Wednesday, 3 July 2024
ECONBIZ NEWS

‘รมว.ปุ้ย’ กำหนดมาตรฐานใหม่ ‘ถุงพลาสติกบรรจุอาหาร’ เร่งยกระดับเป็นสินค้าควบคุม ป้องกันปนเปื้อน ‘โลหะหนัก’

(28 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร และถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ โดยเป็นการยกเลิกมาตรฐานฉบับเดิม และกำหนดใหม่ เพื่อให้มีความปลอดภัยกับประชาชนมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ ตนได้เร่งรัดให้ สมอ. ดำเนินการประกาศเป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว เนื่องจากถุงพลาสติกเป็นสินค้าที่ประชาชนนิยมใช้ใส่อาหารและเครื่องดื่มอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน หากเป็นถุงพลาสติกที่ผลิตโดยไม่ได้มาตรฐาน เมื่อนำไปใส่อาหารที่มีความร้อนสูง หรืออาหารที่มีความเป็นกรด อาจเสี่ยงที่จะมีสารโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพปนเปื้อนออกมากับอาหารได้ 

นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ สมอ. เร่งควบคุมสินค้าที่สัมผัสกับอาหารโดยตรงอื่น ๆ เช่น ภาชนะพลาสติกใส่อาหาร กระดาษสัมผัสอาหาร และภาชนะสแตนเลสสำหรับอาหาร เป็นต้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า การประชุมบอร์ด สมอ. ในครั้งนี้ นอกจากจะมีมติเห็นชอบมาตรฐานถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร และถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟแล้ว ยังเห็นชอบมาตรฐานอื่น ๆ อีกจำนวน 97 มาตรฐาน เช่น โต๊ะ เก้าอี้นักเรียน เก้าอี้พลาสติกแบบมีพนักพิง ไม้ยางพาราแปรรูป บานประตู แผ่นไม้ประกอบ อนุภาคนาโนกักเก็บสารสกัดมะขามป้อม และอนุภาคนาโนกักเก็บสารสกัดกวาวเครือขาว เป็นต้น 

รวมทั้งเห็นชอบมาตรฐานที่จะกำหนดเพิ่มเติมอีก จำนวน 90 มาตรฐาน เช่น เครื่องทำน้ำอุ่นและเครื่องทำน้ำร้อนระบบก๊าซ เต้านมเทียมซิลิโคนใช้ฝังในร่างกาย ข้อเข่าเทียม เครื่องมือรักษารากฟัน ที่นอนลดแผลกดทับ เลนส์ตาเทียม สารน้ำฟอกไต เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ ยางล้อรถยนต์ ลวดเหล็กเคลือบสังกะสี เม็ดพลาสติก และล้ออัลลอย์ เป็นต้น ซึ่งจัดทำโดย สมอ. และองค์กรกำหนดมาตรฐาน (SDOs) ที่เป็นสถาบันเครือข่ายของ สมอ. ได้แก่ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันยานยนต์ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสถาบันพลาสติก 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร และถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ สมอ. ได้เคยมีการกำหนดมาตรฐานไว้แล้ว แต่เพื่อให้มีความปลอดภัยกับประชาชนมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการทบทวนมาตรฐานโดยยกเลิกมาตรฐานฉบับเดิม และกำหนดใหม่ โดยมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่สำคัญ ได้แก่ การควบคุมปริมาณโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว อะลูมิเนียม แบเรียม โคบอลต์ ทองแดง เหล็ก ลิเทียม แมงกานีส นิกเกิล สังกะสี พลวง สารหนู แคดเมียม โครเมียม ปรอท ยูโรเพียม แกโดลิเนียม แลนทานัม และเทอร์เบียม ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การทนความร้อนความเย็น เช่น ทนความร้อนได้ถึง 100 องศาเซลเซียส 

สำหรับถุงใส่อาหารร้อน ทนความร้อนได้ไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส สำหรับถุงใส่อาหารเย็น และทนความเย็นได้ถึง -18 องศาเซลเซียส สำหรับถุงใส่อาหารเยือกแข็ง และสำหรับถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ สามารถทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 80 องศาเซลเซียส 

นอกจากนี้ มีการควบคุมการใช้สีที่พิมพ์ลงบนถุง โดยถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร ต้องเป็นสีสำหรับใช้กับผลิตภัณฑ์สัมผัสอาหาร (Food Grade) เท่านั้น สำหรับถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ จะต้องเป็นสีที่ผ่านการตรวจสอบสารอันตรายตามมาตรฐาน มอก.1069 สีสำหรับพลาสติกทำผลิตภัณฑ์สัมผัสอาหาร เป็นต้น 

