเกล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นชาวโคลอมเบีย และจากการตรวจค้นในห้องพักโรงแรมหรูพบของกลางทั้งสร้อยคอ กำไล แหวน และเครื่องประดับรวม 6 ชิ้น ซึ่งคาดว่า เป็นของที่ได้ขโมยมา จึงยึดเอาไว้ และแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยสอบสวนเบื้องต้น นายมิเกล ไม่ได้ให้การอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายผู้นำพาข้ามแดน และเมื่อคดีสิ้นสุดจะกักตัวไว้ เพื่อรอดำเนินการตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังพบว่า นายมิเกล เคยร่วมกับพวกสัญชาติเดียวกันก่อเหตุเช่ารถตระเวนลักทรัพย์ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกข้อมูลประวัติไว้ในบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของ สตม. ด้วย ส่วนอีกคดีเป็นปฏิบัติการสยบนักค้ายาต่างชาติในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งมีการลักลอบค้าโคเคน และตั้งนอมินีธุรกิจเช่ารถบังหน้ามาหลายปี โดยเจ้าหน้าที่ ตม.สุราษฏร์ธานี ได้จับกุมตัวชายชายต่างชาติคือ นายแมตติโอ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ชาวอิตาลี ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน)

หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีชาวต่างชาติลักลอบขายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยกัน โดยเฉพาะสายปาร์ตี้ ที่เดินทางมรท่องเที่ยวที่เกาะสมุย จึงส่งสายลับชาวต่างชาติสืบหาข้อมูลจนรู้ตัว และวางแผนล่อซื้อ โดยให้สายลับทำทีสั่งโคเคนจำนวน 25 กรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท เป็นเงินจำนวน 62,500 บาท ก่อนที่ นายแมตติโอ จะขับรถจักรยานยนต์มาส่งยาให้ที่บริเวณบาร์แห่งหนึ่ง ถนนเลียบหาดละไม ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่จึงรวบตัวเอาไว้ได้และคุมตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักที่บ้านพักเลขที่ 105/23 ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ซึ่งพบว่า ได้เปิดเป็นร้านธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ โดยไม่พบยาเสพติดเพิ่มเติม แต่พบรถจักรยานยนต์สำหรับให้เช่าจำนวนมากว่า 70 คัน รวมทั้งสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ 8 เล่ม วงเงินหมุนเวียนรวมกว่า 8 ล้านบาท และพบเงินสดเกือบ 1.1 ล้านบาท จึงได้ทำการยึด และอายัดทรัพย์สินนำส่ง สำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ และมีรถให้เช่ากว่า 70 คัน แท้จริงแล้วมีนอมินีเป็นสาวชาวไทย คือ น.ส.วาสนา (ขอสงวนนามสกุล) โดยสาวชาวไทยถือหุ้นในสัดส่วน 51 เปอร์เซ็น ส่วน นายแมตติโอ ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งคู่เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายให้สามารถประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรตามเงื่อนไขของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมด และผลกำไร เป็นของ นายแมตติโอ แต่เพียงผู้เดียว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วาสนา ในฐานความผิดเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ และให้ดำเนินคดีกับนายแมตติโอ เพิ่มเติมในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อให้ตนประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ สตม. ให้ข้อมูลว่า จากพฤติการณ์ดังกล่าว นายแมตติโอ ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร และเปิดกิจการเช่ารถมอเตอร์ไซด์บังหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ และแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า ตนเองมีกิจการเป็นที่มั่นคง เพื่อปิดบังอำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการขายยาเสพติด ซึ่งจากการสอบถาม นายแมตติโอ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดต่อขอซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มคนต่างชาติด้วยกัน แล้วนำมาแบ่งขาย หรือที่ภาษาในหมู่นักขายยาใช้คำว่า “จอยส์” โดยขายให้กับคนต่างชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวในยามค่ำคืน และได้ให้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปสู่ต้นทางของยาเสพติดที่ระบาดในหมู่นักท่องเที่ยวต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘รพ.ดัง’ แจงยิบ!! กรณีลืมผ้าก๊อซในช่องคลอดคนไข้ เหตุ!! ไม่ได้วัดความยาวผ้า ยัน!! จะไม่เกิดเหตุซ้ำอีก