โดยหลังจากนี้ สมอ. จะเร่งรัดดำเนินการเพื่อประกาศเป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว รวมถึงสินค้าสัมผัสอาหารอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘สรรเพชญ’ ห่วง ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ กระทบศก.ภาคใต้ วอน!! รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและยั่งยืน

(27 พ.ค. 67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาให้ความเห็น หลังชาวสวนปาล์มประสบปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ โดยกล่าวว่า “ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจของภาคใต้ เพราะประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ส่วนใหญ่ปลูกสวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2565 ก็มีสัญญาณเตือนจากนักวิชาการมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องปรากฏการณ์เอลนีโญที่จะส่งผลให้เกิดภัยแล้ง หรือกรณีที่อินโดนีเซีย ได้ประกาศยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ความนิยมในการใช้รถอีวีเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการปาล์มน้ำมันในตลาดลดน้อยลง 

ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรก็ได้ออกมาเตือนแล้วว่า สินค้าที่น่าเป็นห่วง คือ “ปาล์มน้ำมัน” แต่ด้วยภายใต้การนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะผู้กำกับดูแลด้านนี้โดยตรงในรัฐบาลที่แล้ว ทำให้ผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้ และส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันเป็นที่น่าพอใจ 

เมื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาอยู่ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชาวสวนปาล์มก็มีความหวังว่า รัฐบาลจะสามารถดำเนินงานเพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาสูงขึ้นได้ ประกอบกับเมื่อต้นเดือนมกราคม 2566 ช่วงก่อนเลือกตั้งประธาน สส. และประธานคณะกรรมการนโยบายด้านการเกษตรของพรรคเพื่อไทยก็ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลในขณะนั้น แก้ไขปัญหาเรื่องปาล์มน้ำมัน เนื่องจากอ้างว่าปาล์มน้ำมันปิดรับการรับซื้อเพราะปาล์มล้นตลาดและทำให้ราคาปาล์มน้ำมันในประเทศตกต่ำสวนทางตลาดโลก ในกรณีนี้น่าจะเป็นข้อมูลให้รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญและเตรียมการรับมือไว้เมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาล 

ซึ่งนายสรรเพชญ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ระบุเรื่องเพิ่มราคาปาล์มน้ำมันให้ได้ 3 เท่าเหมือนสินค้าเกษตรอื่น ๆ จึงส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันตกลงมาดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และกลายเป็นว่ารัฐบาลเองทำให้ราคาปาล์มน้ำมันสวนทางตลาดโลกและตกต่ำกว่ารัฐบาลในสมัยที่แล้ว  

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่นายภูมิธรรม ได้ออกมาสั่งการให้กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่สำรวจเพื่อติดตามราคาปาล์มน้ำมันว่า ตนคาดหวังอยากให้นายภูมิธรรม ได้ให้ความสนใจกับพื้นที่ภาคใต้มากกว่านี้ เหมือนความพยายามที่จะขายข้าวเก่า 10 ปีดังที่ปรากฏในข่าวปัจจุบัน เพราะปาล์มน้ำมัน เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ และหวังให้นายภูมิธรรม แก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและแก้ปัญหาได้ในระยะยาว ไม่ใช่เพียงให้จบไปแค่ตอนนี้ แต่คาดหวังให้เกิดความยั่งยืนและไม่เกิดปัญหาเดิมซ้ำอีกในอนาคต

'รมว.ปุ้ย' ชู!! 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' ผลักดันสู่ทุกหน่วยงานเกี่ยวข้อง ก.อุตฯ หวังเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย โดนใจตลาดโลก

(27 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมสัมมนามอบนโยบายเพื่อผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศสู่การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ว่า ช่วงเวลากว่า 8 เดือน จากวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจนถึงวันนี้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะเข้ามาขับเคลื่อนงานของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อให้เป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการและประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมมอบนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานให้กับผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ปฏิบัติงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมทั่วประเทศได้นำไปปรับใช้ในการเร่งรัดสนับสนุนและแก้ไขปัญหาให้กับผู้ประกอบการ พร้อมสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยมีเป้าหมายให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และอยู่คู่กับประชาชนและสังคมได้อย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินภารกิจให้สำเร็จต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหน่วยงานในระดับพื้นที่ต้องมีบทบาทที่เข้มแข็งมากขึ้นเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนเกิดผลอย่างรวดเร็วเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ ประกอบด้วย...