(18 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ออกแถลงการณ์ เรื่อง กรณีข่าวผู้ป่วยของโรงพยาบาลพบผ้าก๊อซตกค้างในช่องคลอด 

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ขอเรียนชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้รับการรักษาโดยการฉายรังสีและใส่เครื่องมือสำหรับใส่แร่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567

ซึ่งทางทีมแพทย์ ได้ใส่เครื่องมือสำหรับใส่แร่เข้าไปในช่องคลอด พร้อมใส่ผ้าซับโลหิต ชนิดก๊อซแบบม้วน เพื่อให้เครื่องใส่แร่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และลดปริมาณรังสีที่มีผลต่ออวัยวะข้างเคียง หลังจากนั้นผู้ป่วยมีปัญหาในการติดเชื้อ ทางโรงพยาบาลได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน พร้อมหาแนวทางดูแลผู้ป่วยและญาติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีข้อสรุปดังต่อไปนี้ 

1.การใส่เครื่องใส่แร่พร้อมผ้าก๊อซแบบม้วนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ได้มีการนำอุปกรณ์และผ้าก๊อซออก แต่ขาดการตรวจสอบความยาวของผ้าก๊อซ ซึ่งโรงพยาบาลได้เน้นย้ำมาตรการให้เข้มงวดขึ้นดังนี้

1.1 ปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด บันทึกอุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนและหลังทำหัตถการ การตรวจภายในซ้ำเพื่อตรวจสอบสิ่งตกค้าง รวมไปถึงการตรวจสอบซ้ำ (Double check) จากเจ้าหน้าที่อีกคนก่อนเสร็จสิ้นหัตถการ

1.2 ตรวจสอบและบันทึกความยาวของผ้าก๊อซทุกครั้งก่อนและหลังการทำหัตถการ

1.3 เปลี่ยนผ้าก๊อซแบบม้วนปกติเป็นชนิดพิเศษที่มีแถบรังสี เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้จากการถ่ายภาพรังสี กรณีที่ความยาวของผ้าก๊อซไม่ครบ

2.การไม่ได้รับการอนุมัติสิทธิการรักษาอื่นนอกเหนือจากสิทธิการรักษามะเร็งที่ผู้ป่วยได้รับ เกิดจากการประเมินที่ไม่ครบถ้วน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้มีมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้ทบทวนให้ความรู้เจ้าหน้าที่และเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับแพทย์ผู้ให้การรักษา

ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้ให้ข้อมูลกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริงดังกล่าว โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติเสียใจและพร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้การรักษาพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ พร้อมเร่งดำเนินการเยียวยาและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และเน้นย้ำมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

‘ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์’ เผย!! ‘10 Quick Win’ เพื่อประชาคมธรรมศาสตร์ ลั่น!! พร้อมขับเคลื่อนทันทีใน ‘100 วันแรกของการบริหารงาน’

(18 มิ.ย. 67) ‘ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์’ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ‘ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ - Supasawad Chardchawarn’ ในหัวข้อ ‘เปิด 10 โครงการ Quick Win ขับเคลื่อนทันทีใน 100 วันแรกของการบริหารงาน’ ระบุว่า...

“ผมได้ประชุมร่วมกับทีมบริหารธรรมศาสตร์ชุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแปลงทุกนโยบายที่ได้นำเสนอต่อประชาคมไปสู่การปฏิบัติจริง”

“เราได้ข้อสรุปกันแล้วว่า นี่คือ 10 Quick Win Projects ที่เราอยากจะส่งมอบต่อประชาคมธรรมศาสตร์ใน 100 วันแรกของการบริหารงาน มีตั้งแต่เรื่องเล็กที่เกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของประชาคม อย่างอาหารราคาถูกที่จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า ไปจนถึงภาพใหญ่ของการพัฒนามหาวิทยาลัย”

ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับ 10 โครงการ Quick Win ใน 100 วันแรกของการบริหารงาน จะประกอบไปด้วย...

1.โรงอาหารราคาถูกที่รังสิต
- นำร่องที่แรก! เตรียมเปิดตัวโรงอาหารราคาถูกที่รังสิต
- อาหารอร่อย มีให้เลือกหลากหลาย สะอาด ถูกสุขลักษณะอนามัย

2.พัฒนาพื้นที่ให้คำปรึกษา เสริมสร้างสุขภาพกายและใจที่ดี
- ปรับปรุงระบบเข้ารับคำปรึกษานักศึกษาไม่ต้องรอคิวนาน
- เข้าถึงกลุ่มนักศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือได้ทันท่วงที

3 บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
- ขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำ
- เตรียมความพร้อมรับมือน้ำฝน

4.ที่จอดรถฟรีสำหรับบุคลากรศูนย์รังสิต
- เพื่ออำนวยความสะดวกต่อชีวิตการทำงาน ในรั้วธรรมศาสตร์

5.พัฒนาระบบ E-learning สำหรับการเรียนและสะสมหน่วยกิต ในธนาคารหน่วยกิต
- สะดวกต่อการเทียบโอนหน่วยกิต และการเรียนข้ามศาสตร์ของนักศึกษา

6 พัฒนาศูนย์สหกิจศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อม และการพัฒนาสมรรถนะให้นักศึกษา สำหรับการทำงาน
- สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เพื่ออำนวยความสะดวกการจัดนักศึกษาฝึกงาน

7.สนับสนุนและสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์สังคม สร้างความเข้มแข็งให้นักวิจัยรุ่นใหม่
- ผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพเพื่อขอตำแหน่ง ทางวิชาการและตอบโจทย์ปัญหา ความท้าทายของสังคม

8.เพิ่มขีดความสามารถ ในการพัฒนาข้อเสนอ โครงการวิจัย (Proposal Bank)
- โครงการสำหรับนักวิจัยรุ่นกลาง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการขอรับการสนับสนุนทุนวิจัย จากแหล่งทุนภายนอก

9.ปรับนโยบายรับอาจารย์ใหม่ 
- จัดทำแผนพัฒนาอาจารย์ อย่างมีส่วนร่วมกับคณะ

10.ปรับปรุงแนวทาง การต่อสัญญาจ้าง ของสายวิชาการ
- พัฒนาให้มีความเหมาะสมและทันสมัย

“หลังจากนี้จะทยอยเล่ารายละเอียดของแต่ละโครงการ พร้อมด้วยวิธีการประเมินผล ซึ่งผมได้ย้ำกับทีมว่า ต้องทำให้ประชาคมมีส่วนร่วมด้วยมากที่สุด เพราะหัวใจของการส่งมอบโครงการ คือความพึงพอใจของประชาคมครับ ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์” กล่าวทิ้งท้าย

‘คปภ.’ ชนะคดี ‘สินมั่นคงฯ’ ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 4 หมื่นล.  กรณีสั่งห้ามยกเลิกกรมธรรม์ประกันโควิด ‘เจอ-จ่าย-จบ’

(18 มิ.ย.67) ศาลปกครองกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 752/2565 กรณีบริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เพื่อเรียกค่าเสียหาย 4 หมื่นล้านบาท โดยศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้สำนักงาน คปภ. เป็นฝ่ายชนะคดี ซึ่งคำพิพากษาดังกล่าวไม่เกินความคาดหมายของสำนักงาน คปภ. เนื่องจาก สำนักงาน คปภ. ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ห้ามการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด เว้นแต่ปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการทุจริตหรือฉ้อฉลประกันภัย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันภัย

โดยมูลเหตุสำคัญในการออกคำสั่งดังกล่าวมาจากในช่วงกลางปี 2564 สถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างหนัก บริษัท สินมั่นคงประกันภัยฯ ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยที่ขายประกันภัยโควิดแบบเจอ-จ่าย-จบ หรือ COVID 2 in 1 นับ 1,000,000 ฉบับ ได้ส่งหนังสือถึงลูกค้าของบริษัทฯ โดยกล่าวอ้างเหตุของการบอกเลิกสัญญาสรุปได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้ผู้เอาประกันภัยของบริษัทฯ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายในช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาดอย่างรุนแรง เกิดความตื่นตระหนกแก่ผู้เอาประกันภัยของบริษัทอื่นและกรมธรรม์อื่นว่าจะถูกบอกเลิกกรมธรรม์หรือไม่ และทำให้เกิดกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจประกันภัยในแง่ลบ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ให้ลุกลาม เพราะถ้าหากบริษัท สินมั่นคงประกันภัยฯ สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิดได้เป็นผลสำเร็จ ก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกนำไปเป็นโมเดลให้กับบริษัทประกันภัยรายอื่น ๆ สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ในลักษณะเดียวกันนี้ได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับประชาชนที่ถือกรมธรรม์ประกันภัยโควิดรายอื่นทั้งหมดด้วย

สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมทั้งมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยให้กับประชาชนผู้เอาประกันภัย จึงได้อาศัยฐานอำนาจที่มีอยู่ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ห้ามการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนที่ถือกรมธรรม์ประกันภัยโควิด 19 ทั้งระบบจำนวน 16 ล้านฉบับ มูลค่าสินไหมทดแทนเกือบ 100,000 ล้านบาท ให้ได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยต่อไปจนกว่าจะหมดอายุกรมธรรม์ 

นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. เล็งเห็นว่าหากปล่อยให้มีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ในขณะที่สถานการณ์โควิดรุนแรงและประชาชนหาซื้อประกันภัยโควิด-19 ไม่ได้ ก็จะเป็นการปล่อยปละละเลยให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเอาเปรียบประชาชนจนถึงขั้นอาจถูกมองได้ว่าเป็นการลอยแพประชาชนไปตามยถากรรม เนื่องจากหากประชาชนรู้ว่าจะถูกยกเลิกกรมธรรม์เมื่อเกิดภัย ก็คงไม่มีใครซื้อประกันภัยอย่างแน่นอน 

ดังนั้น คำพิพากษาในคดีนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากสำนักงาน คปภ. เป็นฝ่ายแพ้คดี ก็อาจถูกนำไปใช้เป็นบรรทัดฐานใหม่ให้กับบริษัทผู้รับประกันภัยใช้เป็นแนวทางบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่น ๆ หากเห็นว่ารับประกันภัยไปแล้ว แต่มีแนวโน้มที่บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนมาก บริษัทผู้รับประกันภัยอาจใช้เป็นเหตุในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้แบบเหมาเข่งในทุกกรณี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในสารบบของธุรกิจประกันภัยทั่วโลกมาก่อน และอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบประกันภัยในภาพรวมทั้งหมด

สำนักงาน คปภ. ขอกราบขอบพระคุณศาลปกครองกลางที่ให้ความเป็นธรรมกับหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รวมถึงคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ให้ปฏิบัติตาม กฎ กติกา มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และพร้อมที่จะดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและรักษาความเชื่อมั่นของระบบประกันภัยไทยไว้อย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

‘ครูแหม่ม รร.เลิศคณิต’ ปลื้ม หลังศิษย์สอบติดแพทย์ ‘มหิดล’ อวยพร ‘ขอให้เป็นกำลังหลักของชาติ เป็นที่พึ่งของปชช.’

(18 มิ.ย.67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก Lertkanit Uraiwan หรือ ‘ครูแหม่ม อุไรวรรณ เอกพันธ์’ ได้มีการโพสต์ข้อความแสดงความยินดีกับลูกศิษย์ที่สอบติด 'คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล' ได้ โดยมีเนื้อความว่า…