- รื้อ ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อต่อการประกอบกิจการอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น 
- ลด ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการประกอบการ ซึ่งต้องพิจารณาทั้งระบบตั้งแต่ก่อนการอนุญาตไปจนถึงการกำกับดูแลและการปราบปรามผู้กระทำความผิด 
- ปลด ภาระให้ผู้ประกอบการโดยปรับลดกระบวนการทำงานที่ไม่จำเป็น เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบการ 
- และ สร้าง อุตสาหกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก พร้อมสร้างเครือข่ายการทำงานอย่างบูรณาการ

ทั้งนี้ จากความมุ่งมั่นและตั้งใจปฏิบัติงานส่งผลให้หลายเรื่องเริ่มเกิดผลเป็นรูปธรรม สะท้อนได้จากผลงานสำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งในระดับภาพรวมและในเชิงพื้นที่ อาทิ การยกเลิกการต่ออายุใบอนุญาตการประกอบกิจการโรงงาน ยกเลิกการยื่นเอกสารที่ไม่จำเป็น การแก้ไขกฎหมายโรงงาน เพื่อปลดล็อคเรื่องการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) การกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค พร้อมกำหนดมาตรฐานเพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย 

นอกจากนี้ ยังได้เข้ามาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอนาคต สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล เร่งผลักดันให้สินค้าและบริการฮาลาลไทยเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากขึ้น / ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ทั้งซัพพลายเชนครบวงจร / พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้มีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ / สร้างความเข้มแข็งให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชน สนับสนุนองค์ความรู้และแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำผ่าน SME D Bank และกองทุนฯ ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม / ผลักดันโครงการเหมืองแร่โพแทชพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยภายในประเทศ / การช่วยเหลือชาวไร่อ้อย สนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ / แก้ปัญหา PM 2.5 จากการเผาอ้อย การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรม ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพเน้นการพัฒนานิคมฯ Smart Park เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาเชิงนิเวศและนวัตกรรม เป็นต้น

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวต่อไปว่า เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้เดินหน้าสู่อนาคตที่ดีขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมผลักดันโครงการใหม่ ๆ เช่น...

- การขับเคลื่อน Green Productivity เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยี นวัตกรรมและการวิจัย มาใช้พัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์  
- การจัดตั้งนิคม Circular แห่งแรกของประเทศไทยในพื้นที่ EEC มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียน 

- การเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างต่อเนื่อง 
- รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้ทรัพยากรภายในประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลกตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ยจากแร่โพแทช ส่งเสริมการใช้แร่ลิเทียมผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมโกโก้ ยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่อุตสาหกรรมเกษตรไทย อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ รองรับการเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพนานาชาติ

“ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีก รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องปรับสู่การเป็นหน่วยงานที่ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เจ้าหน้าที่ อก. ต้องเข้าไปช่วยแก้ปัญหาและเป็นที่พึ่งของผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ได้ในทุกเรื่องอย่างทันท่วงที ตลอดจนขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น การปรับปรุง พ.ร.บ.โรงงาน การเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิด การผลักดันการจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย รวมถึงการผลักดันการแก้ปัญหาเรื่องผังเมือง โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง" นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ความท้าทายในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เราต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ทิศทางการพัฒนาประเทศมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ครอบคลุมมิติของสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาเชิงพื้นที่จึงเป็นนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญสูง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดรับกับศักยภาพของพื้นที่และนโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ของรัฐบาล เพื่อให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเกิดการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยเริ่มคึกคัก แม้จะเป็นเพียงภาคสมัครใจ แต่โตไวจนน่าผลักแรงๆ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'เปลี่ยนคาร์บอนเป็นเงิน' เมื่อวันที่ 26 พ.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

พลานุภาพในการเปลี่ยนคาร์บอนเป็นเงิน นับวันจะมีพลังสูงขึ้น เมื่อตลาดและสังคมร่วมกันกดดันให้ธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอน แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และตลาดคาร์บอนในไทยยังเป็นเพียงประเภทสมัครใจ แต่ อบก. (องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก) ซึ่งเป็นองค์การมหาชนสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้การรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจกไปแล้วกว่า 400 โครงการ และรับรองคาร์บอนเครดิตไปแล้วกว่า 16 ล้านตัน