‘#ปกป้องแพทย์ศิริราช

นอกจากคุณแม่แล้วคุณครูโดยเฉพาะครูแหม่มและเลิศคณิตภูมิใจดีใจที่สุดที่เห็นความสำเร็จของศิษย์ จำภาพการคร่ำเคร่งการสอนนักเรียนเองก็กระตือรือร้นคุณแม่ก็ให้ความร่วมมือทุกอย่างสำคัญสำคัญที่สุดคือเป้าหมาย ที่เป็นความสำเร็จแพทย์ศิริราชมิใช่ได้มาง่ายง่ายขอบคุณที่สุดที่เห็นความสำคัญของ เลิศคณิตเพราะครูแหม่มเองมิได้สอนปกป้องเพียงแค่กันเก่งปกป้องอย่างได้ความเชื่อมั่นในการกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง และถูกปลูกฝังในเรื่องความกตัญญูดีใจที่สุดกับคุณแม่เหนื่อยมานานคงเหมือนยกภูเขาออกจากอกคงมีแต่รอยยิ้มรอยยิ้มและรอยยิ้มขอให้ปกป้องเป็นคุณหมอที่เป็นที่พึ่งของประชาชนเป็นคุณหมอคุณภาพเป็นคุณหมอที่เป็นกำลังหลักของชาติตลอดชีวิต ของอาชีพที่ไม่ได้มาง่ายดายดีใจด้วยที่สุดกับปกป้องและคุณแม่นะครับ

รักเสมอ’

‘หนุ่มสาว 500 ชีวิต’ ต่อคิวสมัครงาน ‘บ.ดัง’ ย่านชลบุรี 'หวังได้งานทำ-สวัสดิการที่ดี' ในยุคงานหายาก

(18 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก เพจ ‘ที่นี่อมตะนครชลบุรี’ แชร์ภาพ หนุ่มสาวมายืนรอต่อคิว เพื่อสมัครงานหน้าบริษัท ที่ตั้งอยู่เลขที่ 700/350 หมู่ 6 ตำบลหมู่ 6 ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ผู้สื่อข่าวตรวจสอบที่บริเวณหน้าบริษัทดังกล่าว พบว่ามีหนุ่มสาวทั้งที่ตกงานและต้องการหางานใหม่ ได้มาต่อคิวนั่งเรียงกันบริเวณหน้าบริษัท ประมาณ 500 คน เพราะหวังว่าจะได้งานทำ อาจจะได้งานทำที่มีสวัสดิการดี ๆ

ทั้งนี้เพจดังกล่าว ได้มีการแชร์โพสต์ของสมนึก เอี่ยมสอาด ,นพ ของอร่อยชลบุรี และ มี๊ แอม ขณะที่กำลังแจกเครื่องดื่มและของกินเล่นให้กับกลุ่มหนุ่มสาวที่มารอคิวสมัครงาน พร้อมข้อความว่า ‘เป็นกำลังใจให้คนสู้งานและหางานคับ บางคนมารอตั้งแต่3ทุ่ม ช่วยได้เท่าที่ช่วย ขอให้ได้งานทุกคนคับ ขอบคุณเพจ ที่นี่อมตะนครชลบุรี ที่โอนสมทบมาซื้อ นม-ขนม (เคยเป็นผู้รับ เลยมาเป็นผู้ให้บ้าง) #ท้ายแพนด้า #ของอร่อยชลบุรี’

ด้านนายวิชิต อายุ 26 ปี หนุ่มที่มารอต่อคิวสมัครงาน โดยได้คิวที่ 300 ได้เล่าว่า ตนทราบข่าวจากในเพจของเราโรงงานจึงตั้งใจจะมาสมัคร โดยทีแรกตั้งใจว่าจะมาช่วงเวลาตี 5 แต่เห็นจากในเพจของที่นี่อมตะนครจึงรอช้าไม่ไหว ได้เดินทางมาถึงช่วงเวลาตี 1 ได้คิวที่ 300 โดยทราบว่าบริษัทแห่งนี้มีสวัสดิการดีและรับคิวแค่ 79 คิว แต่ไม่รู้ว่ารับสมัครงานกี่อัตรา ตนก็หวังว่า อาจได้เป็นพนักงานบริษัทแห่งนี้ แต่พอมาถึงพบว่าคนมารอสมัครเยอะจริง ๆ ขอฝากกำลังใจให้กับผู้ที่มาสมัครงานว่า “สู้สู้ ใช้ชีวิตให้สุดครับ”

กองทัพเรือ ร่วมลงนาม MOU การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

วันนี้ 17 มิ.ย.67 พลเรือโทณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในนามกองทัพเรือ ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาคุณภาพการศึกษา โรงเรียนสตรีวัดระฆัง ตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ระยะเวลา 5 ปี (ปีการศึกษา 2566-2570) โดยความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นการประสานความร่วมมือทางวิชาการด้านการแพทย์ ระหว่าง กรมแพทย์ทหารเรือ กับโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านสื่อการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านการแพทย์ รวมไปถึงการสนับสนุนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญของกรมแพทย์ทหารเรือ มาให้ความรู้กับนักเรียน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมนักเรียนสตรีวัดระฆัง รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานด้านอายุรศาสตร์การแพทย์ สามารถดูแลและอยู่ร่วมกับผู้สูงอายุได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและต่อยอดด้านอาชีพในอนาคต อีกด้วย การลงนามในครั้งนี้ มีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมการลงนาม ได้แก่ พลเรือตรีวสุธา ข่ายแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ, ว่าที่นาวาเอกหญิง กนกนุช ขำภักตร์ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ ศูนย์วิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ, พลเรือเอกเชษฐา ใจเปี่ยม ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนสตรีวัดระฆัง และ นายถนอม บุญโต รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

รอง ผบ.ทร. ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้างานซ่อมบำรุง เพื่อดำรงความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ

รองผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้างานซ่อมบำรุงตามแผน เพื่อให้การดูแลยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือ เป็นไปด้วยความเอาใจใส่ของกำลังพลทุกระดับ และดำรงความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ

วันที่ 17 มิ.ย.67 พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการซ่อมบำรุงและปรับปรุงยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือ (ประธาน อซป.) พร้อมคณะเดินทางตรวจเยี่ยมและติดตามความก้าวหน้างานตามแผนซ่อมทำเรือ ในพื้นที่สัตหีบ ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ  และการปฏิบัติในการซ่อมบำรุงตามแผน (PMS) ของ ร.ล.ภูมิพลอดุลยเดช , กองพันรักษาฝั่งที่ 12 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และกองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ในการนี้ รองผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวกำชับต่อกำลังพลที่รับผิดชอบในการซ่อมบำรุงตามแผนว่า “การเดินทางมาตรวจเยี่ยมในวันนี้ เพื่อรับทราบปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้อง ที่แท้จริง ด้วยความใกล้ชิด เพื่อหาทางช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นในระดับนโยบาย“ พร้อมกับเน้นย้ำกำลังพลประจำเรือว่า ”การดูแลเอาใจใส่ และความละเอียดรอบคอบในการซ่อมบำรุงให้เป็นไปตามแผน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรือมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจ " ทั้งนี้ หากมีอุปสรรค ข้อขัดข้องประการใด ฝ่ายต่างๆ ใน อซป. พร้อมให้ความช่วยเหลือและช่วยแก้ปัญหาอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ คณะกรรมการ อซป. มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย อำนวยการ กำกับดูแล ให้ข้อเสนอแนะ พิจารณาความสอดคล้องของโครงการ/แผนงาน การปรับปรุง และการใช้งานของยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือ กำหนดแนวทางการซ่อมบำรุงแบบบูรณาการ มุ่งเน้นความสำเร็จในภาพรวม พัฒนาปรับปรุงการซ่อมบำรุงระดับหน่วยผู้ใช้ ให้เหมาะสมทันสมัย ใช้ระบบการส่งกำลังบำรุงรวม (ILS) ของเรือที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนติดตามความก้าวหน้าและประเมินผล เพื่อให้ยุทโธปกรณ์พร้อมปฏิบัติตามภารกิจที่กองทัพเรือ ได้รับมอบหมาย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0[09535645

#เทิดทูนสถาบัน_ยึดมั่นระเบียบวินัย_ประชาชนภูมิใจ_ทะเลไทยมั่นคง 
#Fitforthefuture


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top