ตลาดคาร์บอนของสหภาพยุโรป หรือ EU Emissions Trading System เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องหนาแน่นที่สุด ทางการสหภาพยุโรปจัดสรรสิทธิการปล่อยคาร์บอน (Emissions Allowances) ไปยังธุรกิจสาขาต่างๆ กิจการไหนปล่อยมากกว่าสิทธิที่มี ก็จะต้องหาซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย หรือไม่ก็ต้องเสียภาษีคาร์บอน  ส่วนกิจการไหนที่มีสิทธิส่วนเกินเหลืออยู่ ก็สามารถนำออกขายในตลาดได้ ระบบ Cap and Trade นี้ได้ทำให้ตลาดมีประสิทธิภาพ สิทธิการปล่อยคาร์บอนนี้นับวันจะมีปริมาณลดลงเพื่อให้ประเทศต่างๆบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามข้อผูกพัน ซึ่งเมื่อสิทธิลดลง ราคาก็ย่อมสูงขึ้นตามกลไกตลาด 

ตลาด ETS ของสหภาพยุโรป มีปริมาณและสภาพคล่องสูง กำหนดราคาคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้คาร์บอนเป็นสินทรัพย์ (Asset Class) ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าคาร์บอนได้เป็นสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายเงินที่เป็นสื่อกลางการซื้อขายแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) เข้าไปทุกที

ตลาดคาร์บอนไทย แม้จะยังเป็นเพียงภาคสมัครใจแต่ก็มีการขยายตัวค่อนข้างสูงในช่วงที่ผ่านมา คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คาร์บอนจะเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน เช่นเดียวกับในสหภาพยุโรป และในอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ตลาดการเงินและสถาบันการเงินในประเทศได้ปรับตัวไปบ้างแล้ว ก.ล.ต. ส่งเสริมการจัดตั้งกองทุนรวมและกองทรัสต์ที่ลงทุนในที่ดินเพื่อการปลูกป่าและขายคาร์บอนเครดิตเป็นรายได้หลัก กองทุน ESG ซึ่งลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อเพื่อการลดโลกร้อน

ธุรกิจหลายสาขาก็กำลังแปลงโฉมเป็นธุรกิจคาร์บอนตำ่ ในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยว น่าจะต้องเร่งปรับปรุงตัวเข้าสู่ความเป็น Net Zero หรืออย่างน้อยความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โดยเร็ว เพื่อจะไม่พลาดโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากแนวโน้มใหม่ของโลกนี้

วันนี้ คาร์บอนกลายเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่สำคัญทั่วโลก และนับวันจะมีค่ามากขึ้น อบก. พร้อมที่จะทำงานกับธุรกิจและสังคมทุกภาคส่วน ด้วยวิธีการเปลี่ยนคาร์บอนเป็นเงิน

‘Nokia 3210 - Nokia 215’ บุกตลาดมือถือ ด้วยจอขนาดใหญ่ พร้อมเกมงูสุดคลาสสิก อัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ เปิดตัววางจำหน่ายในไทย 27 พ.ค.นี้ ราคาเริ่มต้นที่ 1,490 บาท

(25 พ.ค.67) เอชเอ็มดี ประเทศไทย เดินเครื่องรุกตลาดฟีเจอร์โฟนคลาสสิก รุ่นตำนานแห่งยุค Y2K อย่างมีสไตล์ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ประกาศพร้อมจำหน่ายฟีเจอร์โฟน 4G อย่างเป็นทางการ 2 รุ่น Nokia 3210 เวอร์ชันปี 2024 ในราคาจับต้องได้ 1,990 บาท พร้อม Nokia 215 4G (2024) ในราคาเพียง 1,490 บาท ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. นี้ ชูดีไซน์การกลับมาของ Nokia 3210 ที่คงเอกลักษณ์ดั้งเดิม เพิ่มเติมคือเพรียวบาง ทันสมัย อัปเกรดฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ กล้อง 2MP แฟลช และไฟฉาย รองรับแอปพลิเคชัน Cloud ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึง โซเชียลมีเดีย ยูทูบ ข่าวสาร สภาพอากาศ มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 1,450 mAh อึดทน ใช้งานได้กว่า 1-2 สัปดาห์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง พร้อมเกมงูสุดคลาสสิก

นายภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า HMD เดินเครื่องกลยุทธ์ รุกตลาดฟีเจอร์โฟนคลาสสิกในประเทศไทยปีนี้ ด้วยการปล่อย 2 ฟีเจอร์โฟน 4G ระดับตำนาน ปลุกกระแสพร้อมกันในตลาด ทั้ง Nokia 3210 ที่มาพร้อมการพัฒนาเพื่อสอดรับไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้บริโภคปัจจุบันในเวอร์ชันปี 2024 และ Nokia 215 4G (2024) อัปเกรดฟีเจอร์การใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์ วางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ตั้งเป้าจับกลุ่มผู้บริโภคทุกช่วงวัย ตอกย้ำจุดแข็งแบรนด์ ส่งมอบโทรศัพท์ที่มีคุณภาพ ผ่านกระบวนการผลิต และทดสอบด้วยมาตรฐานระดับสากล ครบเครื่องทั้งฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ มั่นใจคุณภาพความอึด ทนทานตลอดการใช้งาน ในราคาสบายกระเป๋า มองฟีเจอร์โฟนยังเป็นที่ต้องการและมีแนวโน้มเติบโตในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการเป็นเครื่องเสริม หรือสำหรับทำงานโดยเฉพาะ และกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการโทรศัพท์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน เน้นหน้าจอขนาดใหญ่คมชัด เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ตัวเครื่องจับถนัดมือ และปุ่มกดขนาดใหญ่

Nokia 3210 เวอร์ชันปี 2024 เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการกับสีดำ Grunge Black ในราคา 1,990 บาท ชูดีไซน์ย้อนยุคอย่างมีเอกลักษณ์ เพรียวบางแต่ทันสมัย พร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ กล้องคมชัดด้วยความละเอียด 2MP พร้อมแฟลชและไฟฉาย ตอกย้ำการใช้งานที่ยาวนานกับแบตเตอรี่ขนาด 1450 mAh1 ประหยัดพลังงาน สามารถใช้งานได้นานกว่า 1-2 สัปดาห์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และที่สำคัญเป็นรุ่นที่มาพร้อมระบบรองรับ Cloud Phone Apps ซอฟต์แวร์ที่ให้คุณเข้าถึงโซเชียลบนระบบออนไลน์โดยไม่ต้องติดตั้งในเครื่อง ได้ชิปเซต Unisoc T107 มาขับเคลื่อน และยังมาพร้อม RAM 64 MB และ ROM 128 MB พร้อมรองรับ microSD Card สูงสุดถึง 32GB พร้อมกันนี้ ด้านระบบปฏิบัติการซอฟต์แวร์ คือ S30+ รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. วิทยุ FM แบตเตอรี่ขนาด 1,450 mAh สามารถถอดเปลี่ยนได้ ชาร์จแบตเตอรี่ผ่านพอร์ต USB-C และที่ขาดไม่ได้คือเกมงูสุดคลาสสิก

นอกจากนี้ HMD ยังมาพร้อมกับ Nokia 215 4G (2024) ปรับโฉมใหม่ ด้วย 2 สีหลัก สีดำ (Black) และสีส้ม (Peach Peach) ตอกย้ำความทนทานอันเป็นเอกลักษณ์ ในราคา 1,490 บาท อัปเกรดฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์บนหน้าจอขนาดใหญ่ IPS LCD ความละเอียด QVGA ขนาด 2.8 นิ้ว ให้ความชัดคมในทุกมิติ พร้อมแป้นพิมพ์ปุ่มกดขนาดใหญ่ ให้สัมผัสนุ่ม ตอบสนองฉับไว ตัวเครื่องจับง่ายกระชับมือ และด้านหลังมีความโค้งมนสไตล์คลาสสิก ใช้ระบบปฏิบัติการ S30+ พร้อม RAM 64 MB และ ROM 128 MB ชิปเซ็ตประมวลผล Unisoc T107 และรองรับ 4G เพิ่มคุณภาพในการโทรผ่านเครือข่ายที่คมชัดผ่าน VoLTE พร้อมระบบ Cloud Phone Apps ซอฟต์แวร์ที่ให้คุณเข้าถึงโซเชียลบนระบบออนไลน์โดยไม่ต้องติดตั้งในเครื่อง ใช้งานได้ยาวนานด้วยแบตเตอรี่ขนาด 1,450 mAh สามารถถอดเปลี่ยนได้ พร้อมเพลิดเพลินกับเกมสุดคลาสสิกอย่างเกมงู และเกมรถ

ฟีเจอร์โฟน Nokia 3210 และ Nokia 215 4G พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2567 นี้เป็นต้นไป ผ่านตัวแทนจำหน่าย HMD ทั่วประเทศ ร้าน TG Fone ทั่วประเทศ และทางช่องทางออนไลน์ Nokia Official Shop ใน Shopee Mall และที่ LazMall ใน Lazada

'รมว.ปุ้ย' แจ้ง!! กากแคดเมียมที่คลองกิ่ว-ชลบุรี เริ่มขนกลับตากแล้ว มั่นใจ!! ทุกขั้นตอนปลอดภัย ขนเสร็จทันตามกำหนด 17 มิ.ย.นี้

ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามแผนการขนย้ายกากแคดเมียม จากกรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรสาคร กลับไปจังหวัดตาก ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 18 วัน สามารถขนกากแคดเมียมได้จำนวนทั้งสิ้น 2,180 ถุง น้ำหนักรวม 3,432 ตัน คิดเป็นร้อยละ 26.50 ของจำนวนกากแคดเมียมทั้งหมด  

(25 พ.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เป็นวันแรกที่เริ่มการขนกากแคดเมียม จากโกดังที่ ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เพื่อไปยังโรงพักคอยของ บริษัทเบาด์แอนด์บียอนด์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดตาก โดยใช้รถตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 4 คัน บรรทุกกากแคดเมียม จำนวน 76 ถุง น้ำหนักรวม 120 ตัน ออกเดินทางจากชลบุรีในเวลา 15.00 น. นำขบวนโดยรถเจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.ปทส. คาดว่าจะถึงจังหวัดตากในเวลา 21.00 น. 

และในช่วงสัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะใช้รถจำนวน 10 คัน ทยอยขนจากโกดังคลองกิ่วจนครบจำนวน 4,391 ตัน เพื่อให้ทันตามกำหนดเดิมในวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ทั้งนี้กระบวนการขนย้ายยังคงเป็นไปตามแนวทางที่คณะทำงานแก้ปัญหาและการขนย้ายกากแคดเมียมกำหนดไว้ทุกประการ ทั้งการซ้อนถุง การชักตัวอย่างตรวจสอบ การทำความสะอาด และการลงระบบติดตามและตรวจสอบการขนย้าย (e-Manifest) โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อประชาชน และสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก  

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการปรับปรุงบ่อฝังกลบของบริษัท เบาด์แอนด์บียอนด์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการคัดเลือกที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจสอบและประเมินสภาพความแข็งแรงและการรั่วซึมของบ่อ ซึ่งบริษัทฯ จะได้เสนอแผนการปรับปรุงให้คณะทำงานแก้ไขปัญหาและขนย้ายกากแคดเมียมพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

'อ.วีระศักดิ์' ชี้!! 'โลกร้อน' อีกสาเหตุสำคัญทำเครื่องบินตกหลุมอากาศ พร้อมแนะทางออกภาคการท่องเที่ยวไทยในสภาวะโลกกำลังเดือด

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้พูดคุยกับ อ.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในประเด็น 'เครื่องบินตกหลุมอากาศ กับ ภาวะโลกร้อน และการปรับตัวของภาคท่องเที่ยวไทย?' 

อ.วีระศักดิ์ เริ่มต้นด้วยกับประเด็นที่ว่าการตกหลุมอากาศลึกกว่า 2 กิโลเมตร ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ มีสาเหตุจากอะไร? โดยกล่าวว่า เรารู้แล้วว่าทำไมโลกถึงร้อน เพราะว่าแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบโลก มันสะท้อนกลับไปในอวกาศได้ไม่หมด เพราะมันมีก๊าซเรือนกระจกขวางอยู่ ตอนที่แสงส่องลงมามันเป็นคลื่นความถี่สูงทะลุทะลวงได้ดี เมื่อกระทบพื้นดินหรือพื้นน้ำ มันกลายเป็นคลื่นความถี่ต่ำ ทำให้สะท้อนอยู่ภายในโลกของเรา อุณหภูมิของโลกจึงอุ่นขึ้น โดยเฉพาะแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีการรับแสงแดดจากดวงอาทิตย์โดยตรง น้ำจะระเหยเยอะ

ดังนั้น พอน้ำระเหย พวกมันจะเจอความร้อนตามขึ้นมาเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ทำให้ลอยตัวสูงมากถึงชั้นที่เครื่องบินกำลังลอยตัวกันอยู่ เรียกว่า ลมพายกลอยตัว 

ตอนลอยตัวขึ้นไปเจอกับความเย็น บางช่วงอากาศมันก็จะกดตัวลงเมื่อเจอกับความเย็น เหมือนเป็นท่อลำเลียงให้อากาศและไอน้ำลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็จะเทลง เครื่องบินที่บินมาอาจเจออากาศพายกขึ้น และถ้าเจออากาศที่มันกดลงพอดี เรียกว่า 'แรงเฉือนของลม'

ในโลกใบนี้ยังมีลมหมุนจากทิศตะวันตกมาทิศตะวันออก หรือเรียกว่า Jet Stream (กระแสลมกรด) ส่วนใหญ่การตกหลุมอากาศมักเกิดขึ้นตอนกลางวัน และช่วงเย็น ๆ ทางแก้ไขในเรื่องนี้คือ เวลาโดยสารเครื่องบินต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตามประกาศของนักบิน หรือถ้าบินในระยะทางสั้น ๆ บินเที่ยวเช้าก็น่าจะพอช่วยได้

ทั้งนี้เมื่อถามถึงผลกระทบจากโลกร้อน จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวไทยด้วยแค่ไหน และควรรับมืออย่างไร? อ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องสนใจ ทำความเข้าใจ และต้องตั้งใจช่วยลดโลกร้อนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการท่องเที่ยว

เราต้องทำให้การท่องเที่ยวมีความสุข สบาย สะดวก ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวในโลกนี้ต่อไปจากนี้ จะเป็นกลุ่มครอบครัวและผู้สูงอายุมากขึ้น ฉะนั้นสภาวะโลกร้อนปัจจุบัน ที่เรากำลังเจอในลักษณะ ร้อน-แห้ง และร้อน-เปียก ต้องถูกวางแผนให้กับภาคการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศที่จะเกิดขึ้น 

ยกตัวอย่าง เช่น ภาวะร้อน-แห้ง ควรจัดแผนการท่องเที่ยวอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอยู่ในที่ร่มได้ ไม่เที่ยวกลางแจ้งมากนัก ส่วนภาวะร้อน-เปียก ควรจัดแผนการท่องเที่ยวตั้งแต่การเลือกเส้นทางมีน้ำท่วมหรือไม่ ต้องวางแผนล่วงหน้า เป็นต้น 

ส่วนเรื่องการเดินทางควรสนับสนุนให้มีการซื้อประกันการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งระบบประกันของไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ทำให้มีความรู้สึกว่ามีมืออาชีพดูแลสร้างความสบายใจได้ตลอดทริป 

สรุปแล้วภาครัฐและผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยว สร้างความประทับใจ ทำให้ตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยมีโอกาสเติบโตไปกับภาวะโลกร้อนต่อไป

ส่องสถานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบอ่วม!! แตะ 1.1 แสนล้านบาท จำใจขยับดีเซล 50 สต. แต่ยังพยุง LPG 423 บาท ถึง 30 มิ.ย.67

(25 พ.ค.67) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้อนุมัติขยายกรอบวงเงินชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านบาท (จากเดิมกำหนดกรอบวงเงินไว้ 48,000 ล้านบาท) ส่งผลให้กรอบวงเงินสำหรับชดเชยราคา LPG ปัจจุบันรวมเป็น 50,000 ล้านบาท

โดย ณ วันที่ 19 พ.ค. 2567 สำนักงานคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้รายงานว่า มีการใช้เงินชดเชยราคา LPG ไปแล้วรวม 47,624 ล้านบาท ซึ่งใกล้เต็มกรอบวงเงิน 4.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น กบน. จึงได้ขยายกรอบวงเงินเพื่อชดเชยราคา LPG เป็น 50,000 ล้านบาท เพื่อตรึงราคา LPG ให้อยู่ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่กำหนดให้ตรึงราคาดังกล่าวจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2567

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในบัญชี LPG ได้ชดเชยราคา LPG อยู่ที่ 4.15 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 25.87 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทำให้กองทุนฯ มีเงินไหลออกจากการชดเชยราคา LPG ประมาณ 44.47 ล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1,334 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ราคา LPG โลกยังทรงตัวในระดับสูงที่ 582.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

สำหรับการตรึงราคา LPG ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ทาง กบง. ได้เริ่มตรึงราคามาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2566 รวมเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว และย้อนไปในช่วงเดือน มี.ค. 2567 กบง. ได้มีมติให้ตรึงราคา LPG ไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่าง 1 เม.ย.-30 มิ.ย. 2567 นี้ โดยให้กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาเฉพาะเดือน เม.ย. 2567 ส่วนเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2567 จะของบกลางจากรัฐบาลมาชดเชยราคาแทน 

แต่ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2567 ได้มีมติเห็นชอบให้ตรึงราคา LPG ตามเดิมที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม โดยให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ดูแลเอง ซึ่งหมายถึงรัฐบาลไม่ได้จัดสรรงบกลางมาช่วยตรึงราคา LPG แต่อย่างใด จึงส่งผลให้ เมื่อต้นเดือน พ.ค. 2567 กบน. ต้องมีมติเพิ่มกรอบวงเงินเพื่อใช้ชดเชยราคา LPG เป็น 50,000 ล้านบาทดังกล่าว

ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 19 พ.ค. 2567 ยังติดลบอยู่ 110,854 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,230 ล้านบาท ส่วนบัญชี LPG ติดลบ 47,624 ล้านบาท

โดยกองทุนน้ำมันฯ จะต้องเร่งดำเนินการให้เงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ มากขึ้น เนื่องจากได้กู้เงินกับสถาบันการเงินรวม 105,333 ล้านบาท เมื่อปี 2565-2566 และจะเริ่มครบกำหนดต้องจ่ายคืนเงินต้นก้อนแรกที่ยืมมา 30,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย. 2567 นี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กบน. ได้พยายามปรับขึ้นราคาดีเซลครั้งละ 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อลดภาระการชดเชยราคาลง โดยมีการขึ้นราคาดีเซลรวมไปแล้ว 5 ครั้ง รวมราคา 2.50 บาทต่อลิตร ขณะเดียวกันก็พยายามแก้ปัญหาโดยลดการชดเชยราคา LPG ลง แต่เมื่อ ครม. ไม่อนุมัติเงินมาช่วย จึงทำให้กองทุนฯ ยังต้องดึงเงินในกองทุนฯ มาพยุงราคาต่อไปก่อน  

‘สวทช.’ ผนึกกำลังหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดตั้ง ‘ธนาคารอาหาร’ หวังแก้วิกฤตปริมาณขยะอาหาร ด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน

เมื่อวานนี้ (23 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอาหารที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบาง

นอกเหนือจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่ต้นทางก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการลดวิกฤตปัญหาขยะอาหาร จากข้อมูลที่ได้มีการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีอาหารส่วนเกินมากถึงเกือบ 4 ล้านตันต่อปี ในขณะที่มีการรายงานตัวเลขของประชากรของประเทศที่มีรายได้น้อยและมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการเข้าถึงอาหารอยู่ถึง 3.8 ล้านคน

และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มูลนิธิ SOS และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เปิดตัว ‘โครงการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) : การบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน คำตอบในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’

เพื่อสร้างต้นแบบระบบการบริหารจัดการอาหาร ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มเปราะบางของสังคมไทย มุ่งลดปริมาณขยะอาหารด้วยการจัดการอาหารส่วนเกิน ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดอาหารส่วนเกิน และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงอาหาร ส่งเสริมเป้าหมายด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

‘สุริยะ’ เยือนอิตาลี ดึงภาคธุรกิจลงทุน ‘แลนด์บริดจ์’ แฮปปี้!! โครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากที่ได้เข้าร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงาน ‘Thai - Italian Business Forum’ โดยจัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศอิตาลี ณ สภาหอการค้าอิตาลี กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ร่วมกับประธานสภาหอการค้าอิตาลี พร้อมทั้งได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าอิตาลีและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและอิตาลีให้เพิ่มมากขึ้น

นายสุริยะ กล่าวว่า ทุกหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาให้กับนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ภายใต้นโยบาย gnite Thailand ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล เพื่อมุ่งที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ พร้อมได้เชิญชวนนักธุรกิจชาวอิตาลีที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในธุรกิจสินค้าหรูหรา (Luxury) เข้าร่วมลงทุนในประเทศไทย โดยคาดหวังให้ไทยกับสหภาพยุโรปเกิดข้อตกลงการค้าเสรี ภายในปี 2568

ด้าน นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวนำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ในช่วงโอกาสการลงทุนในประเทศไทย ให้สมาชิกสภาหอการค้าอิตาลีได้ทราบถึงความเป็นมาของโครงการ รายละเอียด โอกาสในการลงทุน รูปแบบการลงทุน รวมถึงสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไทยและอิตาลี เพื่อเชิญชวนให้ภาคธุรกิจอิตาลีที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากนักลงทุนและนักธุรกิจของอิตาลีเป็นอย่างมาก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top